พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การใช้อุปกรณ์บนโต๊ะดินเนอร์
    Daily News Online : Variety

    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>เมื่อต้องไปดินเนอร์ แต่ยังใช้อุปกรณ์บนโต๊ะดินเนอร์ไม่เป็น วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีมาฝาก...
    จาน
    - จานเล็กที่อยู่บนสุดคือ จานสลัด
    - จานใหญ่คือ จานสำหรับอาหารหลัก
    ช้อน
    - ในการรับประทานอาหารให้ใช้ช้อนที่วางอยู่นอกสุดสำหรับอาหารชุดเล็กก่อน จากนั้นค่อย ๆ ใช้ช้อนเข้ามาหาตัวเรื่อย ๆ กับอาหารชุดต่อไป
    - ช้อนอาหารหวาน จะวางไว้เหนือจานอาหารหลัก
    - ถ้ามีการแจกช้อนส้อมกับของหวานสามารถเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือใช้ร่วมกันได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของหวาน
    ส้อม
    - ส้อมที่ใช้กับอาหารจานหลัก จะมีขนาดใหญ่สุด โดยวางอยู่ด้านซ้าย และใกล้จานมากที่สุด
    - ส้อมที่ใช้กับสลัด จะอยู่ด้านซ้ายมือนอกสุด และมีขนาดเล็กกว่าส้อมที่ใช้กับอาหารจานหลัก
    มีด
    - มีดที่ใช้กับอาหารจานหลัก จะวางไว้ด้านขวาใกล้สุดกับจาน และสามารถใช้กับสลัดได้ด้วย
    แก้วไวน์
    - แก้วไวน์ขาว จะวางอยู่ด้านขวาสุดของแก้วอื่น ๆ
    - แก้วไวน์แดง จะตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างแก้วทั้งหมดบนโต๊ะ
    ผ้าเช็ดปาก
    - เมื่อใช้ผ้าเช็ดปากแล้ว ควรวางไว้ด้านซ้ายของจานอาหารหลัก
    ถ้าต้องไปดินเนอร์ ก็อย่าลืมนำคำแนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา เดลินิวส์
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนภัย 'ถ่ายเป็นเลือด' ระวังโรคแฝง...ร้ายแรงถึงชีวิต!!

    Daily News Online : Variety

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>

    อาการตกใจกลัวสุดขีด จะเกิดขึ้นเมื่อทราบว่า ตัวเอง ถ่ายเป็นเลือด ทำให้คิดไปต่าง ๆ นานา ว่าเป็นโรคร้ายชนิดใดกันแน่ เพราะการถ่ายเป็นเลือดเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ริดสีดวงทวารหนัก ฝีบริเวณทวารหนักและที่หนักสุด ๆ เห็นจะเป็น มะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่ทำให้ใครหลายคนกังวลใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ!!

    วันนี้เรามาไขข้อข้องใจเพื่อคลายความกังวลกัน โดย นพ.สุรพันธ์ เอื้อวัฒนามงคล ศัลยแพทย์ระบบลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ความรู้ว่า อาการถ่ายเป็นเลือดนั้นเป็นอาการของโรคริดสีดวงทวารหนักที่เกิดจากหลอดเลือดดำของผนังเหยื่อบุทวารหนักโป่งพอง เมื่อเกิดขึ้นจะพบเป็นก้อนโป่งพองโผล่ออกมาขณะอุจจาระหรืออาจทำให้เลือดออกขณะก่อนหรือหลังถ่ายอุจจาระ

    สาเหตุของการเกิดโรคริดสีดวงทวารหนักที่พบบ่อยมาก ที่สุดคือ อุปนิสัยการขับถ่าย และการกินอาหาร ได้แก่ ไม่ทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ จึงมีอาการท้องผูก ถ่ายอุจจาระลำบาก หลาย ๆ วันถ่ายครั้งหนึ่ง หรือความเร่งรีบต้องกลั้นไว้ส่ง ผลให้อุจจาระแข็งต้องเบ่งอยู่นานขณะขับถ่าย ทำให้เกิดแรงดันในช่องท้องมาก เส้นเลือดดำถ่ายเทไม่สะดวกและโป่งพองขึ้น อาการของผู้เป็นริดสีดวงทวารหนักมักเป็นได้ทั้งภายในและภายนอกแต่ส่วนมากมักเป็นแบบภายใน เริ่มแรกมีอาการถ่ายเป็นเลือดสีแดงสด ๆ

    ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ได้แก่ พันธุกรรม, การตั้งครรภ์ เพราะมดลูกใหญ่ขึ้นกดทับหลอดเลือดดำทำให้ถ่ายเทลำบาก รวมถึงคนที่เป็นโรคหัวใจ โรคตับ เพราะปกติแล้วบริเวณทวารหนักจะมีเลือดมาเลี้ยงมากและเลือดภายในกลุ่มหลอดเลือดดำเหล่านี้จะไหลถ่ายเทไปสู่หลอดเลือดดำภายในช่องท้อง แต่ถ้าเรามีปัญหาโรคหัวใจหรือโรคตับเลือดจะถ่ายเทไม่สะดวกและตีกลับมายังหลอดเลือดที่ทวารหนัก ทำให้โป่งพองเป็นริดสีดวงในที่สุด

    แพทย์แบ่งอาการเป็น 4 ระยะ คือ 1.มีอาการเลือดออก หัวริดสีดวงอยู่ข้างใน 2.ถ่ายอุจจาระแล้วมีก้อนริดสีดวงฯ โผล่ออกมาเวลาเบ่งแต่หดกลับเข้าไปได้เอง 3.ถ่ายอุจจาระแล้ว มีก้อนริดสีดวงฯ โผล่ออกมา และไม่หดกลับเข้าไปได้เอง ต้องใช้นิ้วมือดันกลับจึงเข้าและ 4.ริดสีดวงฯ โผล่ออกมาภายนอกไม่สามารถดันกลับไปได้ ซึ่งการรักษานั้นในระดับ 1-2 คือให้ยามีผลทำให้เส้นเลือดหดตัวหรือใช้ยางรัดให้หัวริดสีดวงฝ่อหลุดไปเองรวมทั้งแนะนำให้เปลี่ยนอุปนิสัยการกินและการขับถ่าย ส่วนระดับที่ 3-4 ถือว่าเป็นมากแล้วต้องทำการผ่าตัดแต่อาจไม่หายขาดหากเรายังมีพฤติกรรมเดิม ๆ จะทำให้กลับมาเป็นได้อีก

    90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยที่มีอาการเลือดออกทางทวารหนักหรือถ่ายเป็นเลือดมักคิดว่าเป็นริดสีดวงฯ แต่อีกโรคหนึ่งที่ร้ายแรงกว่าและแอบแฝงอยู่ในอาการถ่ายเป็นเลือดด้วยเช่นกันคือโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ซึ่งหลายคนมักเข้าใจผิดว่าการ ถ่ายเป็นเลือดนั้นต้องเป็นโรคริดสีดวงฯ และอาจรุนแรงถึงขั้นกลายเป็นมะเร็งได้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ คนที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่างหากจะมีภาวะเสี่ยงเป็นโรคริดสีดวงมากกว่าคนปกติ ดังนั้นอาการถ่ายเป็นเลือดจึงเป็นอันตรายร้ายแรงมากกว่าที่เราคิดไว้


    ที่มา เดลินิวส์
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนภัย 'ถ่ายเป็นเลือด' ระวังโรคแฝง...ร้ายแรงถึงชีวิต!!

    Daily News Online : Variety
    ที่มา เดลินิวส์<!-- google_ad_section_end -->

    นพ.สุรพันธ์ อธิบายข้อแตกต่างระหว่างมะเร็งลำไส้ใหญ่กับโรคริดสีดวงทวารหนักว่า ริดสีดวงฯ เกิดจากหลอดเลือดดำในลำไส้ใหญ่โป่งพองแต่มะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดจากความผิดปกติของติ่งเนื้อตรงเยื่อบุผิวหนังของลำไส้ใหญ่ ซึ่งเกิดจากภาวะเซลล์ในร่างกายเสื่อมและได้รับสารพิษตกค้างในอาหารและติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นตั้งแต่ 1-2 ซม.ถ่ายอุจจาระ มีเลือดปนออกมา เลือดออกทางทวารหนัก อุจจาระมีขนาดก้อนเล็กลงหรือมีปริมาณน้อยและปวดถ่ายบ่อยเหมือนถ่ายไม่สุดเพราะมีก้อนเนื้อมะเร็งกีดขวางอยู่ รวมทั้งมีอาการท้องผูกปวดท้องร่วมด้วย แต่เราสามารถสังเกตที่สีของเลือดที่ถ่ายออกมาได้ว่าถ้าถ่ายเป็นมูกเลือดสีคล้ำ ๆ ควรรีบมาพบแพทย์ทันที

    การที่มีก้อนเนื้อไปกีดขวางทางเดินอุจจาระทำให้อุจจาระอยู่ในลำไส้นานและถูกดูดซึมน้ำไปใช้จนแข็งทำให้ขับถ่ายลำบากต้องออกแรงเบ่ง เส้นเลือดดำจึงโป่งพองก่อให้เกิดภาวะเป็นโรคริดสีดวงทวารหนักได้ ฉะนั้นหากเรามีอาการถ่ายเป็นเลือดอย่านิ่งนอนใจควรรีบไปพบแพทย์เพื่อ ทำการวินิจฉัยโรคว่าเป็นโรคใด ร้ายแรงหรือไม่ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงคือ คนที่มีอายุมาก กว่า 50 ปีขึ้นไป มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยและทานอาหารที่มีไขมันในปริมาณสูง ซึ่งอาจเป็นโรคมะเร็งลำไส้ได้

    ถ้าไม่อยากเสี่ยงเป็นริดสีดวงฯ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ คุณหมอสุรพันธ์ จึงแนะนำว่า ควรฝึกอุปนิสัยการถ่ายให้เป็น เวลาไม่นั่งนานหรือเบ่งอยู่นาน ๆ พยายามอย่าให้ท้องผูก รับประทานอาหารประเภทผักผลไม้และดื่ม น้ำเปล่าให้มาก ๆ และออกกำลังกายสม่ำเสมอจะพบว่าช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ที่สำคัญเมื่อ มีอาการขับถ่ายเป็นเลือดควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคว่าเป็นริดสีดวงทวารหนักแน่นอนไม่ใช่โรคร้ายแรงและถ้าเป็นริดสีดวงอย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะแผลที่เกิดขึ้นจะมีอาการติดเชื้อและถ้ามีเลือดออกมามากอาจเป็นโรคซีดเลือดจางได้ ยิ่งตรวจพบเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่แต่เนิ่น ๆ จะได้รักษาให้หายขาด ไม่ต้องถึงขั้นเสียชีวิต

    จาก 1 ใน 3 ของผู้ที่ถ่ายเป็นเลือดมักเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หากตรวจพบและทำการรักษาตั้งแต่ต้นจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ รู้แบบนี้แล้วใครที่มีปัจจัยเสี่ยงหรือพฤติกรรมอย่างที่กล่าวมาข้างต้นควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายเสียก่อนจะสายเกินไป.สรรหามาบอก

    - ศูนย์เยาวชนลุมพินี สำนักวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ โรงพยาบาลกรุงเทพ ขอเชิญทุกท่านร่วมกิจกรรม “รวมพลคนกรุงสุขภาพดี” ปีที่ 3 รับฟังบรรยายเรื่อง “ระวัง...นั่งนาน ๆ ถ่ายเป็นเลือด ริดสีดวงถามหา” โดย นายแพทย์สุรพันธ์ เอื้อวัฒนามงคล ศัลยแพทย์ระบบลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โรงพยาบาลกรุงเทพ ติดตามเคล็ดลับการดูแลสุขภาพจากสิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ พร้อมรับบริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น (เฉพาะ 100 ท่านแรกที่ลงทะเบียนหน้างาน) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2552 เวลา 06.00-09.00 น. ณ ด้านหน้าอาคารพลเมืองอาวุโส สวนลุมพินี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1719

    - โรงพยาบาลสมิติเวช ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงาน “Family Health Fair ปี 2 ฉลอง 30 ปีของสมิติเวช” ในวันที่ 12-14 มิถุนายน 2552 ที่เซ็นทรัลเวิลด์ โซนลิฟต์แก้ว ภายในงานพบกิจกรรม Health talk เคล็ดลับสุขภาพดี, คุณแม่มือใหม่ต้องการปรึกษาเรื่องการดูแลลูกรัก, รู้ทันโรค ป้องกันก่อนเป็นกับหลากหลายโปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับทุกคนในครอบครัว พร้อมตรวจสุขภาพผิวหน้า ฟรี! สนใจโทร. 0-2711-8181

    - คลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก ขอเชิญผู้สนใจรับฟังบรรยาย “วิธีการรักษาโครงสร้างร่างกายและกระดูกสันหลัง” พร้อมให้ความรู้และการสาธิต ในวันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2552 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไปที่คลินิก อาคาร ฟิฟตี้-ฟิฟท์ พลาซ่า ซอยทองหล่อ 2 สนใจเข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ติดต่อสอบถามได้ที่โทร. 0-2381-4336.
    บริโภคน้ำตาลอย่างไรห่างไกลโรค

    น้ำตาล เป็นสารให้ความหวานที่เราคุ้นลิ้นกันเป็นอย่างดี ใช้เพื่อการปรุงแต่งรสชาติอาหารให้หอมหวานกลมกล่อมถูกปาก แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า ความหวานที่เราติดอกติดใจกันนั้นแม้จะมีประโยชน์แต่ก็มีโทษต่อร่างกายมหาศาล

    น้ำตาลทรายขาวที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทำมาจากอ้อย มีประโยชน์ต่อ ร่างกายในการให้พลังงาน ซึ่งพลังงานนี้เราได้รับจากคาร์โบไฮเดรตในการรับประทานข้าว แป้งหรือไขมันอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต่อร่างกาย แต่รับประทานกันเพราะความพึงพอใจ กินแล้วมีความสุข สดชื่น ถือเป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของน้ำตาล ซึ่งหากทานมากเกินไปอาจเกิดโทษต่อร่างกายได้

    รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้ว่า องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าแต่ละวัน ควรใช้น้ำตาลในการปรุงแต่งรสชาติอาหารไม่เกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานทั้งหมด ตามข้อปฏิบัติการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีจึงแนะนำว่า ถ้าหากเป็นผู้ใหญ่ควรรับประทานไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ส่วนเด็กเล็กไม่เกินวันละ 4 ช้อนชา โดยเราสามารถคำนวณปริมาณน้ำตาลได้ในการบริโภคของเราได้เองด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้

    ปริมาณน้ำตาล 1 ช้อนชามี 4 กรัม ให้เราอ่านฉลากโภชนาการ เช่น ถ้าฉลากระบุน้ำตาล 12 กรัม เท่ากับมีน้ำตาล 3 ช้อนชา แต่อาหารบางชนิดไม่มีข้อมูลโภชนาการ บอกเป็นค่าร้อยละ เช่น น้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ถ้าระบุว่ามีน้ำตาล 10 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่า 100 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 10 กรัม เมื่อดื่มเครื่องดื่ม 1 แก้ว (200 มล.) มีน้ำตาล 20 กรัม หรือเท่ากับ 5 ช้อนชา แค่นี้ก็สามารถคำนวณน้ำตาลในแต่ละวันที่เราจะรับประทานได้แล้ว ปัจจุบันพบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยประมาณ 23 ช้อนชาต่อวัน (จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ปี 2550 คนไทยบริโภค น้ำตาลเฉลี่ย ประมาณ 33.2 กิโลกรัม
    ต่อคนต่อปี) ถือเป็นปริมาณที่มากเกินกว่าที่แนะนำถึงเกือบ 4 เท่า

    ถ้าเรากินน้ำตาลมากเกินความจำเป็นก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาคือฟันผุ โรคอ้วน และเมื่อทานมากขึ้นจะเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้เมื่อน้ำตาลเปลี่ยนเป็นไขมันไปสะสมที่เส้นเลือดเกิดอุดตัน เสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจและสมองขาดเลือด ทำให้หัวใจวาย เป็นอัมพาต และอาจเกิดความดันโลหิตสูงด้วย ซึ่งโรคที่กล่าวมานี้ไม่ใช่แค่บริโภคน้ำตาลมากเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การบริโภคอาหารที่ให้พลังงานและไขมันสูงด้วย เช่น อาหารที่หวานจัด มันจัด เค็มจัด และไม่ออกกำลังกาย

    เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงน้ำตาลหรือลดจำนวนน้ำตาลลง อาจารย์แนะนำว่า ควรดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวานหรือน้ำอัดลม ไม่เติมน้ำตาลในอาหาร จะช่วยลดปริมาณน้ำตาลได้มากทีเดียว สำหรับผู้ที่ไม่สามารถควบคุมการรับประทานหวานได้หรือเป็นโรคเบาหวาน อาจใช้น้ำตาลเทียมแทนเนื่องจากมีพลังงานน้อยแต่ให้ความหวานใกล้เคียงน้ำตาล ควรรับประทานผักผลไม้เพิ่มขึ้น เช่น ฝรั่ง มะละกอ ส้ม หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานมาก ๆ เช่น ทุเรียน ขนุน เหนือสิ่งอื่นใดเราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เพียงพอและหลากหลาย หมั่นดูแลน้ำหนักตัวและออกกำลังกายเป็นประจำ แค่นี้สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงก็จะอยู่กับเราไปอีกนาน.
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ฤารูปปั้นเนเฟอร์ติติ จะเป็นของปลอม
    ไทยรัฐออนไลน์
    ข่าวไทยรัฐออนไลน์ - ฤารูปปั้นเนเฟอร์ติติ จะเป็นของปลอม


    [​IMG]
    ศิลปะแบบอมาร์น่า แสดงภาพฟาโรห์อัคเคนาเตน พระนางเนเฟอร์ติติ และพระธิดาอีก 3 องค์

    เมื่อกล่าวถึงสตรีที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดในอียิปต์โบราณ ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพระนางเนเฟอร์ติติ (Nefertiti) บางท่านอาจจะบรรยายถึงความงดงามของพระนางได้เป็นอย่างดี จากรูปปั้นครึ่งตัวของพระนาง ซึ่งตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เบอร์ลิน (Berlin Museum)

    ล่าสุด เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมปีนี้ มีข่าวสะเทือนวงการโบราณคดีอียิปต์ ออกมาให้ได้ตื่น เต้นกันว่า รูปปั้นครึ่งตัวของพระนางเนเฟอร์ติตินี้ อาจจะเป็นของปลอม!!

    เนเฟอร์ติติ แปลว่า "สาวงามมาแล้ว" พระนางเป็นมเหสีเอกของฟาโรห์ อัคเคนาเตน (Akhenaten) ฟาโรห์ที่หาญกล้ายกเลิกการบูชาเทพเจ้าหลายองค์ของอียิปต์โบราณแต่ดั้งเดิม โดยสั่งปิดวิหารที่บูชาเทพเจ้าอื่นๆจนสิ้น และสั่งให้หันมาบูชาเทพเจ้าองค์เดียว นั่นคือเทพ อเตน (Aten) เทพเจ้าที่มีลักษณะเป็นวงสุริยะ แผ่รังสีออกมาเป็นมือ บางมือถืออังค์ (Ankh) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตมอบให้แด่ฟาโรห์และองค์ราชินี

    แน่นอน ผู้มีอิทธิพลที่สนับสนุนอยู่เบื้อง หลังการปฏิรูปศาสนาครั้งนี้ ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพระนางเนเฟอร์ติติผู้นี้นี่เองเนเฟอร์ติติกับฟาโรห์อัคเคนาเตนมีธิดาด้วยกัน 6 องค์ ซึ่งภาพที่ปรากฏในศิลปะยุคนี้ เรียกว่า ศิลปะแบบอมาร์น่า (Amarna) เป็นภาพที่แสดงฟาโรห์ประทับกับมเหสี โดยมีพระธิดานั่งอยู่บนตัก หรืออาจจะอยู่ในอากัปกิริยาอื่นๆ เช่น อยู่ในท่าอุ้ม คลอเคลีย หรือแม้กระทั่งจุมพิต ซึ่งไม่เคยมีศิลปะอียิปต์โบราณยุคใดมาก่อน สาเหตุที่ศิลปะในยุคนี้แสดงออกถึงความรักอย่างลึกซึ้งก็เป็นเพราะพระนางเนเฟอร์ติติเป็นผู้ "จัดฉาก" ให้เห็นว่าอัคเคนาเตนทรงหลงรักพระนางมากเพียงใด


    [​IMG]
    ภาพถ่ายด้านข้างของรูปปั้นที่กำลังเป็นปัญหาว่าจริงหรือปลอม


    นักวิชาการว่ากันว่า เมื่อฟาโรห์อัคเคนาเตน สิ้นพระชนม์หลังจากครองราชย์ไปได้ประมาณ 17 ปี แผ่นดินก็ตกไปอยู่ในการครอบครองของเนเฟอร์ติติ โดยที่พระนางอาจจะใช้ชื่อว่า สเมนคาเร (Smenkhkare) ซึ่งเป็นฟาโรห์ ปริศนาที่ยังไม่มีใครทราบว่าพระองค์เป็นใครก็เป็นได้

    การสิ้นพระชนม์ของพระนางก็ยังเป็นปริศนา มีความเห็นที่ต่างกัน ออกไปว่า พระนางอาจจะสิ้นพระชนม์ไปก่อนสวามีก็เป็นได้ ไม่มีใครทราบ ว่าพระศพของพระนางอยู่ที่ไหน หลักฐานชิ้นสำคัญที่พอจะแสดงรูปโฉม อันงดงามได้นั่นก็คือ รูปปั้นครึ่งตัวของพระนางในพิพิธภัณฑ์เบอร์ลินนั่นเอง

    แล้วใครเป็นคนปั้นรูปปั้นรูปนี้ ตำราทั้งหลายต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า รูปปั้นนี้เป็นผลงานของช่างปั้นนาม ทุตโมส (Tuthmose) ซึ่งมีโรงปั้นอยู่ที่ชานเมืองทางใต้ของอมาร์น่า แต่พอกาลเวลาล่วงมาจนถึงยุคสมัยของฟาโรห์ตุตันคาเมน ที่มีการย้ายเมืองหลวงกลับไปที่เมืองธีบส์ (Thebes) แล้ว ทุตโมสก็ละทิ้งโรงปั้นของเขาไป ทำให้รูปปั้นกว่า 50 ชิ้น จมใต้ผืนทรายในเมืองอมาร์น่าในที่สุด รวมทั้งรูปปั้นของพระนางเนเฟอร์ติติรูปนี้ด้วย

    หลังจากที่ลูกทีมของลุดวิก บอร์ชาร์ดท์ (Ludwig Borchardt) ค้นพบรูปปั้นรูปนี้ ในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1912 ดร.เจมส์ ไซมอน (Dr.James Simon) ผู้สนับสนุนทางการเงินให้แก่ทีมสำรวจ ก็ได้ ชื่นชมรูปปั้นรูปนี้ สุดท้ายรูปปั้นก็ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เบอร์ลินในปี ค.ศ. 1920 และได้ออกแสดงสู่สายตาสาธารณะในปีค.ศ. 1924

    รูปปั้นรูปนี้เป็นสัญลักษณ์ความงามของสาวไอยคุปต์มาเนิ่นนาน แต่ข่าวล่าสุดที่กล่าวว่ารูปปั้นรูปนี้อาจจะเป็นของปลอมนั้น จะทำให้เกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่หรือไม่ เรามาติดตามข่าวที่ว่านี้ไปพร้อมๆกันครับ

    เรื่องเริ่มต้นที่นายเฮนรี สเตียร์ลิน (Henri Stierlin) นักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวสวิส ออกมาแถลงว่า รูปปั้นพระนางเนเฟอร์ติติในพิพิธภัณฑ์เบอร์ลิน ซึ่งเคยเชื่อกันว่ามีอายุกว่า 3,400 ปีนั้น แท้จริงแล้วเป็นของที่ทำ ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1912 นี้เอง และสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการทดสอบสีย้อม (Pigment) ที่ช่างศิลป์โบราณใช้ในการตกแต่งรูปปั้น

    สเตียร์ลินกล่าวว่า รูปปั้นนี้ทำขึ้นใหม่โดยช่างฝีมือนามว่าเจอราร์ดท์ มาร์คส์ (Gerardt Marks) ชาวเยอรมัน ผ่านการร้องขอของบอร์ชาร์ดท์ เพื่อแสดงรูปของพระนางสวมสร้อยคอที่เชื่อว่าเป็นของนาง และเพื่อเป็นการลองใช้สีย้อมที่พบจากการขุดค้นมาลงสีกับตัวรูปปั้นด้วย แต่เรื่องเริ่มบานปลายในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1912 เมื่อเจ้าชายแห่งเยอรมนีได้ ชื่นชมรูปปั้นรูปนี้ และพระองค์ปักใจเชื่อว่าเป็นของแท้แต่ดั้งเดิม บอร์ชาร์ดท์ เองก็ไม่รู้ว่าจะบอกเจ้าชายอย่างไร เพราะกลัวว่าพระองค์จะเสียหน้านั่นเอง

    สเตียร์ลินตั้งข้อสังเกตที่บ่งชี้ว่ารูปปั้นนี้เป็นของปลอมไว้หลายประการ เช่น รูปปั้นไม่มีตาข้างซ้าย และเหมือนว่ายังไม่เคยมีมาเลยตั้งแต่แรกซึ่งก็ถือว่าผิดวิสัยของชาวอียิปต์โบราณ ที่เชื่อว่ารูปปั้นก็คือตัวแทนของตัวบุคคลคน ดังนั้น จึงไม่น่าปั้นให้ดวงตาไม่สมบูรณ์แต่อย่างใด


    [​IMG]
    พระสิริโฉมอันงดงามของเนเฟอร์ติติ


    อีกประการหนึ่งคือ ที่ไหล่ของรูปปั้น เพราะไหล่ของรูปปั้นรูปนี้ถูกตัดในแนวตั้ง ซึ่งเป็นรูปแบบของศิลปะในศตวรรษที่ 19 นี้เอง ซึ่งรูปปั้นส่วนใหญ่ของอียิปต์โบราณจะเผยไหล่ในแนวนอนสเตียร์ลินยังกล่าวอีกว่า การตรวจ สอบอายุรูปปั้นด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ นั้นไม่สามารถทำได้ เพราะว่ารูปปั้นรูปนี้ทำจากหิน ซึ่งฉาบรอบนอกไว้ด้วยปูนปลาสเตอร์ แต่สีที่ใช้ในการตกแต่งรูปปั้นนั้นสามารถตรวจหาอายุได้ และมันเป็นสีในสมัยโบราณจริงๆ

    ข้อสังเกตใหญ่อีกข้อหนึ่งคือ เรื่องของการค้นพบรูปปั้น รวมไป ถึงการขนส่งรูปปั้นมาที่เบอร์ลิน และรายงานการขุดค้น

    สเตียร์ลินกล่าวว่า นักโบราณ- คดีชาวฝรั่งเศสที่ขุดอยู่ในบริเวณขุดค้นนั้นไม่ได้กล่าวถึงการค้นพบนี้เลย อีกทั้งยังไม่มีการจดบันทึกรายการสิ่งของที่ขุดพบในบริเวณนั้นออกมาด้วย เอกสารรายงานอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับรูปปั้นของพระนางเนเฟอร์ติติรูปนี้ออกมาในปี ค.ศ. 1923 หลังจากค้นพบถึง 11 ปี

    ตรงนี้ สเตียร์ลินบอกว่า "นักโบราณคดีไม่น่าที่จะไม่พรรณนาถึงรูปร่างลักษณะของชิ้นงานสุดพิเศษที่ยังอยู่ในสภาพดี ไม่บุบสลายอย่างเช่นรูปปั้นรูปนี้"

    สเตียร์ลินกล่าวปิดท้ายว่า "บอร์ชาร์ดท์รู้ดีว่ารูปปั้นรูปนี้เป็นของปลอม เขาทิ้งรูปปั้นนี้ไว้ในห้องนั่งเล่นของสปอนเซอร์ของเขาเป็นเวลากว่า 10 ปี คุณก็ลองนึกเปรียบเทียบเล่นๆว่ามันก็คล้ายๆกับการที่เขาทิ้งหน้ากากทองคำของตุตันคาเมนไว้ในห้องนั่งเล่นของเขาเองนั่นแหละ"

    เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ต้องร้อนไปถึงผู้ เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีอียิปต์ แน่นอนเขาไม่ใช่ ใครที่ไหน ก็ ซาฮี ฮาวาส (Zahi Hawass) เจ้าเก่า เขาออกมาโต้ทันควัน "ข้ออ้างที่กล่าวว่ารูปปั้นพระนางเนเฟอร์ติติเป็นของปลอมนั้น ไม่มีมูลความจริงเลย"


    [​IMG]


    ฮาวาสบอกว่า "สเตียร์ลินไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ เขาเพียงแค่เพ้อ (Delirious) ไปเท่านั้น" และได้อธิบายข้อสังเกตของสเตียร์ลินเป็นเรื่องๆดังนี้

    เรื่องแรกที่สเตียร์ลินอ้างว่าไหล่ของรูปปั้นเป็นแบบศิลปะสมัยปัจจุบัน ฮาวาสแย้งว่า ในช่วงสมัยฟาโรห์อัคเคนาเตนและพระนางเนเฟอร์ติตินั้น เป็นช่วงที่มีศิลปะรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่าศิลปะแบบอมาร์น่า "ดังนั้นศิลปะและรูปปั้นในยุคนี้จึงต้องแตกต่างออกไป"

    สำหรับเรื่องตาข้างซ้ายที่หายไป ฮาวาสโต้ว่า แท้จริงแล้วมันเสียหายไป โดยกล่าวว่า "ช่างปั้นหลวงทุตโมสได้ใส่ตาของรูปปั้นไว้ทั้ง 2 ข้างแล้ว แต่ว่าภายหลังตาข้างหนึ่งได้ถูกทำลายไป" แต่เขาก็ไม่ได้อ้างหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าตาข้างซ้ายถูกทำลายไปจริงแต่อย่างใด

    เรื่องสุดท้ายคือ เรื่องรายงานอย่างเป็นทาง การของรูปปั้น ที่ออกมาหลังจากการค้นพบครั้งแรกถึง 11 ปี ฮาวาส เห็นด้วยกับเรื่องรายงานนี้ แต่ก็ยังอ้างว่านักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสในการดูแลของกรมโบราณคดีอียิปต์ไม่ได้อยู่ที่เมืองอมาร์น่า ณ เวลาที่อ้างว่ามีการค้นพบรูปปั้นของเนเฟอร์ติติ

    เชื่อกันว่าสาเหตุที่รูปปั้นไปอยู่ที่เยอรมันนั้น เป็นเพราะว่าบอร์ชาร์ดท์ได้ลักลอบนำมันออกไปจากอียิปต์ โดยเขาได้นำรูปปั้นไปเก็บไว้ที่ไคโร ก่อนที่จะซ่อนมันไว้ท่ามกลางบรรดาเศษหม้อที่จะนำไปซ่อมแซมที่เบอร์ลิน และหลังจากนั้นมา รูปปั้นรูปนี้ก็ถูกตั้งแสดงอยู่ที่เบอร์ลิน

    ในเรื่องนี้ฮาวาสชี้แจงว่า จริงๆแล้วบอร์ชาร์ดท์ได้ทำรายงานเกี่ยวกับรายละเอียดของรูปปั้นเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และบันทึกของเขาก็บรรยายได้อย่างถูกต้องน่าเชื่อถือเสียด้วย

    ท้ายสุด ฮาวาสปิดประเด็นไว้ว่า "เร็วๆนี้ผมจะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับรูปปั้นรูปนี้ว่าถูกลักลอบเอาออกไปจากอียิปต์ได้อย่างไร เพื่อที่เราจะได้นำมันกลับมาสู่เจ้าของที่แท้จริง"

    สรุป รูปปั้นพระนางเนเฟอร์ติติก็ยังอยู่ ระหว่างการถกเถียงกันของผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย และยังไม่มีการสรุปว่ารูปปั้นนี้เป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่ แต่ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเช่นไร รูปปั้นรูปนี้ก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความงดงามของสตรีอียิปต์โบราณได้อย่างไม่เสื่อมคลาย.
    ทีมงาน ต่วย'ตูน
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาแจ้งข่าวเรื่องของการแจกพระพิมพ์ของท่านที่สมัครชมรมพระวังหน้า

    พระสมเด็จ Top of the top 4 ที่ผมจะแจกฟรี(แต่มีเงื่อนไข) ผมเองมีอยู่ประมาณ 200 กว่าองค์ ซึ่งพระสมเด็จรุ่นนี้ เป็นรุ่นที่สร้างที่วังหน้า นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ได้อาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม อธิษฐานจิต

    ผมยืนยันว่า ต้องสมัครสมาชิกชมรมเท่านั้น ผมจึงจะแจกฟรี(แต่มีเงื่อนไข)ครับ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอแก้ไขจำนวนนิดนึงครับ

    ผมมีจำนวน 300 กว่าองค์ครับ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พุทธประวัติ

    ที่มา กระปุก


    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก learntripitaka.com,

    "ศาสนาพุทธ" เป็นศาสนาประจำชาติไทยของเรา แล้วมีสักกี่คนเอ่ย...ที่ทราบถึงประวัติของ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ผู้ทรงเป็น "พระศาสดา" ของ "พระพุทธศาสนา" วันนี้กระปุกจึงนำเรื่องราวพุทธประวัติมาฝากกันค่ะ

    พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรือผู้ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ และ "พระนางสิริมหามายา" พระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

    ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา พระนางทรงพระสุบินนิมิตว่า มีช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม ก่อนที่พระนางจะมีพระประสูติกาล ที่ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน เมื่อวันศุกร์ ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนวิสาขะ ปีจอ 80 ปีก่อนพุทธศักราช (ปัจจุบันสวนลุมพินีวันอยู่ในประเทศเนปาล)

    ทันทีที่ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา" แต่หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้แล้ว 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสวรรคาลัย เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความดูแลของพระนางประชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา

    ทั้งนี้ พราหมณ์ ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ หากดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน


    [​IMG] ชีวิตในวัยเด็ก

    เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบศิลปศาสตร์ทั้ง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร และเนื่องจากพระบิดาไม่ประสงค์ให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบเห็นแต่ความสุข โดยการสร้างปราสาท 3 ฤดู ให้อยู่ประทับ และจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์

    เมื่อมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา หรือยโสธรา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา จนเมื่อมีพระชนมายุ 29 พรรษา พระนางพิมพาได้ให้ประสูติพระราชโอรส มีพระนามว่า "ราหุล" ซึ่งหมายถึง "บ่วง"


    [​IMG] เสด็จออกผนวช


    [​IMG]


    วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อความจำเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถีทรงรถม้าประพาสอุทยาน ครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต (ทูตสวรรค์) ที่แปลงกายมา พระองค์จึงทรงคิดได้ว่า นี่เป็นธรรมดาของโลก ชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ จึงทรงเห็นว่าความสุขทางโลกเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น และวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ คือต้องครองเรือนเป็นสมณะ ดังนั้นพระองค์จึงใคร่จะเสด็จออกบรรพชา ในขณะที่มีพระชนม์ 29 พรรษา

    ครานั้นพระองค์ได้เสด็จไปพร้อมกับนายฉันทะ สารถี ซึ่งเตรียมม้าพระที่นั่ง นามว่ากัณฑกะ มุ่งตรงไปยังแม่น้ำอโนมานที ก่อนจะประทับนั่งบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลี่ยนชุดผ้ากาสาวพัตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) และให้นายฉันทะ นำเครื่องทรงกลับพระนคร ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่) ไปโดยเพียงลำพัง เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ


    [​IMG] บำเพ็ญทุกรกิริยา

    หลังจากทรงผนวชแล้ว พระองค์มุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพ้นทุกข์ ด้วยการศึกษาค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร แต่เมื่อเรียนจบทั้ง 2 สำนักแล้ว ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

    จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยการขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร จนร่างกายซูบผอม แต่หลังจากทดลองได้ 6 ปี ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา และหันมาฉันอาหารตามเดิม ด้วยพระราชดำริตามที่ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย 3 วาระ คือดีดพิณสายที่ 1 ขึงไว้ตึงเกินไปเมื่อดีดก็จะขาด ดีดพิณวาระที่ 2 ซึ่งขึงไว้หย่อน เสียงจะยืดยาดขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดท้ายที่ขึงไว้พอดี จึงมีเสียงกังวานไพเราะ ดังนั้นจึงทรงพิจารณาเห็นว่า ทางสายกลางคือไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป นั่นคือทางที่จะนำสู่การพ้นทุกข์

    หลังจากพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ ที่มาคอยรับใช้พระองค์ด้วยความคาดหวังว่าเมื่อพระองค์ค้นพบทางพ้นทุกข์ จะได้สอนพวกตนให้บรรลุด้วย เกิดเสื่อมศรัทธาที่พระองค์ล้มเลิกความตั้งใจ จึงเดินทางกลับไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตำบลสารนาถ เมืองพาราณสี


    [​IMG] ตรัสรู้



    [​IMG]

    ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ

    ยามต้น หรือปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ สามารถระลึกชาติได้

    ยามสอง ทางบรรลุจุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) คือ รู้เรื่องการเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรมที่กำหนดไว้

    ยามสาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ หรือกิเลส ด้วยอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค และได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นศาสดาเอกของโลก ซึ่งวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ขณะที่มีพระชนม์ 35 พรรษา


    [​IMG] แสดงปฐมเทศนา

    หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มาเป็นเวลา 7 สัปดาห์ และทรงเห็นว่าพระธรรมนั้นยากต่อบุคคลทั่วไปที่จะเข้าใจและปฏิบัติได้ พระองค์จึงทรงพิจารณาว่า บุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวกอย่าง บัว 4 เหล่า ที่มีทั้งผู้ที่สอนได้ง่าย และผู้ที่สอนได้ยาก พระองค์จึงทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบส ผู้เป็นพระอาจารย์ จึงหวังเสด็จไปโปรด แต่ทั้งสองท่านเสียชีวิตแล้ว พระองค์จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 ที่เคยมาเฝ้ารับใช้ จึงได้เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

    ธรรมเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงธรรมคือ "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป ซึ่งถือเป็นการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา

    ในการนี้พระโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่า "อัญญาสิ วตโกณฑัญโญ" แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้ว ท่านโกณฑัญญะ จึงได้สมญาว่า อัญญาโกณฑัญญะ และได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา โดยเรียกการบวชที่พระพุทธเจ้าบวชให้ว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"

    หลังจากปัญจวัคคีย์อุปสมบททั้งหมดแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์จึงสำเร็จเป็นอรหันต์ในเวลาต่อมา


    [​IMG] การเผยแผ่พระพุทธศาสนา

    ต่อมาพระพุทธเจ้าได้เทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกุลบุตร รวมทั้งเพื่อนของยสกุลบุตร จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวม 60 รูป

    พระพุทธเจ้าทรงมีพระราชประสงค์จะให้มนุษย์โลกพ้นทุกข์ พ้นกิเลส จึงตรัสเรียกสาวกทั้ง 60 รูป มาประชุมกัน และตรัสให้พระสาวก 60 รูป จาริกแยกย้ายกันเดินทางไปประกาศศาสนา 60 แห่ง โดยลำพัง ในเส้นทางที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ในหลายพื้นที่อย่างครอบคลุม ส่วนพระองค์เองได้เสด็จไปแสดงธรรม ณ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม

    หลังจากสาวกได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ต่างๆ ทำให้มีผู้เลื่อมใสพระพทุธศาสนาเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงทรงอนุญาตให้สาวกสามารถดำเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ "ติสรณคมนูปสัมปทา" คือ การปฏิญาณตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย พระพุทธศาสนาจึงหยั่งรากฝังลึกและแพร่หลายในดินแดนแห่งนั้นเป็นต้นมา


    [​IMG]เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน



    [​IMG]


    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงสดับว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรินิพพาน จึงได้ทรงปลงอายุสังขาร ขณะนั้นพระองค์ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวลาสี แคว้นวัชชี โดยก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 1 วัน พระองค์ได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะทำถวาย แต่เกิดอาพาธลง ทำให้พระอานนท์โกรธ แต่พระองค์ตรัสว่า "บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และปรินิพพาน" และมีพระดำรัสว่า "โย โว อานนท ธมม จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต โส โว มมจจเยน สตถา" อันแปลว่า "ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยอันที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว"

    พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก แต่ทรงอดกลั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนั้น พระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพาชก ซึ่งถือได้ว่า "พระสุภภัททะ" คือสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และปุถุชนจากแคว้นต่างๆ รวมทั้งเทวดา ที่มารวมตัวกันในวันนี้

    ในครานั้นพระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" (อปปมาเทน สมปาเทต)

    จากนั้นได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราช


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG] , learntripitaka.com, watsansai.igetweb.com


    �ط�����ѵ� ��ҹ �ط�����ѵԢͧ��оط����� ��ԡ���
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนัดพบกัน มีอยู่ 2 เรื่องหลักๆที่จะคุยกันก็คือ เรื่องการตั้งชมรม และการสร้างล็อกเก็ต
    ส่วนเรื่องของการไปตำมวลสาร ผมต้องขอดูก่อนว่า พี่จิ๋วเดินทางกลับไปที่ชลบุรีหรือยัง หากว่าพี่จิ๋วยังไม่เดินทางกลับไปที่ชลบุรี ผมอาจจะเลื่อนการตำมวลสารกันออกไปก่อน หรือว่า ท่านที่ไปกันในวันนัดพบกัน มีความประสงค์ที่จะร่วมกันตำมวลสาร ผมจะเตรียมอุปกรณ์ไปให้พร้อมครับ

    มีความเห็นกันอย่างไรครับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นำมาให้อ่านกันก่อน สำหรับข้อบังคับของสมาชิกชมรม ในส่วนที่เป็นส่วนสำคัญของข้อบังคับชมรม

    ผมพยายามจะคัดกรองสำหรับท่านที่สมัครสมาชิกชมรม เนื่องจากที่ผมเคยบอกไว้ว่า จะพยายามคัดท่านที่มีความสนใจจริงๆ มีความศรัทธาจริงๆ ฯลฯครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2.JPG
      2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      96.8 KB
      เปิดดู:
      785
    • 3.JPG
      3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      58 KB
      เปิดดู:
      772
    • 4.JPG
      4.JPG
      ขนาดไฟล์:
      68.4 KB
      เปิดดู:
      4,142
    • 1.JPG
      1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      52.4 KB
      เปิดดู:
      4,227
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2009
  13. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ได้จัดส่งพระผงกำลังจักรพรรดิ จำนวน 525 องค์ เพื่อนำไปเข้าพิธีเป่ายันต์
    เกราะเพชร และ ถวายหลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน ในวันเสาร์ที่ 27 มิย 52

    ผมขอน้อมอุทิศ กุศลผลบุญ แก่กัลยาณมิตร ทุกท่าน ครับ
     
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้เดินทางไปจ.จันทบุรีทำบุญ ๔ วัด

    -ร่วมบุญชำระหนี้สงฆ์ ค่าไฟ-ค่าน้ำ ถวายสังฆทาน สนส.พระยาวิสูตรโกษา(ต่อไปคงได้บอกเล่ารายละเอียด)
    -ร่วมบุญสร้างมหาเจดีย์จันทบุรีศรีนพรัตน์ และฉัตร วัดป่าคลองกุ้ง
    -ร่วมบุญค่าไฟ-ค่าน้ำ วัดทรายงาม(ต่อไปคงได้บอกเล่าในรายละเอียด)
    -ร่วมบุญกับแม่ชีติ๋ง อายุ ๑๐๓ ปี วัดมณีคีรีวงก์

    วัดทั้ง ๔ นี้มีความเกี่ยวพันกับพระกรรมฐานในสายของพระอาจารย์มั่น ภูริฑัตโต
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ส่วนพระพิมพ์ที่ผมจะมอบให้ฟรี(แต่มีเงื่อนไข)นั้น เพื่อเป็นกำลังใจในการทำความดี ตามวัตถุประสงค์การตั้งชมรม และเพื่อไว้ศึกษา เนื้อหาทรงพิมพ์ ว่าเป็นอย่างไรครับ

    ผมจะพยายามหามาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้กระทั่งพระพิมพ์ที่บุทอง , เงิน , นาค ก็จะมอบให้ฟรี(แต่มีเงื่อนไข)ด้วยเช่นกัน

    ถึงแม้ว่า จะมีท่านที่สมัครเพียงไม่กี่ท่าน ก็ไม่เป็นไร การเริ่มก้าวเดินต้องมีอุปสรรคต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นท่านที่สมัคร หรือ ท่านที่กำลังตัดสินใจสมัคร หรือ ขอไปพิจารณาดูก่อนว่า จะทำได้ หรือไม่ได้

    แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องสามารถพิสูจน์ได้ ด้วยตัวของท่านเอง หรือ ผู้ทรงฌาณ หรือ ผู้ทรงญาณครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  16. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  17. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113

    อนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ศธ.ตั้งกรรมการสอบ รับน้องโหด จุรินทร์ ขีดเส้น 2 วันรู้ผล

    ��෹���� �ѡ�֡����ͧ��蹾�� �Ѻ��ͧ �˴

    ที่มา กระปุก


    [​IMG]




    เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แถลงข่าวกรณี น.ส.บุษ (นามสมมติ) อายุ 18 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย สาขาวิชาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม เข้าขอความช่วยเหลือ หลังถูกรุ่นพี่บังคับให้กินกระดาษในการรับน้อง พร้อมขู่ไม่ให้บอกอาจารย์ ไม่อย่างนั้นจะโดนหนักกว่าเดิม

    โดย น.ส.บุษ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนรู้สึกดีใจมากที่สามารถสอบเข้าอุเทนถวายได้ และตั้งแต่เปิดเรียนวันแรกเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ทุกๆ เย็น รุ่นพี่จะพาน้องเข้าร่วมกิจกรรมการรับน้อง ซึ่งตนและเพื่อนๆ ถูกรุ่นพี่บังคับให้กินกระดาษที่มีหมึกปากกาเขียนอยู่เต็มแผ่น โดยให้ฉีกแบ่งกันอมจนหมึกละลาย แล้วให้กลืนลงไป หากใครทำไม่ได้หรือไม่ยอมทำตามจะถูกลงโทษ และเพื่อนบางคนเคยประสบอุบัติเหตุที่ศีรษะอย่างรุนแรง ได้แจ้งให้รุ่นพี่ทราบ แต่กลับถูกรุ่นพี่ตบที่ศีรษะอย่างแรงอีกหลายครั้ง ขณะที่เพื่อนบางคนก็ประสบอุบัติเหตุขาหัก ต้องดามเหล็กที่ขา ไม่สามารถทำกิจกรรมตามที่รุ่นพี่สั่งได้ ก็ถูกรุ่นพี่ลงโทษหนักกว่าเดิมอีก และแต่ละวันจะมีรุ่นพี่มาประกบคอยคุมตลอดเวลา​


    [​IMG]



    "บางวันรุ่นพี่ทำโทษด้วยการให้กินพริกขี้หนูสด 1 ถ้วยเต็มๆ โดยห้ามกินน้ำเด็ดขาด เพื่อนหลายคนถึงกับร้องไห้ออกมา ล่าสุดรุ่นพี่ได้สั่งให้รุ่นน้องทุกคนนำอาวุธพกติดตัวมาด้วย อีกทั้งยังปลูกฝังให้รุ่นน้องมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน โดยบอกว่า สถาบันเทคโนโลยีปทุมวันคือศัตรูของอุเทนถวาย ซึ่งตนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตอนนี้รุ่นพี่ได้บอกรุ่นน้องทุกคนให้เตรียมตัวไปรับน้องที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ในช่วงสิ้นเดือนนี้ พร้อมกำชับห้ามไปบอกอาจารย์เด็ดขาด หากอาจารย์รู้รุ่นน้องทุกคนต้องรับโทษหนัก ทำให้ตนและเพื่อนรู้สึกกลัวมาก และไม่อยากไปเรียนอีก จึงตัดสินใจเข้าร้องทุกข์กับมูลนิธิปวีณา ตอนนี้มีเพื่อน 20 กว่าคน ทนไม่ได้ต้องลาออกไป" น.ส.บุษ กล่าว​

    ขณะที่นายสมพงษ์ ชีไธสง คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย เปิดเผยว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด อย่างไรก็ตาม ช่วงก่อนเปิดภาคเรียนได้กำชับอาจารย์และผู้เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งออกประกาศห้ามรับน้องที่รุนแรง และเรียกประชุมรุ่นพี่เพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน ยืนยันว่า เตรียมพร้อมป้องกันปัญหาจากการรับน้องเป็นอย่างดี แต่ยอมรับว่า ยังมีอดีตนักศึกษาบางกลุ่มที่ออกจากสถาบันไปแล้ว พยายามเข้ามาแทรกซึม และปลูกฝังให้เกลียดชังนักศึกษาสถาบันอื่น​

    อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยก่อนเป็นประธานประชุมผู้บริหารองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ว่า ได้ให้นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) รายงานความคืบหน้ากรณีการรับน้องโหดของมหาวิทยาเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ต่อที่ประชุม ซึ่งเบื้องต้นได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยมีนายสรรค์ วรอินทร์ ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เป็นประธาน และให้เร่งดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 1 - 2 วัน

    หากพบว่าผู้บริหาร อาจารย์ นักศึกษา หรือมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกระทำผิดจริงก็จะดำเนินการลงโทษอย่างจริงจัง เพราะได้ออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมรับน้องอย่างชัดเจนไปตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา รวมทั้งได้เรียกประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับตัวแทนสถาบันต่างๆ ไปแล้ว ดังนั้น เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ก็ต้องให้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเข้าไปสอบสวน ​

    "หากพบว่ามีความผิดจริงไม่ต้องเป็นห่วง คนทำผิดจะต้องถูกลงโทษทั้งทางวินัยและอาญา" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าว

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก ข่าวสด ไทยรัฐ
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สมัยก่อน(ประมาณ 20 กว่าปี) ผมเคยนั่งรถเมล์กลับบ้าน มีเด็กช่างกลนั่งเก้าอี้ที่ติดหน้าต่าง ผมนั่งอยู่เบาะเดียวกัน ตอนนั้นเวลาประมาณ ทุ่มกว่าๆ มีเด็กช่างกล(อีกสถาบัน) วิ่งถือมีด(สปาร์ต้า) , อีดาบ และไม้ เข้ามาตีบริเวณที่เด็กช่างกล(ที่นั่งข้างๆผม)นั่งอยู่ และตีเด็กช่างกล(อีก 2 คน)ที่นั่งท้ายรถ คนขับรถเมล์เขารีบปิดประตูรถเมล์ ผมเองก็โมโหมาก ตะโกนด่าไปว่า พวกนี้นี่ไม่เก่งจริง ถ้าเก่งจริงให้ปืน M 16 จะเอากี่กระบอก จะเอาระเบิดกี่ลูก จะเอาไม้กี่อันหรือมีดกี่เล่ม แล้วลงไปอยู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปอารักขาชาวบ้าน พวกนี้เอาไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ไปเป็นเป้านิ่งให้กับกลุ่มก่อความไม่สงบ หรือไปอยู่ตามชายแดนเช่น ตาพระยา ฯลฯ เอาไปเป็นเป้านิ่งให้ทหารเขมรยิ่งเล่นๆ

    คนพวกนี้ ทางตำรวจต้องจับผู้ที่ก่อเหตุมาดำเนินคดี หากจับไม่ได้และยังมีเหตุเกิดในลักษณะนี้ ก็ให้ยุบสถาบันไป เนื่องจากทางครูอาจารย์ไม่มีประสิทธิภาพในการอบรม แล้วถ้าเป็นลูกหลานของครูอาจารย์แล้วโดนในลักษณะนี้บ้าง จะคิดและทำอย่างไร

    ผมเองเคยเป็นวัยรุ่น แต่ก็ไม่ได้เฮี้ยวมากขนาดนี้ มีหนทางอื่นๆอีกมากที่สามารถทำได้ เช่น การเล่นกีฬา หรือ การเล่นดนตรี หรืออื่นๆอีกมากมาย

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาดูแลรักษาระบบเบรกกันเถอะ

    ������ ������Ѻ �Ҵ����ѡ���к���á�ѹ����

    ที่มา กระปุก



    [​IMG]


    มาดูแลรักษาระบบเบรกกันเถอะ (Lisa)

    จะเกิดอะไรขึ้นหากระบบเบรกไม่ทำงาน? . . .และเพื่อเป็นการถนอมให้เบรกมีอายุการใช้งานได้ยาวนาน มีประสิทธิภาพดีอยู่ตลอดเวลา เราจึงควรรู้วิธีดูแลรักษาที่ถูกต้อง

    การตรวจสอบและเติมน้ำมันเบรก น้ำมันเบรกเป็นส่วนประกอบสำคัญอันหนึ่งในการเบรก ฉะนั้น จึงควรตรวจสอบให้อยู่ในระดับที่พอดีเสมอ หากปล่อยให้น้ำมันเบรกแห้งหรือรั่วไหลออกไปจนหมดหรือเหลือน้อย การเบรกอาจไม่มีประสิทธิภาพ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

    ขั้นตอนการเติมน้ำมันเบรก

    [​IMG] 1. เปิดฝากระโปรงรถแล้วตรวจเช็กระดับของน้ำมันเบรกในถ้วยน้ำมันเบรก ซึ่งจะติดอยู่บริเวณชิดกับตัวถังรถในส่วนที่ติดกับกระจก ถ้าระดับน้ำมันเบรกอยู่ที่ระดับ Max ก็ยังไม่ต้องเติมน้ำมันเบรก แต่ถ้าอยู่ที่ Min ต้องเติมน้ำมันเบรกให้ถึงเส้น Max

    [​IMG] 2. ห้ามเติมน้ำมันเบรกเกินระดับ Max เพราะจะทำให้น้ำมันเบรกกระฉอกเวลารถวิ่ง ซึ่งน้ำมันเบรกจะทำปฏิกิริยากับสีรถหรือบริเวณใกล้เคียงให้เสียหายได้

    [​IMG] 3. ก่อนเปิดฝาน้ำมันเบรกให้เช็ดทำความสะอาดบริเวณฝาปิด-เปิด ให้สะอาด เพื่อป้องกันเม็ดทราย หรือละอองต่างๆ ตกลงไป ซึ่งอาจทำให้ระบบเบรกเสียหายได้

    [​IMG] 4. ปิดฝาให้เรียบร้อย อย่าลืม ก่อนปิดฝาต้องทำความสะอาดบริเวณฝาปิดถ้วยน้ำมันเบรกด้วย

    [​IMG] 5. การดูแลรักษาระดับน้ำมันเบรกและเติมน้ำมันเบรก ให้ดูทุกๆ 3 วัน อย่าทิ้งให้นาน เพราะปริมาณน้ำมันเบรกจะลดลงในการใช้งานทุกครั้ง จึงต้องหมั่นดูแล

    ข้อควรระวัง : น้ำมันเบรกสามารถทำปฏิกิริยากับสีรถได้ ฉะนั้น เมื่อทำหกหรือหยดลงบริเวณตัวถังรถ ควรรีบเช็ดให้แห้งทันที อย่าปล่อยไว้ เพราะจะทำให้สีถลอกได้ และห้ามวางขวดน้ำมันเบรกบนฝากระโปรงรถ ควรจะมีการเช็กถึงคุณสมบัติของน้ำมันเบรก เมื่อรถยนต์วิ่งได้ประมาณ 10,000 กิโลเมตร และเช็กทุก 10,000 กิโลเมตร จนถึง 40,000 กิโลเมตร จึงถ่ายน้ำมันเบรกเก่าออก แล้วเติมน้ำมันเบรกใหม่ลงไปแทนที่

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]

    ประจำวันพุธที่ 27 เดือนพฤษภาคม 2552
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Shutterstock.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...