ความสำคัญของอธิษฐานบารมี

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 12 พฤษภาคม 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]

    ความสำคัญของอธิษฐานบารมี

    ถาม : แล้วอย่างหนูทำบุญทุกวันหยอดเงินบาทหนึ่ง หยอดเงินหน้าหิ้งพระค่ะ แล้วหนูยังไม่ได้เอามาถวายถือเป็นการทำบุญหรือเปล่าคะ ?

    ตอบ : เป็นแล้ว เพราะว่าเราตั้งใจอยู่แล้วว่าเงินส่วนนี้จะทำบุญ ถ้าหากว่าเราตายตอนนั้นผลบุญอันนั้นเราได้เลย แต่พระขาดทุน เพราะยังไม่ได้รับสตางค์ (หัวเราะ) อันนี้ไม่ต้องกังวล อันนี้เป็นบุญอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าของเรานี่ เจตนามันเป็นบุญอยู่แล้ว พอเราได้ทำไปผลบุญนั้นก็เป็นอันสำเร็จแล้ว มันก็เหลืออยู่เพียงว่ามีวาระมีโอกาสก็เอาเงินนั้นมาถวายพระ เพราะฉะนั้นห้ามตายก่อน ตายก่อนพระขาดทุน

    อธิษฐานบารมีนี่สำคัญนะ เป็นบารมีที่สำคัญมาก คนที่ไม่ถึงระดับปรมัตถบารมีใช้อธิษฐานไม่เป็นด้วยซ้ำไป บางคนก็เข้าใจผิดว่า อธิษฐานบารมี อย่างเช่นว่า ทำบุญแล้วขอให้เป็นนั่นขอให้เป็นนี่ ขอให้ได้นั่นขอให้ได้นี่ปรากฏว่าเป็นการโลภเขาไปคิดอย่างนั้น อันนั้นไม่ใช่ อธิษฐานบารมีเป็นการเจาะจงว่าผลบุญที่เราทำจะให้มันเกิดอะไร จะให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ สำหรับตัวเราเป็นการเจาะจงเวลา ถ้าหากว่าเราต้องการของอย่างหนึ่งตอนนี้ ถ้าเราไม่ตั้งใจไว่กอนมันมาอีกโน่นปี ๒ ปี ข้างหน้า ซึ่งไม่มีประโยชน์กับเราแล้ว

    อธิษฐานบารมีเป็นการยิงปืนเล็งเป้าเพื่อให้ถูกต้องเป้าหมาย ถ้าหากยิงเหวี่ยงแหส่งเดชไปมันอาจจะไม่ถูกเป้าหมายเลยก็ได้ สิ่งที่เราทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วเขาส่งผลอยู่แล้ว

    อธิษฐานบารมีนี่เป็นการจำกัดว่าจะให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดผลอย่างไร มันไม่ได้โลภอะไรเลย เพียงแต่กำหนดให้มันแน่นอนลงไปเท่านั้น เรื่องของอธิษฐานบารมีนี่ถ้าหากว่าเราสร้างสาเหตุได้เพียงพอ ผลมันก็จะเกิด ทีนี้ถ้าหากว่าเหตุมันยังไม่พอผลมันก็ยังไม่เกิดหรอก

    อย่างเช่นว่าน้ำขวดนี้ ยกตัวอย่างน้ำนี่ง่ายดี ถ้าหากว่าโยมสร้างเหตุเพียงพอก็คือ น้ำมันจะเต็มขวดแล้ว โยมตั้งใจอธิษฐานขอน้ำขวดหนึ่งโยมได้แน่นอน แต่ถ้าหากว่าน้ำมันแค่นี้ แล้วโยมตั้งใจขอน้ำขวดหนึ่งโยมได้แน่นอน แต่ถ้าหากว่าน้ำมันแค่นี้ แล้วโยมตั้งใจขอน้ำเต็มขวด เขาก็ให้เราไม่ได้เพราะว่ายังไม่เต็ม
    เพราะฉะนั้นเราต้องทำเหตุให้เพียงพอ ผลถึงจะได้ เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องตรงไปตรงมา

    ที่หลวงพ่อโตวัดระฆัง ท่านบอกว่า ถ้าเจ้าไม่สร้างเอาไว้แล้ว เที่ยวไปขอร้องขอต่อคนอื่นเมื่อไหร่เจ้าจะได้ เพราะฉะนั้นก็เลยจำเป็นอยู่ตรงนี้ว่า เราต้องทำให้เพียงพอ ถึงเวลาอธิษฐานว่าเราต้องการอย่างไรมันถึงจะเป็นอย่างนั้น




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    เว็บ กระโถนข้างธรรมาสน์
     
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0>
    <CENTER>พระอนุรุทธเถระ
    เอตทัคคะในทางผู้มีทิพยจักษุญาณ </CENTER>พระอนารุทธะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ ผู้เป็นพระเจ้าอาของพระบรมศาสดา มีพระเชษฐา ( พี่ชาย ) พระนามว่า เจ้าชายหานามะ มีพระกนิษฐภคินี (น้องสาว) พระนามว่า พระนางโรหิณี รวมเป็น ๓ พระองค์ด้วยกัน เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว เสด็จมาโปรดพระประยูรญาติศากวงศ์ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ได้มีศากกุมารผู้มีชื่อเสียงออกบวชติดตามพระบรมศาสดาหลายพระองค์
    <HR><CENTER>พี่ชายชวนบวช </CENTER>
    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ เสด็จจาริกไปสู่มหาชนบท ประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน แขวงเมืองพาราณสี ครั้งนั้น เจ้าศากยะพระนามว่าเจ้าชายมหานามะผ๔้เป็นพระเชษฐา ได้ปรึกษากับเจ้าชายอนุรุทธะพระอนุชาว่า
    “ในตระกูลของเรานี้ ยังไม่มีผู้ใดออกบวชตามเสด็จพระบรมศาสดาเลย เราสองคนพี่น้องนี้ ควรที่คนใดคนหนึ่งน่าจะออกบวช น้องจะบวชเองหรือจะให้พี่บวช ขอให้น้องเป็นผู้เลือกตามสมัครใจ ถ้าไม่มีใครบวชเลย ก็ดูเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง
    เนื่องจากอนุรุษธกุมารนั้น เป็นพระโอรสองค์เล็ก พระเจ้าอมิโตทนะ พระบิดาและมารดามีความรักทะนุถนอมเป็นอย่างมาก เป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ มีบุญมาก หมู่พระประยูรญาติทั้งหลายต่างก็โปรดปรานเอาอกเอาใจตั้งแต่แรกประสูติจนเจริญวัยสู่วัยหนุ่ม เมื่อได้ฟังเจ้าพี่มหานามะตรัสถึงเรื่องการบรรพชาอย่างนั้น จึงกราบทูลถามว่า
    “เสด็จพี่ ที่เรียกว่าบรรพชานั้น คืออะไร ?”
    “ ที่เรียกว่าบรรพชา ก็คือการปลงพระเกศาและหนวด นุ่งห่มกาสาวพัสตร์ บรรทมเหนือพื้นดิน และบิณฑบาตเลี้ยงชีพตามกิจของสมณะ”
    “ เสด็จพี่ หม่อมฉันไม่เคยทุกข์ยากลำบากอย่างนั้น ขอให้เสด็จพี่บวชเองเถิด”
    “อนุรุทธะ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ต้องศึกษาเรื่องงาน และการครองเรือนให้เข้าใจเป็นอย่างดี”
    <HR><CENTER>ไม่รู้จักคำว่า ไม่มี</CENTER>
    แท้ที่จริง เจ้าชายอนุรุทธะ ได้รับการเอาใจจากพระประยูรญาติดังกล่าว จนกระทั้งไม่ทราบเรื่องการงาน และการดำเนินชีวิตของฆราวาสเลย ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่คำว่า “ ไม่มี” ก็ไม่เคยได้ยินนับตั้งแต่ประสูติมา ดังมีเรื่องเล่าว่า
    ครั้งหนึ่ง เข้าชายอนุรทธะ พร้อมทั้งพระสหายชวนกันไปเล่นตีคลี โดยมีการตกลงกันว่า “ ถ้าใครเล่นแพ้ต้องนำขนมมาเลี้ยงเพื่อน” ในการเล่นนั้นเจ้าชายอนุรุทธะแพ้ถึง ๓ ครั้ง ในแต่ละครั้งให้คนรับใช้ไปนำขนมจากพระมารดามาเลี้ยงเพื่อนตามที่ตกลงกัน
    ในครั้งที่ ๔ เจ้าชายอนุรทธะก็เล่นแพ้อีก และก็ใช้ให้คนไปนำขนมมาจากพระมารดาอีก พระมารดาตรัสสั่งคนรับใช้ให้มาบอกว่า “ ขนมไม่มี” เจ้าชายอนุรุทธ ไม่รู้ความหลายของคำว่า “ ไม่มี” เข้าใจไปว่าคำนั้นเป็นชื่อของขนมชนิดหนึ่ง จึงสั่งคนรับใช้ให้ไปกราบทูลแก่พระมารดาว่า “ ขนมไม่มีนั้นแหละเอามาเถอะ”
    พระมารดา เข้าพระทัยทันทีว่า พระโอรสของพระองค์นั้นไม่เคยได้ยินคำว่า “ ไม่มี” ดังนั้น จึงดำริที่จะให้พระโอรสของตนทราบความหลายของคำว่า “ ไม่มี” นั้นว่าอย่างไร จึงนำถาดเปล่ามาทำความสอาดแล้วปิดฝาด้วยถาดอีกใบหนึ่ง ส่งให้คนรับใช้นำไปให้พระโอรส
    ในระหว่างทางที่คนรับใช้ถือถาดเปล่าเดินไปนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูคิดว่า “ เจ้าชายอนุรุทธะนี้ ได้สร้างบุญบารมีมาแต่ชาติปากก่อน ครั้งที่เกิดเป็นอันนภาบุรุษ ได้ถวายอาหารที่ตนกำลังจะบริโภคแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า อรฏฐะ แล้วได้ตั้งความปรารถนาว่า “ ถ้าได้เกิดใหม่ ขออย่าให้ได้ยินคำว่า “ ไม่มี” กับทั้งสถานที่เกิดของอาหาร ก็ขออย่าได้พานพบเลย” ดังนั้น ถ้าเจ้าชายอนุรทธะได้รู้จักคำว่า ไม่มีแล้วเราต้องถูกเทพยดาผู้มีอำนาจเหนือกว่าลงโทษแน่ ” จึงได้เนรมิตขนมทิพย์จนเต็มถาด เจ้าชายอนุรุทธะและพระสหายได้เสวยขนมทิพย์ที่มีโอชายิ่งนัก ซึ่งพวกตนไม่เคยได้เสวยมาก่อนเลย จึงกลับไปต่อว่าพระมารดาว่า
    “ ข้าแต่เสด็จแม่ ทำไมเสด็จแม่เพิ่งจะมารักลูกวันนี้เอง วันอื่น ๆ ไม่เห็นเสด็จแม่ทำขนมไม่มีให้ลูกได้เสวยเลย ตั้งแต่นี้ไป ลูกขอเสวยแต่ขนมไม่มีเพียงอย่างเดียว ขนมชนิดอื่นไม่ต้องทำอีก
    นับแต่นั้น เมื่นเจ้าชายอนุรุทธะขอเสวยขนม พระมารดาก็ต้องนำถาดมาทำความสอาดแล้วปิดฝาด้วยถาดอีกใบหนึ่งส่งไปให้ทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้ เมื่อเจ้าพี่มหานามะบอกให้ศึกษาเรื่องการครองเรือน เจ้าชายอนุรุทธะ จึงทูลถามเจ้าพี่ว่า
    “ การงานที่ว่านั้น คืออะไร ?”
    <HR><CENTER>เรียนเรื่องการทำนา </CENTER>
    เจ้าชายมหานามะ ได้สดับคำถามของพระอนุชาดังนั้น จึงได้ยกเอาเรื่องการทำนาขึ้นมาสอน เริ่มด้วยการนำเข้าเก็บในยุ้งฉาก อย่างนี้เรียกว่า การงาน”
    “ เสด็จพี่ การงานนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ?”
    “ ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อถึงฤดูกาลก็ต้องทำอย่างนี้ตลอดไป วนเวียนหาที่สุดมิได้”
    เจ้าชายอนุรทธะน้น จะรู้เรื่องการทำนาได้อย่างไร ในเมื่อครั้งหนึ่งเคยนั่งสนทนากับพระสหายและตั้งปัญญาถามกันว่า
    “ ภัตตาหารที่เราเสวยกันทุกวันนี้ เกิดที่ไหน ?”
    “ เกิดในฉาง” เจ้าชายกิพิละตอบ เพราะเคยเห็นคนนำข้าวออกมาจากฉาง
    “ เกิดในหม้อ” เจ้าชายภัททิยะตอบ เพราะเคยเห็นคนคดข้าวออกจากหม้อ
    “ เกิดในชาม” เจ้าชายอนุรุทธตอบ เพราะทุกครั้งจะเสวยภัตตาหาร ก็จะเห็นข้าวอยู่ในชามเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเข้าใจอย่างนั้น
    เมื่อได้ฟังเจ้าพี่มหานามะสอนถึงเรื่องการงาน ดังนี้แล้ว จึงเกิดท้อแท้ขึ้นมา และการงานนั้นก็ไม่มีที่สิ้นสุด จึงกราบทูลเจ้าพี่มหานามะว่า “ ถ้าเช่นนั้นขอให้เสด็จพี่อยู่ครองเรือนเถิด หม่อมฉันจักบวชเอง ถึงแม้การบวชจะลำบากกว่าการเป็นอยู่ในฆราวาสนี้ ก็ยังมีภาระที่น้อยกว่า และมีวันสิ้นสุด ”
    <HR><CENTER>ตายดีกว่าถ้าไม่ได้บวช </CENTER>
    เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว เจ้าชายอนุรุทธะจึงเข้าไปเฝ้าพระมารดากราบทูลให้ทรงทราบเรื่องที่ตกลงกับเจ้าพี่มหานามะแล้ว กราบทูลขอลาบวชตามเสด็จพระบรมศาดา พระมารดาได้ฟังก็ตกพระทัยตรัสห้ามไว้ถึง ๓ ครั้ง แต่พระโอรสก็ยืนยันจะบวชให้ได้ ถ้าไม่ทรงอนุญาต จะขออดอาหารจนตาย และก็เริ่มไม่เสวยอาหารตั้งแต่บัดนั้น ในที่สุดพระมารดาเห็นว่าการบวชยังมีโอกาสได้เห็นพระโอรสดีกว่าปล่อยให้ตาย อนึ่ง อนุรุทธะนั้น เมื่อบวชแล้วได้รับความลำบากก็คงอยู่ไม่ได้นานก็จะสึกออกมาเอง
    พระมารดาจึงตกลงอนุญาตให้บวช แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าเจ้าชายภัททิยะพระสหายออกบวชด้วยจึงจะให้บวช เจ้าชายอนุรุทธะดีใจรีบไปชวนเจ้าชายภัททิยะให้บวชด้วยกันโดยกล่าวว่า “ การบวชของเราเนื่องด้วยท่าน ถ้าท่านบวชเราจึงจะได้บวช” แต่เจ้าชายภัททิยะปฏิเสฐ เจ้าชายอนุรุทธะทรงอ้อนวอนอยู่ถึง ๗ วัน เจ้าชายภัททิยะจึงยอมบวชด้วย
    ในครั้งนั้น เจ้าชายศากยะ ๕ พระองค์ คือ เจ้าชายภัททิยะ ๑ เจ้าชายอนุรุทธะ ๑ เจ้าชายอานนท์ ๑ เจ้าชายภัคคุ ๑ และเจ้าชายกิมพิละ “ และเจ้าชายฝ่ายโกลิยะ ๑ พระองค์ คือ เจ้าชายเทวทัต พร้อมด้วยอำมาตย์ช่างกัลบกอีก ๑ คน คือ อุบาลี รวมเป็น ๗ เสด็จออกเดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่อนุปิยอัมพวันเมืองพาราณสี ในระหว่างทางเจ้าชายทั้ง ๖ ได้เปลื้องเครื่องประดับอันมีค่าส่งมอบให้อุบาลีช่างกัลบกที่ติดตามไปด้วย พร้อมทั้งตรัสสั่งว่า
    “ ท่านจงนำเครื่องประดับเหล่านี้ไปจำหน่ายเลี้ยงชีพเถิด”
    อุบาลี รับเครื่องประดับเหล่านั้นแล้วแยกทางกลับสู่พระนครกบิลพัสดุ์พลางคิดว่าขึ้นมาว่า “ ธรรมดาเจ้าศากยะทั้งหลายนั้นดุร้ายนักถ้าเห็นเรานำเครื่องประดับกลับไปก็จะพากันเข้าใจว่า เราทำอันตรายพระราชกุมารแล้ว นำเครื่องประดับมาก็จะลงอาญาเราจนถึงชีวิต อนึ่งเล่า เจ้าชายศากยกุมารเหล่านี้ ยังละเสียซึ่งสมบัติอันมีค่าออกบวชโดยมิมีเยื่อใย ตัวเรามีอะไรนักหนาจึงจะมารับเอาสิ่งของที่เขาทิ้งดุจก้อนเขฬะนำไปดำรงชีพได้”
    เมื่อคิดดังนี้แล้ว จึงแก้ห่อนำเครื่องประดับทั้งหลายเหล่านั้นแขวนไว้กับต้นไม้แล้วกล่าวว่า “ ผู้ใดปรารถนาก็จงถือเอาตามความประสงค์เถิด เราอนุญาตให้แล้ว ” จากนั้นก็ออกเดินทางติดตามเจ้าชายทั้ง ๖ พระองค์ ไปทันที่อนุปิยอัมพวัน กราบทูลแจ้งความประสงค์ขอบวชด้วย
    <HR><CENTER>ให้อุบาลีกัลบกบวชก่อน </CENTER>
    เจ้าชายอนุรุทธะ เมื่อทราบความประสงค์ของอุบาลีเช่นนั้น จึงกราบทูลพระบรมศาสดาว่า “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์เป็นกษัจริย์ มีขัตติยมานะแรงกล้า ขอพระองค์ประทานการบรรพชาแก่อุบาลี ผู้เป็นอำมาตย์รับใช้ปวงข้าพระองค์ก่อนเกิด เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้แสดงความเคาวะกราบไหว้ อุบาลีตามประเพณีนิยมของพระพุทธสาวก จะได้ปลดเปลื่องขัตติยมานะให้หมดสิ้นไปจากสันดาน”
    พระพุทธองค์ตรัสอนุโมทนา แล้วประทานการบรรพชาแก่อุบาลีก่อนตามความประสงค์แล้วประทานการบรรพชาแก่กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ภายหลัง เมื่อบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว [​IMG]
    พระภัททิยะ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมไตรวิชา ภายในพรรษานั้น
    พระอนุรุทธะ ได้สำเร็จทิพยจักษุญาณก่อน ภายหลังได้ฟังพระธรรมเทศนามหาสปุริสวิตกสูตร ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
    พระอานนท์ ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน
    พระภักคุ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
    พระกิมพิละ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
    พระเทวทัต ได้บรรลุธรรมชั้นฤทธิ์ปุถุชนอันเป็นโลกิยะ
    พระอุบาลี ศึกษาพุทธพจน์แล้ว เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ภายในพรรษานั้น
    พระอนุรทธะ เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้เรียนกรรมฐานจากพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรแล้วเข้าไปสู่ป่าจีนวังสมฤคทายวัน ขณะเจริญสมณธรรมอยู่นั้นได้ตรึกถึงมหาปริสวิตก ๗ ประการ คือ
    ๑ ธรรมนี้ของผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ใช่ของผู้มีคววามปรารถนาใหญ่
    ๒ ธรรมนี้ของผู้สันโดษ ยินดีด้วยของผู้ยินดีของทีมีอยู่ ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ
    ๓ ธรรมนี้ของผู้สงัดแล้ว ไม่ใช่ของผู้ยินดีในหมู่
    ๔ ธรรมนี้ของผู้ปรารถนาความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
    ๕ ธรรมนี้ของผู้มีสติตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีสติหลง
    ๖ ธรรมนี้ของผู้ที่ตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
    ๗ ธรรมนี้ของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้มีปัญญาทราม
    เมื่อพระเถระตรึกอยู่อย่างนี้ พระบรมศาสดาเสด็จไปยังที่อยู่ของพระเถระ ทราบว่าเธอกำลังตรึกอยู่อย่างนั้น ทรงอนุโมทนาว่า ดีล่ะ ดีล่ะ แล้วทรงแนะนำให้ตรุกในข้อที่ ๘ ว่า
    ธรรมของผู้ยินดีในธรรมที่ไม่เนื่นช้า ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมที่เนิ่นช้า
    <HR><CENTER>ได้รับยกย่องผู้มีทิพยจักษุญาณ</CENTER>
    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสอนพระเถระแล้ว ได้เสด็จกลับสู่ที่ประทับ ส่วนพระอนุรุทธเถระได้บำเพ็ญสมณธรรมต่อไป ก็ได้บรรลุอรหัตผล ตั้งแต่นั้นมา ท่านได้ตรวจดูสัตว์โลกด้วยทิพย์จักษุญาณเสมอ ยกเว่นขณะกำลังฉันภัตตาหารเท่านั้น
    ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาดา ได้ตรัสยกย่องชมเชยยท่านในตำแหน่งเอทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้มีทิพยจักษุญาณ
    <HR><CENTER>ปฐมเหตุประเพณีการทอดผ้าบังสุกุล-ผ้าป่า </CENTER>
    สมัยหนึ่ง ท่านอนุรุทธเถระ จำพรรษาอยู่ที่เวฬุวัน เมืองราชคฤห์ จีวรที่ท่านใช้อยู่นั้นเก่ามาก ท่านจึงแสวงหาผ้าบังสุกุล ( ผ้าเปื้อนฝุ่น ) ตามกองขยะกองหยากเยื่อเพื่อนำมาทำจีวร ครั้งนั้น อดีตภรรยาเก่าของท่านชื่อ ชาลินี ซึ่งไปจุติไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นพระเถระแสวงหาผ้าอยู่เช่นนั้นก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส จึงนำผ้ามาจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ และคิดว่า “ ถ้าเราจะนำเข้าไปถวายโดยตรง พระเถระก็คงไม่รับแน่ ” จึงหาอุบายซุกผ้าผืนนั้นไว้ในกองขยะกองหยากเยื่อ มีชายผ้าโผล่ออกมาเพื่อให้พระเถระได้เห็น ในทางที่พระเถระกำลังมุ่งหน้าไปทางนั้น พระเถระเห็นชายผ้าผืนนั้นแล้วดึงออกมาพิจรณาเป็นผ้าบังสุกุล และคิดว่า “ ผ้าผืนนี้ เป็นผ้าบังสุกุลที่มีราคายิ่งนัก ” แล้วนำกลับไปสู่อาราม เพื่อจัดการทำจีวร อนึ่ง กริยาที่นางเทพธิดาชาลินี นำผ้าไปวางซุกไว้ในกองขยะกองหยากเยื่อ ในลักษณะทอดผ้าป่าในปัจจุบันนี้
    <HR><CENTER>พระพุทธองค์ทรงช่วยเย็บจีวร </CENTER>
    ในการทำจีวรของท่านนั้นเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระบรมศาสดาทรงพาพระมหาสาวกเป็นจำนวนมากมาร่วมทำจีวร โดยพระองค์เองทรงร้อยเข็ม พระมหากัสสปะนั้งอยู่ช่วงต้อน พระสารีบุตรเถระนั่งอยู่ตรงกลาง พระอานนท์นั่งอยู่ช่วงปลายสุด ทั้ง ๓ ท่านนี้ช่วยกันเย็บจีวร ส่วนพระภิกษุสงฆ์ที่เหลือก็ชวยกันกรอด้าย พระมหาโมคคัลลนเถระกับนางเทพธิดาชาลินี ช่วยไปชักชวนอุบาสกอุบาสิกาในหมู่บ้าน ให้นำภัตตาหารมาถวายพระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ประมาณ ๕๐๐ รูป การเย็บจีวรของพระอนุรุทะเถระสำเร็จด้วยดีภายในวันเดียวเท่านั้น
    เทพธิดาชาลินีนางนี้แหละคราวที่พระเถระจำพรรษาอยู่ในป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล ได้มาหาท่านและนิมนต์ให้ท่านตั้งจิตปรารถนาไปเกินในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยนางได้อ้างถึงความสวยงามของสวนนันทวัน ให้พระเถระฟังท่านได้ตอบไปว่าท่านไม่มีโอกาสได้เกิดในหมู่เทวดาอีกแล้ว เนื่องจากลายการเวียนว่ายตายเกิดได้หมดสิ้น
    การที่นางเทพธิดากล้ากล่าวเช่นนั้นแก่ท่านก็เพราะว่าใน ๓ ชาติที่แล้ว นางได้เกิดเป็นภรรยาของท่านในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นเอง นางจำท่านได้และความรักอาลัยยังมีอยู่จึงกล่าวไปตามความรู้สึก โดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้ท่านได้บรรลุอรหัตผลแล้ว ธรรมกถาเรื่อง “ เจโตมุติ” ( เจโตวิมุตติ) ของท่านนับว่าเป็นธรรมกถาที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง ที่ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจสมาธิ พระไตรปิฎกบันทึกเรื่องนี้ไว้ว่า
    ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวนาราม เมืองสาวัตถีนั้น พระอนุรุทธเถระได้ตามเสด็จไปด้วย วันหนึ่งหัวหน้าช่างไม้คนหนึ่งชื่อ “ ปัญจังคะ” ส่งคนให้มานิมนต์พระเถระไปฉันภัตตาหารแล้วช่างไม้ได้สนทนากับท่านดังนี้
    ช่างไม้ “ พระคุณเจ้าผู้เจริญ เจโตวิมุติอันไม่มีประมาณกับเจโตวิมุติอันมีอารมณ์ใหญ่ ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร
    พระเถระ “ แล้วท่านเข้าใจว่าอย่างไร ”
    ช่างไม้ " โยมเข้าใจว่า วิมุติทั้ง ๒ นี้ มีความหมายเหมือนกัน ต่างกันเฉพาะตัวหนังสือเท่านั้น ขอรับพระคุณเจ้า ”
    พระเถระ " เจโตวิมุติทั้ง ๒ นี้ต่างกันทั้งความหมายและตัวหนังสือ เจโตวิมุติอันไม่มีประมาณ คือ ภิกษุแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไปตลอดทั้งโลกแล้วมีจิตเพียบพร้อมด้วยพรหมวิหารธรรมอยู่อย่างไม่มีประมาณ คือ ไม่มีของเขตจำกัดในผู้ใดผู้หนึ่ง แผ่ไปอย่างไพบูลย์กว้างขวางทั้งในสัตว์ทุกประเภทและในโลกทั้งปวง เจโตวิมุติอันมีอารมณ์ใหญ่ คือ ภิกษุแผ่ขยายไปครอบเขต ๑ เขตบ้าง ๒ เขคบ้าง ๓ เขตบ้าง จากนั้นก็แผ่ขยายออกไปครอบคลุมประเทศ ๑ บ้าง ๒ ประเทศบ้าง ๓ ประเทศบ้าง จนกระทั้งแผ่กระขยายไปครอบคลุมถึงแผ่นดินคือโลกที่มีมหาสมุทรเป็นที่สุด แล้วนึกอยู่ในใจว่าใหญ่ ๆ ”
    ช่างไม้ได้ฟังพระเถระตอบแล้วก็เข้าใจความหมายของเจโตวิมติทั้ง ๒ ได้ดี ซึ่งนับได้ว่างานเผยแผ่พระพุทธศาสนาของท่านประสบผลสำเร็จ [​IMG]
    พระเถระยังได้กล่าวธรรมกถาอีกในโอกาสต่าง ๆ ที่สำคัญ คือ ในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน มีเรื่องเล่าว่า
    ก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงเข้าปนุพพวิการสมาบัติ คือเข้าฌานไปตามลำดับเริ่มตั้งแต่ปฐุมฌานไปจนถึงนิโรธสมาบัติ พระอานนท์เถระเห็นพระพุทธองค์ทรงบรรทมสงบนิ่งไม่ทรงหายใจเข้าออกจึงถามพระอนุรุทธเถระว่า “ พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วหรือ” พระอนุรุทธเถระท่านเข้าฌานตามพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา และทราบว่าพระพุทธองค์กำลังเข้านิโรธสมาบัติจึงว่า ยัง จนกระทั้งเมื่อพระพุทธองค์ทรงออกจากนิโรธสมาบัติแล้วลงสู่ภวังค์ พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในขณะลงสู่ภวังค์นั้น พระอนุรทธเถระทราบ จึงออกจากสมาบัติแล้วแจ้งให้พระอานนท์เถระทราบ
    ทันทีที่พระอานนท์ทราบได้แจ้งให้พระรูปอื่น ๆ ที่ประชุมเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่นั้นได้ทราบด้วยพระสาวกอริยะก็ปลงธรรมสังเวชว่า “ สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง” [​IMG]
    ส่วนพระสาวกที่เป็นปุถุชน ต่างเสียใจร้องไห้คร่ำครวญด้วยความอาลัยรักในพระพุทธเจ้า พระอนุรุทธเถระเห็นเหตุการณ์นั้นจึงเข้าไปปลอบ โดยกล่าวข้อเตือนใจว่า
    ท่านทั้งหลาย อย่าได้เสียใจไปเลย อย่าค่ำครวญไปเลย
    พระศาสดาเคยตรัสไว้แล้วมิใช่หรือว่า ความพลัดพรากจากของรักของชอบ
    ทั้งหมดนั้น ย่อมมีเป็นธรรมดา สิ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว
    มีปัจจัยปรุงแต่ง มีความแตกสลายไปเป็นธรรมดา
    ไม่มีใครจะบังคับได้หรอกว่า จงอย่าแตกสลาย
    ขณะนั้นถือได้ว่าท่านเป็นพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งอยู่ในที่นั้น พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานในตอนกลางคืน ตลอดคืนวันนั้นท่านกับพระอานนท์เถระจึงได้ทำหน้าที่กล่าวธรรมกถาปลอบโยน พระสาวกที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ตลอดคืนจนรุ่งเช้า ท่านจึงมอบหมายให้พระอานนท์เถระไปแจ้งข่าวให้เหล่ากษัตริย์ได้ทราบ
    ท่านเป็นคนแจ้งเหล่ามัลลกษัตริย์ให้อัญเชิญพระบรมศพของพระพุทธองค์เข้าเมืองทางประตูเมืองทางทิศอุดร ( เหนือ) ผ่านกลางเมืองไปออกทางประตูเมืองด้านทิศบูรพา ( ตะวันออก) ก่อนนำไปถวายพระเพลิง ณ มกุฏพันธนเจดีย์ ทั้งนี้เป็นไปตามประสงค์ของเทวดาที่ต้องการจะบูชาพระบรมศพของพระพุทธเจ้า [​IMG]
    ท่านยังได้ร่วมทำกิจพระศาสนาครั้งสำคัญ ในการทำปฐมสังคายนากับคณะสงฆ์โดยมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน พระอุบาลีเถระวิสัชนาพระวินัย และพระอานนท์เถระวิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม พระอนุรุทธเถระ ท่าน ดำรงอายุสังขาร โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ได้ดับขันธ์ เข้าสู่นิพพาน ณ ภายใต้ร่มกอไผ่ ในหมู่บ้านเวฬวะ แคว้นวัชชี.......
    <HR><CENTER>เจโตวิมุติอันไม่มีประมาณกับเจโตวิมุตอันมีอารมณ์ใหญ่ </CENTER>เจโตวิมุติคู่กับปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติ คือ หลุดพ้นจากราคะด้วยอำนาจสมาธิ เป็นฝ่ายสมภกรรมฐาน ส่วนปัญญาวิมุติ คือ หลุดพ้นจากอวิชา ( ความไม่รู้) ด้วยอำนาจปัญญา เป็นฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ในการบรรลุธรรม วิมุติทั้ง ๒ นี้ต้องเกิดพร้อมกันจึงจะละกิเลสได้....

    ที่มา
    <TBODY></TBODY></TABLE>
    index
     
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0>
    <CENTER>ตัวอย่าง

    พระอนุรุทธเถระ


    เอตทัคคะในทางผู้มีทิพยจักษุญาณ </CENTER>พระอนารุทธะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ ผู้เป็นพระเจ้าอาของพระบรมศาสดา มีพระเชษฐา ( พี่ชาย ) พระนามว่า เจ้าชายหานามะ มีพระกนิษฐภคินี (น้องสาว) พระนามว่า พระนางโรหิณี รวมเป็น ๓ พระองค์ด้วยกัน เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว เสด็จมาโปรดพระประยูรญาติศากวงศ์ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ได้มีศากกุมารผู้มีชื่อเสียงออกบวชติดตามพระบรมศาสดาหลายพระองค์
    <HR><CENTER>พี่ชายชวนบวช </CENTER>
    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ เสด็จจาริกไปสู่มหาชนบท ประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน แขวงเมืองพาราณสี ครั้งนั้น เจ้าศากยะพระนามว่าเจ้าชายมหานามะผ๔้เป็นพระเชษฐา ได้ปรึกษากับเจ้าชายอนุรุทธะพระอนุชาว่า
    “ในตระกูลของเรานี้ ยังไม่มีผู้ใดออกบวชตามเสด็จพระบรมศาสดาเลย เราสองคนพี่น้องนี้ ควรที่คนใดคนหนึ่งน่าจะออกบวช น้องจะบวชเองหรือจะให้พี่บวช ขอให้น้องเป็นผู้เลือกตามสมัครใจ ถ้าไม่มีใครบวชเลย ก็ดูเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง
    เนื่องจากอนุรุษธกุมารนั้น เป็นพระโอรสองค์เล็ก พระเจ้าอมิโตทนะ พระบิดาและมารดามีความรักทะนุถนอมเป็นอย่างมาก เป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ มีบุญมาก หมู่พระประยูรญาติทั้งหลายต่างก็โปรดปรานเอาอกเอาใจตั้งแต่แรกประสูติจนเจริญวัยสู่วัยหนุ่ม เมื่อได้ฟังเจ้าพี่มหานามะตรัสถึงเรื่องการบรรพชาอย่างนั้น จึงกราบทูลถามว่า
    “เสด็จพี่ ที่เรียกว่าบรรพชานั้น คืออะไร ?”
    “ ที่เรียกว่าบรรพชา ก็คือการปลงพระเกศาและหนวด นุ่งห่มกาสาวพัสตร์ บรรทมเหนือพื้นดิน และบิณฑบาตเลี้ยงชีพตามกิจของสมณะ”
    “ เสด็จพี่ หม่อมฉันไม่เคยทุกข์ยากลำบากอย่างนั้น ขอให้เสด็จพี่บวชเองเถิด”
    “อนุรุทธะ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ต้องศึกษาเรื่องงาน และการครองเรือนให้เข้าใจเป็นอย่างดี”
    <HR><CENTER>ไม่รู้จักคำว่า ไม่มี</CENTER>
    แท้ที่จริง เจ้าชายอนุรุทธะ ได้รับการเอาใจจากพระประยูรญาติดังกล่าว จนกระทั้งไม่ทราบเรื่องการงาน และการดำเนินชีวิตของฆราวาสเลย ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่คำว่า “ ไม่มี” ก็ไม่เคยได้ยินนับตั้งแต่ประสูติมา ดังมีเรื่องเล่าว่า
    ครั้งหนึ่ง เข้าชายอนุรทธะ พร้อมทั้งพระสหายชวนกันไปเล่นตีคลี โดยมีการตกลงกันว่า “ ถ้าใครเล่นแพ้ต้องนำขนมมาเลี้ยงเพื่อน” ในการเล่นนั้นเจ้าชายอนุรุทธะแพ้ถึง ๓ ครั้ง ในแต่ละครั้งให้คนรับใช้ไปนำขนมจากพระมารดามาเลี้ยงเพื่อนตามที่ตกลงกัน
    ในครั้งที่ ๔ เจ้าชายอนุรทธะก็เล่นแพ้อีก และก็ใช้ให้คนไปนำขนมมาจากพระมารดาอีก พระมารดาตรัสสั่งคนรับใช้ให้มาบอกว่า “ ขนมไม่มี” เจ้าชายอนุรุทธ ไม่รู้ความหลายของคำว่า “ ไม่มี” เข้าใจไปว่าคำนั้นเป็นชื่อของขนมชนิดหนึ่ง จึงสั่งคนรับใช้ให้ไปกราบทูลแก่พระมารดาว่า “ ขนมไม่มีนั้นแหละเอามาเถอะ”
    พระมารดา เข้าพระทัยทันทีว่า พระโอรสของพระองค์นั้นไม่เคยได้ยินคำว่า “ ไม่มี” ดังนั้น จึงดำริที่จะให้พระโอรสของตนทราบความหลายของคำว่า “ ไม่มี” นั้นว่าอย่างไร จึงนำถาดเปล่ามาทำความสอาดแล้วปิดฝาด้วยถาดอีกใบหนึ่ง ส่งให้คนรับใช้นำไปให้พระโอรส
    ในระหว่างทางที่คนรับใช้ถือถาดเปล่าเดินไปนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูคิดว่า “ เจ้าชายอนุรุทธะนี้ ได้สร้างบุญบารมีมาแต่ชาติปากก่อน ครั้งที่เกิดเป็นอันนภาบุรุษ ได้ถวายอาหารที่ตนกำลังจะบริโภคแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า อรฏฐะ แล้วได้ตั้งความปรารถนาว่า “ ถ้าได้เกิดใหม่ ขออย่าให้ได้ยินคำว่า “ ไม่มี” กับทั้งสถานที่เกิดของอาหาร ก็ขออย่าได้พานพบเลย” ดังนั้น ถ้าเจ้าชายอนุรทธะได้รู้จักคำว่า ไม่มีแล้วเราต้องถูกเทพยดาผู้มีอำนาจเหนือกว่าลงโทษแน่ ” จึงได้เนรมิตขนมทิพย์จนเต็มถาด เจ้าชายอนุรุทธะและพระสหายได้เสวยขนมทิพย์ที่มีโอชายิ่งนัก ซึ่งพวกตนไม่เคยได้เสวยมาก่อนเลย จึงกลับไปต่อว่าพระมารดาว่า
    “ ข้าแต่เสด็จแม่ ทำไมเสด็จแม่เพิ่งจะมารักลูกวันนี้เอง วันอื่น ๆ ไม่เห็นเสด็จแม่ทำขนมไม่มีให้ลูกได้เสวยเลย ตั้งแต่นี้ไป ลูกขอเสวยแต่ขนมไม่มีเพียงอย่างเดียว ขนมชนิดอื่นไม่ต้องทำอีก
    นับแต่นั้น เมื่นเจ้าชายอนุรุทธะขอเสวยขนม พระมารดาก็ต้องนำถาดมาทำความสอาดแล้วปิดฝาด้วยถาดอีกใบหนึ่งส่งไปให้ทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้ เมื่อเจ้าพี่มหานามะบอกให้ศึกษาเรื่องการครองเรือน เจ้าชายอนุรุทธะ จึงทูลถามเจ้าพี่ว่า
    “ การงานที่ว่านั้น คืออะไร ?”
    <HR><CENTER>เรียนเรื่องการทำนา </CENTER>
    เจ้าชายมหานามะ ได้สดับคำถามของพระอนุชาดังนั้น จึงได้ยกเอาเรื่องการทำนาขึ้นมาสอน เริ่มด้วยการนำเข้าเก็บในยุ้งฉาก อย่างนี้เรียกว่า การงาน”
    “ เสด็จพี่ การงานนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ?”
    “ ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อถึงฤดูกาลก็ต้องทำอย่างนี้ตลอดไป วนเวียนหาที่สุดมิได้”
    เจ้าชายอนุรทธะน้น จะรู้เรื่องการทำนาได้อย่างไร ในเมื่อครั้งหนึ่งเคยนั่งสนทนากับพระสหายและตั้งปัญญาถามกันว่า
    “ ภัตตาหารที่เราเสวยกันทุกวันนี้ เกิดที่ไหน ?”
    “ เกิดในฉาง” เจ้าชายกิพิละตอบ เพราะเคยเห็นคนนำข้าวออกมาจากฉาง
    “ เกิดในหม้อ” เจ้าชายภัททิยะตอบ เพราะเคยเห็นคนคดข้าวออกจากหม้อ
    “ เกิดในชาม” เจ้าชายอนุรุทธตอบ เพราะทุกครั้งจะเสวยภัตตาหาร ก็จะเห็นข้าวอยู่ในชามเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเข้าใจอย่างนั้น
    เมื่อได้ฟังเจ้าพี่มหานามะสอนถึงเรื่องการงาน ดังนี้แล้ว จึงเกิดท้อแท้ขึ้นมา และการงานนั้นก็ไม่มีที่สิ้นสุด จึงกราบทูลเจ้าพี่มหานามะว่า “ ถ้าเช่นนั้นขอให้เสด็จพี่อยู่ครองเรือนเถิด หม่อมฉันจักบวชเอง ถึงแม้การบวชจะลำบากกว่าการเป็นอยู่ในฆราวาสนี้ ก็ยังมีภาระที่น้อยกว่า และมีวันสิ้นสุด ”
    <HR><CENTER>ตายดีกว่าถ้าไม่ได้บวช </CENTER>
    เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว เจ้าชายอนุรุทธะจึงเข้าไปเฝ้าพระมารดากราบทูลให้ทรงทราบเรื่องที่ตกลงกับเจ้าพี่มหานามะแล้ว กราบทูลขอลาบวชตามเสด็จพระบรมศาดา พระมารดาได้ฟังก็ตกพระทัยตรัสห้ามไว้ถึง ๓ ครั้ง แต่พระโอรสก็ยืนยันจะบวชให้ได้ ถ้าไม่ทรงอนุญาต จะขออดอาหารจนตาย และก็เริ่มไม่เสวยอาหารตั้งแต่บัดนั้น ในที่สุดพระมารดาเห็นว่าการบวชยังมีโอกาสได้เห็นพระโอรสดีกว่าปล่อยให้ตาย อนึ่ง อนุรุทธะนั้น เมื่อบวชแล้วได้รับความลำบากก็คงอยู่ไม่ได้นานก็จะสึกออกมาเอง
    พระมารดาจึงตกลงอนุญาตให้บวช แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าเจ้าชายภัททิยะพระสหายออกบวชด้วยจึงจะให้บวช เจ้าชายอนุรุทธะดีใจรีบไปชวนเจ้าชายภัททิยะให้บวชด้วยกันโดยกล่าวว่า “ การบวชของเราเนื่องด้วยท่าน ถ้าท่านบวชเราจึงจะได้บวช” แต่เจ้าชายภัททิยะปฏิเสฐ เจ้าชายอนุรุทธะทรงอ้อนวอนอยู่ถึง ๗ วัน เจ้าชายภัททิยะจึงยอมบวชด้วย
    ในครั้งนั้น เจ้าชายศากยะ ๕ พระองค์ คือ เจ้าชายภัททิยะ ๑ เจ้าชายอนุรุทธะ ๑ เจ้าชายอานนท์ ๑ เจ้าชายภัคคุ ๑ และเจ้าชายกิมพิละ “ และเจ้าชายฝ่ายโกลิยะ ๑ พระองค์ คือ เจ้าชายเทวทัต พร้อมด้วยอำมาตย์ช่างกัลบกอีก ๑ คน คือ อุบาลี รวมเป็น ๗ เสด็จออกเดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่อนุปิยอัมพวันเมืองพาราณสี ในระหว่างทางเจ้าชายทั้ง ๖ ได้เปลื้องเครื่องประดับอันมีค่าส่งมอบให้อุบาลีช่างกัลบกที่ติดตามไปด้วย พร้อมทั้งตรัสสั่งว่า
    “ ท่านจงนำเครื่องประดับเหล่านี้ไปจำหน่ายเลี้ยงชีพเถิด”
    อุบาลี รับเครื่องประดับเหล่านั้นแล้วแยกทางกลับสู่พระนครกบิลพัสดุ์พลางคิดว่าขึ้นมาว่า “ ธรรมดาเจ้าศากยะทั้งหลายนั้นดุร้ายนักถ้าเห็นเรานำเครื่องประดับกลับไปก็จะพากันเข้าใจว่า เราทำอันตรายพระราชกุมารแล้ว นำเครื่องประดับมาก็จะลงอาญาเราจนถึงชีวิต อนึ่งเล่า เจ้าชายศากยกุมารเหล่านี้ ยังละเสียซึ่งสมบัติอันมีค่าออกบวชโดยมิมีเยื่อใย ตัวเรามีอะไรนักหนาจึงจะมารับเอาสิ่งของที่เขาทิ้งดุจก้อนเขฬะนำไปดำรงชีพได้”
    เมื่อคิดดังนี้แล้ว จึงแก้ห่อนำเครื่องประดับทั้งหลายเหล่านั้นแขวนไว้กับต้นไม้แล้วกล่าวว่า “ ผู้ใดปรารถนาก็จงถือเอาตามความประสงค์เถิด เราอนุญาตให้แล้ว ” จากนั้นก็ออกเดินทางติดตามเจ้าชายทั้ง ๖ พระองค์ ไปทันที่อนุปิยอัมพวัน กราบทูลแจ้งความประสงค์ขอบวชด้วย
    <HR><CENTER>ให้อุบาลีกัลบกบวชก่อน </CENTER>
    เจ้าชายอนุรุทธะ เมื่อทราบความประสงค์ของอุบาลีเช่นนั้น จึงกราบทูลพระบรมศาสดาว่า “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์เป็นกษัจริย์ มีขัตติยมานะแรงกล้า ขอพระองค์ประทานการบรรพชาแก่อุบาลี ผู้เป็นอำมาตย์รับใช้ปวงข้าพระองค์ก่อนเกิด เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้แสดงความเคาวะกราบไหว้ อุบาลีตามประเพณีนิยมของพระพุทธสาวก จะได้ปลดเปลื่องขัตติยมานะให้หมดสิ้นไปจากสันดาน”
    พระพุทธองค์ตรัสอนุโมทนา แล้วประทานการบรรพชาแก่อุบาลีก่อนตามความประสงค์แล้วประทานการบรรพชาแก่กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ภายหลัง เมื่อบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว [​IMG]
    พระภัททิยะ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมไตรวิชา ภายในพรรษานั้น
    พระอนุรุทธะ ได้สำเร็จทิพยจักษุญาณก่อน ภายหลังได้ฟังพระธรรมเทศนามหาสปุริสวิตกสูตร ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
    พระอานนท์ ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน
    พระภักคุ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
    พระกิมพิละ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
    พระเทวทัต ได้บรรลุธรรมชั้นฤทธิ์ปุถุชนอันเป็นโลกิยะ
    พระอุบาลี ศึกษาพุทธพจน์แล้ว เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ภายในพรรษานั้น
    พระอนุรทธะ เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้เรียนกรรมฐานจากพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรแล้วเข้าไปสู่ป่าจีนวังสมฤคทายวัน ขณะเจริญสมณธรรมอยู่นั้นได้ตรึกถึงมหาปริสวิตก ๗ ประการ คือ
    ๑ ธรรมนี้ของผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ใช่ของผู้มีคววามปรารถนาใหญ่
    ๒ ธรรมนี้ของผู้สันโดษ ยินดีด้วยของผู้ยินดีของทีมีอยู่ ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ
    ๓ ธรรมนี้ของผู้สงัดแล้ว ไม่ใช่ของผู้ยินดีในหมู่
    ๔ ธรรมนี้ของผู้ปรารถนาความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
    ๕ ธรรมนี้ของผู้มีสติตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีสติหลง
    ๖ ธรรมนี้ของผู้ที่ตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
    ๗ ธรรมนี้ของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้มีปัญญาทราม
    เมื่อพระเถระตรึกอยู่อย่างนี้ พระบรมศาสดาเสด็จไปยังที่อยู่ของพระเถระ ทราบว่าเธอกำลังตรึกอยู่อย่างนั้น ทรงอนุโมทนาว่า ดีล่ะ ดีล่ะ แล้วทรงแนะนำให้ตรุกในข้อที่ ๘ ว่า
    ธรรมของผู้ยินดีในธรรมที่ไม่เนื่นช้า ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมที่เนิ่นช้า
    <HR><CENTER>ได้รับยกย่องผู้มีทิพยจักษุญาณ</CENTER>
    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสอนพระเถระแล้ว ได้เสด็จกลับสู่ที่ประทับ ส่วนพระอนุรุทธเถระได้บำเพ็ญสมณธรรมต่อไป ก็ได้บรรลุอรหัตผล ตั้งแต่นั้นมา ท่านได้ตรวจดูสัตว์โลกด้วยทิพย์จักษุญาณเสมอ ยกเว่นขณะกำลังฉันภัตตาหารเท่านั้น
    ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาดา ได้ตรัสยกย่องชมเชยยท่านในตำแหน่งเอทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้มีทิพยจักษุญาณ
    <HR><CENTER>ปฐมเหตุประเพณีการทอดผ้าบังสุกุล-ผ้าป่า </CENTER>
    สมัยหนึ่ง ท่านอนุรุทธเถระ จำพรรษาอยู่ที่เวฬุวัน เมืองราชคฤห์ จีวรที่ท่านใช้อยู่นั้นเก่ามาก ท่านจึงแสวงหาผ้าบังสุกุล ( ผ้าเปื้อนฝุ่น ) ตามกองขยะกองหยากเยื่อเพื่อนำมาทำจีวร ครั้งนั้น อดีตภรรยาเก่าของท่านชื่อ ชาลินี ซึ่งไปจุติไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นพระเถระแสวงหาผ้าอยู่เช่นนั้นก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส จึงนำผ้ามาจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ และคิดว่า “ ถ้าเราจะนำเข้าไปถวายโดยตรง พระเถระก็คงไม่รับแน่ ” จึงหาอุบายซุกผ้าผืนนั้นไว้ในกองขยะกองหยากเยื่อ มีชายผ้าโผล่ออกมาเพื่อให้พระเถระได้เห็น ในทางที่พระเถระกำลังมุ่งหน้าไปทางนั้น พระเถระเห็นชายผ้าผืนนั้นแล้วดึงออกมาพิจรณาเป็นผ้าบังสุกุล และคิดว่า “ ผ้าผืนนี้ เป็นผ้าบังสุกุลที่มีราคายิ่งนัก ” แล้วนำกลับไปสู่อาราม เพื่อจัดการทำจีวร อนึ่ง กริยาที่นางเทพธิดาชาลินี นำผ้าไปวางซุกไว้ในกองขยะกองหยากเยื่อ ในลักษณะทอดผ้าป่าในปัจจุบันนี้
    <HR><CENTER>พระพุทธองค์ทรงช่วยเย็บจีวร </CENTER>
    ในการทำจีวรของท่านนั้นเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระบรมศาสดาทรงพาพระมหาสาวกเป็นจำนวนมากมาร่วมทำจีวร โดยพระองค์เองทรงร้อยเข็ม พระมหากัสสปะนั้งอยู่ช่วงต้อน พระสารีบุตรเถระนั่งอยู่ตรงกลาง พระอานนท์นั่งอยู่ช่วงปลายสุด ทั้ง ๓ ท่านนี้ช่วยกันเย็บจีวร ส่วนพระภิกษุสงฆ์ที่เหลือก็ชวยกันกรอด้าย พระมหาโมคคัลลนเถระกับนางเทพธิดาชาลินี ช่วยไปชักชวนอุบาสกอุบาสิกาในหมู่บ้าน ให้นำภัตตาหารมาถวายพระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ประมาณ ๕๐๐ รูป การเย็บจีวรของพระอนุรุทะเถระสำเร็จด้วยดีภายในวันเดียวเท่านั้น
    เทพธิดาชาลินีนางนี้แหละคราวที่พระเถระจำพรรษาอยู่ในป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล ได้มาหาท่านและนิมนต์ให้ท่านตั้งจิตปรารถนาไปเกินในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยนางได้อ้างถึงความสวยงามของสวนนันทวัน ให้พระเถระฟังท่านได้ตอบไปว่าท่านไม่มีโอกาสได้เกิดในหมู่เทวดาอีกแล้ว เนื่องจากลายการเวียนว่ายตายเกิดได้หมดสิ้น
    การที่นางเทพธิดากล้ากล่าวเช่นนั้นแก่ท่านก็เพราะว่าใน ๓ ชาติที่แล้ว นางได้เกิดเป็นภรรยาของท่านในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นเอง นางจำท่านได้และความรักอาลัยยังมีอยู่จึงกล่าวไปตามความรู้สึก โดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้ท่านได้บรรลุอรหัตผลแล้ว ธรรมกถาเรื่อง “ เจโตมุติ” ( เจโตวิมุตติ) ของท่านนับว่าเป็นธรรมกถาที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง ที่ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจสมาธิ พระไตรปิฎกบันทึกเรื่องนี้ไว้ว่า
    ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวนาราม เมืองสาวัตถีนั้น พระอนุรุทธเถระได้ตามเสด็จไปด้วย วันหนึ่งหัวหน้าช่างไม้คนหนึ่งชื่อ “ ปัญจังคะ” ส่งคนให้มานิมนต์พระเถระไปฉันภัตตาหารแล้วช่างไม้ได้สนทนากับท่านดังนี้
    ช่างไม้ “ พระคุณเจ้าผู้เจริญ เจโตวิมุติอันไม่มีประมาณกับเจโตวิมุติอันมีอารมณ์ใหญ่ ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร
    พระเถระ “ แล้วท่านเข้าใจว่าอย่างไร ”
    ช่างไม้ " โยมเข้าใจว่า วิมุติทั้ง ๒ นี้ มีความหมายเหมือนกัน ต่างกันเฉพาะตัวหนังสือเท่านั้น ขอรับพระคุณเจ้า ”
    พระเถระ " เจโตวิมุติทั้ง ๒ นี้ต่างกันทั้งความหมายและตัวหนังสือ เจโตวิมุติอันไม่มีประมาณ คือ ภิกษุแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไปตลอดทั้งโลกแล้วมีจิตเพียบพร้อมด้วยพรหมวิหารธรรมอยู่อย่างไม่มีประมาณ คือ ไม่มีของเขตจำกัดในผู้ใดผู้หนึ่ง แผ่ไปอย่างไพบูลย์กว้างขวางทั้งในสัตว์ทุกประเภทและในโลกทั้งปวง เจโตวิมุติอันมีอารมณ์ใหญ่ คือ ภิกษุแผ่ขยายไปครอบเขต ๑ เขตบ้าง ๒ เขคบ้าง ๓ เขตบ้าง จากนั้นก็แผ่ขยายออกไปครอบคลุมประเทศ ๑ บ้าง ๒ ประเทศบ้าง ๓ ประเทศบ้าง จนกระทั้งแผ่กระขยายไปครอบคลุมถึงแผ่นดินคือโลกที่มีมหาสมุทรเป็นที่สุด แล้วนึกอยู่ในใจว่าใหญ่ ๆ ”
    ช่างไม้ได้ฟังพระเถระตอบแล้วก็เข้าใจความหมายของเจโตวิมติทั้ง ๒ ได้ดี ซึ่งนับได้ว่างานเผยแผ่พระพุทธศาสนาของท่านประสบผลสำเร็จ [​IMG]
    พระเถระยังได้กล่าวธรรมกถาอีกในโอกาสต่าง ๆ ที่สำคัญ คือ ในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน มีเรื่องเล่าว่า
    ก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงเข้าปนุพพวิการสมาบัติ คือเข้าฌานไปตามลำดับเริ่มตั้งแต่ปฐุมฌานไปจนถึงนิโรธสมาบัติ พระอานนท์เถระเห็นพระพุทธองค์ทรงบรรทมสงบนิ่งไม่ทรงหายใจเข้าออกจึงถามพระอนุรุทธเถระว่า “ พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วหรือ” พระอนุรุทธเถระท่านเข้าฌานตามพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา และทราบว่าพระพุทธองค์กำลังเข้านิโรธสมาบัติจึงว่า ยัง จนกระทั้งเมื่อพระพุทธองค์ทรงออกจากนิโรธสมาบัติแล้วลงสู่ภวังค์ พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในขณะลงสู่ภวังค์นั้น พระอนุรทธเถระทราบ จึงออกจากสมาบัติแล้วแจ้งให้พระอานนท์เถระทราบ
    ทันทีที่พระอานนท์ทราบได้แจ้งให้พระรูปอื่น ๆ ที่ประชุมเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่นั้นได้ทราบด้วยพระสาวกอริยะก็ปลงธรรมสังเวชว่า “ สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง” [​IMG]
    ส่วนพระสาวกที่เป็นปุถุชน ต่างเสียใจร้องไห้คร่ำครวญด้วยความอาลัยรักในพระพุทธเจ้า พระอนุรุทธเถระเห็นเหตุการณ์นั้นจึงเข้าไปปลอบ โดยกล่าวข้อเตือนใจว่า
    ท่านทั้งหลาย อย่าได้เสียใจไปเลย อย่าค่ำครวญไปเลย
    พระศาสดาเคยตรัสไว้แล้วมิใช่หรือว่า ความพลัดพรากจากของรักของชอบ
    ทั้งหมดนั้น ย่อมมีเป็นธรรมดา สิ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว
    มีปัจจัยปรุงแต่ง มีความแตกสลายไปเป็นธรรมดา
    ไม่มีใครจะบังคับได้หรอกว่า จงอย่าแตกสลาย
    ขณะนั้นถือได้ว่าท่านเป็นพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งอยู่ในที่นั้น พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานในตอนกลางคืน ตลอดคืนวันนั้นท่านกับพระอานนท์เถระจึงได้ทำหน้าที่กล่าวธรรมกถาปลอบโยน พระสาวกที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ตลอดคืนจนรุ่งเช้า ท่านจึงมอบหมายให้พระอานนท์เถระไปแจ้งข่าวให้เหล่ากษัตริย์ได้ทราบ
    ท่านเป็นคนแจ้งเหล่ามัลลกษัตริย์ให้อัญเชิญพระบรมศพของพระพุทธองค์เข้าเมืองทางประตูเมืองทางทิศอุดร ( เหนือ) ผ่านกลางเมืองไปออกทางประตูเมืองด้านทิศบูรพา ( ตะวันออก) ก่อนนำไปถวายพระเพลิง ณ มกุฏพันธนเจดีย์ ทั้งนี้เป็นไปตามประสงค์ของเทวดาที่ต้องการจะบูชาพระบรมศพของพระพุทธเจ้า [​IMG]
    ท่านยังได้ร่วมทำกิจพระศาสนาครั้งสำคัญ ในการทำปฐมสังคายนากับคณะสงฆ์โดยมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน พระอุบาลีเถระวิสัชนาพระวินัย และพระอานนท์เถระวิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม พระอนุรุทธเถระ ท่าน ดำรงอายุสังขาร โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ได้ดับขันธ์ เข้าสู่นิพพาน ณ ภายใต้ร่มกอไผ่ ในหมู่บ้านเวฬวะ แคว้นวัชชี.......
    <HR><CENTER>เจโตวิมุติอันไม่มีประมาณกับเจโตวิมุตอันมีอารมณ์ใหญ่ </CENTER>เจโตวิมุติคู่กับปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติ คือ หลุดพ้นจากราคะด้วยอำนาจสมาธิ เป็นฝ่ายสมภกรรมฐาน ส่วนปัญญาวิมุติ คือ หลุดพ้นจากอวิชา ( ความไม่รู้) ด้วยอำนาจปัญญา เป็นฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ในการบรรลุธรรม วิมุติทั้ง ๒ นี้ต้องเกิดพร้อมกันจึงจะละกิเลสได้....

    ที่มา
    <TBODY></TBODY></TABLE>
    index
     
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    <DD>แบบหลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุง</DD><DD><DD>อุทิศส่วนกุศลผสมอธิฐานบารมี<DD><DD>อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วันนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน


    <DD>และข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้า ในครั้งนี้ด้วยเถิด


    <DD>และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด


    <DD>ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้เถิด


    <DD>(จะเพิ่มไปอีกสักนิดว่า "หากยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าขัดข้อง จงอย่าบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเทอญฯ)

    <DD>ที่มา
    <DD>
    Ǒ??ѹ?҃ҁ (?蒫ا) - ?ӍطԈʨǹ?؈Ŧlt;/a>
    </DD>

    ใครมีอธิฐานบารมีแบบไหนก็มาแบ่งๆๆกันได้น่ะครับ <DD>
    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2009
  5. ส.เชียงใหม่

    ส.เชียงใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +145
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ...ขอให้ทุกท่านมีความสุข

    อันเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา
     
  6. nithit_m@hotmail.com

    nithit_m@hotmail.com สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +22
    ขออนุโมทนาบุญ กับบทความดีๆนี้ด้วยครับ เป็นประโยชน์กับผู้บำเพ็ญกุศลอย่างมากครับ
    สาธุ...สาธุ...สาธุ...
     
  7. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]
     
  8. สุภาพรกิ่งนอก

    สุภาพรกิ่งนอก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2008
    โพสต์:
    405
    ค่าพลัง:
    +1,536
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ จะขออนุญาตนำประโยคสุดท้ายมาใช้ด้วยค่ะ เพื่อความไม่ประมาท อิอิ
     
  9. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  10. กิติชา

    กิติชา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +95
    ขออนุโมทนาด้วยนะคะมีประโยชน์มากเลยค่ะกำลังอยากรู้พอดีเลยค่ะ
     
  11. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,500
    สาธุ... ขออนุโมทนาสำหรับธรรมทานดี ๆ ด้วยนะครับ
    ว่าด้วยเรื่องอธิษฐานบารมี จะสำเร็จผลหรือไม่นั้น
    สำคัญอยู่ตรงที่ว่า ณ ปัจจุบันนี้ กาลนี้ เราสร้างเหตุ ปัจจัย ไว้เช่นไร...

    ก็ขอให้ท่านทั้งหลายมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ แน่วแน่ ซื่อตรง ในสัจจะ
    มีขันติ อดทน แม้จะต้องประสบพบเจอความทุกข์ยากลำบากก็ตาม

    จิตดวงใดที่ไร้ซึ่งการขาดทุน จิตดวงนั้นย่อมส่องแสงประกายเป็นบุญอยู่เสมอ
    ขอให้ท่านทั้งหลาย เจริญในธรรมยิ่งขึ้นไป สาธุ ๆ ๆ ครับ
     
  12. ระยิบ

    ระยิบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +181
    ขออนุโมทนาสาธุค่ะ เป็นความรู้ที่ดีเยียมค่ะ
    ขอให้ผู้มอบและผู้รับทุกท่านนี้จงสำเร็จบุญ
    สมความปรารถนาตามคำอธิษฐานกันทุกท่านเทอญ สาธุ
     
  13. โอม อุดมชัย

    โอม อุดมชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    512
    ค่าพลัง:
    +2,527
  14. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618


    ชอบอธิษฐานแบบนี้

    " ขอให้ข้าพเจ้ามีความเจริญรุ่งเรือง ทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป มีความเป็นสัมมาทิฏฐิ มีศีล สมาธิ ปัญญา เมตตา คุณธรรม มีหิริโอตตัปปะ

    ขอให้ได้สร้างบุญสร้างกุศล ได้รับใช้พระพุทธศาสนาอยู่เสมอ และไม่ได้ทำบาปเลย ในชีวิตประจำวัน

    ขอให้มีอายุวรรณะ สุขะ พละ ปราศจากอุปัตทวอัตราย

    ขอให้ได้พบพระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญ เป็นพระสุปฏิปัณโณ รวมถึงฆราวาส ที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มาบอกสอนธรรมะ ให้ข้าพเจ้าได้เข้าสู่พระนิพพานโดยเร็วเทอญ "
     
  15. gorngarn

    gorngarn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +76
    ขออนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ กับบทความที่นำมาเผยแพร่ ครับ
     
  16. tassumalee

    tassumalee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    1,579
    ค่าพลัง:
    +8,825
    พลังบุญนี่มี อานิสงฆ์มากจริงๆนะคะ อนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะ เราก็ยังคงเป็นได้แค่บัวที่อยู่ใต้น้ำ(ความรู้เรื่องธรรมมีน้อย)ก็ได้แต่หวังว่าซักวันคงจะได้โผ่ลพ้นน้ำขึ้นมาบ้าง
     
  17. itemnoi

    itemnoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +323
    อนุโมทนา บทความที่หลวงพ่อโตวัดระฆัง ท่านบอกว่า ถ้าเจ้าไม่สร้างเอาไว้แล้ว เที่ยวไปขอร้องขอต่อคนอื่นเมื่อไหร่เจ้าจะได้ เพราะฉะนั้นก็เลยจำเป็นอยู่ตรงนี้ว่า เราต้องทำให้เพียงพอ ถึงเวลาอธิษฐานว่าเราต้องการอย่างไรมันถึงจะเป็นอย่างนั้นค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...