"ดวงวิญญาณพเนจร"

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 9 มิถุนายน 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    เราคงจะมีความคุ้นเคยกับคำว่า "วิญญาณพเนจร" กันมาบ้างแล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับ วิญญาณพเนจร…
    ความหมายของคำว่า "วิญญาณพเนจร" คือ พวกสัมภเวสีทั่วไปนั่นเอง สัมภเวสีมีความหมายลึกลงไปอีกก็คือ หมายถึงผู้ที่แสวงหาที่เกิด ได้แก่ผีที่ตายไปแล้ว แต่ยังไม่ได้เกิดในกำเนิดอื่น (ตามคำศัพท์ที่ได้บัญญัติไว้ในพจนานุกรม)
    ในหลักของพุทธศาสนาได้บัญญัติเอาไว้ว่า คนเราเมื่อดับชีพไปแล้ว สิ่งแรกคือความเป็นมนุษย์จะหมดไปทันที เมื่อไม่มีคำว่ามนุษย์หลงเหลืออยู่อีกแล้ว การเรียกร่างที่ไร้วิญญาณของคนผู้นั้นก็จะเปลี่ยนไป ร่างของเขาจะถูกเรียกว่า "ผี" ทันที
    .........ดังนั้นในพุทธศาสนาคำว่า "ผี" นั้นก็คือ คนที่ตายไปแล้วนั่นเอง เวลาที่เราไปสนทนาธรรมกับพระสงฆ์ ถ้าเราถามท่านว่าในโลกนี้มีผีหรือเปล่า ท่านก็จะตอบเราทันทีว่า ในโลกนี้มีผีอย่างแน่นอน ซึ่งในความเป็นจริงท่านก็หมายซากศพคนที่ตายนั่นเอง
    การตายของคนเรายังแยกออกไปได้หลายรูปแบบ ตายแบบธรรมชาติ หรือตายแบบผิดธรรมชาติ ตายเมื่อถึงเวลาตาย หรือว่าตายก่อนเวลาตาย
    .........คนตายของคนที่ถือว่าตายตามธรรมชาติ ได้แก่ แก่ตาย ตายเพราะป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนการตายที่ผิดธรรมชาติ ได้แก่ตายเพราะอุบัติเหตุ ตายเพราะถูกฆาตกรรม เราเรียกการตายแบบนี้ว่า "ตายโหง"
    ซึ่งจะพบได้ทางหน้าหนังสือพิมพ์รายวันเป็นประจำ
    การตายของมนุษย์เป็นไปตามลิขิตแห่งองค์พรหม กล่าวคือ ท่านได้กำหนดดวงชะตาของคนแต่ละคนเอาไว้แล้วว่า คนนี้จะต้องตายเมื่อใด ตายแบบไหน แต่ในบางครั้งการตายของคนๆ นั้น มันก็ตายก่อนเวลาที่กำหนด เขายังไม่ได้สั่งให้ตายแต่มาตายเสียก่อน แบบนี้วิญญาณมีสิทธิ์กลายเป็นผีเร่ร่อน พวกสัมภเวสี ผีพวกนี้น่าสงสาร จะไปเกิดใหม่ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีที่ว่างให้ดวงวิญญาณเข้าสิง ครั้นจะกลับเข้าร่างเดิมก็ไม่ได้ เนื่องจากร่างถูกทำลายย่อยสลายไปแล้ว
    ..........คุณเอกรัตน์ น้ำงาม หนึ่งในทีมงานได้เล่าถึงประสบการณ์ "จริง" ที่เกิดขึ้นกับตัวเขาให้ฟังว่า เขาเป็นอดีตนักศึกษาของสถาบันแห่งหนึ่งแถวลาดกระบัง (ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วว่าเป็นสถาบันใด) เรื่องที่เล่านี้เกิดขึ้นเมื่อเขาสอบเอนทรานซ์ติดและได้เข้าไปศึกษาที่สถาบันนี้ ซึ่งในสมัยนั้นคณะและภาควิชาที่เรียนนี้มีชื่อเสียงมาก
    "การเดินทางไปมหาลัยจะมีรถเมล์วิ่งอยู่ 1 สายเท่านั้น คือ จากบางกะปิ และทางรถไฟ ในตอนเช้าวันหนึ่ง นักศึกษาขึ้นเต็มคันรถเพื่อมาที่มหาลัย แต่ผมเลือกนั่งรถไฟสายปราจีนบุรีเพราะเร็วกว่า เมื่อมาถึง เหล่าอาจารย์และนักศึกษาก็มีอาการตกใจและร้องไห้กันไปทั่ว เพราะรถเมล์ชนกับรถสิบล้อตรงสี่แยกมีนบุรี นักศึกษาที่โดยสารมากับรถเมล์เสียชีวิตทั้งหมด
    ในตอนบ่ายๆ อาจารย์คณะถ่ายภาพได้ไปเก็บภาพศพของนักศึกษาทั้งหมด เพื่อเป็นหลักฐานให้ผู้ปกครอง ภาพที่ผมได้เห็นน่ากลัวมาก สาบานได้ว่าดูไปเพียงสองศพก็ไม่กล้าดูต่อแล้ว เพราะสภาพศพน่ากลัวมาก...
    หลังจากเหตุการณ์รถเมล์ชนกับรถสิบล้อผ่านไปสามสี่วัน ในเวลาเลิกเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่จะรีบกลับบ้านทันทีด้วยรถไฟ ไม่เกินเที่ยวสุดท้ายประมาณห้าโมงครึ่ง เพราะเกิดเหตุการณ์ผิดปกติที่น่ากลัวในเวลากลางคืน เนื่องจากมหาลัยอยู่ไกลมาก ส่วนใหญ่นักศึกษาจึงอยู่หอพักและบ้านเช่าที่ใกล้ๆ
    .........เริ่มจากมีคนเห็นนักศึกษาเดินกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆในเวลากลางคืน เมื่อเดินไปใกล้ๆจะเห็นว่าเสื้อผ้าเปื้อนเลือด และ ขาดแหว่งไปทั้งกลุ่ม บางครั้งเห็นเดินอยู่ไกลๆเมื่อเข้ามาใกล้ก็จะค่อยๆจางหายไป
    กลายเป็นเรื่องที่เล่ากันไปทั้งมหาลัยจนไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าอยู่จนพระอาทิตย์ตกดิน
    ส่วนรถเมล์คันนั้นได้ถูกลากไปไว้หน้าสน.ลาดกระบัง ซึ่งอยู่ตรงตลาด ในตอนกลางคืนจะมีคนได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด และหมาหอนทั้งคืน จนชาวบ้านต้องให้ทําพิธีเทกระจาดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณของนักศึกษาเหล่านั้น เพราะสันนิษฐานว่าส่วนใหญ่คงยังไม่ถึงฆาต แต่ต้องมาตายก่อนเวลากลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน จิตยังคงผูกพันอยู่กับการมามหาวิทยาลัยของตน จึงมีคนเห็นกลุ่มวิญญาณนี้อยู่เสมอ เวลาที่นึกถึงทีไร ..........ภาพที่เคยเห็นก็ปรากฎชัดในความทรงจําเสมอ (เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานประมาณ 10 ปีมาแล้ว)
    ผมได้วิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เชื่อว่าเกิดจากการดับของดวงวิญญาณ ก่อนอายุขัย หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ตายก่อนกำหนด นั่นเอง
    ..........คุณธานินทร์ มาดวิจิตร อดีตข้าราชการครู ระดับ 6" จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาให้ฟังว่า น้องชายเป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้า ในบริเวณริมคลองหลอด น้องชายเป็นคนนิสัยก้าวร้าว ไม่กลัวใคร และไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์
    "เขาชอบลองดีท้าทายผีสางนางไม้ไปเรื่อย ผมก็เคยห้ามปรามเขาเหมือนกัน แต่เขาไม่เชื่อผมก็จนปัญญา คนเราก็โตๆ กันแล้ว พูดมากไปมันก็ไม่ได้ จนกระทั่งวันสงกรานต์ปีกลาย ผมตกลงจะกลับไปเที่ยวบ้าน เพื่อทำบุญกระดูกพ่อแม่ บ้านเดิมผมอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี
    ในตอนแรกเราตกลงกันว่าจะเช่ารถตู้ไป เพราะเราไม่ชอบขับรถทางไกลๆ แต่พอถึงวันนัดน้องชายผมเกิดเปลี่ยนใจ บอกผมว่าไม่นั่งรถตู้แล้ว เขาจะขับรถไปเอง ผมก็ยังอดจะแปลกใจไม่ได้ ทำไมน้องผมจึงเปลี่ยนกระทันหัน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา เขาอยากจะขับรถไปก็แล้วแต่เขา ส่วนผมก็นั่งรถตู้ไป ก่อนออกจากร้าน ผมได้ยินน้องชายทะเลาะกับร้านข้างๆ เสียงดังเอะอะลั่นซอย มันเป็นเรื่องของการจุดธูปไหว้เจ้าพ่อ แถวหลังกระทรวงมีศาลศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่าศาลเจ้าพ่อครุฑ ร้านค้าแถวนั้นต่างก็นับถือเจ้าพ่อครุฑ มีน้องชายผมคนเดียวที่ไม่นับถือท่าน ไม่นับถือไม่ว่าแต่ไปลบหลู่พูดจาดูหมิ่น เวลาคนจุดธูปควันจะลอยเข้ามาในร้าน เขาก็จะออกไปหาเรื่องด่าทอ บอกว่าแสบตาบ้างล่ะ เหม็นควันธูปบ้างละ
    ..........วันนั้นก็หวิดจะมีเรื่องกันอีก ดีว่าผมเข้าไปห้ามเอาไว้ทัน น้องผมพูดลอยๆ ขึ้นว่า งมงายไม่เข้าเรื่อง สักวันร้านแถวนี้จะถูกไฟไหม้กันหมด เพราะมัวแต่มาบูชาครุฑบ้าๆ บอๆ ผมบอกให้เขาเงียบ หากเราไม่นับถือก็เฉยไว้ เพราะมีคนอีกเป็นจำนวนมากนับถือ จากนั้นเราก็ออกเดินทาง"
    ผมถามคุณธานินทร์ว่า "ระหว่างทางมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่าครับ?"
    " ไม่มีครับ ทุกอย่างเป็นปกติดี แต่วันที่จะเดินทางกลับก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้ คือมีซินแสคนหนึ่งเดินเข้ามาทักน้องผม เขาบอกว่าน้องผมดวงไม่ดี กำลังมีเคราะห์ พอได้ยินเช่นนั้นก็เป็นเรื่อง น้องผมโกรธมาก แต่ผมกลับเชื่อและบอกให้น้องควรจะสะเดาะเคราะห์ เขากลับตอบว่าเหลวไหล ขากลับผมต้องรีบเพราะรถเช่าหมดเวลาตอน 4 ทุ่ม ส่วนน้องผมจะขับตามหลัง เขาเป็นคนขับรถเร็วมาก
    ..........ผมมาถึงร้านตอน 4 ทุ่มกว่าๆ แต่เข้าร้านไม่ได้ เพราะกุญแจบ้านอยู่ที่น้องชายผม ผมนั่งรอจนเกือบเที่ยงคืนน้องผมก็ยังไม่กลับ ผมเลยโทรศัพท์เข้ามือถือน้อง แต่ไม่มีคนรับสาย ตอนนั้นผมเห็นคนจีนแก่ๆ คนหนึ่งเดินออกมาจากซอย ผมไม่เคยเห็นหน้าคนจีนคนนี้มาก่อน ผมถามว่าอาแปะจะไปไหน เขาตอบว่ามารับคน ผมถามว่าใคร อาแปะตอบว่าเป็นคนแถวนี้แหละ นั่นไงเดินมาแล้ว ผมก็หันไปกลับไปมอง ปรากฏว่าเป็นน้องชายผมเอง
    ผมเห็นอาแปะเดินไปหาน้องผม แล้วพยักหน้าบอกให้น้องชายเดินตามเข้าไปในซอย น้องชายผมก็เดินตามไป ที่น่าแปลกใจก็คือเขาไม่ทักผมเลย ทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน ผมก็เลยเดินตามพวกเขาไป ...........ภาพที่ผมเห็นผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง น้องชายผมกับอาแปะเดินมาหยุดที่หน้าศาลเจ้าพ่อครุฑ แล้วก็เดินหายวับเข้าไปต่อหน้าต่อตา ผมตาไม่ฟาด ผมเห็นเต็มสองตาเลยครับ
    สักพักก็มีโทรศัพท์เรียกเข้ามาที่เครื่องผม พอรับสายก็มีเสียงพูดตามมาว่า เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของร่วมกตัญญู น้องชายผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ตอนแรกผมคิดว่ามีคนโทรมาอำ แต่พอเช็กเบอร์ที่โทรเข้ามา เป็นเบอร์เครื่องของน้องชายผมจริงๆ ผมเชื่อว่าการที่เขาเสียชีวิตเพราะเขาไม่เชื่อดวง และยังชอบลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทเรียนที่เขาได้รับจึงเป็นแบบนี้ ผมเชื่อว่าเขายังไม่ไปเกิดที่ไหน บางครั้งผมจะได้ยินเสียงคนร้องไห้ข้างๆ น้องชายผมเขาคงสำนึกผิด แต่มันก็สายเกินไป"
    ..........ยังมีดวงวิญญาณอีกเป็นจำนวนมาก ที่มีสภาพเป็นวิญญาณพเนจร สิ่งที่ท่านเห็นและคิดว่าเป็นคน บางครั้งอาจจะเป็น "ดวงวิญญาณ" ก็ได้ !!!


    ที่มา...วิญญาณพเนจร
     
  2. kritpichan

    kritpichan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +14
    ขอบคุณครับ
     
  3. ประตูสู่ทางสว่าง

    ประตูสู่ทางสว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +1,173
    ขอบุณบารมีและความสุขที่ข้าพเจ้าได้รับอยู่ตอนนี้ ส่งให้น้องชายคุณธานินทร์ มาดวิจิตร ได้รับความสุขเหมือนที่ข้าพเจ้าได้รับอยู่นี้ด้วย
    อนุโมทนา ครับ
     
  4. Nud

    Nud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +555
    เศร้า และน่าสงสารน้องชายคุณจังเลยค่ะ ยิ่งอ่านยิ่งทำให้นึกถึงน้องชายเรา เมื่อเกือบสิบปีก่อน น้องเราเขาก็เป็นคนไม่เชื่องเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ลบหลู่ไปทั่ว จนเราต้องด่าว่าเขา เขาก็ฟังเรานะ พยายามสอนน้อง ให้เชื่อในเรื่องเวรกรรม และเคารพในสิ่งศักดิ์สิทธิ เมื่อก่อนพอเราบอกหัวเราะใส่เรานะ ไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม เราบ่อยไปสักพักเจอเอง ชีวิตเขาเลวลงๆๆ เรื่อยๆ หน้าที่การงานล้มเหลว โดนเพื่อนหลอกหักหลัง ก็เริ่มหันหน้าเข้าวัด ทำบุญ ทำทาน เราแนะนำว่า เคยด่าว่าแม่ไว้ ดูถูกแม่ไว้ ให้ไปขอโทษ ขมาซะ แล้วชีวิตจะดีขึ้น เขาก็เขินๆไม่กล้าทำนะ เราบอกว่าลองทำดูแล้วจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ไม่เกินปีเห็นผลแน่ เขาก็แรกๆไม่เชื่อออกจะดื้อๆสักหน่อย ดีที่เมียเขา เชื่อเราที่บอกก็เลย ช่วยพูดกับเขาเ ขาก็ทำ ปีใหม่วันแม่หรือวันไหนๆ เขาจะแวะไปกราบแม่ ซื้อของอร่อยๆไปให้แม่กิน ซื้อเสื้อผ้าสวยๆไปให้แม่ใช่ ให้เงิน จากที่เคยก้าวร้าว เขากับเปลี่ยนเป็นคนละค่ะ เขาไปขอขมาแม่ เอาเท้าแม่ มาเหยียบหัวเขา ขอพรแม่ ไม่ทันถึงปีเลย ชีวิตเขาดีขึ้น เขาเล่าเองนะว่า หน้าที่การงาน การเงินค้าขายดีขึ้น แปลกไปกว่าเมื่อก่อนมาก
    ยิ่งทำให้เขาเชื่อและรักที่จะเอาใจใส่ดูแลปฎิบัติมากขึ้น ..เราเองก็ดีใจกับเขา ดีใจที่ความพยายามที่เรา สอนเขาๆเชื่อฟังค่ะ..
     
  5. คนข้างทาง

    คนข้างทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +392
    ไม่เชื่ออย่าลบลู่ครับ ของอย่างงี้ครายไม่เจอก้อไม่รู้หรอกครับ
    ว่าบางเค้ามีตัวตนอยู่ แต่เราต่างหากที่สัมผัสไม่ได้เอง
     
  6. pechklang

    pechklang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    400
    ค่าพลัง:
    +829
    ขออนุโมทนา..สาธุ

    ขอบคุณในเรื่องเล่าที่เป็นอุทธรณ์ที่ดี ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...