ลักษณะของจิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 24 พฤษภาคม 2009.

  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    ความหมาย และ ลักษณะของจิต.



    .
    .
    .



    การฟัง "เรื่องสภาพธรรม"

    เพื่อให้ "สติ" ระลึก ถูกต้อง

    และ " ปัญญา" ก็สามารถที่จะ "เพิ่มความรู้"

    (หมายถึง) ความรู้

    คือ "ปัญญา" ที่รู้ใน "ลักษณะ"

    ของสภาพธรรม "ที่กำลังปรากฏ"

    (เพื่อให้เข้าใจ)
    มากยิ่งขึ้น.



    .



    เพราะเหตุว่า
    ......ก่อนที่จะได้ศึกษาพระธรรม


    [​IMG] ดูเหมือนว่า ท่านกำลังอยู่ในโลก
    ...........?


    [​IMG] กำลังประสบ พบเห็น สิ่งต่างๆในโลก
    ...
    .?


    แต่ว่า
    ..........ตามความเป็นจริง

    สิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็น "โลก" ทั้งหมด

    ที่กำลังปรากฏ ทางตา

    ที่ปรากฏ ทางหู ที่ปรากฏ ทางลิ้น ที่ปรากฏทางกาย นั้น.


    [​IMG] ถ้าหาก ไม่มีสภาพรู้
    ........?


    คือ


    สภาพรู้
    ...........ที่กำลัง "เห็น"

    สภาพรู้
    .......ที่กำลัง "ได้ยิน"

    สภาพรู้
    ......ที่กำลัง"ได้กลิ่น"

    สภาพรู้
    ..........ที่กำลัง "รู้รส"

    "สภาพรู้"
    .....ที่กำลัง "รู้สิ่งที่สัมผัสเย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว"


    และ


    "สภาพรู้"
    .....ที่กำลัง "คิดนึก" ถึง "เรื่องราวของที่ปรากฏ"

    ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และ ทางกาย
    ......



    [​IMG] "โลก" จะมีได้........?



    .



    ที่เข้าใจ ว่าเป็น "โลก"
    ....นี้

    ย่อมจะ "ไม่ปรากฏ" เลย
    ...........



    [​IMG] ถ้าไม่มี "สภาพรู้"...............?



    .



    [​IMG] แต่ เคยนึกถึงบ้าง
    .....?


    ว่า ขณะที่กำลังเห็น ขณะที่กำลังได้ยิน ขณะที่กำลังได้กลิ่น

    ขณะที่กำลังรู้รส ขณะที่กำลังกระทบสัมผัส และ คิดนึก


    แท้จริงแล้ว
    ......."โลก" ปรากฏได้

    เพราะว่า มี "สภาพรู้".!


    ซึ่ง พระผู้มีพระภาคฯ ทรงบัญญัติศัพท์

    เรียก "สภาพรู้" ว่า "จิต"



    ซึ่ง ถ้าคิดถึง "ภาษาไทย"

    คำว่า "จิต" หรือ "ใจ" นี่

    ดูเหมือนทุกท่าน จะเข้าใจดี ว่า ทุกท่าน มี "จิต" มี "ใจ"


    [​IMG] แต่ว่า นั่นเป็นแต่เพียง "ความคิดเรื่องจิต"
    .............?



    .



    เพราะเหตุว่า

    [​IMG] ท่าน ยัง "ยึดถือ" จิตใจของท่าน ว่า "เป็นเรา"
    ......?



    .




    แต่ ให้ทราบว่า.....ตามความเป็นจริงนั้น

    (จิต) เป็นเพียง "สภาพรู้"


    [​IMG] มีใคร สามารถที่จะค้นพบ "สภาพรู้" นี้ได้หรือไม่
    .......?



    .



    บางท่าน ต้องการ "วัตถุ" สิ่งหนึ่ง สิ่งใด
    ................

    ไม่ว่าจะเป็น แก้ว แหวน เงินทอง เพชรนิลจินดา ฯลฯ

    ท่านก็รู้ แหล่ง ที่จะพบ วัตถุ นั้นๆ ได้จากที่ไหน
    ........

    อาจจะเป็นในโลกนี้ คือ ในป่า ในเขา ใต้ดิน ฯลฯ

    หรือแม้แต่ นอกโลกออกไป

    ท่านก็สามารถที่จะหามาได้.!



    [​IMG] แต่ว่า ท่านสามารถจะหา "จิต" พบหรือไม่
    .....?


    [​IMG] ท่านจะหา "จิต" นี่ หาได้จากไหน
    .......
    .?



    .



    เพราะว่า "จิต" เป็น "สภาพรู้"

    ที่เกิดขึ้นแล้ว ต้องรู้ สิ่งหนึ่ง สิ่งใด (อารมณ์)
    ....
    ที่กำลังปรากฏ.


    แล้วก็ ดับ หมดไป ทันที.!



    นี่คือ

    "ลักษณะที่แท้จริงของจิต"

    ซึ่งเป็น

    "สภาพรู้"



    เพราะฉะนั้น

    "การค้นหาจิต"

    ก็ไม่ใช่การที่จะไปค้นหาจิตภายนอก ณ สถานที่หนึ่งที่ใด

    แต่ เป็น "การระลึกรู้
    ...สภาพที่กำลังรู้".!


    เช่น

    ขณะที่กำลัง "เห็น" ขณะนี้

    เป็น "จิต" ชนิดหนึ่ง

    ซึ่งรู้ "สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา"


    แต่ว่า
    ......."จิตเห็น"

    กระทบสัมผัสด้วยมือ หรือ ด้วยปสาทอื่นใด ไม่ได้.!


    เป็นเพียง "สภาพรู้" หรือ "ธาตุรู้"

    ที่รู้ได้ เพียง "สิ่งที่ปรากฏทางตา" เท่านั้น.


    และเมื่อเกิดแล้ว ตามเหตุ ตามปัจจัย

    ก็ต้องดับไปอย่างรวดเร็ว.




    แต่ว่า...."สภาพรู้" มีจริง

    และ

    เป็นสภาพธรรม ที่มีความสำคัญมาก.!



    เพราะเหตุว่า........

    ถึงแม้ว่า วัตถุภายนอก ที่เป็น "รูปธรรมทั้งหลาย"

    จะปรากฏ เป็น ความวิจิตรต่างๆ สักเพียงไรก็ตาม


    ถ้า "สภาพรู้" ไม่เกิดขึ้น
    ........แล้ว"รู้" (อารมณ์ คือ รูปธรรมทั้งหลาย)

    สิ่งต่างๆ (คือรูปธรรมทั้งหลาย) เหล่านั้น ก็ "ไม่ปรากฏ" (กับจิตหรือสภาพรู้)

    และ (รูปธรรมทั้งหลาย)......
    จะไม่มีความหมายอะไรเลย.!


    .


    แต่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง รอบตัวท่านนี้


    [​IMG] ดูเป็นสิ่งที่สำคัญ
    .........?

    [​IMG] ท่านมีความผูกพัน
    ......
    .?


    [​IMG] ท่านมีความหวัง มีความต้องการ มีความปรารถนา

    ในสิ่งที่ปรากฏทางตา ในเสียงที่ปรากฏทางหู

    ในรสที่ปรากฏทางลิ้น ในกลิ่นที่ปรากฏทางจมูก

    ในการสัมผัสที่ปรากฏทางกาย
    ......................
    .?


    .



    แต่ ให้ทราบว่า
    ...............

    ถ้า "จิต" ซึ่งเป็น "สภาพรู้" ไม่เกิดขึ้น และ "รู้อารมณ์" นั้นๆ

    ก็ไม่มี "การรับรู้" อะไรทั้งสิ้น.!



    [​IMG] ดี หรือ ไม่ดี
    .................?


    [​IMG] ท่านผู้ฟังบางท่าน
    ...ส่ายหน้า

    บอกว่าไม่ดี
    ...ใช่ไหม....
    .?



    เพราะฉะนั้น

    ก็จะต้องมีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการรู้รส

    มีการกระทบสัมผัสทางกาย และ มีการคิดนึก
    ...(ต่อไปเรื่อยๆ)



    [​IMG] แต่ ทุกอย่าง "ไม่เที่ยง"........?



    ท่านชินกับการเห็น ชินกับการได้ยิน ชินกับการได้กลิ่น

    ชินกับการรู้รส ชินกับการกระทบสัมผัส

    และ ชินกับการที่จะคิดนึกถึงเรื่องต่างๆ

    ในวันหนึ่ง ๆ ในชาติหนึ่ง ๆ

    ในความเป็นบุคคลหนึ่ง ๆ ในภพหนึ่ง ชาติหนึ่ง.



    .



    [​IMG] ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น

    ไม่มีการรู้รส ไม่มีการกระทบสัมผัส

    ไม่มีการคิดนึกถึงเรื่องราวต่างๆ

    (ท่านผู้ฟัง) คิดว่า เป็นอย่างนี้แล้ว
    ...ไม่ดี.!


    [​IMG] ใช่ไหม
    .......
    .?



    แต่ความจริง

    เพียงแต่ "จิต" ไม่เกิดขึ้น อีกต่อไป.!


    (คือ) ไม่มีการที่จะเห็น ไม่มีการที่จะได้ยิน ไม่มีการที่จะรู้รส

    ไม่มีการที่จะกระทบสัมผัส

    และ ไม่มีการที่จะคิดนึกถึงเรื่องราวจากสิ่งที่ปรากฏใดๆ เลย.!



    [​IMG] ไม่ปรากฏอะไรเลย
    จะดีไหม.....?


    [​IMG] จะสงบหรือไม่....?



    ไม่ต้องมีอะไรปรากฏเลย.!

    เพราะว่า
    ...........ดับสนิท.!



    [​IMG] ต้องการอย่างนี้หรือเปล่า
    ....?
     
  2. Premsuda (May)

    Premsuda (May) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +646
    เมย์เห็นด้วยค่ะ เพราะถ้าไม่ต้องมีจิตที่จะต้องรับรู้อะไร
    ความทุกข์ต่างๆใน 31 ภพภูมิ ก็ไม่เกิดอีกเลย ดับสนิท
    เหมือนเทียนดับ

    อนุโมทนาค่ะ
     
  3. toangsg

    toangsg สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +2
    จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยจิต
     
  4. denki

    denki เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +172
    อนุโมทนา สาธุ เรื่องจิตต้องหมั่นปฎิบัติครับ บางอย่างอธิบายไม่ได้ด้วยคำพูด ปฏิบัติแล้วจะรู้เอง ครับ<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2009
  5. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ใน ธาตุวิภังคสูตร มีกล่าวไว้ว่า

    รูปร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วย ธาตุ ๖
    คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และ วิญญาณธาตุ(ธาตุรู้ = จิต)
    ......

    เพราะมีธาตุรู้ = จิต มนุษย์จึงรู้อะไรได้
    จัดเป็นอุปาทินกสังขาร สังขารมีจิตครอง

    ต่างจากรูปชนิดอื่นๆ ที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    เพราะไม่มีธาตุรู้ รูปชนิดอื่นจึงรู้อะไรไม่ได้ เช่น ก้อนหิน ดิน ทราย
    จัดเป็นอนุปาทินกสังขาร สังขารไม่มีจิตครอง


    รูปกายมนุษย์ มี อายตนะภายใน ๖ เป็นช่องทางของจิตในการรับรู้ อารมณ์
    (รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ธรรมารมณ์)

    จิตเมื่อรับรู้อารมณ์ ทำให้เกิดอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์
    (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) ดังนี้

    อายตนะภายนอก ๖ (รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส ธรรมารมณ์)
    เข้าสู่จิตได้ทาง อายตนะภายใน ๖ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ) เป็นคู่เรียงตามลำดับ

    ทำให้เกิด วิญญาณ ๖ คือ
    ตา+รูป เกิดวิญญาณทางตา การรับรู้อารมณ์ทางตา (รูปารมณ์)
    หู+เสียง เกิดวิญญาณทางหู การรับรู้อารมณ์ทางหู (สัททารมณ์)
    จมูก+กลิ่น เกิดวิญญาณทางจมูก การรับรู้อารมณ์ทางจมูก (คันธารมณ์)
    ลิ้น+รส เกิดวิญญาณทางลิ้น การรับรู้อารมณ์ทางลิ้น (รสารมณ์)
    กาย+กายสัมผัส เกิดวิญญาณทางกาย การรับรู้อารมณ์ทางกายสัมผัส (โผฏฐัพพารมณ์)
    ใจ+ธรรมารมณ์ เกิดวิญญาณทางใจ การรับรู้อารมณ์ทางใจ (ธรรมารมณ์)

    ทำให้เกิด เวทนา (ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ กับอารมณ์)
    ทำให้เกิด สัญญา (จดจำอารมณ์ ...จำรูป จำเสียง ฯลฯ)
    ทำให้เกิด สังขาร (คิดดี คิดชั่ว คิดไม่ใช่ดี-ไม่ใช่ชั่ว กับอารมณ์) ตามมา

    ครบ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    (อารมณ์ และอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์)

    (smile)
     
  6. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    สามัญสัตว์โลก จิตมีอวิชชาครอบงำ จึงรู้ผิดจากความเป็นจริง หลงยึดอารมณ์เป็นตน
    จิตเมื่อยึดถืออารมณ์ ทำให้เกิด ขันธ์ ๕ ขึ้น ( ดังกล่าวข้างต้น )
    ดังนั้นที่จะไม่ทุกข์เป็นไม่มี เพราะโดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
    (โลก ก็คือ อารมณ์ ก็คือ ทุกข์ ที่เกิดขึ้นที่จิต)

    ในวันนึงๆ ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นที่จิตและดับไปจากจิตตลอดเวลา
    จิตก็เข้าใจว่าตนเองเกิดดับตามขันธ์ ๕ ที่เกิดดับ เพราะไม่รู้จักตนเองนั่นเอง
    เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป จิตก็แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไป ทุกข์จึงเกิดขึ้นที่จิต
    ...

    จึงทรงสอนให้ปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อให้จิตรู้จักอารมณ์ตามความเป็นจริง
    จิตเมื่อไม่ยึดถืออารมณ์ ขันธ์ ๕ ก็ไม่เกิดขึ้นที่จิต ทุกข์ก็ไม่เกิดขึ้นที่จิต

    แต่เนื่องจากยังมีชีวิตอยู่ พระอรหันต์ ยังมีทุกข์กาย อันเกิดจากขันธ์ ๕ อยู่
    แต่เพราะจิตไม่ยึดถืออารมณ์แล้ว ขันธ์ ๕ ไม่เกิดขึ้นที่จิตของท่านแล้ว

    ถึงขันธ์ ๕ จะแปรปรวนไปอย่างไร จิตของท่านก็ไม่ทุกข์
    เพราะจิตไม่แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไป

    (อ้างอิงนกุลปิตาสูตร)
    ปุถุชน กายกระสับกระส่าย จิตกระสับกระส่าย
    พระอริยสาวก กายกระสับกระส่าย จิตหากระสับกระส่ายไม่

    ....

    เพราะจิต ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต

    (smile)
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ลูกลุง จร เดี๋ยวหัวแตกนะชนเสาไฟฟ้าเลย อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2009
  8. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424


    จิตเกิด ในความหมายที่ผมเข้าใจได้ คือ อาการที่เกิดขึ้นจากการที่จิตหลงเข้าไปหน่วงเหนี่ยวยึดถือเอาความคิด (สังขาร) มาเป็นอารมณ์ เพราะความไม่รู้ (อวิชชา) และทำ พูด คิดไปตามอารมณ์นั้น ๆ ​



    จิตเกิด (หรือจิตหลง) ก็เป็นอย่างหนึ่ง จิตไม่เกิด (หรือจิตปกติ จิตไม่หลง) ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วอะไรเป็นตัวเข้าไปรับรู้สภาพธรรม (ชาติ) ทั้งสองนั้น ??? ​

    ระวังสังขารจะหลอกให้เราหลงคอยปิดหูปิดตา ปิดทวารทั้ง ๖ กะจะไม่คิดไม่สังขาร นิพพานแบบง่าย ๆ ระวังนะ ปัญญาอยู่ที่ไหน จะวางปัญญาตั้งแต่ปัญญา (ตัวจริง) ยังไม่เกิดเลยรึ น่าสนใจนะ???​



    ตัวที่เข้าไปรับรู้ในสภาพธรรมทั้งสองนั้นมีอยู่ จะเรียกว่าอะไรก็ช่าง ไม่ต้องสนใจกับศัพท์บัญญัติให้ขัดใจกันก็ได้ ​



    ผู้มีปัญญาเมื่อเข้าใจในอาการอันเป็นเหตุให้จิตเกิดนั้นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งโดยแท้จริงแล้ว และเป็นผู้มีปกติไม่หลงเพลิดเพลินพอใจในภูมิรู้แห่งตน รู้จักสละละวางผู้รู้ทั้งปวงนั้นเสียได้เป็นนิจ ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ละเหตุแห่งการสร้างภพ ชาติของผู้นั้นย่อมน้อยลง จนถึงไม่มีเป็นที่สุดได้​



    พระอรหันต์ตราบใดที่กายของท่านยังไม่แตกดับ ขันธ์ ๕ ย่อมยังคงดำรงอยู่ต่อไป ตาก็ยังทำหน้าที่ดู รับรู้ในรูป หูก็ยังทำหน้าที่ฟัง รับรู้ในเสียง ฯลฯ เพียงแต่ท่านไม่หลงแบกขันธ์ ๕ ไว้ ยังคิดได้เหมือนเดิม แต่คิดในอันที่ไม่ก่อโทษทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น เป็นการคิดเพื่ออนุเคราะห์แก่โลก ขอให้ดูองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง หากคิดไม่ได้เสียแล้ว จะมีคำสอนออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ได้อย่างไร​



    ส่วนเรื่องสภาวะนิพพานหลังสังขารร่างกายแตกดับจะเป็นเช่นไรนั้น เป็นเรื่องของผล เราควรหมั่นสร้างเหตุให้ดีให้ถึงพร้อมเสียก่อนจะดีกว่า แล้วผลก็จะตามมาเอง เราควรคิดเท่าที่จำเป็น แบบไม่หลงคิดน่ะครับ..​




    สาธุ..พระธรรมรักษานะ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2009
  9. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณทวาโรครับ ผมคิดไว้ไม่ผิดเลยจริงๆครับ
    คุณว่างงานเอามากถึงขนาดตั้งตัวเองคนเป็นตรวจสอบธรรมะของผู้อื่น
    แม้แต่ท่านอาจารย์ทั้งหลายเช่นท่านพุทธทาส ท่านปยุต ปยุตโตฯลฯ
    ยังไม่กล้าที่จะตั้งตัวเองเลยว่าเป็นผู้ตรวจสอบ
    ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเพียงออกตัวว่าเป็นเพียงผู้นำธรรมะมาเทียบเคียง
    ให้ผู้อ่านได้นำไปปฏิบัติและพิจารณาตามสมควรแก่ธรรม

    คุณนี้เก่งยิ่งกว่าครูบาอาจารย์เสียอีกนะครับ ที่ชี้ถูกชี้ผิดว่าได้เลย
    โดยที่ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย ไม่แปลกใจเลยว่า
    ทำไมคนอื่นจึงมีความรู้ที่ไม่ดีในตัวคุณ

    คุณเพียงต้องการแสดงความเก่งกล้าเหนือชั้นกว่าผู้อื่น
    ขนาดพุทธพจน์คุณยังไม่นำพา การปฏิบัติก็ไม่เพียร(งูๆปลาๆ)
    แต่กลับชอบที่จะกล่าวร้ายผู้อื่นไว้ก่อน หันมาดูจิตดูใจตัวเองบ้าง
    เริ่มจากปิดหู ปิดตา ปิดปากหยุดพูดมากทั้งทางกายและจิต(ความคิด)

    คุณเอาอะไรมาพูดว่า "ขันธ์ และ จิต มันคือกัน อันเดียวกัน"
    ถ้ามันเป็นสิ่งเดียวกัน เอาเวลาอบรมจิตไปเพื่ออะไร???
    อบรมจิตไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะบังคับบัญชาไม่ได้

    ในอนัตตลักขณะสูตรก็บอกไว้ชัดเจนแล้วว่า
    เมื่อท่านอาจารย์ทั้ง๕ได้ฟังภาษิตนี้จบลง
    ก็เกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเกิดความเบื่อหน่าย
    จิตก็คลายกำหนัด เมื่อจิตคลายกำหนัด
    จิตของท่านพระอาจารย์ทั้ง๕ ก็หลุดพ้นจากอุปทาน
    ที่ทำให้เขาไปยึดถือขันธ์

    ทั้งนี้แสดงว่า จิตเป็นผู้ที่เข้าไปยึดขันธ์๕และปล่อยวางขันธ์๕

    ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องโชว์ก็ได้ไม่มีใครว่าหรอกครับ
    มีผู้ปฏิบัติกรรมฐานภาวนาที่เคยเข้าถึงจิตรวมใหญ่นั้น
    ย่อมรู้กันทั่วทุกตัวตนว่า จิตแยกจากขันธ์๕โดยเด็ดขาดได้จริงครับ
    ขันธ์๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
    นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา

    ;aa24
     
  11. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    เมื่อจิตคลายกำหนัด จิตหลุดพ้นจากอุปทานขันธ์ทั้งปวง
    สัพเพ ธัมมา อนัตตาฯ
     
  12. บุคคลไปทั่ว

    บุคคลไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +106
    [​IMG]

    Tro มีดบิ่น อิอิ แซวเล่น แซวเล่น
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
     
  14. sabpakit@ego.co.th

    sabpakit@ego.co.th เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +156
    อนุโมทนากับข้อความนี้จริงๆ ค่ะ อ่านแล้วเข้าใจจิตของตนมากขึ้นจริงๆ แล้วทีนี้เราจะทำอย่างไรกับสภาพจิตที่อยากรู้อยากเห็นอยากไ้ด้ัอยากมีนี้ละคะ ท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยค่ะ เ้พราะเบื่อสภาพจิตที่ว่านี้เต็มทนแล้ว
     
  15. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ที่เราประพฤติปฏิบัติธรรม ก็เพื่อสิ่งนี้...เข้าใจจิตของตน

    การอบรมจิต...ด้วยการกำหนดสติ รักษาศีล บำเพ็ญสมาธิ เจริญปัญญา
    ย่อมไม่ตกไปในทางที่ต่ำ...มีคติที่เป็นสุคโต...

    พยายามทำแต่ความดี ละชั่ว ทำกุศลให้ถึงพร้อม...
     
  16. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255


    พื้นพิภพ มืดมั่ง เป็นครั้งคราว<O:p</O:p
    ไม่ยืดยาว มืดจิต ฤทธิ์โมหันธ์<O:p</O:p
    อันมืดจิต มืดเป็น นิตย์นิรันดร์<O:p</O:p
    ไม่เป็นวัน เป็นคืน จะตื่นตา<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    มืดระยำ ไม่รู้จัก ตัวเองซ้ำ<O:p</O:p
    เที่ยวงมคลำ หาสุข ได้ทุกขา<O:p</O:p
    น้อยนัก ผู้สว่าง กระจ่างจ้า<O:p</O:p
    เชิญท่านหา ปัญญา มาส่องเอยฯ

    ------- เปมงฺกโร ภิกฺขุ--------

    (smile) อ่านที่นี่ จิตผู้รู้
     
  17. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    การยืนธรรมให้ในที่สาธารณะ ควรยืนแบบกลางๆ ไม่ควรนำความคิดของตนใส่หรือยกมาให้สอดคล้องกับสภาวะตรงนั้น มันสื่อเจตนาไม่ดี มันจะมีผลในการสร้างเวรสร้างกรรมกันต่อไป นาน ๆ ทีคณุจะตอบโพสที อย่าได้มี โมหะ โทษะ โลภะ เท่า ๆ ที่ติดตามผลงานของคุณนั้นเป็นแบบนั้น สาวนักอภิธรรม โปรดพิจารณา
     
  18. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    55+ การจะปรักปรำใคร กรุณามีหลักฐานมาแสดงด้วยนะคะ
    หรือถ้าพิมพ์ผิด ก็โปรดมาแก้ไขด้วยนะคะ

    คุณไม่เคยอ่านโพสเก่าๆของเราเลยกระมัง
    อยู่ๆ ก็ให้เป็น สาวนักอภิธรรม

    ข้อความที่เรายกมาอ้างอิงนั้น และได้ลิงค์ไปกระทู้ต้นทางด้วยนั้น
    เป็นบทความของหลวงปู่เปรม เปมงฺกโร
    ถ้าคุณได้ติดตามผลงานของเราจริงๆ อ่านดูที่นี่

    หลวงปู่เปรม เปมงฺกโร เป็นพระภิกษุ ที่คนรุ่นเก่าหน่อยจะรู้จักท่านดี ( ท่านมรณภาพในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ศิริอายุ ๙๙ ปี)
    โดยเฉพาะพวกนักศึกษาอภิธรรมในยุคนั้น ไม่มีใครไม่รู้จักหลวงปู่เปรม
    เพราะท่านมักจะโต้คารมกับแม่แนบ ซึ่งใครๆเรียกกันว่า แม่อภิธรรม(ในสมัยนั้น)เป็นประจำ...
    ท่านมักมีเหตุผลมาโต้แย้งกับนักอภิธรรมอยู่เสมอ...

    การยืนธรรมในที่สาธารณะนั้น
    ถ้าเห็นว่าความคิดหรือข้อความใดสอดคล้องกับสภาวะ ณ ตรงนั้น
    สมควรอย่างยิ่งที่จะยกมาเพื่อเปิดธรรมทัศน์ให้เห็นได้กว้างขวางขึ้น
    ไม่ใช่ปิดหูปิดตา รู้มันแค่ฝั่งเดียว

    และการจะกล่าวร้ายใคร ควรหาข้อมูลให้ดีก่อน
    ไม่ใช่หลับหูหลับตา กล่าวร้ายเค้าไว้ก่อน
    มันสื่อเจตนาไม่ดี มันจะมีผลในการสร้างเวรสร้างกรรมกันต่อไป
    นาน ๆ ทีคุณจะตอบโพสที อย่าได้มี โมหะ โทษะ โลภะ

    เท่า ๆ ที่ติดตามผลงานของคุณนั้น คุณมี ๑๔ โพส
    แต่เรานานๆจะโพสที ไม่ถึงปี แค่ ๘๐๘ โพส มันน้อยจริงๆสำหรับคุณเนอะ

    (smile)
     
  19. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    เก่งจังคิดได้ไง เอาจำนวนที่โพส บอกถึงคุณภาพ สุดยอด สุดยอด หุหุหุหุ
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณอะม๊อกซี่โคล ผมว่าคุณน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นแอมปิ๊ซิลลินมากกว่านะครับ
    เพราะดูแล้วคุณไม่น่าที่จะทนต่อสภาวะกรด-ด่างได้เลย
    เป็นแอมปิ๊ซิลลิน คุณก็เลือกกินเฉพาะตอนท้องว่างเท่านั้น

    คุณลองบอกผมหน่อยสิครับ
    ว่ายืนในที่สาธารณะยังไงถึงจะเป็นแบบกลางๆได้
    ยืนระหว่างคนสองคน
    ยืนตรงกลางในกลุ่มของตัวเอง
    ยืนตรงกลางระหว่างกลุ่มสองกลุ่ม
    ยืนตรงระหว่างกลุ่มทุกๆกลุ่ม
    หรือยืนตรงกลางในสถานที่นั้นๆโดยไม่ต้องสนใจว่า
    ที่ตรงนั้นมีคนยืนอยู่ก่อน ถึงขี่คอก็ไม่เป็นไร นี่หรือเป็นกลาง

    การนำความคิดตนเองที่สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นอยู่มันผิดตรงไหนครับ???
    การที่สอดคล้องกันได้ก็แสดงว่ามีความเป็นไปได้ใช่มั้ยครับ???
    เพียงไม่ถูกใจคุณเท่านั้นเอง

    มันจะมีผลในการสร้างเวรสร้างกรรมกันต่อไป
    ในเมื่อคุณไม่อยากให้เป็นเวรกรรมต่อกัน
    คุณสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องเคลียร์ตัวเองก่อน ว่าที่ไม่ถูกต้องตรงไหน???
    การกล่าวหาใครลอยๆนั้นไม่ถูกต้องหรอกครับ
    มันจะเป็นบาปกรรมกับตัวเองมากกว่าครับ

    ขอโทษที่นะครับ เท่าที่ผมอ่านของคุณผู้หญิงมา เธอลงแต่พระสูตรล้วนๆครับ

    ;aa24
     

แชร์หน้านี้

Loading...