มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!!

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย AddWassana, 7 สิงหาคม 2009.

  1. AddWassana

    AddWassana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    11,698
    ค่าพลัง:
    +21,185
    <TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center bgColor=#e2e2e2 border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffcc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>
    มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!!


    ที่ยอดบนต้นไม้ มีใบเขียวชอุ่มเหลืองอ่อน
    พลิกพลิ้วไหวไปตามแรงลม
    ไล่ลำต้นต่ำลงมามีสะเก็ดเปลือกไม้แข็งขรุขะ

    คือ ความจริงว่า
    ของอ่อนอยู่ข้างบน ของแข็งอยู่ข้างล่าง
    ดุจเดียวกัน คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนไม่ถือตัว
    แม้อยู่ในที่ต่ำแต่ใจก็สูง
    คนที่มีทิฐิมานะแข็งกระด้าง แม้อยู่ในที่สูงแต่ใจก็ต่ำ


    การแสดงอาการอันอ่อนน้อมค้อมเคราพ
    ไม่มีอะไรสูญเสียหรอก นอกจากทิฐิมานะ
    และทิฐิมานะก็ไม่เคยให้อะไร นอกจากความด้านกระด้าง

    ถ้าไม่บรรเทาถอนมันจะฝังติดตัวแน่นขวางกั้นทุกอย่าง
    แสงสว่างทางพระนิพพาน ก็อย่าหวังเลย

    คนถือดีดื้อรั้นดันทุรังด้วยทิฐิ
    จะรองรับอะไรได้ มีแต่จะล้นทะลักออกมา


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>มานัตถัทธสูตร

    มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อ มานัตถัทธะ พำนักอยู่ในกรุงสาวัตถี
    ไม่ยอมไหว้มารดา บิดา อาจารย์ และพี่ชายเลย
    สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม ทรงแสดงธรรมอยู่
    มานัตถัทธพราหมณ์คิดว่า

    "พระสมณโคดมนี้ มีบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม ทรงแสดงธรรมอยู่
    ทางที่ดีเราควรเข้าไปหาพระสมณโคดม
    ถ้าพระสมณโคมทักทายเรา เราก็จะทักทายท่าน
    ถ้าท่านไม่ทักทายเรา เราก็จะไม่ทักทายท่านเหมือนกัน"


    มานัตถัทธพราหมณ์เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ถึงที่ประทับ ยืนนิ่งอยู่ ณ ที่ควร
    พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงทักทาย

    เขาคิดว่า "พระสมณโคดมนี้ไม่รู้อะไร" หมุนตัวจะกลับ

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความคิดของเขา
    จึงตรัสกับเขาด้วยพระคาถาว่า

    พราหมณ์ในโลกนี้ ใครที่ยังมีมานะไม่ดีเลย
    บุคคลมาด้วยประโยชน์ใด พึงเพิ่มพูนประโยชน์นั้นไว้เถิด


    มานัตถัทธพราหมณ์คิดว่า

    "พระสมณโคดมนี้ทรงทราบจิตของเรา"

    จึงน้อมศีรษะลงแนบแทบพระยุคลบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่นั้นเอง
    จุมพิตพระยุคลบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า และนวดด้วยมือ ประกาศชื่อว่า

    "ท่านพระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ชื่อมานัตถัทธะ
    ท่านพระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ชื่อมานัตถัทธะ"


    หมู่บริษัทที่อยู่ในที่นั้นต่างก็ฉงนสนเทห์ว่า

    "น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏมาก่อน
    มานัตถัทธพราหมณ์นี้ไม่ยอมไหว้มารดาบิดา อาจารย์และพี่ชาย
    แต่พระสมณโคมทรงทำคนเช่นนี้ให้นอบน้อมได้อย่างดียิ่ง"


    ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับมานัตถัทธพราหมณ์ว่า

    "พอเถิด พราหมณ์ เชิญท่านลุกขึ้นนั่งบนที่นั่งเถิด
    เพราะท่านมีจิตเลื่อมใสในเราแล้ว"


    มานัตถัทธพราหมณ์ลุกขึ้นนั่งบนที่นั่งแล้ว
    กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า

    "บุคคลไม่ควรทำมานะในใคร
    ควรมีความเคราพในใคร พึงยำเกรงในใคร
    บูชาใครด้วยดีแล้วจึงจะเป็นการดี"


    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบด้วยพระคาถาเช่นกันว่า

    "บุคคลไม่ควรทำมานะในมารดาบิดา
    พี่ชาย และในอาจารย์เป็นที่ ๔
    พึงมีความเคารพในบุคคลเหล่านั้น
    พึงยำเกรงในบุคคลเหล่านั้น
    บูชาบุคคลเหล่านั้นด้วยดีแล้วจึงเป็นการดี

    บุคคลพึงทำลายมานะ ไม่ควรกระด้าง
    พึงนอบน้อมพระอรหันต์ ผู้เยือกเย็น
    ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ ไม่มีผู้ใดยิ่งกว่า"


    ธรรมชาติฝ่ายลบอย่างหนึ่ง
    ซึ่งติดตามมาตั้งแต่แรกเกิด และเริ่มขยายตัวเติบโต
    แสดงผลออกมาทางกิริยาท่าทางในลักษณะกร่างวางก้าม

    ครั้นมันเพิ่มปริมาณมากขึ้น
    ก็กลายเป็นความแข็งกระด้างหยิ่งยโส
    ไม่ยอมอ่อนน้อมค้อมเคารพใคร


    ในคราวประชุมปรึกษาหารือกัน มักจะยืนกระต่ายขาเดียว
    ยืดตัวนั่งตรงคอแข็งหน้าเชิด
    ไม่ยอมรับฟังความเห็นของคนอื่น
    ยิ่งถึงคราวทะเลาะวิวาท ก็ยิ่งยากจะยินยอม

    ธรรมชาติฝ่ายลบนั้นท่านเรียกว่า
    ทิฐิมานะ คือ ความเห็นถือตนถือตัว


    คนที่มีทิฐิเป็นเจ้าเรือนเต็มไปด้วยมานะกระด้างถือตัว
    เวลาแสดงความคิดเห็น ก็ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
    ประเภทกูถูกอยู่คนเดียว

    เชื่อว่า หลาย ๆ ท่านคงเอือมระอา ไม่ปรารถนาจะร่วมเสวนาด้วย
    เพราะรู้ว่า แม้แสดงความคิดเห็นดีเพียงใด เขาก็ไม่ยอมรับ
    ผลร้ายหลายประการนี้ ล้วนเกิดจากเจ้าทิฐิมานะนี้ทั้งสิ้น

    ทิฐิมานะเกิดขึ้นได้อย่างไร
    เกิดขึ้นจาก อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
    ซึ่งทำให้หลง อยาก ยึดมั่นสำคัญผิด
    เข้าใจอนัตตาว่าเป็นอัตตา
    คือเห็นชีวิตสังขารซึ่งตกอยู่ในสภาพอนัตตาหาตัวตนมิได้
    โดยความเป็นอัตตามีตัวตน


    เมื่อเห็นว่ามีอัตตาตัวตน ก็สำคัญว่านี่เรา นี่ของเรา นั่นเขานั่นของเขา
    ทิฐิมานะก็ก่อตัวทันที และเปิดทางให้สรรพกิเลสเข้ามาอาศัย
    ทิฐิมานะก็ครองเหย้าเนานอนสบาย

    การถือตนถือตัว และการยึดถือนานัปการ
    จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่เห็นว่าเป็นอัตตา*


    การรื้อถอนทิฐิมานะ ให้ได้จริง ๆ
    ต้องรื้อถอนที่ต้นตอคือ อัตตาตัวตน
    โดยปรับมุมมองใหม่ว่า

    แท้จริง ชีวิตสังขารตกอยู่ในสภาพอนัตตาหาตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวรไม่ได้
    ครั้นเห็นเป็นอนัตตา ทิฐิมานะก็จะพังทลาย สร่างคลายจากการยึดถือไปเอง


    การรื้อถอนทิฐิมานะละอัตตามิใช่เรื่องง่าย
    ละไม่ได้ก็มาบรรเทาลดลงดีกว่า
    บรรเทาทิฐิมานะโดยการลดอัตตาตัวตนลงบ้าง
    โดยพิจารณาเห็นโทษดังกล่าวในเบื้องต้น
    มันไม่ส่งผลดีหรอก ทั้งแก่ตนและคนอื่นนั่นแหละ.


    * ดังกล่าวนี้ตรงข้อความที่ พระราหุล
    ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

    อะไร เป็นเหตุให้คนอหังการ (ตัวกู-ทิฐิ) มมังการ (ของกู-ตัณหา)

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

    รูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
    หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ไกล หรือใกล้
    เป็นเหตุให้เกิดอหังการ มมังการ
    เพราะปุถุชนไม่เห็นตามความเป็นจริงว่า

    "นั่นมิใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นมิใช่อัตตาเรา "


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    (ที่มา : จาก อนุสยสูตร สํ.นิ. ๒๐๐/๓๐๐/๑๖
    ใน พระไตรปิฎกร่วมสมัย ๒ โดย พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์)

    --------------------------------------------------------





    ขอบคุณบทความจาก ลานธรรมจักร

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD> TeeNee.com : ทันทุกเรื่องhit อัพเดททุกเรื่องhot</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. อวิปลาส

    อวิปลาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +353

    ขอบคุณครับ...

    อนุโมทนาสาธุการครับผม.
     
  3. natspdo

    natspdo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +1,505
    บางคนเรียนมาก รู้มาก ที่ได้จากทางโลกคือ ได้เรียนจากตำหรับตำรา จากอาจารย์ การคิดแบบเชิงเหตุผล แต่บางอย่างก็ขัดกับข้อเท็จจริง ก็ตะบี้ตะบันก็ถกเถียงกัน ยกเอาหลักการมาเถียงกัน นี่แหละ คือ ทิฐิ-มานะ
     
  4. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    การรื้อถอนทิฐิมานะละอัตตามิใช่เรื่องง่าย
    ละไม่ได้ก็มาบรรเทาลดลงดีกว่า
    บรรเทาทิฐิมานะโดยการลดอัตตาตัวตนลงบ้าง
    โดยพิจารณาเห็นโทษดังกล่าวในเบื้องต้น
    มันไม่ส่งผลดีหรอก ทั้งแก่ตนและคนอื่นนั่นแหละ.


    รวงข้าวยิ่งแก่ยิ่งโง้มงอลงฉันใด บุคคลพึงลดทิฐิมานะเปรียบปะดุจดังรวงข้าวแก่สีเหลืองทองนั้น
    อนุโมทนาสาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...