การเตรียมการอพยพมนุษย์โลก เพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก ของมิตรจากต่างพิภพ และข้อมูลอื่นๆจากสาธารณรัฐเช็ก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 19 มิถุนายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. JiNaNiE

    JiNaNiE Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +49
    อืมขอเป็นด้วยคน แต่จะเป็นตอนตอบกระทู้อ่ะ จะมีปัญหามากเลย ถ้าพิมพ์ยาวๆๆไปเซฟใน note pad อยู่ๆๆมันก็หายไปเฉยๆๆ ต้องพยายามเซฟบ่อยๆๆ แต่พอพิมพ์ยาวๆๆลืมเซฟ มันก็หายอีก แล้วพอจะส่งข้อความ เนทก็จะหลุดอีก ไม่ได้คิดไปเองนะ เพราะเป็นบ่อยมาก เพราะตอนตอบกระทู้อื่น มันไม่เห็นหาย เล่นเวบอื่นๆๆ เนทก็ไม่เห็นหลุด บางทีโมโห จนต้องนิมนต์พระพุทธรูปมาตั้ง เออ ก็ไม่มีปัญหา แปลกดีแท้
     
  2. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    มาตอบคำถามพี่ชยุต

    อ่านแล้วต้องอ่านอีก บางวันต้องคลิกมาอ่านหลายรอบ ไม่ได้ปวดเศียรเวียนเกล้าแต่อย่างใจ แต่รู้สึกว่าข้อมูลจากนาย IVO อ่านแล้วรู้สึกว่าสบายใจดีเชื่อได้ ความรู้สึกบอกอย่างนั้น แต่จากแหล่งอืนรู้สึกเฉยๆ และบางครั้งอ่านแล้วมีคำถามออกมาในใจว่า บิดเบือนบ้างหรือไม่ ประมาณนี่ครับ


    เดินทางปลอดภัยนะครับ
     
  3. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    เอ่อ ไม่ทราบว่าที่เครียดๆกัน คืออ่านแล้วไม่เข้ากับความรู้สึกนึกคิดอีกชุดหนึ่งหรือไม่
    จะบอกว่าอะไรดีเอาแบบนี้แล้วกัน

    ต้องค่อยๆละวางตัวตนว่านับถือศาสนาอะไรอยู่ มีหลายทางให้เดินแล้วแต่จริตของตนตามภาวะของตน แต่ทิศทางนี้มุ่งไปที่เดียวกันไม่มีแบ่งแยก

    ต้องเปลี่ยนชุดความเชื่อไปทีละชุดๆ มาดว่า อวิชชามีหลายชั้นๆ ต้องค่อยๆละวางทีละชั้นจนเบาบาง เมื่อถึงระดับหนึ่งแสงสว่างจะค่อยเผยให้เห็น อะไรประมาณนี่ครับพูดไม่ถูกจริงๆ
     
  4. ปารามิตราราชาวดี

    ปารามิตราราชาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +404
    เป็นเหมือนกันนะคะ(มึนๆ) แต่ไม่ถึงกับเครียด เพราะว่าจะอ่านเฉพาะเรื่องที่สนใจเท่านั้น แต่เวลาที่โพสกระทู้ แล้วไม่ขึ้นนี่เป็น ตัวเองยังงงๆ เพราะโพสกระทู้อื่นไม่เคยมีปัญหา และปกติจะไม่ค่อยโพสเท่าไหร่ แต่เป็นเหมือนคุณชามาคืออ่านไปก็อธิษฐานไปว่าขอให้ข้าพเจ้ารู้จริงตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนทุกประการ อันไหนไม่ใช่ก็ขออย่าให้เข้าใจผิดไป
     
  5. Dookbuabarn

    Dookbuabarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +225
    ติดตามอ่านอยู่เหมือนกันค่ะ

    อ่านไป พิจารณาไป ต้องมีสมาธิตั้งมั่นจริงๆ
    ถึงจะเข้าใจได้ในบางตอน แต่ยิ่งอ่านมากก็ชักเริ่มสับสนมาก

    ต้องอ่านไป พักไป ปล่อยวางอารมณ์เป็นระยะๆ

    เป็นความรู้ในอีกรูปแบบหนึ่ง ต้องขอขอบพระคุณ คุณ Chayutt ที่นำมาแปลให้พวกเราได้อ่านกัน

    ขอให้มีความสุขมากๆในการที่ได้เดินทางกลับสู่มาตุภูมินะคะ
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ในระหว่างที่รอให้คุณชยุต กลับมาให้ความรู้ เรื่องมนุษย์ต่างดาว การอพยพครั้งใหญ่ และภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ผมขออนุญาตนำบทความข่าวสารความรู้ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่คุณชยุตกำลังแปลอยู่นี้ มาให้เพื่อนๆ ได้อ่านเป็นความรู้กันนะครับ บางท่านอาจจะเคยได้อ่านไปก่อนแล้ว ผมก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย เผื่อว่าจะยังมีเพื่อนๆ บางคนที่ยังไม่เคยได้อ่านบทความและข่าวสารเหล่านี้นะครับ
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    7 ปีกลียุค
    (สัปตะที่ 70 ของดาเนียล)


    [​IMG]

    ความสัมพันธ์ระหว่างพระธรรมวิวรณ์กับพระธรรมดาเนียลนั้นใกล้ชิดกันมาก เราจะไม่สามารถทำความเข้าใจกับพระธรรมวิวรณ์ได้เลย ถ้าเราไม่โยงกับพระธรรมดาเนียลโดยฉพาะอย่างยิ่งจากพระธรรมดาเนียล 9:27 แต่ถ้าเรานำมาพูดโดดๆโดยไม่เริ่มต้นที่ข้อ 24 ก็จะทำให้เราหาที่มาที่ไปของ "สัปปตะที่ 70 ของดาเนียล" ไม่ได้และจะไม่เข้าใจที่มาที่ไปของคำๆนี้

    ความพิเศษสุดของพระธรรมดานเนียล 9:24 -27 ซึ่งเป็นที่สนใจของพี่น้องคริสเตียนที่ศึกษาอนาคตศาสตร์ เพราะดาเนียลแท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในชนชาติอิสราเอลที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ณ กรุงบาบิโลนเมื่อคราวที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งมหาอาณาจักรบาบิโลนได้ยกกองทัพถล่มกรุงเยรูซาเล็ม เผาพระวิหารหลังแรกที่สร้างโดยกษัตริย์โซโลมอน ทำลายกรุงเยรูซาเล็ม และกวาดต้อนชาวยิวไปเป็นเชลยเมื่อ 586 ปีก่อน ค.ศ. ซึ่งขณะนั้นดาเนียลยังเป็นวัยรุ่นอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั้งดาเนียลเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเมื่อ 538 ปีก่อน ค.ศ. พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์กาเบรียล องค์เดียวกันกับที่พระองค์ทรงใช้มาหานางมารีย์เพื่อบอกเธอเรื่องการตั้งครรภ์ของเธอ โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อพระผู้ช่วย ให้รอดจะบังเกิดหรือเสด็จลงมารับสภาพเป็นมนุษย์แท้ๆในครรภ์ของเธอ

    เราอาจแยกการอรรถาธิบายพระธรรมดาเนียล 9:24 -27 โดยแบ่งออกเป็นหัวข้อต่างๆเพื่อความเข้าใจดังต่อไปนี้

    (-1-) คำพยากรณ์นี้กินเวลา 70 สัปตะ
    (-2-) สัปตะที่ 1 จนถึง สัปตะที่ 69 ได้สำเร็จแล้ว
    (-3-) สัปตะที่ 70 หรือ สัปตะสุดท้าย ยังไม่สำเร็จ

    รายละเอียดของแต่ละประเด็นมีดังต่อไปนี้

    (-1-) คำพยากรณ์นี้กินเวลา 70 สัปตะ

    ก่อนอื่นเราคงต้องทำความเข้าใจกับคำว่า "สัปตะ" เสียก่อน เป็นคนละเรื่องกับคำว่า "สัปดาห์" ที่เราคุ้นเคยว่า 1 สัปดาห์ = 7 วัน ส่วนคำ "สัปตะ" หมายถึง ช่วงระยะเวลา 7 ปี และคำว่า "ปี" ในที่นี้เป็นปีของชาวยิวหรือปีแห่งพันธสัญญาเดิมซึ่งมีจำนวนวันอยู่ 360 วัน ซึ่งก็ใกล้เคียงกับปีในปฏิทินสากลซึ่งมี 365 วัน คำพยากรณ์นี้จึงกินเวลาทั้งสิ้น = 70 x 7 = 490 ปี

    (-2-) สัปตะที่ 1 จนถึง สัปตะที่ 69 ได้สำเร็จแล้ว

    จากดาเนียล 9:24 -26 ก็อยากสรุปสั้นๆว่า คำพยากรณ์ส่วนนี้คือคำพยากรณ์ตั้งแต่สัปตะที่ 1 จนถึงสัปตะที่ 69 ซึ่งกินเวลา = 69 X 7 = 483 ปี (ปีของยิวหรือของพันธสัญญาเดิม) สรุปอย่างง่ายๆอย่างนี้ว่า ระยะเวลา 69 สัปตะ หรือ 483 ปีนั้นก็คือระยะเวลาเริ่มต้นสัปตะที่ 1 เมื่อ 445 ปีก่อน ค.ศ. ซึ่งเป็นปีที่เริ่มลงมือซ่อมแซมกรุงเยรูซาเล็ม และเริ่มก่อสร้างพระวิหารหลังที่สอง สัปตะที่สองที่สามและต่อเนื่องมาเรื่อยๆมาสิ้นสุดที่สัปตะที่ 69 ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อ ค.ศ.33 เมื่อองค์พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นประชนม์บนไม้กางเขน นี่คือข้อความที่ว่า "ท่านผู้หนึ่งที่ถูกเจิมจะต้องถูกตัดออก"(ดาเนียล 9:26) นี่คือการสิ้นสุดของสัปตะที่ 69 ซึ่งกินเวลา = 69 X 7 = 483 ปี ณ จุดนี้เองที่เกิดช่องว่าง คือกาลเวลาไม่ได้ต่อเนื่องด้วย"สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" ทันที ซึ่งเป็นสัปตะสุดท้าย หรือ "7 ปีสุดท้าย" มนุษยชาติและมีเหตุผลต่างๆ ที่ทำให้เกิดช่องว่างดังต่อไปนี้

    (-๑-) ภายหลังการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเมื่อ ค.ศ. 33 ประมาณ 50 วัน เป็นวันเพนเตคอส ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาประทับตราและสถาปนา "คริสตจักรสากล" ขึ้นอย่างเป็นทางการ เรื่องนี้บันทึกไว้ในพระธรรม กิจการบทที่ 2 ซึ่งอาจารย์เปโตรได้เทศนาในวันนั้นและมีคนที่กลับใจเสียใหม่นับพันๆคนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เริ่มประกาศไปทั่วโลก ทำให้เกิดยุคต่างๆ ของคริสตจักรจนถึงปัจจุบันกินเวลาประมาณ 2,000 ปี

    ซึ่งเราได้เรียนรู้มาแล้วจาก "ทฤษฎีการแบ่งยุคสมัย" (Dispensationalism) คริสตจักรท้องถิ่นทั้งเจ็ดแห่งไม่เพียงแต่มีตัวตนเท่านั้น แต่เป็นแม่แบบของยุคต่างๆตั้งแต่ยุคอัครทูตซึ่งมีคริสตจักรเอเฟซัสเป็นแม่แบบ จนกระทั่งถึงคริสตจักรเลาดีเซียซึ่งเป็นแม่แบบของคริสตจักรยุคสุดท้ายคือคริสตจักรยุคปัจจุบัน เป็นคริสต์"อุ่นๆ" จะเป็นก็ไม่ใช่ จะตายก็ไม่เชิง เป็นคริสตจักรยุคบิดเบือนพระคำ (Apostasy)

    (-๒-) กรุเยรูซาเล็มล่มสลาย ชนชาติอิสราเอลกระจักกระจายไปทั่วโลก ตั้งแต่ ค.ศ. 70 ไม่มีประเทศอิสราเอลอยู่ในแผนที่โลกประมาณ 2000 ปี สิ่งที่จำเป็นต่อคำพยากรณ์ของดาเนียลคือการมีตัวตนของประเทศอิสราเอลซึ่งได้เกิดขึ้นมาใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1948 และกรุงเยรูซาเล็มได้กลับมาอยู่ภายใต้การครอบครองของชาวยิวใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1967 และที่สำคัญจำเป็นต้องมีพระวิหารหลังที่สามเกิดขึ้นบนภูเขาโมริยาห์ ณ กรุงเยรูซาเล็มจึงจะทำให้สัปตะที่ 70 ของดาเนียล หรือ "7 ปีสุดท้ายของมนุษยชาติ" บรรลุผลตามคำพยากรณ์ได้

    (-3-) สัปตะที่ 70 หรือ สัปตะสุดท้าย ยังไม่สำเร็จ (ดาเนียล 9:27)

    “ท่านจะทำพันธสัญญาเข้มแข็งกับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปตะ ท่านกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆหยุดไปครึ่งสัปตะ ผู้ที่จะทำให้เกิดความวิบัตินั้น จะมาบนปีกของสิ่งน่าสะอิดสะเอียน จนความอวสานได้กำหนดไว้ จะถูกเทลงเหนือผู้กระทำให้เกิดความวิบัตินั้น” (ดาเนียล 9:27)

    "สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" จากพระธรรมดาเนียล 9:27 ยิ่งใหญ่มากจริงๆที่นักอนาคตศาสตร์ทั่วโลกจับตาดูอย่างไม่กระพริบ ถึงแม้นักอนาคตศาสตร์อาจมีความเห็นที่แตกต่างกัน บ้างก็ว่า "สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" ได้เกิดขึ้นแล้วต่อเนื่องทันทีกับสัปตตะที่ 69 ซึ่งตรงกับ ค.ศ. 33 เมื่อองค์พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แต่ดูเหมือนว่าส่วนมากจะมีความเห็นว่ายังไม่สำเร็จ คำพยากรณ์ในดาเนียล 9:27 ยังไม่เกิดขึ้น เพราะเกิดช่องว่างของกาลเวลาเนื่องจากการเกิดของคริสตจักรยุคต่างๆซึ่งดาเนียลเองก็มองไม่เห็น อย่างไรก็ตาม นักอนาคตศาสตร์ได้แบ่ง "สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" ซึ่งจะกินเวลา 7 ปี ออกเป็นจุดต่างๆดังต่อไปนี้

    (-๑-) ยุคแสนเข็น (สามปีครึ่งแรก) (Time of Sorrows)
    (-๒-) จุดแห่งความสะอิดสะเอียนจนเกิดมหาวิบัติ (The Abomination of Desolation) จุดกึ่งกลาง
    (-๓-) มหากลียุค (สามปีครึ่งหลัง) (Great Tribulation)

    รายละเอียดแต่ละประเด็นมีดังต่อไปนี้

    (-๑-) ยุคแสนเข็น (สามปีครึ่งแรก) (Time of Sorrows) เราทราบแล้วว่า "สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" นั้นเป็นเจ็ดปีสุดท้ายของมนุษยชาติ ในการเริ่มต้นนั้น ดาเนียล 9:27 บอกเราว่า “ท่านจะทำพันธสัญญาเข้มแข็งกับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปตะ…" (ดาเนียล 9:27) คำว่า “ท่าน" ในที่นี้นักอนาคตศาสตร์ลงความเห็นว่านี่คือ "ปฏิปักษ์พระคริสต์" (Antichrist) เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในวาระสุดท้ายของมนุษยชาติ

    เป็นบุคคลที่ซาตานได้เข้าสิงด้วยตัวของซาตานเอง เช่นเดียวกับที่เคยทำกับยูดาอิสการิโอด เป็นบุคคลที่มีความโดดเด่นในทางการเมือง และที่สำคัญเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำสนธิสัญญาสันติภาพซึ่งกินเวลา 7 ปีพอดิบพอดี สนธิสันญานี้ทำขึ้นเพื่อปกป้องประเทศอิสราเอล เพื่อที่คนอิสราเอลจะไม่ต้องพะว้าพะวงกับศึกเหนือเสือใต้ และที่สำคัญเพื่อที่ชนชาติอิสราเอลจะมีโอกาสได้สร้างพระวิหารหลังที่สาม

    แม้ว่าในยุคปัจจุบันเราทราบดีว่า มีองค์กรชาวยิวจำนวนมากที่ก่อสร้างขึ้นมาเพื่อการทำอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในพระวิหาร และพวกเขาพยายามสุดความสามารถที่จะสร้างพระวิหารขึ้นให้ได้ บนภูเขาโมริยาห์ซึ่งเป็นที่ๆอับราฮัมถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา และเป็นที่ตั้งเดิมของพระวิหารหลังที่หนึ่งและหลังที่สอง นักอนาคตศาสตร์ทั่วโลกกำลังจับตาดูเรื่องนี้อยู่ว่าจะลงมือสร้างจริงๆเมื่อใด

    (-๒-) จุดแห่งความสะอิดสะเอียนจนเกิดมหาวิบัติ (The Abomination of Desolation) จุดกึ่งกลาง เรื่องนี้ยากแก่ความเข้าใจเพราะเป็นการแปลคำมาจากภาษาฮีบรู ที่ชาวยิวใช้เรียกสิ่งที่พวกเขาคิดว่าน่าสะอิดสะเอียนที่สุด และถ้าสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนเกิดขึ้นแล้วผลที่ตามก็คือมหาวิบัติ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการนำรูปเคารพเข้าไปตั้งยังสานที่ที่บริสุทธิ์ของพระวิหารเพื่อการนมัสการ แทนที่จะเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้าเที่ยงแท้แห่งอิสราเอล ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือมหาวิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ข้อความที่ดาเนียลบอกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ "…ท่านกระทำให้การถวายสัตว์บูชา และเครื่องบูชาอื่นๆหยุดไปครึ่งสัปตะ ผู้ที่จะทำให้เกิดความวิบัตินั้น จะมาบนปีกของสิ่งน่าสะอิดสะเอียน…" (ดาเนียล 9:27) แปลอย่างง่ายๆก็คือเมื่อได้เริ่มเซ็นสัญญาสันติภาพแล้ว อิสราเอลก็จะสร้างพระวิหารหลังที่สาม แล้วปฏิปักษ์พระคริสต์จะเข้าไปยังที่ที่บริสุทธิ์แห่งพระวิหาร เมื่อถึงจุดกึ่งกลางของสัปตะที่ 70 ของดาเนียล คือสามปีครึ่ง แล้วสั่งห้ามการถวายสัตวบูชาและประกาศว่าตนเองคือพระเจ้า การกระทำของปฏิปักษ์พระคริสต์ก็เป็นที่น่าสนใจของนักอนาคตศาสตร์ และกำลังมองไปข้างหน้าว่าเวลานั้นคือเมื่อใด ?

    (-๓-) มหากลียุค (สามปีครึ่งหลัง) (Great Tribulation) นี่คือเหตุการณ์แห่งความโกลาหล ที่เกิดขึ้นกับมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ความทุกขเวนาอย่างไม่เคยมีมาก่อนเลย พระเยซูได้ตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "ด้วยว่าในคราวนั้น จะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก" (มัทธิว 24:21) มหากลียุคมีอีกชื่อหนึ่งว่า "เวลาแห่งความทุกข์ลำบากของยาโคบ" (Time of Jacob's trouble)


    [​IMG]

    สามทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่อง "การถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น"

    เป็นที่แน่ชัดว่าบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ ณ บนภูเขาแห่งการจำแลงพระกายขององค์พระเยซูคริสต์ต่อหน้าต่อตาเปโตร ยอห์นและยากอบ พบว่ามีบุคคลสำคัญแห่งพันธสัญญาเดิม สองท่านมาสนทนากับพระเยซูคริสต์ในเรื่องที่สำคัญสุดยอดในประวัติศาสตร์แห่งการสนทนาของมนุษย์ชาติ บุคคลสองท่านก็คือโมเสสซึ่งได้ตายไปก่อนหน้านั้นแล้วประมาณ 1500 ปี และเอลียาห์ซึ่งได้ถูกรับขึ้นไปก่อนหน้านั้นประมาณ 800 ปี

    เอลียาห์นั้นไม่เคยได้ชิมกับความตายเลยว่าเป็นอย่างไร ทั้งสองสนทนาเรื่องสำคัญสุดยอดคือ "เรื่องการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน" ซึ่งกำลังจะเกิดในอีกไม่นาน เพราะถ้าเรื่องนี้พลาดก็แปลว่าโมเสสหมดหวังและเอลียาห์ก็หมดหวัง และมนุษย์ทุกคนต้องเข้าสู่ความพินาศ เพราะความรอดจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเพื่อรับแบกบาป เหตุการณที่ยิ่งใหญ่ ณ ภูเขาแห่งการจำแลงพระกายบอกเราว่า

    คริสเตียนที่บังเกิดใหม่จะมีประสบการณ์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งคือเผชิญกับความตายเช่นเดียวกับโมเสส หรือไม่ก็ไม่รู้ว่าความตายเป็นอย่างไรเช่นเดียวกับเอลียาห์ คือจะมีคริสเตียนยุคหนึ่งสมัยหนึ่งหรือกาลเวลาหนึ่งที่จะ "ถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น" คือได้รับการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ความเป็นอมตะภายในกระพริบตา อาจารย์เปาโลได้ยืนยันในเรื่องนี้ว่า "ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบ ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้

    ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆ พร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด" (1 เธสะโลนิกา 4:15-18)

    พวกที่โจมตีอาจารย์เปาโลกก็เยาะเย้ยจากที่อาจารย์เปาโลเขียนว่า "เราผู้ยังเป็นอยู่" และ "เราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่" พวกเขาเยาะเย้ยในทำนองว่าอาจารย์เปาโลหลงตัวเอง เห็นไหมละอาจารย์เปาโลและเพื่อนๆก็ตายไปนานแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย แท้ที่จริงแล้วเมื่ออาจารย์เปาโลบอกว่า "เราผู้ยังเป็นอยู่" และ "เราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่" อาจารย์เปาโลหมายถึงคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่งซึ่งอาจเป็นยุคของเราที่กำลังอ่านอรรถาธิบายอยู่นี้ก็เป็นได้ ใครจะรู้ ?

    อย่างไรก็ตามในความสัมพันธ์กับ "สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" หรือ เจ็ดปีสุดท้ายของมนุษย์ชาติ ในวงการคริสเตียนที่สนใจอนาคตศาสตร์ได้แบ่งทฤษฎี "การถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น" ออกเป็น 3 ทฤษฎี หรือ 3 ความเห็น ณ จุดนี้ให้เรามาทำความเข้าใจความเห็น 3 ความเห็นเสียก่อน ที่เกี่ยวข้องกับหลักข้อเชื่อทางอนาคตศาสตร์เรื่อง "การถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น" (The Rapture of the Church) ผู้ที่ศึกษาแนวความคิดทั้งสามนี้ไม่ควรฟันธงว่าใครถูกต้องที่สุด (เพราะจริงๆแล้วไม่มีใครทราบนอกจากพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น) ความเห็นทั้ง 3 ความเห็นเรื่องการถูกรับขึ้นไปทั้งเป็นที่เกี่ยวข้องกับ "สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" มีดังต่อไปนี้

    (-1-) ถูกรับขึ้นก่อนเข้าสู่ยุคแสนเข็น 70 (PreTtribulation Rapture)
    (-2-) ถูกรับขึ้นไปกลางสัปตะที่ 70 (Mid Tribulation Rapture)
    (-3-) ถูกรับขึ้นไปหลังมหากลียุค (Post Tribulation Rapture)

    เนื่องจาก "สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" ก็คือ "7 ปีสุดท้ายของมนุษยชาติก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระเยซูคริสต์ เราจินตนาการได้ไม่ยากเกี่ยวกับ 3 ทฤษฎีหรือ 3 ความเห็นที่ การถูกรับขึ้นจะเกิดขึ้น "ก่อนยุคแสนเข็น" เริ่มต้น คือพอเริ่มสัมผัสกับ "สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" ก็จะมีคริสเตียนที่บังเกิดใหม่อันตรธานหายจากโลกนี้ไป หรือว่าเกิด "กลางสัปตะที่ 70 ของดาเนียล" ก็แปลว่าเมื่อสิ้นสุด "ยุคแสนเข็น" และก่อนเข้าสู่ "มหากลียุค" ซึ่งเป็นความเลวร้ายที่สุดสามปีครึ่งหลัง ก็จะมีคริสเตียนที่บังเกิดใหม่อันตรธานหายจากโลกนี้ไป ส่วนพวกพวกที่เชื่อว่าการถูกรับขึ้นไปเกิดขึ้น "หลังมหากลียุค"ก็แปลว่าเมื่อ "สัปตะที่ 70 ของดาเนียลสิ้นสุดลง" ก็จะมีคริสเตียนที่บังเกิดใหม่อันตรธานหายจากโลกนี้ไป

    {-4-} ประเด็นต่างๆที่น่าคิดเกี่ยวกับทฤษฎีเรื่อง "การถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น"

    ในการศึกษาอนาคตศาสตร์นั้นให้เรา "เฝ้าระวัง" จะปลอดภัยกว่า เราควรยึดเอาพระดำรัสขององค์พระเยซูคริสต์ที่ทรงตรัสสอนว่า "แต่วันนั้น โมงนั้นไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว" (มาระโก <TIME w:st="on" hour="13" minute="32"></TIME>13:32) ดังนั้นในการอรรถาธิบายก็จะได้นำเอาความคิดเห็นต่างๆเพื่อเราจะได้รู้ คริสเตียนคนอื่นๆคิดอย่างไร แต่อย่าให้เรา "ฟันธง" คือให้เรารอคอยท่าพระเจ้าดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด คือเราจะต้องไม่เพิกเฉยหรือไม่สนใจที่จะศึกษาอนาคตศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพระธรรมวิวรณ์

    การที่จะมีคริสเตียนที่บังเกิดใหม่กลุ่มหนึ่ง ในช่วงระยะหนึ่งของกาลเวลาที่จะได้รับฤทธิ์เดชจากพระเจ้าให้ได้รับ"การถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น" จึงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน "เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้" (ลูกา <TIME w:st="on" hour="13" minute="37"></TIME>1:37)

    ที่มา http://nakhonsawanchurch.net/index.php?option=com_content&view=article&id=124:-11-&catid=35:2008-11-20-16-07-25<!-- google_ad_section_end -->
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    วิเคราะห์เรื่องภัยพิบัติในปี ค.ศ.2012


    [​IMG]

    เรื่องวันพิพากษาโลก ที่ได้ถูกเลื่อนจากปี ค.ศ.2012 ไปเป็นปี ค.ศ.2017 นั้น ไม่ได้หมายความว่าปี ค.ศ.2012 จะไม่เกิดเหตุการณ์อะไรเลยนะครับ ผมคิดว่ามันยังจะต้องมีเรื่องร้ายแรงอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เพียงแต่ยังไม่ใช่ปีที่สิ้นสุดของการชำระโลกเท่านั้นเองครับ

    ในพุทธทำนายจากศิลาจารึกก็ได้บอกเอาไว้ว่า:-

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๐๗ (ปีมะโรง) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน

    ปี ค.ศ.2012 ตรงกับปีพุทธศักราช 2555 ถ้าเราลดจำนวนปีลง 48 ปีให้ตรงกับความเป็นจริงในพุทธทำนาย ก็จะตรงกับปี พ.ศ.2507 (ปีมะโรง) ซึ่งมีคำทำนายเอาไว้ว่า "คนจะเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน" ซึ่งแปลความหมายออกมาได้เป็นหลายอย่าง

    เช่นในปี ค.ศ.2012 ขั้วแม่เหล็กโลกอาจจะเกิดการพลิกกลับขั้วอย่างรุนแรง ทำให้พลังงานไฟฟ้าขัดข้องไปทั่วโลก เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ที่ให้ความสะดวกสบายทุกอย่างบนโลกนี้ใช้การไม่ได้ เครื่องจักรกลทุกอย่างหยุดทำงาน เพราะความแปรปรวนของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ผู้คนบนโลกนี้จะเกิดความโกลาหล ปั่นป่วนกันไปหมดทั้งโลก ฯลฯ

    คำพยากรณ์โลกของ อ.เลือง มินห์ ด๋าง ได้บอกเอาไว้ว่า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อสิ้นศตวรรษที่ 20 นี้ สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลง สลับสับสนกันอย่างยุ่งเหยิงไฟฟ้าบนโลกจะขัดข้อง การติดต่อสื่อสารรับรู้กันทั่วโลกโดยอิเลคทรอนิค จะใช้การไม่ได้ภัยพิบัติหลายๆ อย่างจะเกิดขึ้น คนที่เคยสนุกสุขสบายจะทนต่อสภาวะนั้นไม่ได้ เดือดร้อนเรื่องที่พัก อาหาร เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ผู้คนจะเกิดความเครียด คลุ้มคลั่ง ปั่นป่วนกันไปหมดทั้งโลก <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในวันนั้นน้ำ 1 ลิตรจะมีค่ามากกว่าทองคำ 1 กิโลกรัม และอาจจะไม่สามารถแลกซื้อได้ อาหารขาดแคลนมาก นับเป็นภัยอันตรายยิ่งกว่าสงครามใดๆ ภัยนี้จะคุกคามไปทั่วโลก ผู้คนที่ทนต่อสภาวะการณ์ดังกล่าวไม่ได้จะต้องตายไป และประมาณว่าอาจตายกว่า 70 เปอร์เซนต์ทั้งโลก

    จากคำทำนายนี้จะเห็นได้ว่าตรงกับเรื่อง แกนแม่เหล็กโลกกำลังพลิกกลับขั้ว
    ทำให้กระแสไฟฟ้าขัดข้องไปทั่วโลก เครื่องมืออีเลคทรอนิคต่างๆ ใช้การไม่ได้โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมกระบวนการผลิตสิ่งอุปโภค บริโภคทุกอย่างในปัจจุบันนี้ก็จะใช้การไม่ได้ไปด้วย เพราะไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้นั่นเอง

    การเตรียมตัวเพื่อรับกับเหตุการณ์นี้ เราควรจะเริ่มคิดตั้งแต่บัดนี้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรเมื่อต้องพบเจอกับสภาพไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ไฟฟ้าไว้คอยอำนวยความสะดวกสบายแบบในปัจจุบันนี้

    ที่มา คัดลอกข้อความบางส่วนมาจากหนังสือ"พลังจักรวาลรักษาโรค"
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    กลียุค 7 ปี ช่วงระยะเวลาซึ่งเต็มไปด้วยความทุกขเวทนายากลำบาก (ค.ศ.2011-2017)

    [​IMG]

    พระคัมภีร์ไบเบิ้ลทำนายไว้ว่า ในอนาตคโลกจะมีช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกขเวทนายากลำบาก ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ ช่วงระยะเวลา 7 ปี ที่เรียกว่า "กลียุค 7 ปี"

    ในครั้งนั้น มีคาเอล เทพผู้พิทักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้คุ้มกันชนชาติของท่านจะลุกขึ้น และจะมีความยากลำบากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่ครั้งมีประชาชาติจนถึงสมัยนั้น แต่ในครั้งนั้นชนชาติของท่านจะรับการช่วยกู้ คือทุกคนที่มีชื่อไว้ในหนังสือ และคนเป็นอันมากในพวกที่หลับในผงคลีแห่งแผ่นดินโลกจะตื่นขึ้น บ้างก็เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ บ้างก็เข้าสู่ความอับอายขายหน้านิรันดร์ (ดาเนียล 12:1-2)

    พระคัมภีร์กล่าวว่า ในช่วงนี้ปรปักษ์พระคริสต์จะปรากฎโฉม ชาวโลกจำนวนมากจะมองดูผู้นำคนใหม่อย่างมีความหวัง เขาอาจจะมีส่วนในการนำชาติอิสราเอล และอาหรับเข้าหากัน และอนุญาติให้ยิวสร้างวิหารขึ้นใหม่ จะมีการตกลงสันติภาพกับอิสราเอล ต่อจากนั้นสามปีครึ่ง ปรปักษ์พระคริสต์จะฉีกสัญญานั้น แล้วเข้าไปนั่งในพระวิหาร และประกาศตัวเองเป็นพระเจ้า

    ใน 7 ปี แห่งกลียุคนี้ จะเป็นเหตุการณ์โหดร้ายทารุณสยดสยอง พรั่นพรึงอย่างน่ากลัวที่สุด จะไม่มีช่วงใดเลยในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน ที่จะน่ากลัวและสยองขวัญเท่ากลียุค 7 ปี พระเยซูตรัสว่า จงอธิษฐานขอ เพื่อการที่ท่านต้องหนีนั้นจะไม่ตกในฤดูหนาว หรือวันสะบาโต ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ยากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาจนทุกวันนี้และเบื้องหน้า จะไม่มีอีกต่อไป... ถ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้เลือกสรร จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า (มัทธิว 24:20-22)

    จะเกิดอะไรขึ้นแก่มนุษย์โลกในระหว่างกลียุค 7 ปี พระวิวรณ์กล่าวถึง ตราเจ็ดดวง แตรทั้งเจ็ด ขันทั้งเจ็ด ทั้งหมดนี้หมายถึงหายนะภัยทั้งหลายดังต่อไปนี้

    ความหมายของตราทั้ง 7 (วิวรณ์บทที่ 6-8)

    ตราที่ 1 วิวรณ์ 6:1 หมายถึงปรปักษ์พระคริสต์ ซึ่งจะบันดาลสิ่งสารพัดเลวร้ายให้เกิดขึ้น
    ตราที่ 2 วิวรณ์ 6:3 สันติภาพสูญหายไปจากโลก เกิดสงคราม การรบราฆ่าฟันแผ่ขยายไปทั่วทั้งโลก
    ตราที่ 3 วิวรณ์ 6:5 ความอดอยากมีอยู่ทั่วไป
    ตราที่ 4 วิวรณ์ 6:7 มนุษย์ชาติตาย 1ใน 4 ด้วยคมดาบ โรคระบาด
    ตราที่ 5 วิวรณ์ 6:9 ผู้ที่มีความเชื่อในพระคริสต์ จะถูกสังหารผลาญชีวิต แต่ในที่สุดจะได้ชีวิต
    ตราที่ 6 วิวรณ์ 6:12 เกิดแผ่นดินไหว ดวงอาทิตย์อับแสง พระจันทร์สีเลือด ดาวตกลงบนแผ่นดิน บางคน เชื่อว่าเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ เนื่องจากการยิงระเบิดนิวเคลียร์เข้าหากัน
    ตราที่ 7 วิวรณ์ 8:1 ความเงียบเข้าครอบคลุมสวรรค์นานครึ่งชั่งโมง ตราดวงนี้จะขยายให้เห็นแตรอีก 7 อันข้างหน้า​

    ความหมายของแตรทั้ง 7 (วิวรณ์บทที่ 8-11)

    แตรที่ 1 ลูกเห็บและไฟตก เกิดความเสียหายมากมาย ต้นไม้ 1 ใน 3 ของโลกไหม้ หญ้าเขียวสดไหม้หมดสิ้น
    แตรที่ 2 ทะเลถูกทำลายลง 1 ใน 3 ของสัตว์น้ำตาย เรือสินค้าทั่วโลกถูกทำลาย 1 ใน 3
    แตรที่ 3 คนจำนวนมากตายเนื่องจากน้ำมีสารพิษเจือปน
    แตรที่ 4 ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ถูกทำลาย 1 ใน 3 เป็นเหตุให้อุณภูมิผันแปรอย่างหนัก
    แตรที่ 5 ซาตานซึ่งจะใช้อำนาจของมัน ทรมานคนที่ไม่มีเครื่องหมายของพระเจ้า หรือคนที่ไม่ได้รับความรอด
    แตรที่ 6 มนุษย์ชาติ 1 ใน 3 จะต้องตายลงอีก ในจำนวนนั้นเป็นทหารถึง 200 ล้านคน
    แตรที่ 7 ราชอาณาจักรในโลกนี้จะกลับเป็นอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ แล้วพระองค์จะครอบครองเป็นนิจนิรันดร์​

    ในระหว่างนี้ ปรปักษ์พระคริสต์จะก้าวขึ้นมาแสดงตัวมีบทบาทสำคัญยิ่ง มนุษย์ชาติต่างเกรงกลัวฤทธิ์เดชานุภาพของมัน และยอมตัวเป็นบริวาร เป็นทาสรับใช้ มนุษย์ที่เหลือต่างปล่อยตัวมัวเมาในกามกิเลสตัณหา และความชั่วร้าย สุดที่จะพรรณนา จนกระทั่งทูตสวรรค์ต้องนำขันแห่งพระพิโรธ 7 ใบ เทบนโลก ​

    [​IMG]

    ความหมายของขันทั้งเจ็ด มีดังนี้ (วิวรณ์บทที่ 16)

    ขันที่ 1 เกิดโรคระบาด เป็นแผลร้ายที่ร้ายกาจเสียยิ่งกว่ามะเร็ง แผลหนองทั่วไป
    ขันที่ 2 สิ่งมีชีวิตในทะเลตายหมด เพราะน้ำทะเลเน่าเหม็นเหมือนเลือดของคนตาย
    ขันที่ 3 น้ำจืดกลายเป็นเลือด และมนุษย์ต้องดื่มเลือดแทนน้ำ
    ขันที่ 4 ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ แผดเผาแผ่นดินโลกจนแห้งกรอบ มนุษย์กลับยิ่งแช่งด่าพระเจ้า
    ขันที่ 5 มนุษย์ได้รับการทรมานอย่างแสนสาหัส ขนาดต้องกัดลิ้นตัวเอง เพราะบาดแผลร้ายทั่วตัวแต่พวกเขาก็ยังไม่สำนึกผิด
    ขันที่ 6 การเตรียมตัวของซาตานมารร้าย เพื่อทำสงครามโลกครั้งสุดท้าย คือสงครามอาร์มาเกดโดน มันจะเข้าหาผู้นำประเทศต่างๆ เพื่อบังคับแกมขอร้องให้เข้าร่วมเป็นพันธมิตร
    ขันที่ 7 เกิดวิบัตินานาชนิด แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยประสบ ลูกเห็บก้อนใหญ่ขนาดก้อนละ 50 กิโลกรัมตกลงมา คนจำนวนมากจะตาย ทรัพย์สินเสียหายเหลือคณานับ เกาะทั้งเกาะจะจมหาย.​


    ตาชั่งแห่งดุลยภาพ และวันชำระบาปของโลก
    โดย Dr.G.G.Junior

    [​IMG]

    ความเชื่อมโยงของมนุษย์กับจักรวาล เป็นธรรมชาติที่ถูกผูกเชื่อมกันมาตั้งแต่ปฐมกาล แห่งการกำเนิดโลกและจักรวาล มิใช่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น ยังรวมสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมด และต้องถือว่าเป็นสรรพชีวิต และยังรวมสิ่งที่ไม่มีชีวิต คือสรรพสิ่งทั้งมวลล้วนเชื่อมโยงกัน เป็นธรรมชาติที่สมดุล ตั้งแต่ครั้งนั้นมา ด้วยพลังงานธรรมชาติที่สร้างขึ้น ก่อให้เกิดพลัง แห่งความเคลื่อนไหวหมุนไปพร้อมๆ กับการหมุนของกระแสคลื่นจิต ในสิ่งที่มีชีวิต คลื่นความคิด ซึ่งเป็นพลังงานของคลื่นสมอง

    ไม่ว่าสรรพชีวิตจะกระทำสิ่งใด แม้เพียงหายใจเข้าและออก ก็ส่งผลกระทบถึงตนเอง สรรพชีวิตด้วยกัน และสรรพสิ่งอื่นๆ ซึ่งในขณะนั้น ก็ส่งผลการสั่นสะเทือนกระทบไปทุกอณูของโลกและจักรวาลทั้งนั้น มากหรือน้อยตามความรุนแรงของกระแสคลื่นนั้นๆ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสรรพชีวิต หรือแม้อณูที่เล็กที่สุดของธาตุใดใด ก็ล้วนส่งผลการกระทำ หรือปฏิกิริยาของตน ต่อเชื่อมกันไปทั้งจักรวาลทั้งสิ้น ทุกขณะเวลา ดังคำกล่าวที่ว่า “เด็ดใบไม้หนึ่งใบสะเทือนถึงจักรวาล” นั่นเอง ​

    มนุษย์พึงตระหนักถึงความสำคัญของตนว่าส่งผลยิ่งใหญ่ต่อจักรวาลเพียงใด อย่าคิดเพียงง่ายๆ ว่าลำพังกำลังการกระทำของตนจะทำอะไรได้ นั่นเป็นความคิดที่ผิด และเป็นโทษภัยอย่างมหันต์ทีเดียว เพราะมนุษย์กระทำสิ่งใดก็ตาม ในช่วงเวลาหนึ่งๆ มนุษย์อื่นก็กำลังกระทำสิ่งอื่น ที่ก่อให้เกิดพลังงานด้านมืด (พลังงานลบ) หรือสว่าง (พลังงานด้านบวก) อยู่ด้วยกันพร้อมๆ กันอีกมากมาย การกระทำใดใดก็ตาม ย่อมแสดงผลเป็นพลังงาน ซึ่งแบ่งแยกได้เป็นสองด้าน ​

    ดังนั้นมนุษย์พึงเข้าใจเสียใหม่ว่า เราเป็นส่วนหนึ่งที่กำลังร่วมสร้างพลังงานด้านใดด้านหนึ่ง ตลอดทุกลมหายใจเข้าออก ของเราทีเดียว พลังงานทั้งสองด้านนั้นหล่อเลี้ยงห่อหุ้มจิตของเราทุกคน และโลกธาตุ ทั้งมวลไว้ แล้วส่งผลสะท้อนย้อนกลับมาหาเรา ด้วยแรงของกรรมคือ กฎแห่งธรรมชาติ ที่มนุษย์ และสรรพชีวิตทุกตัวตน มิอาจหลีกพ้นกรรมของตนได้ ธรรมชาติมีการปรับตัว ดังนั้นธรรมชาติแห่งจักรวาลจึงมีนาฬิกาของการรักษาสมดุล แห่งจักรวาลที่เรียกว่า “ตาชั่งแห่งดุลยภาพ”

    ตาชั่งแห่งดุลยภาพ คือ สิ่งที่แสดงความเป็นจริง เป็นเครื่องวัดการสะสมของพลังงาน ทั้งสองด้านว่า ด้านใดจะมากกว่าน้อยกว่าหรือสมดุลกันแล้ว และส่งรหัสสัญญาณไปยัง ธรรมชาติของจักรวาลให้แสดงผลต่างๆ ตอบสนองไปตามที่ตาชั่งวัดได้ ช่วงเวลาหนึ่งๆ ที่ตาชั่งแห่งดุลยภาพจะทำงานแล้วส่งรหัสไปยังธรรมชาติทั้งปวงนั้น เรียกว่า หนึ่งช่วง พีริออดิค (Periodic) เปรียบเทียบเวลากับมนุษย์นั้น เท่ากับ 60 ปี 4 เดือน 12 วัน คือ 1 รอบพีริออดิค เท่ากับ 22,047 วัน

    เมื่อถึงรอบเวลาพีรีออดิคท้ายสุดที่ผ่านมาคือ ทางจันทรคติ ตรงกับ วันพฤหัสบดีที่ 22 เดือนกุมภาพันธ์ 2550 แรม 6 ค่ำ เดือน 2 ซึ่งตรงกับทางดาราคติ วันพฤหัสที่ 22 ทุติยฤกษ์เดือน พ.ศ. 2550 แรม 5 ค่ำเดือน 2 การกระทำที่แล้วมา ในอดีตของมนุษย์ ส่งผลให้ช่วงพีริออดิคนี้ ธรรมชาติขาดความสมดุล อย่างรุนแรง จึงนำพาให้ เกิดเหตุสำคัญทางจักรวาล ที่เวียนมาบรรจบ ครบรอบขึ้น 3 ปรากฎการณ์ด้วยกัน แต่ถ้าตาชั่งแห่งดุลยภาพมีผลลัพธ์ว่า จักรวาลยังคงสมดุลอยู่ ปรากฎการณ์ทั้ง 3 นี้ก็ไม่เกิดขึ้น เพราะกรรมฝ่ายสว่างจะนำพาให้ดวงดวงในจักรวาล หมุนด้วยความสมดุล และไม่หมุนทำมุมดั่ง 3 ปรากฎการณ์ดังต่อไปนี้

    1. ในรอบปีนี้เป็นปีครบรอบ 7,749 ปี พอดีที่ดาวพฤหัส ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดวงอาทิตย์ มาเรียงตัวทำมุมกันเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่า ทำให้แรงดึงดูด และสนามแม่เหล็กของดาวทั้งหมดปรวนแปร เกิดพายุใหญ่ขึ้นทั้งบนบกและมหาสมุทร กระแสไฟฟ้าในบรรยากาศผิดปกติ มนุษย์และสรรพชีวิตประสบภัยพิบัติยิ่งใหญ่ อย่างฉับพลันอยู่เนืองๆ

    2. รอบ 12,000 ปี ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทุกดวงของระบบสุริยะจักรวาล เรียงตัวกันเป็นเส้นตรง ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 5,600 แรงดึงดูดและสนามแม่เหล็ก ปรวนแปร อย่างหนักในช่วงเวลาดังกล่าวประมาณ 3 นาที แต่ก็จะทำให้น้ำท่วมสูงในซีกโลกที่ตรงกับ แนวการเรียงตัวของดวงดาวดังกล่าว และเกิดน้ำเหือดหายในซีกโลกด้านตรงข้าม (แนวตั้งฉาก)

    3. รอบ 70,000 ปี แกนกลางดาราจักร HALO ดวงอาทิตย์ และโลกเรียงตัวกัน เป็นแนวตรง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วันชำระบาปโลก” พลังงานรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ทุกสิ่งที่ประกอบไปด้วยพลังมืดต้องถูกชำระล้างไป คงเหลือแต่พลังงานฝ่ายสว่าง สร้างโลกใหม่ขึ้นเรียกว่า “ยุคพลังงานใหม่” นั่นเอง ซึ่งจะครบรอบปีที่ 70,000 ใน ค.ศ.2017 มนุษย์ที่มีดวงจิตอันสว่างใสด้วยโพธิจิตก็จะรอดชีวิต เพื่อดำเนินภารกิจการอบรม สั่งสอนให้มนุษย์ที่เกิดขึ้นใหม่ ให้มีการพัฒนาจิตให้สว่างมากกว่าการหลงในวัตถุเหมือน มนุษย์ในปัจจุบันนี้ ที่มีดวงจิตอันขุ่นมัวมืดบอดอับแสงเป็นส่วนใหญ่ ไม่สามารถปรับฟื้นจิตได้แล้ว จึงจำเป็นต้องล้างโลกกันเสียทีในปี ๒๕๖๐ นี้

    นี่คือเหตุแห่งมหันตภัยของโลกครั้งที่จะถึงนี้ โดยที่มนุษย์เป็นส่วนใหญ่ และสรรพชีวิต ได้ร่วมกันสร้างพลังงานฝ่ายมืด คือความเลวร้ายมืดดำทั้งปวง จนหลุมดำไม่สามารถ รับขึ้นไปเก็บไว้ได้อีกแล้ว สุดท้ายมนุษย์นำพาโลก และจักรวาลขึ้นสู่ตาชั่งแห่งดุลยภาพแล้ว มีผลลัพธ์สุดท้ายคือ การเกิดมหันตภัยล้างโลกในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ นี่เอง ตั้งแต่ลมหายใจนี้ ไม่คิดพยายามสร้างกรรมฝ่ายสว่างกันบ้างเลยหรือ มนุษย์ทั้งหลาย จงตื่น เพื่อร่วมกันสร้าง พลังงานฝ่ายสว่างบนข้อเท็จจริงแห่งธรรมชาติกับข้า "ข้าคือสัญญาธาตุรู้ที่อยู่คู่กับทุกอณูในสรรพสิ่ง"


    หมายเหตุ

    จุดมุ่งหมายที่ผมได้นำบทความนี้ มาโพสต์ให้ทุกๆท่านได้อ่าน ก็เพื่ออยากจะชี้ให้เห็นว่าในปี ค.ศ.2012 อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์วันชำระโลก ตามที่ได้มีการทำนายกันก่อนหน้านี้ เพราะผมได้รับข้อมูลมาจากหลายแหล่ง ก็บ่งชึ้ว่าเหตุการณ์วันชำระโลกได้ถูกเลื่อนออกไป เป็นปี ค.ศ.2017 หรือ พ.ศ.2560

    ถ้าเราจะถือเอาพุทธทำนายจากศิลาจารึกเป็นหลัก ก็จะจับใจความสำคัญได้ว่า ปีระกาเมืองมนุษย์จะมืด 7 วัน 7 คืน ดังนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงมาก ที่เหตุการณ์วันชำระโลกนั้นจะเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2560 ซึ่งก็ตรงกับปีระกาพอดี

    ถ้าเรามาลองพิจารณาดูจากข้อมูลในคำภีร์ใบเบิ้ล ก็บอกเอาไว้ว่าก่อนจะเกิดเหตุการณ์วันพิพากษาโลกนั้น มนุษย์จะต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากครั้งยิ่งใหญ่เป็นเวลาถึง 7 ปี เสียก่อน จึงจะเกิดเหตุการณ์วันพิพากษาโลก หลังจากนั้น โลกนี้จะเข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่มีสงครามและความทุกข์ยากใดๆ อีกต่อไป​

    เมื่อมาลองเทียบเคียงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้แล้ว ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก 7 ปีนั้น ก็หมายถึงช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาด ความอดอยากหิวโหย และ สงครามนิวเคลียร์นั่นเอง ในปีนี้โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้เริ่มแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว แต่ยังไม่มีความรุนแรงมากนักเพราะเชื้อไวรัสยังมีฤทธิ์อ่อน แต่ถ้ามันกลายพันธ์จนมีฤทธิ์รุนแรงได้เมื่อไหร่ ก็จะเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่กับมวลมนุษยชาติอย่างแน่นอน​

    เมื่อเราสามารถกำหนดรู้ปี ที่จะเกิดเหตุการณ์วันพิพากษาโลกได้แล้ว ว่าน่าจะเป็นปี พ.ศ.2560 เมื่อนับถอยหลังมา 7 ปี ก็จะได้ปีที่เริ่มต้นของเหตุการณ์ "7 ปีกลียุค"ในคัมภีร์ใบเบิ้ลได้โดยไม่ยาก นั่นก็คือจะเริ่มต้นในปี พ.ศ.2553 นั่นเอง และจากข้อมูลของอาจารย์อาชวิน จีรจินดา ที่สามารถติดต่อพูดคุยกับมนุษย์ต่างดาวได้ ก็ได้ข้อมูลสำคัญมาว่า จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินของประเทศต่างๆ ยุบตัวจมลงทะเลในปี พ.ศ.2556 ที่จะทยอยๆ ยุบตัวลงไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี จนกว่ากระบวนการชำระโลกนี้จะสิ้นสุดลงในปี พ.ศ.2560 -เกษม-​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2009
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    คำพยากรณ์ของโหร"พลูหลวง"
    โดยคุณกำแหง ภริตานนท์


    [​IMG]
    อาจารย์ ประยูร อุลุชาฏะ (พลูหลวง)

    อ.พลูหลวง ได้ละสังขารทิ้งร่างไปเมื่อวันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2543 แต่ได้ฝากผลงานโดยเฉพาะการทำนายความเป็นไปของบ้านเมืองได้อย่างแม่นยำ ยิ่งกว่าตาเห็น ซึ่งผู้เขียนขอสรุปโดยย่อให้ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นหลังได้รับรู้ จดจำ และมีความภูมิใจในโหราศาสตร์ไทยตามแนว วิทยาศาสตร์ของอาจารย์ไว้ดังนี้

    ประเทศสยามถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นประเทศไทยเมื่อ 24 มิถุนายน 2482 ประกาศเวลา 09.00 น. เมื่อผูกดวงกาลชาตาก็จะมีลัคนาอยู่ที่ราศีกรกฎ อาจารย์ได้วิจารณ์ไว้ว่า...

    "คำว่าสยามหรือเสียมเป็นคำที่สำคัญที่สุด เพราะมาควบคู่กับความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรทุกยุคทุกสมัย การเปลี่ยนชื่อประเทศซึ่งเท่ากับการทำลายเอกลักษณ์ของชาติ เป็นการฉีกประวัติศาสตร์โดยสิ้นเชิง"

    อ.พลูหลวงได้พยากรณ์ดวงชาตาการเปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นไทยไว้ จะเห็นว่าอาจารย์ได้แบ่งออกเป็น 10 ยุคในรอบร้อยปี โดยแต่ละยุคมีอายุ 10 ปี นับแต่มีการเปลี่ยนชื่อประเทศ

    1. ยุคกาลี ตรงกับช่วง พ.ศ.2482-2492
    2. มิตรมาเยือน ตรงกับช่วง พ.ศ.2492-2502
    3. เฉือนดินแดน ตรงกับช่วง พ.ศ.2502-2512
    4. แสนแค้นกลางเขาควาย ตรงกับช่วง พ.ศ.2512-2522
    5. ลายเสือครองเมือง ตรงกับช่วง พ.ศ.2522-2532
    6. ฟูเฟื่องชาวสังคม ตรงกับช่วง พ.ศ.2532-2542
    7. ชมบุญทรราชย์ ตรงกับช่วง พ.ศ.2542-2552
    8. ชาติวิปโยค ตรงกับช่วง พ.ศ.2552-2562
    9. โรคคลาย ตรงกับช่วง พ.ศ.2562-2572
    10. หายกังวล ตรงกับช่วง พ.ศ.2572-2582

    ที่มา http://www.oknation.net/blog/mataharee/2008/01/09/entry-1

    หมายเหตุ

    ผมไม่ได้มีเจตนาจะไปว่าใครเป็นทรราชย์นะครับ เพียงแต่นำเสนอข้อมูลที่ท่าน อ.พลูหลวง ได้เคยทำนายอนาคตประเทศไทยเอาไว้เท่านั้น ส่วน อ.พลูหลวงจะแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเองว่าควรจะเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เพราะการแสดงความคิดเห็นก็มีทั้งที่เห็นด้วยและ ไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดาครับ<!-- google_ad_section_end -->

    แต่สิ่งที่ผมต้องการจะเน้นย้ำความสำคัญ ก็คือคำทำนายที่ว่า ชาติวิปโยค ตรงกับช่วง พ.ศ.2552-2562 ซึ่งก็มาตรงกับคำทำนายที่ผู้ตั้งกระทู้นี้ ได้นำเสนอคำทำนายของโหรท่านหนึ่งในจังหวัดนครปฐม และมาตรงกับคำทำนายในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ด้วย

    ถ้าปี พ.ศ.2560 เป็นปีที่สิ้นสุดเหตุการณ์ 7 ปีกลียุค ซึ่งเป็น 7 ปี แห่งความทุกข์ยากของมวลมนุษยชาติทั้งโลกจริงดังคำทำนายแล้ว กว่าจะมีการฟื้นตัวของธรรมชาติ กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารต่างๆอีกครั้ง อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลา 1-2 ปี(โดยได้รับความช่วยเหลือในการฟื้นฟูจากมนุษย์ต่างดาว)

    ดังนั้นช่วงเวลา พ.ศ.2552-2562 ที่ อ.พลูหลวงได้ทำนายเอาไว้ว่าประเทศไทย(รวมถึงประเทศต่างๆทั่วโลก) จะต้องประสบกับความวิปโยคนั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่เกินไปจากความเป็นจริงเลยครับ -เกษม-<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Premsuda (May) [​IMG]
    ชาวมายันคำนวนว่า 22 ธันวาคม 2012 เป็นวันสุดท้ายของปฏิทินและเป็นวันสุดท้ายของโลก เมย์ขอถามความเห็นของพี่เกษมว่า ตกลงมันจะเกิดภัยพิบัติช่วงไหนอ่ะคะ ระหว่างปี 2012 หรือ ค.ศ.2011-2017
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    คือว่าเราไปตั้งโจทย์ผิดกันมาตั้งแต่ต้นครับ โดยไปคิดว่าภัยพิบัติจะมาตูมเดียวครั้งเดียว แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปโดยทันทีทันใด เสร็จสิ้นกระบวนการชำระโลกนั้นไปเลย ซึ่งความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น กระบวนการชำระโลกต้องใช้เวลาต่อเนื่องกันไปหลายปี

    โดยจะมีภัยพิบัติรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเท่าทวีคูณตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 เรื่อยไปจนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2560 ซึ่งจะเป็นปีสุดท้าย ที่จะมีการตัดสินใจใช้ระเบิดนิวเคลียร์โจมตีกัน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้โลกมืด 7 วัน 7 คืน แล้วกระบวนการยับยั้งระเบิดนิวเคลียร์ของมนุษย์ต่างดาว ด้วยวิธีการทำให้โลกหยุดหมุน 1 วินาที ก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างทันทีทันใดในช่วงเวลานั้นเองครับ

    ผมอยากจะให้น้องเมย์ลองกลับไปพิจารณาเหตุการณ์ในช่วง 7 ปีกลียุค ที่ผมได้นำมาโพสต์เอาไว้ให้ดีอีกครั้งนะครับ ในช่วง 7 ปีนั้นจะบอกรายละเอียดของภัยพิบัติต่างๆ ที่มนุษย์โลกจะต้องพบเจออะไรบ้าง เช่น สงคราม โรคระบาด ลูกไฟอุกกาบาตตกลงมาจากท้องฟ้า แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระบิด ลูกเห็บยักษ์ก้อนละ 50 กิโลกรัม ฯลฯ ซึ่งต้องกินเวลายาวนานถึง 7 ปี

    การที่ชาวเผ่ามายาได้เขียนปฏิทินไว้แค่วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ.2012 ผมคิดว่าเป็นเพราะเขามองเห็นอนาคตว่า อารยธรรมของมนุษย์จะสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น เหมือนกับที่นอสตราดามุสมองเห็นว่า อารยธรรมของมนุษย์จะสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1999 แต่อนาคตเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ผมขอยกตัวอย่าง อ.มงคล กฤชทายาวุธ เคยบอกไว้ว่าท่านนั่งสมาธิมองเห็นเหตุการณ์ในอนาคต รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่พออีกสองสามวันท่านลองนั่งสมาธิดูใหม่ ปรากฎว่าเหตุการณ์ที่ท่านมองเห็นในครั้งแรก กลับถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเสียแล้ว

    ผมถึงบอกว่าการที่เราอยากจะรู้เหตุการณ์ในอนาคตนั้น ต้องยึดถือเอาพุทธทำนายของพระพุทธเจ้าเอาไว้เป็นหลักครับ เพราะมีแต่ญาณทัศนะของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะมองเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างถูกต้องแม่นยำไม่มีคำว่าผิดพลาดครับ แต่ที่เรามองว่าคำทำนายของพระพุทธเจ้าผิดพลาดนั้น เพราะเราไปนับปีพุทธศักราชคลาดเคลื่อนเองต่างหาก จึงทำให้ตีความหมายของพุทธทำนายผิดไปครับ<!-- google_ad_section_end --> -เกษม-
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระพุทธพจน์ทำนาย

    คณะธรรมทูตผู้ไปอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุและพระศรีมหาโพธิ์ที่ประเทศอินเดียเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายจากศิลาจารึก เขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน แปลได้ดังนี้

    สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาแก่สัตว์โลก ซึ่งเกิดมาล้วนแต่ลำบากยิ่งนัก ในคราวที่พระองค์ไกล้ถึงพระชนมายุย่างเข้าพระปรินิพานตามกาลเวลา จึงตรัสแก่พระอานนท์ผู้ศิษย์อันสนิทพากเพียรพยาบาลว่า

    " ดูกรอานนท์ สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดมาล้วนแต่ลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติที่หมุนเวียนของโลกโลกหมุนไป ใกล้ความแตกทำลายจนถึงสมัยที่อาตมานิพพานไปแล้วได้ ๕,๐๐๐ ปี

    เมื่อโลกไปไกล้กึ่งจำนวนที่อาตมาทำนายไว้ (๒,๕๐๐ ปี)มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทิศเสียครึ่งหนึ่ง ในระยะ ๓๐ ปี สิ่งที่ศาสนิกชนไม่เคยพบเห็น ยักษ์หิน ถูกสาปให้หลับก็กลับคื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งหนัก เมื่อใกล้กึ่งศาสนาของอาตมา ก็ทวีภัยใหญ่ขึ้นทุกทิพาราตรี และมนุษย์นอกศาสนาก็จะมารบราฆ่าฟัน กันถึงเลือดนองแผ่นดินและแผ่นน้ำ แม้ในอากาศก็มี อำนาจภัยจากฟ้าทุกทิศานุทิศ ไฟจะลุกลามเผาผลาญมนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายกันย่อยยับเหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินแผ่นน้ำจะเดือดเป็นไฟ และตายกันไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรา ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกัน ตามวิสัยของยักษ์ร้ายนอกศาสนา ซึ่งกำเนิดมจากสัตว์ป่าอำมหิต

    ส่วนศาสนิกชนผู้ขวนขวายในทางบุญ ตามเดิมวัจนะของอาตมา ก็จะสามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดที่เคารพสักการะพระศรีมหาโพธิ์และกาสาวพัสตร์ จะได้รับวิบัติเบาบางลง แต่จะหนีธรรมชาติไม่พ้น

    เริ่มแต่ศาสนาอาตมาล่วงมาได้ ๒,๔๘๕ ปี เป็นต้นไป ไฟจะลุกมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ คนบ้านจะเข้าป่า สัตว์ป่าจะเข้ากรุง เมืองหลวงจะร้อนเป็นไฟ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำสงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง ปราชญ์เปรื่องจะสิ้นสูญ ราชตระกูลอำมาตย์

    ราษฎรทุกคนจะพากันถืออำนาจไม่เป็นธรรม ไม่เคารพหลักธรรม โดยปรวนแปรนิยมเชื่อถือถ้วยคำของคนโกง คนกล่าวคำเท็จ คนประจบสอพลอย่อมได้รับการเชื่อถือในท่ามกลางสังคมสันนิบาต ผู้ดีมีศีลธรรมประพฤติชอบไม่มีเสียง (อธรรมพูดจ้อ แต่ธรรมเป็นใบ้) จะเกิดการจลาจลวุ่นวาย ลูกจะพลัดแม่ แม่จะพลัดจากลูก โคกจะเป็นน้ำ ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะเข้าไพร เทวดาจะเรียกแมลงบี้เหล็กโกฏิหนึ่ง ผีเสื้อเหล็กแสนหนึ่ง มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๐๗ (ปีมะโรง) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน ล่วงได้ ๒๕๐๘ (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล ล่วงได้ ๒๕๑๒(ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ บุคคลเจริญด้วยเมตตา กรุณา ไม่เบียดเบียนข่มเหงอิจฉาพยาบาทและไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม และยึดถือคาถาของอาตมาจะพ้นภัยพิบัติ ให้เจริญภาวนาดังนี้

    " หิตะชิราทัน มันกะโลอังคะ ศิลากะละสา สาสะสะติ โหตะถิ โหคะหะคะเน "

    ให้ท่องบ่นภาวนาเป็นนิจ ให้จดอักษรใส่กระดาษหรือผ้าขาวปิดไว้หน้าบ้าน หัวนอน หรือพันศรีษะไว้ สารพัดภัยพินาศ สันติประสิทธิ์ ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์โลกเป็นล้นพ้นที่มีอายุขัยอยู่ได้ใกล้ยุคกึ่งยุคลลาย

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๑๒ (ปีจอ) พระจันทร์จะเริ่มเปล่งแสงฉายโลก ครั้นล่วงได้ ๒๕๑๕ (ปีชวด) นับพ้นระยะปี ๓๐ ปี พวกอธรรม คือพวกที่ไม่ตั้งอยู่ในศีลในสัตย์ ไร้ซึ่งศีลธรรมนั้นจะหมดสิ้นไปเพราะพวกมิจฉาทิฐิจะดับสูญไปจากโลก อธรรมแพ้ในที่สุด ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนที่จรจะกลับเข้ากรุงบำรุงธรรม ธรรมจะชนะ พระจะอยู่บ้านเมืองต่อไป การงานของมนุษย์จะสำเร็จด้วยอริยศาสตร์ซึ่งไม่ต้องเบียดเบียนแรงผู้ใด ทุกคนจะสมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและชีวิตผาสุก มหากษัตริย์ธรรมิกราชผู้เป็นพระโพธิสัตว์ องค์หนึ่งจะเกิดภายในความอุปภัมถ์ของพระมหาเถระโพธิสัตว์ทั้งสององค์นั้น จะจัดการบำรุงศาสนาของอาตมาในระยะนี้เป็น "ยุคศิวิไล" พระมหาเถระโพธิสัตว์ จะเกิดในสมัย ของอาตมาล่วงมาแล้ว ๒๔๕๔ ปี

    เมื่อล่วงได้ ๒๔๖๗ ถึง ๒๔๘๖ พระมหากษัตริย์ธรรมิกราชจะมาเกิด ทั้งสองพระองค์นั้นสถิตอยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ ระหว่างปีจอปีกุน เมื่อศักราช ๒๕๑๓ กับ ๒๕๑๔ ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์นั้นจะเสด็จเข้าบำรุงศาสนาให้เที่ยงแท้สมณชีพราหมณ์จะเสด็จมา ๘๔,๐๐๐ รูป

    ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์ เวลานั้นพลโลกยังเหลือน้อยเต็มที คำทำนายของอาตมานี้ยังให้สัตว์ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วเชื่อ หรือไม่เชื่อ ไม่บอกเล่าให้ผู้ใดรู้กันต่อ ๆ ไปนับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ต่างสิ้นสุดกันตามกาลเวลา ผู้ใดปรารถนาจะได้เห็นหรือทันมีบุญ ให้รักษาศีลห้าประการหนึ่งยำเกรงบิดา มารดา รู้จักบุญคุณท่านผู้มีคุณหนึ่งให้เจริญภาวนาในพรหมไตรสภาพหนึ่ง คาถาว่าดังนี้

    " พุทธิทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นโมสัพพราชา ขัตติโย อิติปารมิตา ตึสา อิติ สัพพัญญุมาคตา อิติ โพธิ มนุปปัตโต อิติปิโส จ เต นโม "

    รู้แล้วอย่าประมาท ให้ท่องบ่นภาวนารักษาศีล

    ที่มา http://www.4floor.com/nextcom/sawasdee3/2000/book1-2.html

    <TABLE class=tborder id=post1295356 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_1295356 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ตอนที่ ๖
    บรรยายโดย อาจารย์เจ้านางฯ ปี ๒๕๔๙

    [​IMG]

    ดินแดนที่ตำนานพระเจ้าเลียบโลกกล่าวถึงอันเป็นที่ตั้งของแหล่งวัฒนธรรมต่างๆ

    เรามาเล่าถึงในผูกที่ ๑๐ ที่พระพุทธองค์ทรงที่พุทธพยากรณ์กับพระอินทร์ ที่พระอินทร์ถามว่าในศาสนาของพระองค์ ใน ๕,๐๐๐ ปีจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราก็ได้เล่ามาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงที่พระพุทธองค์ได้สรุปว่าภัยทั้ง ๑๐ ประการ จะเกิดขึ้นในท่ามกลางกึ่งกลาง ๕,๐๐๐ พรรษา ภัยทั้ง ๑๐ ประการนั้นได้แก่

    1. ราชภัย ท้าวพระยาจะบังคับเบียดเบียนพลเมือง
    2. โจรภัย จะบังเกิดโจรผู้ร้ายปล้นสะดมทั่วไป
    3. อัคคีภัย ไฟจะไหม้บ้านเมืองไม่ขาดสาย
    4. อสุนีบาต ฟ้าจะผ่าสัตว์และคนล้มตายบ่อย ๆ
    5. เมทนีภัย แผ่นดินจะไหวสะท้านและแยกออกจากกัน
    6. วาตภัย จะเกิดลมพายุพัดพาบ้านเมืองพินาศ
    7. อุทกภัย น้ำท่วมบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นา
    8. ทุพภิกขภัย จะเกิดข้าวยากหมากแพงและอดอาหาร
    9. พยาธิภัย จะเกิดโรคระบาดคนและสัตว์ล้มตาย
    10. สัตถภัย จะรบราฆ่าฟันกันล้มตายร้ายแรง

    ดูรา มหาราช (พระอินทร์) นักบวชทั้งหลายไม่ตั้งอยู่ในวินัยธรรมคำสั่งสอน ของตถาคตใจบาปหยาบช้า เป็นจำนวนมาก ๑๐๐ รูป ๑,๐๐๐ รูป จะมีที่ชอบธรรมอยู่สัก ๑-๒ รูป ลางที ไม่มีเลยแม้แต่รูปเดียว แม้ท้าวพระยาเสนาอำมาตย์ตลอดถึงประชาชนหญิงชายทั้งหลาย ก็ไม่ประกอบไปด้วยธรรมเป็นจำนวนมาก ๑,๐๐๐ คน จะมีชอบธรรมสัก ๑-๒ คน พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าลางบ้านลางเมืองไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว เหตุว่ามีบาปธรรมอันหนาแน่นยิ่งนัก เทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหลายก็จะบันดาลให้เป็นโรคระบาดพินาศ ทั้งสัตว์และคนก็จะถึงแก่ความตายเป็นจำนวนมาก ประการหนึ่ง

    ยักษ์และเทวดาทั้งหลายจะบันดาลให้หัวใจนักบวชทั้งหลายให้ต่ำช้า ให้มีความโกรธความขึ้งคียด ดูถูกดูแคลนซึ่งกันและกัน องค์ที่มีอายุน้อยก็จะเหยียบย่ำองค์ที่มีอายุมากกว่า องค์ที่มีอายุก็ไม่รักไม่เกรงองค์ที่มีอายุต่ำกว่า ลูกศิษย์ก็ไม่เคารพรักอุปัชฌายาจารย์ อุปัชฌายาจารย์ก็ไม่รักไม่เกรงลูกศิษย์ ใคร่จะสั่งสอนก็ไม่ได้ เท่าแต่จะสะสมบาปเป็นนิรันดร์ เขาทั้งหลายก็จะประสบภัยเหล่านั้น แม้ท้าวพระยามหากษัตริย์เสนาอำมาตย์และทั้งหลาย รวมถึงคนขาย อันเทวดาและยักษ์หากมาบันดาลหัวใจ เขาก็ไม่ยอมอ่อนน้อม ไม่รักไม่ยำเกรงกัน ต่างคนต่างก็จะว่า ตัวเองมีบุญสมภารมาก มีเดช มียศ มีบริวารกล้าหาญมาก มีความฉลาด มากและมีกำลังมาก พระยาเมืองน้อยก็จะดูถูกพระยาเมืองใหญ่ พระยาเมืองใหญ่ก็จะดูถูกพระยาเมืองน้อยลูกน้องไม่เคารพนับถือนาย ลูกชายหญิงไม่รักไม่ยำเกรงพ่อแม่

    อันนี้ก็จะขอสรุปสักเล็กน้อยว่าพุทธองค์ทรงมีพุทธทำนายว่าคนขาดศีลธรรม ดังนั้นจะบันดาลให้ยักษ์ คนธรร นาค ครุฑ ทั้งหลายมาราวีเบียดเบียนคนและสัตว์ เช่นทำให้เกิดโรคระบาดบ้าง นอกจากนี้แล้วเมื่ออีกภูมิหนึ่งมาเกี่ยวพันทำให้หัวใจนักบวชต่ำช้า และไม่เคารพกัน คนที่อยู่ด้วยกันไม่ยำเกรงกัน ผู้น้อยผู้หนุ่มไม่รักไม่ยำเกรงผู้แก่ผู้เฒ่า ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่จะเบียดเบียนไพร่ฟ้าข้าไทย โทษมีน้อยจะปรับไหมหลาย โทษบ่ควรตายก็จะฆ่า จะบีบบังคับเอาข้าวของ เงินทองให้ถึงความพินาศฉิบหาย จะได้เป็นทาสเป็นข้าของท่านผู้อื่น จะมีเป็นจำนวนมากประการหนึ่ง เทวดาจะมาบันดาลให้ผู้น้อยผิดใจกับผู้ใหญ่ คือแข่งกันใหญ่ มันเป็นความเสื่อมของกุศลจิต

    เรือนเหนือผิดใจกับเรือนใต้ พ่อแม่พี่น้องมิตรสหาย ก็จะทะเลาะวิวาทกัน หากว่าทะเลาะวิวาทผิดเถียงกันด้วยเรื่องการฆ่าสัตว์การลักทรัพย์ การเล่นชู้ การแย่งชิงเอาทรัพย์สินของไร่นาคามเขต หรือแม้สมบัติสิ่งใดก็ดี ท้าวพระยาเสนาอำมาตย์ก็จะพิจารณาคดีความไม่ชอบธรรม ย่อมจะตัดสินความด้วยฉันทาคติ โทสะคติ โมหะคติ หาอุบายกินของจ้างคือสินซุกสินบน ควรชนะก็ตัดสินให้แพ้ ควรแพ้ก็ตัดสินให้ชนะ บาปกรรมทั้งหลายร้ายแรงยิ่ง ก็จะบันดาลให้วิวาทฟ้องร้องกัน เลยเกิดเป็นโกลาหล จะเกิดศึกใหญ่รบราฆ่าฟันกันตายเป็นอันมาก

    เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดในระหว่างกึ่งกลาง ๕,๐๐๐ พรรษา ประการหนึ่ง คนจะตายเพราะเสือกัด เงือกกัด จะตายเพราะตะขาบแมงป่อง คือตายด้วยพิษสัตว์ทั้งหลาย ลางคนเดินอยู่ดี ๆ ก็จะล้มตายจะนั่งตาย นอนตาย ยืนตาย ตายด้วยภัยทั้งหลายต่าง ๆ ในเวลานั้น (สมัยกึ่งพุทธกาล) แดดร้อน ฝนฟ้าจะตกก็ไม่ปกติ เดี๋ยวตกเดี๋ยวไม่ตก ฟ้าก็ร้องไม่ตามปกติ จะผ่าคนและสัตว์ให้ถึงแก่ความตาย แม้น้ำก็ร้ายจักบังเกิดแก่คนและสัตว์ทั้งหลายต่างๆ คนทั้งหลายจะถึงแก่พินาศฉิบหายเป็นอันมาก บ้านก็จะว่างเรือนก็จะเปล่า

    แม้นทำไร่ทำนาก็ไม่ได้ผล จะแห้งแล้งตายเพราะแดดกล้า พืชทั้งหลายเป็นต้นว่า ตัวหนอนก็จะลงมากินข้าวในนาหนูก็จะเบียดเบียน เมล็ดข้าวก็จะลีบ ควรจะได้ ๑๐๐ สัด จะได้สัก ๑๐ สัดหรือได้ครึ่งหนึ่งลงมา หากทำนาไม่มากก็จะไม่ได้อะไรเลย ทุกขเวทนาทั้งหลายจะบังเกิดแก่คนทั้งหลายในยามนั่นแล ดูรา มหาราช คนและสัตว์ทั้งหลายที่ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ และต้องพินาศตายไปเช่นนั้นมิใช่ว่าจะเป็นไปทั่วบ้านทั่วเมืองหาได้ไม่ ลางแห่งจะอยู่ดีมีสุข ลางแห่งจะเป็นทุกข์เป็นภัยมาก คือที่ดีก็มีมากที่ร้ายก็ร้ายมาก ภัยที่กล่าวมาแล้วจะปรากฎขึ้นในประเทศแดนใด ประเทศแดนนั้นจะฉิบหายพินาศ คน ๒ - ๓ เมืองจะรวมกันได้ ๑ เมือง บ้าน ๒ - ๓ บ้านจะรวมกันเป็น ๑ บ้าน เพื่อแบ่งกันกินแบ่งกันใช้

    ภัยเหล่านี้จะบังเกิดมีในกลางพรรษาพันที่ ๓ ของ ๕,๐๐๐ พรรษา (ได้แก่ พุทธศักราช ๒,๕๐๐ เป็นต้นไป)

    ดูรา มหาราช ในกาลตอนนั้นศาสนาตถาคตจะหม่นหมองไปเป็นอันมาก ดูรา มหาราช ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย จงดูแลศาสนาของตถาคตอย่าได้ประมาท จงสั่งให้เทวบุตรองค์ที่ชอบธรรมลงมาเกิดใน ๑,๐๐๐ พรรษานี้เพื่อมาอุ้มชูยกย่องพระพุทธศาสนาใน ๕,๐๐๐ พรรษานี้ให้เจริญ รุ่งเรืองต่อไปเถิด

    หลังจากที่สมเด็จอินทราธิราชทรงสดับพุทธพยากรณ์ อภิวาทกราบไหว้พระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ แล้วก็เสด็จคืนสู่ชั้นฟ้า ต่อมาก็ได้เสด็จมายังสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์และได้พบฤษีองค์หนึ่งในดินแดนแห่งโยนกนครที่สถิตอยู่บนภูเขา แล้วก็เล่าความให้ฟัง แล้วขอให้พระฤษีอย่าได้ประมาณ ช่วยเล็งดูกาลเวลาว่าจะมีภัยที่จะเกิดขึ้นแก่โลกเมื่อศาสนาล่วงไปได้ ๒,๐๐๐ ปีแล้ว แล้วก็พืชพันธุ์ทั้งหลายที่อยู่ในสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จ พืชพันธุ์ทั้งหลาย เครือเขา เถาวัลย์หญ้าต้นไม้ทั้งหลายที่มีในพื้นดินก็จะมาปิดบังสถานที่อันเป็นมงคล และจะเปิดมีดอกมีผล

    เพื่อให้บุคคลทั้งหลายได้ประจักษ์เมื่อพระอินทร์ได้ส่งเทพบุตร เทวดาทั้งหลายมาบูรณะซ่อมแซม และขอให้พระฤษีได้มีนิมิตช่วยกันปลูกดอกไม้ ปลูกเถาวัลย์ปลูกหญ้า เป็นการแสดงบอกเหตุเภทภัย พอเริ่มมีภัยให้ปิดดินแดนแห่งความเป็นมงคลนี้ที่จะบังเกิดมีต่อไปภายหน้า คือนัดแนะกับฤษีว่า เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อผู้น้อยผู้ใหญ่ไม่ปฏิบัติตามธรรม มีใจเป็นบาป ไม่มีความละอาย ยุยงส่งเสริมให้เกิดเป็นศึกเป็นโจรฆ่าฟันล้มตาย โกหก หลอกลวงไม่มีศีลไม่มีสัตย์ สร้างข่าวลือหรือหลอกลวงกันว่าตนนั้นเป็นคนดีมีศีลธรรม เป็นพญาธรรมิกราช หลอกลวงว่าเป็นคนที่จะมาช่วยบำรุงศาสนาอะไรต่าง ๆ ให้ปิด (สถานที่) ไว้อย่าให้เปิด เมื่อพระอินทร์ส่งคนลงมาเกิดแล้ว ก็ขอให้สถานที่นี้เปิด เพื่อให้บุคคลเหล่านี้มาซ่อมแซมพุทธศาสนาในกึ่งพุทธกาลนี้ให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อถึง ๕,๐๐๐ ปี

    ข้าแต่ท่านฤษี เมื่อไรก็ตามเมื่อคนสวมหมวกหลุบหน้า คือมีความหมายว่าเริ่มมีอะไรปิดๆบังๆ ลูบหน้าปะจมูก ทำอะไรก็ไม่จริงไม่จัง ศาสนาเริ่มเสื่อมลง เมื่อนั้นอันตราย เช่น นักปราญช์หรือบันฑิตไม่ทราบทางแห่งความสงบ หรือทางบุญ เริ่มมีอันตรายร้ายมาจากทางอากาศ พ่อค้าหากินกับพวกโจร ข้าราชการไม่รู้สิ่งที่ชอบที่ควร หรือตัดสินความไม่เที่ยงธรรม อันนี้ที่จริงแล้วเป็นภาษาเมืองหมด เช่น “ฝูงเป็นขุนบ่อรู้ตกแต่ง” อันนี้หมายความว่า เป็นข้าราชการแต่ไม่รู้สิ่งที่ชอบที่ควร หรือตัดสินความไม่เที่ยงธรรม “เอาม้าสี่แจ่งแปลงถง” เอาผ้าเช็ดหน้าแทนย่าม “ฝนตกลงบ่ใช่เมื่อ” ฝนตกลงในกาลที่ไม่ควรตก

    “ฝูงไม่เบือครองธรรม” คือคนปัญญาอ่อนทั้งหลายไม่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งธรรม หรือในรสแห่งธรรมที่จะเกิดจากภาษาลึกซึ้ง หรือเบื่อในรสแห่งวรรณคดี หรือว่าพอไปทำบุญแล้วก็ขับรถเลยเถิดไปเล่นการพนันต่อ “คนบ่ยังนักบวช” คือไม่เคารพยำเกรงนักบวช “คนพาลรวดเป็นอาจารย์” คือนับถือคนพาลเป็นอาจารย์ ผิดโบราณแต่งไว้ ผู้ร้ายเกิดเป็นดี หญิงอายุสิบปีมีชู้ “ผู้รู้คนบ่นับ” คือไม่นับถือคนมีความรู้ความฉลาด “คนมักขับฝูงชีหนีจากที่” ขับไล่พระให้สึกหรือให้หนีออกจากวาส “สายฟ้าเป็นทุง” คือฟ้าแลบยาวเหมือนทุงหรือธงแผ่นผ้าที่แขวนไว้บนค้างสูง คือฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลแต่ว่ามีฟ้าแลบฟ้าร้อง

    “นักปราชญ์โบ้ยรู้พลาง” เป็นนักปราชญ์บันฑิตแต่กลับโกหกหลอกลวง “คนเทียวทางยกโทษ” หาโทษแก่คนเดินทางหรือหาเรื่องใส่อคันตุกะ พระเณรไม่เคารพนับถือ คือภิกษุสงฆ์โกหกหลอกลวง หลอกให้คนทั้งหลายทำบุญเพื่อลาภยศ เก็บสะสมเอาไว้เป็นของตนเอง คนชาวบ้านพยายามยึดครองบ้านเมือง ขุนนางเรืองไถ่เอาข้า คือข้าราชการหาเรื่องเบียดเบียนปรับไหมชาวบ้าน หาเรื่องไถ่เอามาเป็นบริวารหรือทาสของตัว อันนี้คือพระอินทร์กำลังเล่าให้ฤษีฟังว่าหากเกิดแบบนี้ คือคนไม่นับถือผู้เฒ่าผู้แก่ พระถือหมวกให้เด็กวัด คือหมายความว่าไม่มีนิ้วก้อยหัวแม่มือแล้ว

    “หาบก้าหาเงิน” คือพระเณรแสวงหาเงินด้วยการค้าขาย หรืออยู่ในลักษณะการค้าขายแลกเปลี่ยนกัน เช่นว่าให้ลูกศิษย์คนนี้ขายที่ดินให้ลูกศิษย์คนนี้ แล้วพระก็กินค่านายหน้า เริ่มแสดงว่าศาสนาเริ่มหมองมัวแล้ว แล้วก็มีเหตุที่จะบอกว่าต้นข้าวลีบ แผ่นดินร้อนเป็นไฟ “เสียงอึงมี่บนอากาศ” คือเรียกว่าขวานฟ้าจักฟาดลงมาแผ่นดินหนาไหวหวั่น มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น คนจะพูดแต่เรื่องของตัวเอง คิดหาทางหนีจากที่ตัวเองเคยอยู่ เอาตัวรอด “เจดีย์หวู่เป็นควัน” “แผ่นดินยักและแยก” “สายฟ้าจักแถกคนตาย” คือทั้งฟ้าผ่า แผ่นดินไหวแยกออกมา

    พุทธองค์ทรงตรัสให้พระอินทร์ส่งเทพบุตรเทวดาลงมา เพื่อร่วมกับชาวเขาชาวป่าที่ให้ละเลิกมิจฉาทิฐิ มาช่วยกันรักษาศีลฟังเทศน์เจริญภาวนา อุปถากพระรัตนตรัย สร้างกุฏิวิหาร ดังนั้นพระอินทร์จึงได้มาสั่งฤษีไว้ว่าตอนนี้ให้ปิดสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จทุกที่ก่อน เมื่อใดก็ตามหากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นพระอินทร์จะส่งคนลงมา ส่งเทพบุตรเทวดาทั้งหลายมาช่วยซ่อมกุฏิวิหารทั้งหลาย บูรณะปฏิสังขรใหม่เพื่อให้ภัยทั้งหลายเหล่านี้หมดไป พระอินทร์ได้บอกอย่างนี้ในผูกที่ ๑๐ ในตอนท้าย แล้วก็จะทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองยั่งยืนนาน เจริญสืบต่อจนเป็นอันที่ ปริโยสาร แห่งพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ พรรษา

    อันนี้ก็เป็นอันว่าพุทธตำนานผูกที่ ๑๐ ก็จบลง เพราะเมื่อพระอินทราได้ตรัสกับฤษีแล้ว ก็บอกให้พระฤษี ไปรออยู่ที่ยอดเขาคำหลวงในเมืองหริภุญชัยนคร เพื่อที่จะรอเปิด รอที่พระองค์จะส่งเทพบุตรเทวดาในสมัยกึ่งพุทธกาล และให้ฤษีเทวดามาช่วยดลบันดาลให้ทั้งหมดในการสืบพระศาสนาถึง ๕,๐๐๐ ปีที่พระพุทธองค์ทรงฝากไว้ให้สำเร็จทุกประการ
    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("1295356")</SCRIPT></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา http://www.agalico.com/board/showpost.php?p=64988&postcount=6<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พ.ศ. ที่เราใช้ปัจจุบัน มันคลาดเคลื่อนจริงเหรอ แล้ว พ.ศ.จริงๆคือเท่าไร ?

    ตารางเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ที่จะแสดงต่อไปนี้ อ้างอิงข้อมูลพื้นฐานจากเว็บไซต์ www.buddhanet.net พุทธศาสนิกชนทั่วไปโดยเฉพาะในประเทศไทยเข้าใจกันว่า พระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ระหว่าง 623-543 B.C.E. และพุทธศักราช ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะเร็วกว่าคริสต์ศักราช 543 ปี กล่าวคือ พุทธศักราช 2550 จะตรงกับ คริสต์ศักราช 2007 แต่ในความเป็นจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ระหว่าง 565-485 B.C.E. ซึ่งหากนับ พ.ศ. ตามนี้แล้วจะตรงกับ พ.ศ.2492 ไม่ใช่ พ.ศ.2550 ต่างกันอยู่ 58 ปี กล่าวคือ พ.ศ.ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันเร็วกว่าความเป็นจริงประมาณ 58 ปี​

    ความคลาดเคลื่อนนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพุทธศักราชที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ประเทศศรีลังกาเป็นผู้จัดทำขึ้นในช่วงประมาณ 1000 ปีหลังพุทธกาล โดยนำข้อมูลจากระยะเวลาการครองราชย์ของกษัตริย์ลังกาแต่ละพระองค์นับแต่ครั้งพุทธกาล ซึ่งมีบันทึกไว้ในคัมภีร์ลังกาวงศ์และคัมภีร์มหาวงศ์ (คัมภีร์บันทึกเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของลังกาและพระพุทธศาสนา) มารวมกันกำหนดเป็นพุทธศักราชขึ้นและพม่ากับไทยก็นำมาใช้

    แต่ข้อมูลจากคัมภีร์ลังกาวงศ์และคัมภีร์มหาวงศ์มีความคลาดเคลื่อนอยู่ประมาณ 58 ปี เนื่องจากในช่วงหนึ่งลังกาถูกพวกทมิฬจากอินเดียยกทัพบุกไปยึดเป็นเมืองขึ้นและเกิดสงครามกลางเมือง ผลของสงครามทำให้การบันทึกข้อมูลการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์ลังกาในช่วงนั้นมีความคลาดเคลื่อนไป เราสามารถตรวจสอบเวลาที่คลาดเคลื่อนนี้ได้จากหลักฐาน 2 ประการคือ 1) การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าอโศกมหาราชกับพุทธปรินิพพานห่างกัน 218 ปี ซึ่งมีกล่าวไว้ในคัมภีร์บาลี เช่น สมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัย และคัมภีร์กถาวัตถุในพระอภิธรรมปิฎก เป็นต้น 2) เวลาที่พระเจ้าอโศกขึ้นครองราชย์คือ 267 ปีก่อนคริสต์ศักราช

    สรุปได้ตัวเลขว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานเมื่อ 485 (218+267 = 485) ก่อนคริสต์ศักราช เพราะฉะนั้นคริสต์ศักราช 2007 จึงตรงกับพุทธศักราช 2492 (2007+485) เพื่อป้องกันความสับสน ตารางแสดงเหตุการณ์นี้จึงใช้คริสต์ศักราชและจะวงเล็บพุทธศักราชไว้ข้างท้ายเหตุการณ์สำคัญๆ

    บางเหตุการณ์ที่จะกล่าวในตารางต่อไปนี้อาจจะระบุปี พ.ศ. แตกต่างกับบทอื่นๆ บ้างเล็กน้อยทั้งนี้เพราะแหล่งอ้างอิงต่างกัน เหตุที่ไม่ใช้แหล่งอ้างอิงเดียวกันเพราะไม่อาจจะหาตำราหรือแหล่งข้อมูลที่กล่าวถึงทุกเหตุการณ์ได้ครบสมบูรณ์ในเล่มเดียวกันได้ การศึกษาประวัติศาสตร์จึงมุ่งให้นักศึกษาทราบระยะเวลาของเหตุการณ์ต่างๆ ในลักษณะกว้างๆ เพราะบางกรณีไม่อาจจะระบุเวลาได้ชัดเจน และมุ่งหวังให้นักศึกษาได้บทเรียนจากประวัติศาสตร์มากกว่าการจดจำวันเวลาที่เกิดขึ้นของแต่ละเหตุการณ์ในอดีต

    ดาวโหลดตารางได้ที่นี่ครับ GB405_ch7.pdf

    ที่มา http://main.dou.us/view_content.php?s_id=340&page=4

    หมายเหตุ

    พ.ศ.ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันเร็วกว่าความเป็นจริงประมาณ 58 ปีนั้น ในความคิดของผมคิดว่าน่าจะเร็วไปประมาณ 48 ปีมากกว่า โดยผมจะถือเอาพุทธทำนายจากศิลาจารึกเป็นหลัก ที่มีบางตอนได้กล่าวไว้ดังนี้

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๐๗ (ปีมะโรง) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน

    ล่วงได้ ๒๕๐๘ (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล

    ล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ

    ในปีนี้เป็นปี พ.ศ.2552 (ปีฉลู) ถ้าเรานับตามความเป็นจริง คือลดจำนวนปีลงมา 48 ปี ก็จะเป็นปี พ.ศ.2504 (ปีฉลู) เมื่อนำมาเทียบกับปี พ.ศ.ในพุทธทำนายก็จะได้ปีนักษัตร ที่ตรงกับปีนักษัตรในพุทธทำนายพอดี

    เช่นในพุทธทำนายได้กล่าวเอาไว้ว่า ปี พ.ศ.2512 (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด 7 วัน 7 คืน เมื่อเราเอาปี พ.ศ.2560 มาลดจำนวนปีลง 48 ปี ก็จะได้เป็นปี พ.ศ.2512 ซึ่งตรงกับปีระกาในพุทธทำนายอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
     
  14. Wonder Girls

    Wonder Girls สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +15
    พี่เกษม B.C.E. แปลว่าอะไรคะ ^_^
     
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    การนับปีแบบสากล

    BCE (Before the Common Era) หมายถึงก่อนศักราชปัจจุบัน ก่อน คริสต์ศักราช หรือก่อนปีแห่งพระคริสต์หรือพระผู้เป็นเจ้า

    BE (Buddhist Era) หมายถึงพุทธศักราช

    BP (Before Present) เป็นการนับปีจากปัจจุบัน หรือที่มักจะใช้กันว่า "ปีมาแล้ว" มักจะพบในการกำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์โดยการหาคาร์บอน 14 และกำหนดให้ปีปัจจุบันคือปี ค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าที่จะมีการทดลองระเบิดปรมาณูอย่างมากมายทั่วโลกจนทำให้ค่ากัมมันตรังสีของคาร์บอน 14 ได้รับผลกระทบ

    BC (Before Christ) คือปีก่อนคริสตกาล หรือก่อนการประสูติของพระเยซูคริสต์

    AD (Anno Domini) AD มาจากคำภาษาละตินว่า Anno Domini แปลว่าในปีแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเรา (In the year of (Our) Lord) หมายถึง คริสต์ศักราช

    CE (Common Era หรือ Current Era หรือ Christian Era) หมายถึงศักราชปัจจุบัน หรือศักราชแห่งพระคริสต์

    ศักราช

    หน่วยนับของกาลเวลานอกจากวันซึ่งแบ่งเป็น ชั่วโมง นาที วินาที แล้วการแบ่งเป็น ๑๒ เดือน ใน ๑ ปี ก็ถือเอาการโคจรของกลุ่มดาวฤกษ์(ตามจักรราศี) มาเป็นตัวกำหนด และเมื่อมนุษย์มีความต้องการจะทำกิจกรรมหรือนับเวลาต่อเนื่องยาวนานกว่าปี เพื่อสามารถใช้ร่วมกัน ในการนับช่วงเวลาที่เกิดมาแล้วนานๆ หรือนัดหมายล่วงหน้านานๆ โดยกำหนดเป็นศักราชจาก เหตุการณ์สำคัญทางศาสนา หรือเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ ที่มักเรียกว่ารัชศักราช

    ศักราชจากเหตุการณ์สำคัญทางศาสนา

    พุทธศักราช : เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ ปรินิพพาน พระเจ้าอชาติศัตรูและบรมมหากัสสปเถระ กำหนดขึ้น โดยนับพุทธศักราช ๑ เมื่อดับขันธ์ ปรินิพพาน พุทธศักราชเริ่มต้นใช้ในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้ใช้พุทธศักราช เป็นศักราชประจำชาติ แทนที่มหาศักราช จุลศักราช และรัตนโกสินทร์ศกที่ใช้มาก่อนหน้านี้ เนื่องจากพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ และพุทธศักราชมีจำนวนปีมาก ทำให้สามารถสืบเรื่องราวได้ยาวนานกว่า

    การนับเริ่มต้นพุทธศักราชมี ๒ แบบคือ แบบแรกเป็นแบบที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทย การนับจะเริ่มต้นที่ ๐ แล้วนับพุทธศักราช ๑ เมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานได้ ๑ ปี แบบที่สองเริ่มนับพุทธศักราช ๑ ทันทีที่พระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพาน เช่น ในประเทศพม่า ลังกา กัมพูชา จึงทำให้พุทธศักราชในประเทศไทยช้ากว่าประเทศดังกล่าว ๑ ปี และการเปรียบเทียบกับศักราชอื่นก็ผิดไป ๑ ปีด้วย เช่น การเทียบเป็นคริสต์ศักราช ของไทยใช้ ๕๔๓ ลบ แต่ในประเทศเหล่านั้นใช้ ๕๔๔ ลบ

    คริสตศักราช : ตั้งขึ้นโดย สันตปาปาเซนต์ปอลที่ ๑ มอบหมายให้ ไดโอนิซัส เอซิกุอัส คำนวณวันประสูติของพระเยซุ ได้ตรากับวันที่ ๒๕ ธันวาคม โรมันศักราช ๗ ๕๓ แต่จากธรรมเนียมการนับวันที่ ๑ มกราคม เป็นวันเริ่มต้นปี ดังนั้นวันที่ ๑ มกราคม โรมันศักราช ๗๕๔ จึงเป็นวันเริ่มต้นปีคริสตศักราชที่ ๑ คริสตศักราชเริ่มต้นใช้ตั้งแต่สันตะปาปาเซนต์ปอลที่ ๑ ตั้งหลังปี คศ. ๕๐๐ และเผยแพร่ไปทั่วโลกจาการสำรวจดินแดน และการล่าอาณานิคม

    ฮิจเราะห์ศักราช : ศักราชของศาสนาอิสลาม เริ่มต้นเมื่อพระมะหะหมัด ศาสดาของศาสนาอิสลามได้อพยพจากเมกกะไปเมืองเมดินะ ในคศ.๖๒๒ (วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พศ. ๑๑๖๕) ฮิจเราะห์ศักราชเคร่งครัดในจันทรคติมาก ไม่มีการเพิ่มอธิกมาส จึงเดินไม่ทันกับปฏิทินสุริยคติ และเดือนก็คลาดเคลื่อนไปจากฤดูกาล แต่จะกลับมาตรงฤดูกาลอีกครั้งในรอบ ๓๒ ปีครึ่ง ฮิลเราะห์ศักราชในปัจจุบันแตกต่างจากพุทธศักราช ๑๑๒๓ ปี

    ศักราชเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ หรือรัชศักราช

    รัชศักราชในอินเดีย มหาศักราชเป็นรัชศักราชที่สำคัญที่สุดของอินเดีย มหาศักราชเริ่มต้นจากปีครองราชย์ของพระเจ้ากนิษกะใน พศ. ๖๒๑ เป็นที่นิยมใช้ทั่วไปในอินเดีย และแพร่เข้ามาในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยใช้มาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย นอกจากมหาศักราชแล้ว ยังมีรัชศักราชอื่นๆในอินเดียอีกมากมาย แต่นิยมใช้เฉพาะบางช่วงเวลาและบางพื้นที่ ตัวอย่างเช่น วิกรมศักราช สักกะศักราช หรรษศักราช ฯลฯ

    รัชศักราชในพม่า จุลศักราชเป็นรัชศักราชที่สำคัญของพม่า จุลศักราชนับปีครองราชย์ของพระเจ้าสุริยวิกรมแห่งอาณาจักรพยูหรือปยู เริ่มในปี ๑๑๘๑ แล้วแพร่หลายไปยังดินแดนใกล้เคียง ในประเทศไทยเริ่มตั้งแต่สุโขทัย ถึงอยุธยา

    รัชศักราชแบบจีน ในเอกสารจีนพบว่ามีการบันทึก วัน เดือน ปี ไว้ครบถ้วน ที่สำคัญที่สุดคือปี จีนไม่ใช้ศักราชทางศาสนา แต่จะใช้รัชศักราชแทนเพราะถือว่ากษัตริย์เป็นโอรสแห่งสวรรค์ จีนถือเอาปีที่ขึ้นครองราชย์เป็นปีเริ่มต้นรัชศักราช ส่วนชื่อเรียกรัชศักราชเป็นมงคลนามที่ตั้งขึ้นเมื่อครองราชย์ ไม่ใช่พระนามเดิมของกษัตริย์ เช่น รัชศกหงหวู่เริ่มต้นขึ้นในปีที่จักรพรรดิจีนพระนามว่า ไท่จู่ ขึ้นครองราชย์

    รัชศักราชแบบญี่ปุ่น รัชศักราชยุคปัจจุบันเป็นการนับเริ่มต้นจากปีที่พระจักรพรรดิขึ้นครองราชย์ โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ ๘ กันยายน ค.ศ.๑๘๖๘ เป็นสมัยเมจิ จนถึงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ค.ศ.๑๙๒๖ เริ่มต้นสมัยไทโช วันที่ ๒๕ ธันวาคม ค.ศ.๑๙๒๖ เริ่มต้นสมัยโชวะ และวันที่ ๘ มกราคม ค.ศ. ๑๙๘๙ เริ่มต้นสมัยเฮ็นไซ ตัวอย่างเช่น ปีไทโชที่ ๓ ตรงกับ ค.ศ. ๑๙๑๔ ปีโชวะที่ ๓ ตรงกับปี ค.ศ. ๑๙๒๘ ปี เป็นต้น

    รัตนโกสินทรศก เริ่มนับตั้งแต่กรุงเทพเป็นราชธานีหรือเริ่มต้นราชวงศ์จักรี นับเริ่มต้นในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ คนไทยใช้รัตนโกสินทรศกแทนจุลศักราชเริ่มต้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๒ หรือ ร.ศ. ๑๐๘ เป็นต้นมา จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๕ เมื่อเริ่มใช้พุทธศักราช

    ที่มา http://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=532
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2009
  16. Wonder Girls

    Wonder Girls สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +15
    ขอบคุณจ้าพี่เกษม
     
  17. panseak

    panseak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +30
    วันนี้ผมไปดูย้อนหลังเรื่องจริงผ่านจอมาครับ เรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติที่มีตอนหนึ่งได้พูดว่าบอสตราดามุสได้ทำนายเอาไว้ว่าหลังจากค.ศ.1960(ไม่แน่ใจครับจำไม่ได้เดาเอา)เมื่อเกิดสุริยุปราคาครบ12ครั้งโลกจะเกิดภัยพิบัติขึ้น แล้วเค้าก็บอกข้อมูลทางดาราศาสตร์ว่าครั้งสุดท้ายที่เป็นครั้งที่12ตามที่นอสตราดามุสทำนายเอาไว้ก็คือปี2012 แล้วในวันที่ 6 ส.ค.นี้เรื่องจริงผ่านจอจะรวบรวมข้อมูลมาให้ได้ชมกันครับ
     
  18. JiNaNiE

    JiNaNiE Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +49
    เห็นมีเรื่องตัวเลขมาเกี่ยวข้องพอดีไปเจอข้อความนี้

    เรื่องเลข 666 อ่านแล้วแบบว่าโอโฮ้เฮะ

    "แล้วผลไม้ต้องห้ามนั้น น่าจะเป็นอะไรกันแน่?
    ผมคิดว่าผลไม้นั้นน่าจะเป็นคำเปรียบเปรยมากกว่า สิ่งที่เป็นผลไม้ต้องห้ามที่แท้จริงน่าจะเป็นแหล่งบันทึกความรู้ของยะโฮวาห์ มาถึงตรงนี้ผมขอนอกเรื่องสักหน่อยเป็นไรครับ ว่าด้วยผลไม้ต้องห้ามนี่แหละ ทุกคนรู้จักกันในนามของ Apple - ลูกแอปเปิลถูกไหมครับ และในไบเบิล สิ่งที่ทรงพลานุภาพจนพระเจ้าต้องหวั่นพระทัยมีอยู่สองประการ หนึ่งคือผลไม้แห่งความรู้-แอปเปิล และอีกหนึ่งก็คือสัตว์ร้ายที่จะเข้าครอบงำโลกในช่วงปี 2000 สัตว์ร้ายที่มีเลขประจำกายเป็น 666 อำนาจมหัศจรรย์ประการใดครับที่ทำให้ข้อความในไบเบิลเป็นจริงขึ้นมาในยุคปัจจุบัน?


    เริ่มจากสัตว์ร้ายหมายเลข 666 มันจะกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางสายตาที่ชื่นชมในความสำเร็จของมัน ชั่วไม่นาน เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้จะมีบริวารไปทั้งโลก ประชาชนต้องตกอยู่ในอำนาจของมัน ผู้ที่แข็งข้อมิยอมอยู่ในอาณัติจะอยู่ในสังคมอย่างลำบาก ทำไม่ได้แม้แต่จะซื้อ-ขายของเพื่อประทังชีวิต ตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา มีคนตีความหมายของเลข 666 นี้กันอย่างหัวร้างข้างแตก แต่ก็สรุปไม่ได้ว่ามันคืออะไร จนเมื่อไม่นานนี้แหละครับ ที่ผู้เชี่ยวชาญบางคน เอาปัจจัยหลายอย่างมาประกอบกันเข้า จึงถึงบางอ้อว่า แท้ที่จริงแล้ว สัตว์ร้าย-งูร้าย-ซาตาน แล้วแต่ท่านจะเรียกขานนั้น ตัวตนจริงๆของมันคืออะไร
    คำทำนายมหัศจรรย์
    Apple and Number 666



    ...และมันยังได้บังคับคนทั้งปวง ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย คนรวยคนจน ทั้งนายและบ่าว ให้ได้รับเครื่องหมายไว้ที่มือขวา หรือที่หน้าผากของเขา เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำการซื้อขายได้ นอกจากผู้ที่มีเครื่องหมายนั้น ซึ่งเป็นชื่อของสัตว์ร้ายนั้น หรือเลขชื่อของมัน เรื่องนี้จงใช้สติปัญญาตรึกตรองให้ดี ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจ ก็จะสามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของมันได้ เพราะว่าเป็นเลขของบุคคลผู้หนึ่ง เลขของมันคือ 666"ประโยคนี้ได้ถูกระบุเอาไว้ในไบเบิล ซึ่งทำนายว่าด้วยช่วงเวลาก่อนถึงวาระสุดท้ายของโลก จะมีสัตว์ร้ายสองตัวปรากฏขึ้น ซึ่งตัวที่สองก็คือเจ้าสัตว์ร้ายที่มีเลขประจำตัวเป็น 666 นี่แหละครับ ท่านผู้อ่านครับ ตามปกติผมไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องโชคชะตา หรือ การทำนายทายทักเลย แต่จากประโยคนี้ของไบเบิล ก็ได้ทำให้ผมอึ้งไปเหมือนกัน เพราะมันมาพ้องกับความจริงที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเราในต้นศตวรรษที่ 21 อย่างที่สุด และเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องราวของผลไม้แห่งความรู้ ซึ่งเราได้พูดถึงกันไปแล้วในก่อนหน้านี้


    อะไรคือมารร้ายหมายเลข 666? เหตุใดพระเจ้าจึงเตือนนักเตือนหนาเกี่ยวกับอันตรายและพิษสงของมารร้ายตนนี้ ไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญหรือไม่ก็ตาม จากความพยายามควานหาต้นตอของหมายเลข 666 มานับร้อยนับพันปี ในที่สุด ในยุคปัจจุบัน เมื่อวิทยาการของเราเจริญก้าวหน้าขึ้น เมื่อเวลาที่เคยระบุไว้ในไบเบิลมาถึง (ตรงนี้ผมอยากเลี่ยงคำว่าปาฏิหารย์ออกไป แต่ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นที่ดีกว่านี้) เจ้าสัตว์ร้ายหมายเลข 666 ก็เผยโฉมแล้ว และอยู่ตรงหน้าทุกท่านที่กำลังอ่านอยู่เสียด้วย


    หลังจากค้นหากันมานานนมอย่างวุ่นวาย ในที่สุดก็มีคนฉุกใจคิดว่า สัตว์ร้ายหรือมารร้าย 666 นี้ น่าจะหมายถึงอะไรบางอย่าง ที่สามารถครอบคลุมและเข้าถึง รวมทั้งมีอิทธิพลกับมนุษย์ในช่วงปี 2000 (ตามที่ระบุไว้ในไบเบิล) อย่างมากมาย ซึ่งเจ้าสิ่งที่ว่าคงต้องยกให้สมองกลคนเก่ง ที่เราคุ้นเคยกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน COMPUTER ไงครับ พิสูจน์กันง่ายๆ ลองเรียงอักษรคำว่า COMPUTER จากบนลงล่างตามวิธีการเรียงอักษรโบราณ พร้อมกำกับลำดับพยัญชนะ เช่น A=1, B=2 ไปเรื่อยๆจนถึง Z=26 จากนั้นเอาลำดับทุกตัวมาคูณด้วย 6 แล้วรวมผลลัพธ์ออกมา เห็นมั๊ยล่ะครับ จากตัวอย่างข้างล่าง มันได้ 666 พอดิบพอดี


    C = 3 x 6 ===> 18
    O = 15 x 6 ===> 90
    M = 13 x 6 ===> 78

    P = 16 x 6 ===> 96

    U = 21 x 6 ===> 126

    T = 20 x 6 ===> 120

    E = 5 x 6 ===> 30

    R = 18 x 6 ==> 108

    COMPUTER => 666



    บังเอิญหรือครับ งั้นลองอีกที ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ที่เชื่อกันว่ามีประสิทธิภาพที่สุดในโลก เป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโลโลยีจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจร่วมกันผลิตขึ้น ตั้งอยู่ในสำนักงานใหญ่ขององค์กรตลาดร่วมยุโรป มันมีชื่อเสียโก้เก๋ซึ่งตั้งให้จากผู้สร้างมันว่า Mark of Beast หรือเครื่องหมายแห่งสัตว์ร้าย ... ตรงตามไบเบิลเป๊ะๆ คุณๆลองเอาวิธีคำนวณแบบเดิมมาใช้กับ Mark of Beast สิครับ เหลือเชื่อกระมัง ผลของมันคือเลข 666!!!

    เป็นอันว่าเลขเจ้ากรรมนี้ต้องเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับคอมพิวเตอร์อย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งข้อความที่ว่า มันครอบคลุมมีอิทธิพลกับพลโลกเกือบทั้งหมดนี้


    เราต้องยอมรับกันใช่ไหมครับว่าเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนเรื่องที่ว่ามันมีอิทธิพลถึงขนาดผู้ไม่ยอมศิโรราบให้มัน จะทำไม่ได้แม้แต่การซื้อขายสินค้า อันนี้ก็ยิ่งตรงประเด็นใหญ่ ในยุคที่ E-commerce มีบทบาทมากเช่นนี้ เชื่อว่าต่อไปในอนาคต การซื้อขายก็จะยิ่งผ่านเครือข่ายอิเล็คทรอนิคส์แทบทั้งหมด แม้แต่การโอนเงินผ่านบัญชีในธนาคารก็ยังต้องทำผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของแต่ละแบงค์ อ้อ แล้วรู้ไหมครับ ว่าโค้ดที่ใช้เป็นรหัสของธนาคารโลกหรือ World Bank นั้นคืออะไร ก็ 666 อีกนั่นแหละครับ ปาฏิหารย์หรือความบังเอิญหนอ สำหรับคำทำนายนี้ของไบเบิล?


    นี่ไงครับ สิ่งแรกที่พระเจ้าได้เตือนเราเอาไว้ว่าอย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าเราตีความตัวตนของสัตว์ร้าย 666 นี้ออก เรื่องของผลไม้ต้องห้ามก็ยิ่งง่ายใหญ่ หรือในทางกลับกัน หากมองความหมายของผลไม้ต้องห้ามออกแต่แรก เราแทบจะไม่ต้องมานั่งคำนวณเลยว่า สัตว์ร้าย 666 นั้นคืออะไร มาถึงตรงนี้ทุกท่านก็คงจะอ๋อแล้วนะครับ ว่าแอปเปิลผลไม้ต้องห้ามนั้นคืออะไร ครับ... คอมพิวเตอร์อีกนั่นแหละ ลองนึกทบทวนดูดีๆนะครับ ว่าคำๆนี้ คำว่าแอปเปิลมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการคอมพิวเตอร์อย่างไร นักเลงคอมพิวเตอร์ทั้งหลายย่อมซึมซาบว่า เจ้าผลไม้ลูกนี้มันหมายถึงอะไร และมีอิทธิพลมากขนาดไหนในวงการคอมพิวเตอร์ นี่คือผลไม้แห่งความรู้และสัตว์ร้าย666 สองสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวที่พระเจ้าไม่อยากให้มนุษย์แตะต้องมัน เหตุผลน่ะหรือครับ? ไม่บอกก็คงรู้กันนี่นา...


    ความบังเอิญข้อสุดท้าย ไบเบิลนั้นเรารู้ๆกันอยู่ว่า เป็นคัมภีร์ที่รจนาโดยชนชาติฮีบรูว์หรืออิสราเอลในปัจจุบัน ในไบเบิลระบุเวลาเอาไว้อย่างชัดเจนว่า วาระสุดท้ายของโลกจะมาถึงภายในเวลาไม่ช้าไม่นาน หลังจากชนชาวอิสราเอลรวมกันได้เป็นชาติ ครับก็ปลายศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่สองมาหมาดๆนี้เอง สิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับชนชาติอิสราเอลนี้ก็คือ รหัสโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศของอิสราเอลคือ 666 ครับท่าน เอาล่ะครับท่านผู้มีเกียรติ พักกายพักใจกันสักครู่ ในตอนต่อไปผมจะพาท่านย้อนกลับไปสู่อดีตกาลอีกครั้ง เพื่อดูว่า ผลที่เกิดขึ้นหลังจากอาดัมและอีฟ กินผลไม้ต้องห้ามเข้าไปนั้นเป็นอย่างไร และพระเจ้าหรือยะโฮวาห์มีเหตุผลกลใด ที่ต้องเจาะจงกีดกันมนุษย์ออกจากผลไม้แห่งความรู้นี้ ติดตามต่อไปนะครับ"

    ที่มา
    UFO กับไบเบิล : ภาคสอง - UFOs & astronomy - Mythland.org :: เรื่องลึกลับ UFOs มนุษย์ต่างดาว พระเจ้าจากอวกาศ อารยธรรมที
     
  19. JiNaNiE

    JiNaNiE Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +49
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    เรียนท่านผู้อ่านทุกท่าน เมื่อกี๊หลังอ่านเรื่องเลข666 แล้ว โทรไปหาเพื่อนชาวคริสต์คนหนึ่งถามมันว่ามันรู้เรื่องเลข 666 ไม๊ มันบอกว่ารู้ตั้งนานแล้วว่าคือคอมพิวเตอร์ อ้าวหน้าแหกเลย แต่มันบอกว่าให้ส่งลิงค์ให้มันหน่อย พอกดส่งปุ๊บมันโทรกลับมาเลย ไอ้เราก็นึกว่ามันจะโทรมาบอกว่าได้รับเมลแล้ว แต่มันเล่าให้ฟังว่ามันอยู่ที่ธนาคารหลังจากได้คุยกันมันก็ไปกดบัตรคิว มันบอกว่าจับได้เลข 66 แล้วมีข้อความต่ออีกว่า มีคนรอ 6 คน โอ้วพระเจ้า มันบอกว่าเดี๋ยวมันจะเอามาให้ดู มันบอกว่าขนลุกซู่เลย นี่ขนาดพิมพ์อยู่ขนยังลุกเลย มันจะอะไรกันหนักหนาเนี่ยจักรวาลดวงเนี๊ย
    พุทโธอรหัง พุทธังรักษา ธัมโมอรหัง ธัมมังรักษา สังโฆอรหัง สังฆังรักษา ภูตผีทั้งหลายคิดร้ายตัวข้า อนัตตาสูญเปล่า
     
  20. Luthiien

    Luthiien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +215
    ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ

    ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...