การเตรียมการอพยพมนุษย์โลก เพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก ของมิตรจากต่างพิภพ และข้อมูลอื่นๆจากสาธารณรัฐเช็ก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 19 มิถุนายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    อ้าว! งั้นเหรอ ผ่านตาเราไปได้ไง
    เราว่า ก็อบปี้ข้อมูลคุณไปทุกช็อตแล้วน๊าไม่น่าหลุด

    ส่วนที่ค้างๆ อยู่ ลองแปลไปกว่าครึ่งแล้ว ฮูย..ยากมากที่จะเรียบเรียง
    ประโยคออกมาก ให้คนอ่านเข้าใจ พออ่านคร่าวๆ เรามีความเข้าใจ
    คือมันเป็นนามธรรมน่ะ คือจิตเข้าใจ พอจะเอาออกมาเป็นภาษาให้อ่าน
    แล้วมัน ย๊าก..ยาก แต่จะพยายามต่อไป

    ...
     
  2. arinrum

    arinrum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +179
    อากาศยานยุคโบราณ

    ...จุดประสงค์การสร้างนาซก้าไลน์จะถูกไขกระจ่าง หากพิสูจน์ได้ว่าคนโบราณเคยใช้เครื่องบิน!!!

    ฟังดูเหลวไหลดีใช่ไหมครับ แต่ก็อย่างที่จั่วหัวเอาไว้ สมมุติฐานเรื่องสนามบินโบราณนาซก้าจะสามารถไขได้กระจ่างหมดโดยไม่ต้องพึ่ง คินดะอิจิยอดนักสืบ หากเราหาร่องรอยของยานอวกาศที่จะมาเชื่อมเข้ากับที่ราบนาซก้าได้

    ปัญหา ก็คือ บริเวณดังกล่าวไม่มีหลักฐานของอากาศยานแม้ซักกระผีกนี่สิครับ แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าบนโลกอันกว้างใหญ่ของเราใบนี้ จะไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับอากาศยานโบราณเอาเสียเลย ดูจากรูปที่ผมนำมาให้ท่านทัศนาดูนะครับ ว่าใช่หรือใกล้เคียงกับเครื่องบินในปัจจุบันหรือไม่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตอนนี้ก็ขออู้เล่าด้วยรูปไปซักแป๊บละกัน



    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (8.94 KB)
    11-6-2009 16:07




    ภาพจากตำนานของชาวสุเมเรี่ยน/บาบิโลเนียน เทพเจ้าพร้อมกับยานของพระองค์​




    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (67.02 KB)
    11-6-2009 16:07





    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (43.96 KB)
    11-6-2009 16:07




    ส่วนภาพเหล่านี้ มาจากส่วนหนึ่งในวิหารอาบิดอสของอียิปต์ ซึ่งดูยังไง๊ยังไงมันก็เหมือนอากาศยานยุคใหม่เอามากๆ




    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (18.93 KB)
    11-6-2009 16:07




    อันนี้เป็นศิลปะเม็กซิกันโบราณ เป็นภาพยานพาหนะของเทพเจ้าครับ​



    โมเดลเครื่องบินโบราณของอียิปต์


    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (11.88 KB)
    11-6-2009 16:07




    แบบจำลอง ของอะไรบางอย่างที่เรียกกันว่าเครื่องร่อน ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ณ กรุงไคโร มันมีความยาวประมาณ 6 นิ้ว และความยาวปีกวัดได้เจ็ดนิ้วเศษ ทำจากไม้ไซคามอร์ที่มีน้ำหนักเบา มันสามารถร่อนได้จริงๆเป็นระยะทางพอสมควร เมื่อเราร่อนมันด้วยมือ เจ้าแบบจำลองนี้พบได้ในอียิปต์และบางส่วนของอเมริกาใต้ครับ

    มันคือความบังเอิญ? มันเป็นเครื่องประดับ? ผมว่าไม่ใช่หรอก เพราะบางชิ้นที่พบในอเมริกาใต้มีลักษณะของเครื่องเจ็ทปีกสามเหลี่ยมอย่าง ชัดเจน โมเดลเหล่านี้ถูกค้นพบนานแล้วครับ คือตั้งแต่ปี 1898 แถบซัคคาราของอียิปต์ ประมาณว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นราว 200 ปีก่อน ค.ศ. หรือสองพันกว่าปีมาแล้ว ในช่วงที่ค้นพบมันนั้น เป็นสมัยที่โลกยังไม่รู้จักเครื่องบินเหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นโมเดลดังกล่าวจึงถูกผนึกใส่กล่อง แปะสลากเอาไว้ว่า "เครื่องประดับลักษณะคล้ายนก" แล้วก็เก็บมันไว้ใต้ถุนพิพิธภัณฑ์อย่างไม่มีใครแยแส

    Dr. Khalil Messiha เป็นคนแรกที่นำมันมาศึกษาอีกครั้ง เขาสนใจในรูปทรงของโมเดลเหล่านี้เป็นอย่างมาก Dr. Messiha ทำให้รัฐบาลอียิปต์สนใจกับสิ่งที่เขาพบและจัดคณะทำงานเพื่อศึกษาโมเดลเหล่า นี้เป็นกรณีพิเศษ ผลที่คณะทำงานแถลงออกมาก็คือ โมเดลที่ซัคคาราเป็นแบบจำลองของเครื่องบินอย่างจริงแท้แน่นอน และเมื่อทดลองสร้างเครื่องเล็กๆตามแบบแปลนของโมเดล วิศกรการบินบอกว่า มันบินได้แน่นอนไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะในลักษณะของเครื่องร่อนหรือว่าติดเครื่องยนต์

    ครับ ก็เก็บเป็นการบ้านให้คิดกันเล่นๆละกัน ว่าเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา ในสมัยที่ประวัติศาสตร์บอกกับเราว่ามนุษย์ยังไม่รู้จักพื้นฐานของแอร์โรว์ได นามิค แต่ดันมีโมเดลของเครื่องบินที่สร้างตามแบบของวิศวกรรมการแบบเด๊ะๆ มันมาจากไหน ชาวอียิปต์โบราณรู้จักมันได้อย่างไร สุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาที่ขบไม่แตกไปอีกข้อล่ะครับ


    --------------------------------------------------------------​




    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (10.04 KB)
    11-6-2009 16:07




    อากาศยานแห่งพระเจ้าของชาวภารตะ

    ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มหาอาณาจักรเก่าแก่ในดินแดนแถบลุ่มน้ำสินธุโบราณ ซึ่งเรียกกันว่า ‘Rama Empire’ ได้เจริญรุ่งเรืองแผ่ขยายอำนาจไปทั่วดินแดนซึ่งปัจจุบันคืออินเดียตอนเหนือ และประเทศปากีสถาน ประมาณว่าอาณาจักรนี้มีอายุย้อนหลังไปถึงหนึ่งหมืนห้าพันปี เก่าแก่สูสีกับแอตแลนติสนั่นเลยทีเดียว เพราะในบันทึกของอาณาจักรนี้ มีการกล่าวถึงการทำสงครามกับชนเผ่า Asvin ซึ่งน่าจะหมายถึงชาวแอตแลนติสอยู่ด้วย

    แถมไม่ได้รบกันแบบธรรมดาด้วยนะครับ พวกเขามียานพาหนะที่เรียกกันว่า "วิมานะ" หรือวิมาน ซึ่งจากคำบรรยาย วิมานะมันก็ยานอวกาศเราดีๆนี่เอง เรื่องของวิมานะผมเคยเล่าเมื่อนานมากแล้ว คลิกอ่านรายละเอียดได้ ที่นี่ ครับ เพราะจะไม่เล่าซ้ำแล้ว จะขอสรุปเอาง่ายๆว่า ดินแดนภารตะหรืออินเดียโบราณนั้น ก็มีเรื่องราวหลักฐานของเครื่องบินอยู่ด้วยเหมือนกัน แถมยังมีบันทึกของการใช้อาวุธแบบอะตอมมิคบอมบ์เสียอีกด้วย

    ตบท้ายกันด้วยรูปเครื่องบินโบราณอีกสักชุดก็แล้วกันครับ ดูเสร็จก็ตัวใครตัวมัน.. เอ่อ หมายถึงว่าแยกย้ายกันไปนั่งขบคิดนั่นแหละครับ ว่าสิ่งที่เราเห็นมันบอกอะไรกับเราบ้าง



    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (10.05 KB)
    11-6-2009 16:07




    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (3.76 KB)
    11-6-2009 16:07




    อันนี้พบในอเมริกาใต้ เป็นโมเดลเครื่องบินปีกสามเหลี่ยมทำด้วยทองคำ​





    แล้วสำหรับสองรูปนี้ล่ะครับ เห็นแล้วคิดยังไง?​



    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (16.79 KB)
    11-6-2009 16:07





    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (18.26 KB)
    11-6-2009 16:07
     
  3. arinrum

    arinrum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +179
    กำลืมให้เครดิต mythland.org


    The Ancient Astronaut นักบินอวกาศยุคโบราณ


    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (22.31 KB)
    11-6-2009 16:11




    ผ่านมาก็หลายตอนแล้วนะครับสำหรับโบราณคดีต้องห้ามชุดนี้ แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกยาวขนาดไหนกว่าจะปิดฉากจบชุดลงได้ เพราะข้อมูลที่น่าสนใจยังจ่อคอรออยู่อีกอื้อ แถมชุดที่ยังทำไม่เสร็จอย่างไบเบิ้ล อย่าง Planet X ก็ยังอยู่ (ที่สำคัญคือ Super Robot จะออกอาทิตย์หน้านี้แล้ว จะแบ่งเวลายังไงน้อ..)

    ทบทวน กันหน่อยสำหรับแฟนใหม่ที่เพิ่งแวะเวียนมาเยี่ยม อันว่าความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวและพระเจ้าจากอวกาศนั้น มีมานานนมแล้วครับผม โดยเฉพาะในหมู่ผู้สนใจประวัติศาสตร์และโบราณคดี(รวมผมเข้าไปด้วย)บางกลุ่ม ซึ่งบังเอิญไปเจอหลักฐานที่น่าสงสัยหลายประการที่ชวนให้คิดว่า ในอดีตเคยมีอาคันตุกะจากอวกาศลงมาเยี่ยมเยือนโลกมนุษย์เรา มาแล้วไม่มาเปล่า พวกเขายังได้สอนสั่งศิลปวิทยาการให้กับมนุษย์บนโลกเรา จนมนุษย์โลกสามารถสร้างถาวรวัตถุ อนุสาวรีย์หลายแห่งให้อนุชนรุ่นหลังได้ประจักษ์ด้วยสายตาที่ฉงนฉงายว่า บรพพบุรุษของพวกเราทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร

    ลองย้อนไปดูในอดีตสิครับ มีร่องรอยมากมายที่เกี่ยวโยงอาคันตุกะจากอวกาศกับมนุษย์โลกของเราเข้าไว้ ด้วยกัน เป็นต้นว่ามหาปิระมิดแห่งคีออปส์ สโตนเฮนจ์บนทุ่งซอลส์เบอร์รี่ เทวสถานของชนเผ่ามายา อินคา หรือลายเส้นปริศนาบนที่ราบนาซก้าที่เพิ่งผ่านตาท่านมากันหยกๆ สิ่งเหล่านี้ต้องอาสัยเทคโนโลยีและความรู้ชั้นสูงทั้งสิ้น และจากพื้นเพของชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในถิ่นๆนั้น ดูๆไปหากไม่ได้รับการชี้แนะจากครูที่เก่งกาจสักคน ชนพื้นเมืองเหล่านั้นก็ไม่น่าที่จะสรรค์สร้างสิ่งมหัศจรรย์พวกนี้ขึ้นมาได้

    มีคนเชื่อก็ย่อมมีคนไม่เชื่อ ต่างกันที่คนเชื่อพยายามจะนำเสนอหลักฐานแต่พวกไม่เชื่อเค้าจะด่าเอาว่าบ้า มนุษย์ต่างดาว หรือไม่ก็เอเลี่ยนขึ้นสมอง(นายโซนิคก็เคยโดน แหะ แหะ..) เอาเถอะครับ กาลเวลานั่นแหละจะเป็นฝ่ายพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่าง และปัจจุบันจากการศึกษาลึกลงไปในประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์ ก็นับว่าได้หลักฐานที่น่าเชื่อถือออกมามากมายแล้วว่า ในอดีตเคยมีมนุษย์ต่างดาวลงมาเยือนโลกของเราแล้วจริงๆ และบรรพบุรุษของเราก็คงมีปฏิกิริยาไม่ต่างจากคนป่าในนิวกีนี ที่เห็นนักบินก้าวลงมาจากเครื่องบินเพื่อแจกเวชภัณฑ์ นั่นก็คือทำการสักการะและยกย่องให้เป็นพระเจ้า พระเจ้า(GODS)ที่เป็นนามธรรม มีเลือดเนื้อ มีชีวิต และก็มีทายาทเหมือนมนุษย์เดินดินทุกประการ



    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (6.41 KB)
    11-6-2009 16:11




    ทฤษฎี พระเจ้าจากอวกาศมีมานานเท่าใดไม่ทราบได้ แต่คนที่ทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างและทำให้สาธารณชนหันมารับฟัง เป็นชาวสวิสชื่อ เอริค ฟอน ดานิเก้น หนังสือ Chariots of the Gods ของเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ประเด็นของดานิเก้นมุ่งไปที่ในอดีต เคยมีอาคันตุกะจากต่างดาวลงมาเยือนโลกของเรา ทำตัว(หรืออาจจะถูกยกย่องให้)เป็นพระเจ้าของคนโบราณ แนวคิดของดานิเก้นได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เรียกว่าฮือฮาจนมีการตั้งสมาคมนักบินอวกาศโบราณ (The Ancient Astronaut Society)ขึ้นมาเลยทีเดียวครับ พวกนี้จะมีหลักฐานประกอบความเชื่อคือ สิ่งที่คนโบราณได้ทิ้งเหลือเอาไว้ เป็นต้นว่าภาพเขียนของมนุษย์ถ้ำจากทั่วทุกทวีป ซึ่งมีภาพประหลาดๆที่คล้ายกับมุนษย์อวกาศกระจายอยู่ทั่วไปหมด มีเรื่องอัศจรรย์ใจที่กล่าวขานกันอย่างไม่รู้จบอยู่ก็คือ เมื่อ 30 ปีก่อนตอนที่องการ NASA ของสหรัฐออกแบบชุดนักบินอวกาศและพัฒนาจนมีรูปแบบอย่างที่เห็นกันอยู่ในทุก วันนี้ เป็นการออกแบบโดยคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก แต่เชื่อไหมครับ มันเป็นความบังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่ชุดนักบินอวกาศกลับไปคล้ายคลึงรูปวาด ของมนุษย์ถ้ำในสมัยโบราณเข้า นับไปตั้งแต่หมวก เสื้อผ้า ถุงมือ รองเท้า ใช่ครับมนุษย์โบราณที่แม้แต่เสื้อผ้ายังไม่ค่อยนิยมจะใส่กัน อย่างดีก็ผ้าเตี่ยวขนสัตว์นั่นแหละ รองเท้าเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักกันเลยในสมัยนั้น แล้วจะให้อธิบายได้อย่างไรครับ มนุษย์โบราณจินตนาการภาพพวกนั้นออกได้อย่างไร บังเอิญอย่างนั้นหรือ นายโซนิคว่าไม่น่าจะใช่นา...

    อ่ะ ถ้าสมมุติว่าใช่ล่ะก็ การสัญจรทางบกหรือทางทะเลของมนุษย์โบราณ จำเป็นไหมที่จะต้องแต่งกายเต็มยศแบบเหลือเฟือขนาดนั้น ดูจากภาพที่ผมนำมาก็ได้นะครับ ว่าความคล้ายคลึงของภาพวาดมนุษย์ถ้ำกับชุดนักบินอวกาศ มันมีมากจนเกินกว่ากฏของความบังเอิญเสียด้วยซ้ำอีก
     
  4. arinrum

    arinrum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +179
    นอกจากภาพวาดแล้ว นักโบราณคดียังพบความน่าทึ่งเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณอีกมากมาย ยิ่งมีการศึกษาอารยธรรมของกลุ่มชนที่เจริญผิดยุคในสมัยก่อนมากขึ้นเท่าไหร่ วงการโบราณคดีก็ยิ่งได้ตระหนักถึงความสามารถของมนุษย์สมัยก่อนมากขึ้นเท่า นั้น ใครเล่าจะคาดคิดว่า เมื่อหกพันปีก่อนชาวสุเมเรี่ยนรู้ว่าโลกใบนี้กลมดิกแถใยังรู้ลึกซึ้งเข้าไป อีกว่า ระบบสุริยะของเรามีดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 12 ดวง (พวกเขานับดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์รวมเข้าไปอีก) ถึงอย่างนั้นถ้าไม่นับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ที่ชาวสุเมเรี่ยนรู้จักก็ยังมากกว่าที่ปัจจุบันทราบกันอยู่ 1 ดวง เมื่อหกพันปีก่อนพวกเขารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งใช้กล่องดูดาวตรวจพบเมื่อหลังศตวรรษที่ 18 นี้เท่านั้นเอง

    ชาวโลกปัจจุบันชอบมองบรรพชนของเราว่าป่าเถื่อนล้าหลัง งมงายในไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหาศาล จำได้ไหมครับว่า เมื่อปี 1543 นิโคลัส คอปเปอร์นิคัส เป็นคนแรกที่แย้งว่าโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่ก็ไม่มีใครเชื่อแถมโดนศาสนจักรหมายหัวเอาอีก จนกระทั่งปี 1610 ที่กาลิเลโอสร้างกล้องดูดาวได้สำเร็จนั่นแหละ โลกถึงได้ประจักษ์ความจริงข้อนี้ ทั้งๆที่ชาวสุเมเรียนรู้ก่อนหน้านี้มาหลายพันปี นี่ยังไม่นับชาวอียิปต์ที่รู้ว่าโลกกลมและหมุนรอบดวงอาทิตย์อีกด้วยนะ


    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (5.3 KB)
    11-6-2009 16:17




    Fresco found in the Sahara Dated 6000 BC​


    ปี 1659 คริสเตียน ฮิวเกนส์ ค้นพบว่าดาวเสาร์มีวงแหวนล้อมรอบ ในขณะที่จากรึกแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียนเขียนภาพนี้เอาไว้อย่างชัดเจน เลย ลองมาดูแถบอาฟริกากันดูบ้าง คนป่าผิวดำเผ่าโดกอน ซึ่งอาศัยอยู่แถบละแวกถ้ำเมืองบันเดียการา ห่างจากทิมปักตูไปทางใต้ประมาณสามร้อยกิโลเมตร เป็นคนป่าที่แสนจะยากจนและมีมาตรฐานการดำรงชีวิตต่ำ แต่เชื่อไหมครับว่า พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับด้านดาราศาสตร์อย่างลึกซึ้ง โดยสามารถบอกได้ว่ามีดาวเล็กๆดวงหนึ่งโคจรรอบดาวซิริอุส-เอ ใช้เวลารอบละห้าสิบปี ปัจจุบันเรารู้จักดาวดวงนี้ในนามของดาวซิริอุส-บี ดาวดวงนี้ไม่มีทางจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือกล้องโทรทัศน์ทั่วไป เพราะมันอยู่ห่างไกลไปจากโลกถึง 8.7 ปีแสง และเราเพิ่งถ่ายภาพดาวดวงนี้ได้ในปี 1970 ก็เมื่อเร็วๆนี้นี่เอง แล้วชาวโดกอนเมื่อหลายร้อยปีก่อนทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร?

    ชาวโดกอนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ พวกเขาถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้แบบปากต่อปาก ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษและพูดล่วงหน้าว่า ยังมีดาวเหลืออยู่ในกลุ่มนี้อีกดวงหนึ่งโคจรอยู่ทางมุมขวาของดาวซิริอุส-บี ตอนนั้น นักดาราศาสตร์ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งเมื่อปี 1995 (ไม่กี่ปีนี้อีกนั่นแหละ) ก็เจอดาวดวงที่สามหรือซิริอุส-ซี ตรงตามที่ชาวโดกอนบอกเอาไว้จริงๆ โดยอยู่ห่างไกลจากโลกออกไป 325 ปีแสง (เอา 5,880,000,000,000 คูณเข้าไปนะครับ มีหน่วยเป็นไมล์) ความรู้เกี่ยวกับกลุ่มดาวซิริอุสทั้งหมด ชาวโดกอนเปิดเผยว่าจดจำมาจากพระเจ้าผู้ลงมาจากห้วงอวกาศแห่งระบบดาวซิริอุส ซึ่งมีลักษณะของคนผสมปลา อาศัยอยู่ใต้บาดาลเรียกว่า Nommos

    แม้ในปัจจุบัน พวกเขาก็ยังฉลองกันเพื่อระลึกการมาเยือนของ Nommos ในทุกๆ 60 ปี ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นระยะเวลาที่ดาวแม่ของพระเจ้าของพวกเขาโคจรครบหนึ่งรอบ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ครับ)

    เรื่อง ของมนุษย์มัจฉาผู้ถ่ายทอดวิทยาการให้แก่โลก ยังไปปรากฏอยู่ในตำนานของชนชาติอื่นที่เก่าแก่ เช่น บาบิโลเนีย ว่าทุกเช้าจะขึ้นมาจากน้ำเพื่อสั่งสอนความรู้ให้กับมนุษย์ เช่น กสิกรรม คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ระเบียบของสังคม ก่อนจะกลับลงสู่ทะเลในตอนเย็น ชาวบาบิโลเนียเทิดทูนพวกเขาเสมือนพระเจ้า และเรียกว่า Oannes ซึ่งไปตรงกับภาษาของชาวมายาในคำว่า Oaana อันหมายถึง "คนที่อาศัยอยู่ในน้ำ"



    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (10.92 KB)
    11-6-2009 16:17




    DoGu Statue From Japan​


    ในประเทศญี่ปุ่นนักโบราณคดีขุดพบตุ๊กตาอายุหมื่นกว่าปี เรียกกันตามภาษาญี่ปุ่นว่าโดกุ สวมเสื้อผ้าเหมือนนักบินอวกาศมากแถมยังเกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่อยู่ในน้ำด้วย สิ

    โลกที่เราอาศัยอยู่นี้มีอายุประมาณ 4.5 พันล้านปี แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพิ่งวิวัฒนาการขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 25 ล้านปีก่อน จากซากฟอสซิลที่ขุดพบในอาฟริกา ทำให้เชื่อว่าบรรพบุรุษของตระกูลลิง Ape ได้เกิดขึ้นเมื่อ 13 ล้านปีก่อน และต่อมาอีก 3 ล้านปี จึงได้วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์สายพันธุ์แรกหรือ Homo อย่างแท้จริง

    ขอสรุปวิวัฒนาการของสายพันธุ์มนุษย์แบบย่อๆให้ฟังอีกครั้งหนึ่งนะครับ เมื่อสองล้านปีก่อน มนุษย์ดึกดำบรรพ์พวกแรกที่มีโครงสร้างกระโหลกและกระดูกคล้ายกับมนุษย์ ปัจจุบันมากที่สุดแรกว่า แอดวานซ์ ออสตรัลโลพิทธิคัส เริ่มปรากฏในทวีอาฟริกา และต้องใช้เวลาอีกหลายล้านปีทีเดียว กว่าที่พวกเขาจะวิวัฒน์มาเป็นสายพันธุ์โฮโม อิเร็คตัส มนุษย์พวกแรกที่เริ่มมีภาษาใช้ในการสื่อสาร รู้จักใช้ไฟ และหินเป็นเครื่องมือในการล่าสัตว์ มีมันสมองที่โตขึ้นกว่าเดิมอีก 100 เปอร์เซ็นต์ และอีกเก้าแสนปีต่อมา พวกเขากลายเป็นมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล (เรียกตามแหล่งที่ขุดพบครั้งแรกในประเทศเยอรมัน) มนุษย์พวกนี้จัดเป็นพวกแรกที่น่าจะเป็นวิวัฒนาการสายเดียวกับมนุษย์ปัจจุบัน และเป็นบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์ ที่รู้จักงานศิลปะ เชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์

    วิวัฒนาการทางสมองของมนุษย์เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก บรรพบุรุษของเราทำไมใช้เวลาร่วมๆสองล้านปีพัฒนาตัวเองจากสายพันธุ์แอดวานซ์ ออสตรัลโลพิทธิคัส สู่สายพันธุ์นีแอนเดอร์ธัล โดยใช้เครื่องมือหินที่มีลักษณะไม่ต่างกันเลย แต่แล้วจู่ๆเมื่อประมาณสองแสนสี่หมื่อนกว่าปีก่อน มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อโฮโม เซเปี้ยน ก็ดันปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่รู้รากเหง้า เพราะไม่ได้วิวัฒนาการมาจากมนุษย์ยุคหิน มันวมองใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกครึ่งหนึ่ง รู้จักเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ไม่เดินโทงเทงเปล่าเปลือยเพราะรู้จักใช้หนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม และรู้จักการมีสังคมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน



    mythland.org
     
  5. arinrum

    arinrum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +179
    ทำไมครับ? ทำไม...

    ทำไมมนุษย์ใช้เวลายาวนานร่วมสองล้านปีเพื่อพัฒนาเครื่องมือหินไปสู่วัสดุอื่น แต่ไม่ต้องใช้เวลาเป็นล้านๆปีเพื่อเรียนรู้วิทยาการที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการก่อสร้าง การคำนวณ การดูดาว การเกษตร ฯลฯ เพราะมนุษย์กลับพัฒนาตัวเองได้เร็วเหลือเชื่อ จากเกวียนเทียมวัวอันเชื่องช้า สู่จรวดความเร็วสูง จากบูมเมอแรงสู่ดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบวงโคจรโลก การเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์ถ้ำไปสู่มนุษย์อวกาศทั้งหมดนี้บรรพบุรุษของเราใช้ เวลาเพียง 35,000 ปี ที่มากระจุกตัวกันอยู่ในช่วงหลังนี้เอง

    ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่า มนุษย์เราอาจจะได้รับการถ่ายทอด เปลี่ยนแปลง ทางเทคโนโลยีเฉกเช่นมนุษย์มัจฉาซึ่งมีอารยธรรมสูงกว่า?

    ท่าน ที่ติดตามผลงานของนายโซนิคมานานก็คงพอจะให้คำตอได้นะครับ โดยเฉพาะกับผู้ที่นายโซนิคเป็นสาวกของเขา นั่นก็คือนาย Zecharia Sitchin ซึ่งนับเป็นนักวิชาการหนึ่งในไม่กี่คนของโลกที่สามารถอ่านอักษรลิ่มของภาษา สุเมเรี่ยนได้ เขาใช้เวลากว่าสามสิบปีศึกษาแผ่นจารึกสุเมเรียนร่วมสองพันแผ่น จนค้นพบกุญแจไขปริศนาสู่ดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru หรือ Marduk ในภาษาบาบิโลเนียน โดยสรุปการค้นคว้าของเขาว่า เมื่อครึ่งล้านปีก่อนมนุษย์จากดาวเคราะห์ดวงนี้ได้เดินทางมายังโลก และถ่ายทอดวิทยาการต่างๆให้กับมนุษย์จนมีอารยธรรมเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ชนิดชาวสุเมเรียนเรียกว่า "ของขวัญจากพระเจ้า" รวมทั้งได้แต่งงานกับผู้หญิงสายพันธุ์โฮโม อิเร็คตัส ก่อนแพร่ลูกแตกหลาน จนเป็นมนุษย์โฮโม เซเปียน อย่างทุกวันนี้ อ้อ.. ชาวสุเมเรียนเรียกพระเจ้าของพวกเขาว่า Anunnaki ครับ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ครับ


    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (17.79 KB)
    11-6-2009 16:22




    [ พระเจ้าของชาวมายา ดูดีๆนะครับว่าพระองค์กำลังทำอะไร ขับยานอวกาศ? ]​




    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (14.46 KB)
    11-6-2009 16:22




    [ ภาพวาดก่อนประวัติศาสตร์ในถ้ำแถบคิมเบอร์ลี่ ออสเตรเลีย ชื่อรูปคือวอร์จิน่า เทพเจ้าไร้ปาก เป็นรูปวาดของชนเผ่าที่เก่าแก่กว่าชาวอะบอริจินส์มาก ]


    พระ คัมภีร์ไบเบิลเองก็พูดถึงเรื่องนี้ ว่าบุตรแห่งพระเจ้าได้แต่งงานอยู่กินกับสาวชาวโลก ในภาษาฮิบรูว์เรียกว่า Nefilim ซึ่งมีความหมายตรงกันกับคำว่า Anunnaki อย่างน่าตกใจว่า "ผู้มาเยือนจากเบื้องบน" เมื่อศตวรรษก่อนมนุษย์ยังไม่รู้ว่ามีดาวพลูโต(มารู้จักเอาปี 1930 นี้เอง) และน่าเซอร์ไพรส์มากครับ ปัจจุบันเราได้เค้าลางมาแล้วว่ามีดาวที่มีขนาดใหญ่กว่าโลก 4 เท่า โคจรอยู่ทางท้องฟ้าด้านทิศเหนือ ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส มีชื่อเรียกชั่วคราวว่า Planet X ซึ่งน่าจะปรากฏออกมาให้เราได้ยลโฉมในไม่ช้านี้ หากคำนวณจากวงโคจร



    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (6.98 KB)
    11-6-2009 16:22





    [​IMG] [​IMG]


    แล้วสองรูปนี้ล่ะครับ ภาพโบราณอายุหมื่นกว่าปีที่เขียนถึงพระเจ้าของพวกเขา เห็นแล้วคิดถึงอะไร?


    mythland.org
     
  6. Angel_Internet

    Angel_Internet Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +56
    ในความคิดของแองจี้นะคะ แองจี้ว่าปี 2012 (พ.ศ. 2555) อาจจะยังไม่เกิดอะไรที่รุนแรงก็ได้ค่ะ
    โดยภัยพิบัติล้างโลกน่าจะเกิดในปี 2017 (พ.ศ. 2560) มากกว่าค่ะ
    เพราะพี่เกษมบอกมาว่า พ.ศ ที่เราใช้ปัจจุบันเร็วเกินจริงไป 48 ปี (2552 - 48 = 2504)

    เรื่องนี้มีรายละเอียดมาก โปรดอ่านได้ที่
    http://palungjit.org/threads/อยากถา...จริงๆคือเท่าไร-พี่เกษมช่วยตอบหน่อยค่ะ.198252/

    สรุปสั้นๆ โดยถือเอาพุทธทำนายจากศิลาจารึกเป็นหลัก ที่มีบางตอนได้กล่าวไว้ดังนี้

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้
    - ๒๕๐๗ (ปีมะโรง) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน
    - ล่วงได้ ๒๕๐๘ (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล
    - ล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ

    ในปีนี้เป็นปี พ.ศ. 2552 (ปีฉลู) ถ้าเรานับตามความเป็นจริง คือลดจำนวนปีลงมา 48 ปี ก็จะเป็นปี พ.ศ.2504 (ปีฉลู)
    เมื่อนำมาเทียบกับปี พ.ศ. ในพุทธทำนายก็จะได้ปีนักษัตร ที่ตรงกับปีนักษัตรในพุทธทำนายพอดี

    เช่นในพุทธทำนายได้กล่าวเอาไว้ว่า ปี พ.ศ.2512 (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด 7 วัน 7 คืน เมื่อเราเอาปี พ.ศ.2560
    มาลดจำนวนปีลง 48 ปี ก็จะได้เป็นปี พ.ศ.2512 ซึ่งตรงกับปีระกาในพุทธทำนายอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
    โดยเหตุการณ์จะเริ่มก่อตัวในปี 2012 (พ.ศ. 2555 - 48 = 2507) และไปถึงจุดสิ้นสุดในปี 2017 (พ.ศ. 2560 - 48 = 2512)

    ขอบคุณข้อมูล พี่เกษม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2009
  7. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    05/11/08 กองบัญชาการ Ashtar: ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับรายงานฉบับนั้น

    Posted: under Tags: สื่อสารข้อมูลทางโทรจิตโดยกองบัญชาการ Ashtar ผ่านนาง August stahr
    วันที่ : 5 พฤษจิกายน 2008, หลังวันเลือกตั้งประธานาธิปดีของสหรัฐอเมริกา ตอกย้ำถึงวัตถุประสงค์
    และภารกิจของกองบัญชาการ Ashtar

    สวัสดี August

    ความประสงค์ของท่านที่ต้องการให้เราให้ความกระจ่างเกี่ยวกับรายงานฉบับนั้น เราได้รับทราบแล้ว
    ข้อมูลต่อไปนี้ คือสิ่งที่เรานำเสนอมาให้ท่านนำไปใช้ ข้าพเจ้า Ashtar ผู้บัญชาการแห่ง Solar Star
    เมื่อก่อนเรียกว่า Ashtar Command

    งานที่พวกเราได้ทำมาตลอดและกำลังทำอยู่คือการช่วยนำทางและปรับจิตสำนึกของโลกให้เข้ากันได้กับ
    จิตสำนึกแห่งพระคริสต์ เพื่อปูทางไว้ สำหรับ 13.13.13.Solar New Earth Reality. คนที่พยากรณ์ว่าจะ
    มีการปรากฏตัวของพวกเราบนท้องฟ้าและจะมีการลงจอดบนพื้นโลกนั้นทั้งหมดเป็นเรื่องไม่จริง

    กองบัญชาการแห่งดาวสุริยะ (The Solar Star Command) หรือชื่อเดิมคือกองบัญชาการ Ashtar อยู่ที่นี่
    ในมิติที่สูงกว่ามาตลอด พวกเราสามารถติดต่อกับชาวโลกที่รู้จักพวกเราและค้นหาหนทางที่จะพัฒนาตนเอง
    และจิตใจของตนเองเพื่อให้สามารถรับการสื่อสารจากพวกเราได้เสมอ วัตถุประสงค์ของงานของพวกเรา
    คืองานด้านจิตวิญญาณ และพวกเราจะไม่ยอมเผลอตัวไปทำเรื่องกิ๊กๆ ก็อกๆ แบบนั้นหรอก พวกเราคือ
    กองทัพฝ่ายธรรมะแห่งจักรวาลที่มีระเบียบวินัยเข้มงวดซึ่งท่านจะเห็นการวางตัวของสมาชิกของพวกเรา
    เป็นไปในแนวนี้ด้วย

    พวกเราถูกกำหนด ให้มุ่งความสนใจไปที่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงและการวิวัฒน์ไปในทางที่เป็นบวกและ
    ทางที่เป็นประโยชน์ของมนุษย์ ไม่ใช่ให้มาแสดงให้กลุ่มคนที่เชื่อเรื่อง UFO ได้รับความบันเทิงแต่ประการใด
    สำหรับผู้ที่รูจักวิธีการอ่านสัญลักษณ์ต่างๆ พวกท่านก็จะรู้ว่าผลการการเลือกตั้งประธานาธิปดีของอเมริกานั้น
    คือตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นแล้วในมิติทางจิตวิญญาณ คำว่า “เบื้องบนเป็นเช่นไร
    เบื้องล่างก็เป็นเช่นนั้น” หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนในมิติทางจิตวิญญาณจะสะท้อนออกไปสู่มิติทางกายภาพด้วย

    หากจะกล่าวถึง เรื่องการปรากฏตัวให้มนุษย์โลกเห็นทางกายภาพดังเป็นข่าวอยู่นี้ พวกเรายังไม่มีแผนที่จะทำ
    เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นในตอนนี้หรือในอนาคตอันใกล้นี้ก็ตาม ใครก็ตามที่จะไปปรากฏตัวให้เห็นตามข่าวนั้น จึงไม่ใช่มา
    จากกองบัญชาการ Ashtar อย่างแน่นอน พวกเขาน่าจะเป็นยานอวกาศของกองทัพฝ่ายอธรรมจากเส้นพิกัดเวลา
    เก่าและจากมิติอื่นๆ มากกว่า ซึ่งพวกเขาคงไม่มาสู่เส้นพิกัดเวลาใหม่นี้เพราะมีความประสงค์ดีอย่างแน่นอน
    ทางที่ดีที่สุด คืออย่าไปสนใจ

    หากเมื่อใดที่จิตสำนึกของมนุษย์โลกก้าว มาถึงระดับเดียวกับพวกเรา เมื่อนั้นมนุษย์โลกก็จะได้เห็นพวกเราเอง
    แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลกผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของพวกเรา ก็ยังจะเป็นการติดต่อ
    ผ่านทางโทรจิตอยู่ต่อไป

    ส่วนใครที่คาดหวังไว้อย่างสูงว่า การปรากฏตัวของ UFO ตามที่เป็นข่าวในครั้งนี้ จะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า UFO
    มีอยู่จริงนั้น ลืมไปได้เลย ใช่ เพราะว่ามันได้มีและกำลังมี รูปธรรมชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นๆ มาโดยตลอด
    ตราบกระทั่งบัดนี้ แต่ว่าพวกเขาอยู่ในมิติอื่นๆ และเพราะว่าพวกมนุษย์อย่างท่านเพ่งเล็งควานหาอยู่แต่ในมิติทาง
    กายภาพเท่านั้น

    ดังนั้น มันจึงเป็นไปได้ยากที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยเทคโนโลยีที่พวกท่านมีอยู่ในปัจจุบันนี้ และด้วยภาวะที่ปราศจาก
    ความเข้าใจด้านจิตวิญญาณเกี่ยวกับมิติอื่นๆ ของพวกท่านเอง เมื่อถึงเวลาที่เทคโนโลยีทางกายภาพของพวกท่าน
    และความเข้าใจด้านจิตวิญญาณของพวกท่านตามมาทัน ประเด็นนี้ก็จะไม่มีข้อแก้ตัวอีกต่อไป

    มนุษย์โลกคนไหนก็ตามที่ต้องการทำให้กองบัญชาการแอชต้าเสียชื่อเสียง และใครก็ตามที่ยอมตกเป็นทาสรับใช้ฝ่าย
    อธรรมจงพึงระวังตัวไว้ให้ดี เพราะความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านเป็นและเกี่ยวกับผู้ที่ท่านรับใช้อยู่ จะถูกเปิดเผยสูสาธารณชน และจะนำพาความหายนะมาสู่ตัวท่านเอง ท่านจะถูกพิพากษา และท่านจะได้รับรู้ถึงพลานุภาพแห่ง
    การเปลี่ยนแปลงแก้ไขในชีวิตของท่านเอง

    สำหรับผู้ที่ค้นหาความสงบ ความรักและความเจริญรุ่งเรือง ก็จะได้รับอย่างมากมาย ตามที่เราได้เคยบอกไปแล้วว่า
    “ผู้อ่อนน้อมถ่อมตน จะเป็นผู้สืบทอดโลกใบนี้” ซึ่งประโยคนี้หมายถึงชาวโลกที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าแต่ยังติดอยู่ใน
    บ่วงของแมตริกซ์ ให้รับใช้ซาตานลูซิเฟอร์และสมุนของมันอยู่ จะถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระและให้สามารถสร้าง
    สรรค์ชีวิตในแบบที่พวกเขาสมควรได้รับได้

    ชาวโลกคนใดที่ชอบควบคุมและเปลี่ยนแปลงผู้อื่น จะได้รับผลตอบแทนคือความหายนะ เพราะตอนนี้ดวงวิญญาณ
    แต่ละดวงกำลังถูกพิพากษาโดยกฎศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าใครที่จะต้องตายไปและใครที่
    จะได้อยู่ต่อเพื่อสร้างสรรค์โลกใหม่ต่อไป

    กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 10 ปีนี้ ตามเวลาของโลกมนุษย์ ซึ่งในระหว่างนี้จิตสำนึกของมนุษย์จะ
    ผ่านเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงด้านวิวัฒนาการที่สูงกว่ามาก ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางใหม่ของโลกไปตลอดกาล
    ผู้คนที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือไม่อยากเปลี่ยนแปลงต้องตายจากไปและจิตสำนึกใหม่นี้ก็จะนำพาและสร้าง
    อนาคตใหม่ที่ดีกว่าให้แก่มนุษยชาติ...


    เรา Ashtar ขออวยพรท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2009
  8. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728

    แม้เพิ่งอ่านวันนี้วันแรก แต่กับข้อความนี้ เราเห็นภาพเลือน ๆ แล้ว ขออนุโมทนาจากใจจริง ช่วงเวลาแห่งการปลดปล่อยพวกเรากำลังเริ่มต้นแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2009
  9. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    CHAYUTT, DON'T YOU KNOW THE MEANING OF 'MATRIX'. NOW I'M CLEAR.
     
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    "The Matrix" ในความหมายของเอกสารชุดที่คุณแม่นายมลแปลมานี้
    เขาจะหมายถึงโปรแกรมที่ใช้ควบคุมมนุษย์โลกนี้และที่ดาวอื่นๆ โดยพลังฝ่ายมาร หรือฝ่ายมืดครับ

    พวกนี้จะไม่ยอมปลดปล่อยให้ผู้คนกลับไปยังที่ๆพวกเขาจากมาตั้งแต่ตอนแรกได้ นั่นคือ "แสงสว่าง" หรือผู้อยู่สูงสุด

    เขายังบอกอีกว่า หนังเรื่อง "The Matrix" ทั้ง 3 ภาคนั้น ไม่ได้มาจากจินตนาการ

    "แต่มันมาจากประสบการณ์จริง" ว่างั้นนะครับ

    ถ้าถามผมว่าเข้าใจมากแค่ไหน ก็ตอบได้ว่า "ลางเลือน" ครับ


    ...............
     
  11. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    หนังแมทริกซ์นี่เท่าที่ผมทราบเขาเอาเนื้อหาจากพุทธศาสนามาใช้ไม่ใช่เหรอครับ อย่างคีอานูรีฟที่แสดงเป็นนีโอก็นับถือพุทธ



    คีอานู รีฟ บรรยายธรรมะในทิเบต<!-- google_ad_section_end -->

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start --> <script type="text/javascript"><!-- google_ad_client = "pub-2576485761337625"; /* 300x250, created 21/07/09 */ google_ad_slot = "6922411748"; google_ad_width = 300; google_ad_height = 250; //--> </script> <script type="text/javascript" src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"> </script><script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></script><script src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></script><script>google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</script><ins style="border: medium none ; margin: 0pt; padding: 0pt; display: inline-table; height: 250px; position: relative; visibility: visible; width: 300px;"><ins style="border: medium none ; margin: 0pt; padding: 0pt; display: block; height: 250px; position: relative; visibility: visible; width: 300px;"><iframe allowtransparency="true" hspace="0" id="google_ads_frame1" marginheight="0" marginwidth="0" name="google_ads_frame" src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&dt=1248694508781&lmt=1248694508&output=html&slotname=6922411748&correlator=1248694508781&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff36%2F%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B9-%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%259F-%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2595-133037.html&ref=http%3A%2F%2Fwww.google.co.th%2Fsearch%3Fclient%3Dfirefox-a%26rls%3Dorg.mozilla%253Ath%253Aofficial%26channel%3Ds%26hl%3Dth%26q%3D%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2598%2B%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B9%2B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%259F%26meta%3D%26btnG%3D%25E0%25B8%2584%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A2%2BGoogle&frm=0&ga_vid=221630783.1242725297&ga_sid=1248691822&ga_hid=491780755&ga_fc=true&flash=10.0.22&w=300&h=250&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_tz=420&u_his=3&u_nplug=10&u_nmime=23&dtd=103&xpc=sd3cKNgl0d&p=http%3A//palungjit.org" style="left: 0pt; position: absolute; top: 0pt;" vspace="0" scrolling="no" width="300" frameborder="0" height="250"></iframe></ins></ins>
    ใน เมื่อทิเบตไม่มีพระนักพูดที่ดึงดูดคนอย่างพระพยอม ก็เลยต้องอาศัยคนดังระดับดาราฮอลลีวู้ดมาเรียกความสนใจซะหน่อย จะเป็นใครเสียมิได้ นอกจากดาราหนุ่มที่นับถือศาสนาพุทธ 2 คน อย่าง ริชาร์ด เกียร์ และคีอานู รีฟส์ ....ทั้งสองคนจะสลับกันบรรยายหลักคำสอนที่มีอยู่ 13 ข้อ ....อ้อ ! ต้องบอกก่อนนะว่า สองหนุ่มนี่เค้าบรรยายตามที่เขียนไว้ให้ ไม่ได้สู่รู้แต่ประการใด
    1 Mind and Its Potential
    2 How to Meditate
    3 Presenting the Path
    4 The Spiritual Teacher
    5 Death and Rebirth
    6 All About Karma
    7 Refuge in the Three Jewels
    8 Establishing a Daily Practice
    9 Samsara and Nirvana
    10 How to Develop Bodhicitta
    11 Transforming Problems
    12 Wisdom of Emptiness
    13 Introduction to Tantra

    Section 4 : The Spiritual Teacher


    [​IMG]
    ถ้า คุณอยากเรียนอะไรสักอย่างให้กระจ่าง คุณต้องค้นหา ครูที่เป็นผู้รู้แจ้งในเรื่องนั้น โดยเฉพาะในเรื่องหาวิธีพ้นทุกข์ การอ่านหนังสือเอง อาจไม่สามารถตอบข้อสงสัยทุกข้อของคุณได้ทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำอย่างแรกในตอนนี้ คือการเปิดใจเข้าหาครูของคุณLama Tsongkhapa ที่ คุณจะได้พบต่อไปนี้ ได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้สอนที่อุทิศตัวให้งานและฝึกฝนวิธีการสอนมาอย่างดี เปิดใจเข้าหาท่าน แล้วคุณจะพบสิ่งนั้น

    Section 6 : All About Karma
    [​IMG]


    พวก เราทุกคนล้วนอยากมีความสุข หากเราคิดว่า ชีวิตเราถูกลิขิตมาตั้งแต่แรกเกิด เราก็จะคิดว่า เราไม่สามารถสร้างสิ่งดีๆให้ตัวเราได้ แต่ในศาสนาพุทธ ทุกอย่างไม่เป็นเช่นนั้น พุทธบอกให้เรามองสิ่งที่เกิดบนโลกนี้ในรูปแบบของความจริง (Fact) ที่เรียกว่า กรรม (Karma) ซึ่งขึ้นกับ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ( action body speech and mind) ซึ่งทั้งหมดจะรวมกันเป็น กรรม ที่หมายถึงการรับผิดชอบต่อชีวิตของคุณเอง ในบทนี้ เราจะเล่าเรื่องง่ายๆที่จะทำให้ กรรมของคุณเป็นสิ่งดี เรียนรู้วิธีที่จะสร้างอนาคตที่ดีต่อตัวคุณเอง
    Section 7 : Refuge in the Three Jewels
    [​IMG]
    <table width="100%" border="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><center></center><center></center>เมื่อ เรามีทุกข์ เรามักหาที่พักพิง สิ่งที่เราใช้กันประจำคือ เหล้า เซ็กส์ ยา อำนาจหรือเงินตรา แต่ในที่สุด มันก็ไม่ยั่งยืนจนเราไม่รู้ว่า อะไรคือความสุขที่แท้จริงกันแน่ ในปรัชญาแห่งพุทธ ที่พึ่งที่ดีที่สุด คือ พระรัตนตรัย ซึ่งประกอบไปด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ , พระพุทธ คือองค์พระศาสดา ผู้เปรียบเหมือนนายแพทย์ที่ค้นพบวิธีพ้นทุกข์ พระธรรม คือตัวยาที่จะฆ่าเหตุแห่งทุกข์ออกไปจากเรา และ พระสงฆ์ คือคณะแพทย์ที่รู้ว่าเราเหมาะกับยาใด เรียนรูพระรัตนตรัย จะทำให้เราพบกับความสุขที่ยั่งยืน
    </td></tr></tbody></table>

    งานนี้ คีอานูรับทำฟรี ไม่มีค่าตัว.....ส่วนราคาวีดีโอชุดนี้อยู่ที่ US$108.95


    ที่มา



    http://palungjit.org/threads/คีอานู-รีฟ-บรรยายธรรมะในทิเบต.133037/
     
  12. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
  13. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    ก๊อปมาจาก
     
  14. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    พูดถึงปรัชญาในหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้คิดอะไรไปได้ไกล บางคนก็มักจะมองกันว่าฝรั่งนั้นดีแต่เจริญในวัตถุจิตใจไม่ค่อยเจริญ ศาสนาก็ไม่ค่อยถือกันมาก แต่หนังเรื่องนี้กลับมีแง่มุมที่ลึกซึ้งมากมาย มีปรัชญาทางศาสนาแฝงไว้อย่างแนบเนียน

    แต่เมื่อมองกลับมายังประเทศเรา บ้านเมืองเราที่เราว่าเจริญทางจิตใจกว่าเค้า เคร่งในศาสนากว่าเค้า กลับไม่สามารถทำหนังที่มีเรื่องปรัชญาทางศาสนาแฝงอยู่ได้ดีขนาดนี้ ไม่ค่อยที่จะมีหนังที่แฝงข้อคิดดีๆ ออกมาเท่าไหร่

    ทำให้ก็กลับมาคิดว่า การที่เราจะมองแต่ฝรั่งว่าเจริญทางวัตถุแต่จิตใจต่ำลงนั้น เป็นการยกหางตนเองหรือเปล่า?

    หรืออาจจะเพราะว่าคนที่เข้าใจในเรื่องศาสนา ไม่ค่อยอยู่ในวงการบันเทิงก็ได้ล่ะมั๊ง
     
  15. Charmaar

    Charmaar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +341
    ทุกครั้งที่มาตามอ่านบทแปลของคุณChatyutt ต้องอธิฐานจิตตามไปด้วยทุกครั้ง
    "ขอให้ข้าพเจ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงคุ้มครอง และขอให้ข้าพเจ้าได้ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม ความดี อย่าได้เห็นผิดเป็นชอบหลงงมงายในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลย สิ่งใดเป็นสิ่งดีข้าพเจ้าขอรับเอาไว้ หากสิ่งใดเป็นสิ่งไม่ดีข้าพเข้าขอไม่รับ"

    และการอ่านแต่ละครั้งก็ต้องใช้สมาธิ ไม่งั้นจะไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจเลย แถมต้องคิดวิเคราะห์ไปด้วยตลอด ไม่ได้เป็นแบบนี้นานแล้ว...เหมือนอ่านหนังสือสอบยังไงยังงั้น

    อ่านแรก ๆ ก็เย็นใจ ใจมันสว่างๆ พออ่านไปเรื่อย ๆ ไหงกลายเป็นเครียดละนี้...ไม่เข้าใจเลย
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]



    [​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG]......[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2009
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเองก็มีความคิดที่จะถามทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้อยู่สักระยะหนึ่งแล้วเหมือนกันครับ

    เพราะเพื่อนที่รู้จัก ที่สามารถสัมผัสพลังได้ บอกว่า สัมผัสพลังบางอย่างได้จากกระทู้นี้เหมือนกัน

    และตัวผมเอง ที่พักนี้ถอยออกมาไม่แปลต่อ เพราะว่ากำลังยุ่งเรื่องงานอยู่หนึ่ง และสองคือ
    อยากจะเคลียร์พลังต่างๆเหล่านี้ออกไปจากหัวก่อน เพราะพักนี้ก็มีอาการแย่ลงไปเยอะทีเดียว อย่างเห็นได้ชัด

    พลังที่ผมกล่าวถึงนี้มันมาจากหลายๆแหล่งข้อมูลที่ผมโยงใยไปถึง ไปลากมาลงให้อ่านกันทั้งหลายนี่แหละครับ
    ตอนนี้ หลักๆก็ 3 แหล่งข้อมูล คือของกลุ่มนาย Ivo Benda, อันที่สองจากหนังสือ The Message to Mandkind
    และอันที่สามนี่เป็นของนาง August Stahr

    ผมเองไม่ใช่คนที่สัมผัสพลังได้ละเอียดๆเหมือนคนอื่นๆที่เก่งๆแล้ว แต่ถ้าถึงขนาดว่าปวดหัวตึ๊บๆเลยนี่
    มันก็ต้องสัมผัสได้เป็นธรรมดาแหละครับ

    ผมเองก็เป็นคล้ายๆกับที่คุณ Charmaar ว่ามาหนะแหละครับ คือแรกๆแปลและอ่านของนาย Ivo Benda แล้ว
    ก็ตื่นเต้น และแค่สงสัยว่าสิ่งที่เรายังไม่รู้ หรือว่านี่จะเป็นอีกส่วนหนึ่ง รวมถึงเรื่องพระเจ้าด้วย

    แต่ข้อมูลจากหนังสือ The Message to Mandkind ของโรงเรียนคริสต์อะไรนี่ ก็ทำให้มึนหัวอยู่บ้าง
    เพราะมีทั้งขัดแย้งกัน และก็ตรงกัน ส่วนของเจ้าหลังสุดนี้ ยอมรับว่าแยกไม่ออกเลยว่า พลังเป็นยังไง
    เพราะมันมึนหัวจากสองเจ้าแรกเสียแล้ว

    ใครแยกได้ดีๆ ช่วย เอามาแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านกันบ้างนะครับ

    .........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2009
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    และก็ ช่วง 4 วันนี้ ผมขอลาพักก่อนนะครับ
    จะกลับเมืองไทยวันนี้ตอนเย็น แล้วจะกลับมาใหม่
    วันอาทิตย์ครับ

    ขอคุณพระรัตนไตรคุ้มครอง ปกปักรักษา
    ทั้งตัวผมและผู้อ่านทุกๆท่านด้วยเทอญ

    สาธุ สาธุ สาธุ

    [​IMG]


    ชยุต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. Charmaar

    Charmaar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +341
    โถ่ถัง นึกว่าเกิดอาการเครียดคนเดียวสักอีก

    จะว่าไปแล้วตัวชามาเองเรียนโรงเรียนคริสต์มาตลอด สวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้า พระเยซู แม่พระ มาตั้งแต่เด็กจนโต จึงมีความเชื่อศรัทธาเป็นพื้นดั่งเดิมมาอยู่แล้ว และสามารถผสมผสานคำสอนของแต่ละศาสนาไม่ว่าคริสต์ พุทธ อิสลาม ฮินดู เต๋า หรือหลาย ๆ ศาสนาเข้ากันได้อย่างง่ายดาย ไม่มันยากเกิดความสามารถ และ ไม่เครียดเลย

    แต่นี้ไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ เมื่อคืนถึงกับเวียนหัว นอนไม่หลับที่เดียว ต้องอาศัยสวดมนต์​อาศัยบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมาช่วยห่อหุ้มตัวให้นอนหลับ และบอกกับตัวเองว่าต้องว่างเว้นในการอ่านเรื่องนี้สักพักจะดีกว่า

    ถึงยังไงแล้วถ้าคุณChatyuttมีสิ่งใดจะเผยแพร่ต่อ ก็ยินดีจะรับอ่านรับฟังนะคะ (มันเป็นการฝึกจิตอย่างหนึ่งเลยค่ะ) เอาใจช่วยค่ะ
     
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เรื่องนี้จะจริงหรือจะแปลกสักขนาดไหนก็ยังไม่มีความคิดเห็นที่จะสรุปได้เหมือนกัน
    อ่านไปแล้วก็ยังมองเห็นส่วนดีๆและใช้ได้หลายๆเรื่องครับ ส่วนใครจะคิดยังไงก็ไม่มีคำว่าผิดหรือถูก เพราะเราเป็นผู้สร้างความจริงของตัวเราเองอยู่ดี สิ่งที่เผยออกมาก็เป็นการตอบสนองความคิดของเราทั้งนั้น มันจะดีและมีประโยชน์ก็เพราะว่าเราให้ความรู้สึกที่ดีเเละเป็นอิสระกับข้อมูลนั้นๆมากกว่า ยังรู้สึกว่าข้อมูลนี้ก็มีส่วนที่โดนใจเป็นช่วงๆครับ เชื่อว่าสิ่งที่เราไม่ต้องการก็ไม่สามารถกระโดดเข้ามาในประสบการณ์ของเราโดยไม่ได้รับเชิญ เพราะแต่ละความคิดจะพาให้เราเข้าใกล้หรือถอยห่างก็ได้ มีแต่ตัวเรานั่นล่ะครับที่รู้ดีว่าเราเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเรารึเปล่า?

    ถ้าสนุกกับการเดินทางก็จะไม่เครียดครับ ส่วนจะถูกใจหรือถูกต้องขนาดไหนเราให้เวลาและความจริงเป็นเครื่องพิสูจน์จะดีกว่า ขนาดกลุ่มเค้าเองยังมีความคิดแปลกแยกออกไปได้อีกมากมายอย่างที่คุณชยุตก็รู้สึก น่าจะอยู่ที่การตีความและความเชื่อของแต่ละบุคคลด้วย ยังไงก็มองเห็นส่วนที่เข้าทางพอจะนำมาผสมผสานกันได้อยู่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2009
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...