พบหลวงพ่อฤๅษีๆ ครั้งแรก

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย KK1234, 30 เมษายน 2009.

  1. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    คัดลอกบางส่วนจาก หนังสือเสียงจากถ้ำ(นารายณ์) ฉบับพิเศษ บนเส้นทาง พระโยคาวจร โดย สายฟ้า

    เรื่องที่คัดลอกมานี้ ผมอ่านทีไรซึ้งทุกที อย่างให้เพื่อนทุกคนได้อ่านกัน เลยเอาเวลามานั่งพิมพ์ ให้อ่านกัน


    พบหลวงพ่อฤๅษีๆ ครั้งแรก

    เย็น วันนั้นจำวันที่ไม่ได้ มันตั้ง 29 ปีที่แล้ว(ประมาณปี 2519) แต่ที่ไม่มีวันลืมก็คือ ผู้เขียนนั่งคอยพ่อ (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) อยู่แถวหน้า ติดตั่งที่พ่อนั่ง เมื่อพ่อลงมาจากที่พักชั้นบนของบ้านก็จะมานั่งตรงนั้น เราก็เลยว่าพอจะคุกเข่ากราบก็ถึงหลังเท้าพ่อพอดีเลยละ

    สักครู่ได้ยินเสียงพี่อ๋อย (คุณ เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เจ้าของบ้านพูดว่า "หลวงพ่อ มาแล้ว"

    ท่าน ผู้อ่านเอย..... เมื่อผู้เขียนเหลียวไปมองด้านหลังตรงประตูจากชั้นบน ผู้เขียนเห็นพระสงฆ์ องค์หนึ่ง รูปร่างค่อนข้างผอม (ขณะนั้นนะ) ผิวพรรณคล้ำแต่ประกายผ่องใส เดินหลังตรงมาที่ตั่ง แต่เท้าของท่านซี ท่านเอย........ เท้าท่านดูลอยจากพื้นสักคืบหนึ่ง เดินแบบเหิร ตาจ้องมองผู้เขียนเขม็ง พ่อเอย.....

    แม้ดวงตาพ่อจะดุ แต่สายตาและวงหน้านั้นมีแต่ความเมตตาอารี ผู้เขียนไม่ใช่คนงมงายเด็ดขาดเคลิบเคลิ้มเด็ดขาด แต่ก็ต้องยอมรับว่า พระองค์นี้ไม่ใช่พระธรรมดา กระแสจิตที่มองเพ่งมามันแรงกล้า พาให้ขนเรานี่ลุกชูชันสั่นไปหมด

    เสียงบรรดาศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็น สตรีมีอายุมากกว่าผู้เขียน อุทานขานเรียกกันเซ็งแซ่ว่า "หลวงพ่อเจ้าขา...หลวงพ่อเจ้าขา..." ท่านก็ยิ้มรับ "เอ๊อ..ดี..ดี..ลูก.."

    แล้ว ก็นั่งลงบนตั่งตั้งกายตรงสง่างามหนักหนา ลูกศิษย์ลูกหาก็ประนมกราบไหว้ดูน่าตื่นตาซึ่งใจ ภาพและเสียงศิษย์รักเทิดทูนอาจารย์นั่นจับใจผู้เขียนนัก ต่างคนต่างก็รายงานอารมณ์ ถามธรรมตามลักษณะ วาสนาของตน ใบหน้าน้ำเสียงก็ชื่นบานเป็นสุข องค์หลวงพ่อก็เมตตานุ่มนวล แต่หนักแน่นให้ลูกศิษย์ศรัทธา ดูแล้วไม่มีอะไรจะเคลือบแคลงสงสัยในน้ำใจท่านได้ เป็นไปอย่างนี้สักครึ่งชั่วโมง ก็ซาสร่างว่างโอกาส ผู้เขียนซึ่งนั่งเซ่อโด่เด่ขวางทางเขาอยู่นานแล้วก็ฉวยโอกาสนั้น

    คุกเข่าพนมมือ.. กะให้สวยสมใจเชียว กราบลงไปที่หลังเท้าหลวงพ่อฤาษีฯ พร้องกับพูดเสียงมั่นมาด ปรารถนาว่า

    "กระผมขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อขอรับ....."

    เท่านั้นแหละท่านผู้อ่านเอ๋ย..เท้าที่ผู้เขียนไผ่ฝันจะกราบแนบหน้าคารวะก็รีบชักเท้าหนี พร้อมกับพูดว่าอย่างนี้

    "โอ้ย!...ฉันไม่รับหรอก ฉันไม่รับสัตว์นรกเป็นลูกศิษย์หรอก..."

    มัน ยังไง....มันอื้ออึ้ง... มันร้อนผ่าวใจนักหนาท่านผู้อ่านเอย ผู้เขียนในระยะนั้นตระเวนหาอาจารย์ ยังไม่ได้ดื่มด่ำในรสพระธรรมให้ใจเย็นลงแม้แต่น้อย ปากผู้เขียนสวนออกไปเลย! .. ทุกวันนี้ก็ยังแปลกใจว่าพูดออกไปได้ยังไงว่า

    "ต้องยังไง..ถึงจะรับเป็นศิษย์ได้!"

    " อ๊าว..ก็ต้องเป็นผู้เป็นคนพอจะรับรู้รสพระธรรมได้... อย่างคุณนี้.. ยังเป็นสัตว์นรกเต็มตัวนี่ เป็นคนยังเป็นไม่ได้ แล้วจะมาเป็นศิษย์ฉันยังไง"

    "ทำไม?" ตอนนั้นโกรธหรือ รู้แค่ว่าหน้าตาร้อนผ่าว มือที่ยกไหว้นี้ลดลงมาท้าวพื้นแล้ว

    "ทำไม.. ก็คือยังไม่มีทุนคุณสมบัติเลยไงล่ะ อย่างคุณนี่ศีล 5 ทำได้สักข้อไหม เอาที่มั่นใจจริงๆ ซักข้อเดียวเข้าใจไหม?"

    เงียบคอแข็ง

    "จำได้ทุกข้อ...แล้วผิดเต็มตีนทุกข้อไช่ไหมล่ะ?"

    เงียบ...อึดอัด

    "เงียบทำไมล่ะ เข้าใจกับเขาบ้างไหมว่าศีล 5 เป็นยังไงเขารักษากันยังไง?"

    เงียบชักอายคนรอบข้าง

    " ไป..ไป ถอยไปห่างตีนฉันหน่อย.. จะบอกให้เอาบุญสักข้อเดียว ถ้าเข้าใจก็ยังพอรอดขุมนรกขุมลึกได้บ้าง ฉันขอถามแกตรงๆ รู้สึกอย่างไรตอบอย่างนั้น..ตกลงไหม?"

    "ครับ" เสียงคงอ๋อยแล้วล่ะ ท่านผู้อ่านอย่านึกว่าหลวงพ่อตีเบาลง อย่าเข้าใจเข้าข้างผู้เขียนมากเกินไปบอกได้เพียงว่าหนัก

    เท่านั้นแหละ! พ่อ(หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง) ก็หันหน้ามองหน้าผู้เขียน

    "เรื่องข้อสามก่อนนะ นี่...ฉันจะถามเรื่องจริง แกก็ตอบจากใจจริงๆ แบบลูกผู้ชาย ไม่ต้องโกรธกันนะ"

    "ครับ"

    "สมมุติว่าแกเดินไปกับเมียแก..."

    เดี๋ยว!...ผู้เขียนต้องจำเป็นต้องใช้ภาษาจริงๆ ที่พ่อพูด พ่อคงจะทราบสันดานผู้เขียนดีว่า ของหยาบต้องเอาคำหยาบมาขัดถู

    "...เกิดมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเขามาจับก้นเมียแก บีบเล่นต่อหน้าต่อตานี่...แกว่าดีไหม?"

    "ไม่ดีครับ!"

    "เอ้า...ตอบดีๆ หูแดงหน้าแดงทำไม เอาอีกที.. ถ้าไอ้คนนั้นมันพาพวกมาจับเมียแกลงไปข่มขืนข้างถนน ต่อหน้าต่อตาแกนี้ มัน..."

    "ไม่ดี.. ไม่ได้ มันจะมากไป..."

    "เอ๊..นี่เราจะตกลงกันแล้วนาว่าจะไม่โกรธกัน.."

    พ่อชี้หน้ารุกคืบต่อ..

    "ขอถามอีกทีเถอะวะ ไอ้หนู ..ถ้าเมียแกไม่ซื่อ แอบสนุกไปสนุกกับคนอื่นสวมเขาให้แกนี้ ลูกผู้ชายอย่างเราทนได้ไหมวะ?"

    "ไม่ได้ครับ"

    "แล้ว ไอ้.. อี.. คนที่นอกใจละเมิดสิทธิ์อันชอบธรรมหยามน้ำใจคนอื่นเขานี่ มันเป็นคนเลวหรือคนดี"

    "เลวครับ!"

    "ใช่เลวมาก.. เลวจนถ้ายังมีชีวิตอยู่ ควรจะจับเอาไปขังรวมกันไว้ ไม่ให้มาทำร้ายใจ ทำลายของรักของคนอื่นได้อีกเลยใช่ไหม?"

    "ใช่ครับ"

    ชักเต็มใจตอบเต็มสียง นี่.... ท่านถามเข้าข้างเรานี่ ท่านถามถูกต้องนี่พระองค์นี่

    " เออ..แล้วคนประเภทนี้ ตายไปควรที่จะไปตกนรกคุมขังทรมานไว้ กันไม่ให้เกิดมาทำเลวอีก ควรที่จะโดนทรมาน อบรมตามหลักสูตรสัตว์นรก จนรู้สึกรู้สาเข็ดหลาบ จึงจะปล่อยขึ้นมาเป็นมนุษย์ใหม่ จริงไหม?"

    "จริงครับหลวงพ่อ ..มัน ต้องอบรมกันนานนานด้วย!"

    "เออ.. แล้วแกว่า ถ้าคนเราในโลกนี้ ควรจะเคารพสิทธิ์ผู้อื่น ต่างถนอมน้ำใจกันนี่ มันจะมีความสุข มันดีไหม?"

    "ควรครับ.. ดีครับ.. " เต็มใจตอบเลยทีนี้

    " อ๊าว.. แกก็พอมีปัญญาอยู่บ้างแล้วนี่ พอจะมีเชื้อความเป็นคนอยู่ในใจพอสมควรแล้วนี่ แกกลับไปคิดต่อ คิดให้ครบศีลห้าข้อ คิดคล้ายๆ อย่างนี้แหละ เดือนหน้ามาเจอกันที่นี่ ข้าจะพิจารณาอีกทีว่าจะรับแกเป็นศิษย์ได้ไหม.."

    ท่านผู้อ่านเอย ผู้เขียนนั่งมองหน้าหลวงพ่อ หลีกหลบออกมาไตร่ตรอง พระอะไรดีอย่างนี้หนอ.. ไม่เคยพบไม่เคยเห็น ช่างถามตรงประเด็น เหมือนกับรู้ว่าผู้เขียนเป็นคนที่รักและหวงแหนครอบครัวเป็นที่สุด ท่านช่างกล้าถามไม่กลัวเราช้ำใจเลยหนอ

    "แล้วตัวแกเองนี่.. ควรจะมองตัวเองและสอนลูกแกให้เป็นคนดีมีศีล มันดีใช่ไหม?"

    "ใช่ครับ.. หลวงพ่อ" ""

    หลัง จากนั้นหลวงพ่อก็นำศิษย์ทั้งหมดในห้อง สมาทานศีลห้า สมาทานพระกรรมฐาน พ่ออบรมอย่างไร สอนอะไรบ้างวันนั้น..ผู้เขียนฟังไม่เข้าไปในใจเลย.. ในใจของผู้เขียนเต็มแน่นไปด้วยความหมายของศีลข้อสาม รับรู้ได้ถึงความเจ็บช้ำน้ำใจของเจ้าของสิทธิ์ที่ถูกละเมิด รับทราบน้ำใจของพ่อที่ราดรดบาดลึกเข้ามาในใจของผู้เขียน มันยิ่งกว่าน้ำกรด ว่าเข้าไปนั่น..

    อ่านต่อไปอีก.. เรื่องสำคัญมันต่อเนื่องกัน กลับถึงบ้านคืนนั้น ก็นอนคิดต่อ ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเข้าใจและยอมรับว่า "ไม่ควร..ที่ใครๆเลยจะผิดศีลข้อกาเม"

    ทีนี้.. เรื่องสะเทือนใจของผู้เขียนเกิดขึ้นในตอนเย็น หลังจากกลับจากทำงานแล้ว ผู้เขียนไปนั่งอยู่ใต้ต้นมะม่วงเขียวเสวยหลังบ้าน ที่จริงไม่ใช่นั่งใต้ต้น แต่เป็นนั่งใต้กิ่งมะม่วง เพราะต้นมันอยู่ในรั่วบ้านติดกัน มันเป็นมะม่วงของคนอื่นเขามะม่วงเจ้ากรรมนี้.. มันดกมาก โดยเฉพาะกิ่งใหญ่ที่ทอดข้ามรั้วสังกะสี เข้ามาในเขตหลังบ้านผู้เขียนนี่ มันดกเป็นพิเศษ ท่านผู้อ่านเดาใจถูกไหมว่า.. ผู้เขียนจะทำอย่างไรกับมะม่วงต้นนั้น

    ขโมยซีจ๊ะ

    ตลอดเวลา ที่เช่าบ้านนั้นอยู่สามปี ก่อนจะถึงวันที่พบพ่อ ผู้เขียนมีความตื่นเต้น สมใจทุกฤดูมะม่วงผลิตดอกออกผล นั่งรอเวลาที่มะม่วงจะแก่พอกินลิ้มรสมะม่วงเขียวเสวย ผู้เขียนไม่เข้าใจว่าทำไมมะม่วงที่ขโมยเขากินจึงอร่อยกว่าซื้อจากตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เจ้าของละสายตาที่จ้องจากหน้าต่างบ้านไป.. เราก็ยื่นมือไปเด็ดทันใดหน้าด้านๆซ่อนไว้ข้างหลัง ไอ้ลูกนั้นแหละ ทำไมจึงอร่อยเป็นพิเศษไม่ทราบได้

    แต่วันนั้น.. ท่านผู้อ่านเอย.. วันนั้นอารมณ์ใจของผู้เขียนมันไม่เหมือนกับวันก่อนๆ ที่เคยอร่อยอารมณ์กับการขโมยมะม่วงเขากิน.. ในใจเรานี้ มันนึกถึงแต่หน้าหลวงพ่อ มันกังวาลเสียงสีหนาทที่หลวงพ่อบรรลือข่มมิจฉาทิฏฐิ ในใจผู้เขียน ..ท่านได้ฉีกขยี้ทำลายความคะนองฤทธิ์บาปของเราจนอ่อนแรงไปแล้ว ..มันกลายเป็นความเศร้าหมองใจ ที่เราได้ล่วงละเมิดสิทธิมะม่วงของเจ้าของมาโดยตลอด ขณะที่นั่งคิดอยู่ใต้ต้นกิ่งมะม่วงคู่เวรนั้นแหละ

    ก็ได้ยินเสียงเปิด หน้าต่าง .. เสียงพี่ชายเจ้าของกระแอมแบบ ไม่ใช่อาการป่วยกาย ..มันเป็นเสียงกระแอมที่บอกเจตนาจะบอกว่า "ฉันมาแล้วนะ เจ้าขโมยหน้าด้าน" ชำเลืองมองไปก็เห็น พี่แกหวีผมถ่วงเวลาไว้ท่า ชำเลืองมองผู้เขียนแบบคนที่มีความหงุดหงิดหวาดระแวง ..นี่ถ้าเป็นวันก่อนหน้านี้ก่อนจะพบพ่อ (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง) ผู้เขียนจะต้องยิ้มเฮอะ ..ยิ้มมีเลศนัยของความหยิ่งทะนงคงมั่นในความเลวเฉพาะตัว ..คนอย่างเรา.. ถ้าตัดสินใจว่าจะขโมยให้ได้ มันต้องได้ เอาเหอะ ..แกเผลอเมื่อไหร่ เป็นได้รู้ฤทธิ์สัตว์นรกกัน! ขโมยตอนแกยังไม่กลับบ้านจะไปเก่งอะไร.. นี่นะ.. เดี๋ยวจะเอามันเฉพาะหน้า มันถึงอร่อยถึงใจ

    แต่วันนี้..ใจมัน ไม่อร่อย มันกร่อย.. มันไม่กระตือรือร้น วันนี้เห็นหน้าพี่เจ้าของต้นมะม่วงมัน แล้วรู้สึกได้ทันทีว่า พี่เขา มีทุกข์ เขามีความหวาดระแวง เขามีความรังเกียจเหยียดหยาม ตัวอะไรตัวหนึ่งที่นั่งใต้กิ่งมะม่วงคอยจังหวะละเมิดน้ำใจเขา...

    พ่อ เอย.. ทำไมวันนี้ภาพของพ่อจึงได้ติดใจลูกไม่หลุดไปเสียที ทำไมเสียงหลวงพ่อจึงก้องกังวานจับใจลูกไม่เลือนหาย เสียงที่เสียบแทง คาใจ คาหู

    "....ฉันไม่รับสัตว์นรกเป็นลูกศิษย์หรอก"

    "....อย่างคุณนี้.. ยังเป็นสัตว์นรกเต็มตัวนี่ เป็นคนยังเป็นไม่ได้ แล้วจะมาเป็นศิษย์ฉันยังไง"

    "....แล้ว ไอ้.. อี.. คนที่นอกใจละเมิดสิทธิ์อันชอบธรรมหยามน้ำใจคนอื่นเขานี่ มันเป็นคนเลวหรือคนดี"

    พ่อ เอย... ช่างดุดันรุกเร้ายิ่งนัก ช่างสมกับเป็นความเลวที่ยังค้างคาใจสุดสาสม ลูกอยู่บ้านนี้ 3ปี ..เพื่อนบ้านทุกข์มาตลอด 3ปี ลูกเลวเองเฉพาะตัว ถูกรังเกียจเฉพาะตัวไม่เป็นไร ..แต่นี่ถ้าลูกได้เป็นศิษย์ของพ่อ จะยอมให้เขาดูถูกครูบาอาจารย์ได้อย่างไร

    ในกาละนั้นเอง ผู้เขียนเต็มใจเงยหน้ามองพี่ผู้ชายที่บานหน้าต่างบ้าน ผู้เขียนกราบลงที่พื้นธรณี ใต้ต้นมะม่วง 1 ครั้ง แล้วประนมมือไหว้เจ้าของ...

    "พี่ครับ..ฟังผมหน่อย.." พี่แกจะทำหน้างงงันอย่างไร ก็ทำไป เราก็เปล่งคำในใจออกมา

    "... ผมสร้างความทุกข์ให้พี่มานานแล้ว ผมขโมยมะม่วงพี่กินมาคงจะร้อยลูก ผมเจตนาละเมิดและหยามน้ำใจพี่ ผมเลวเต็มตัวมาตลอดหลายปี... แต่วันนี้ผมพบคูรบาอาจารย์แล้ว"

    "...พี่ครับ ผมเป็นศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ผมเข้าใจศีลห้า ผมมีศีลห้าแล้วพี่ ผมขอขมาพี่ด้วย ผมจะชดใช้ให้ ..ขออย่างเดียว อย่าให้ครูบาอาจารย์ผมต้องแหนงหน่ายใจ หรือมัวหมองเพราะผมเลย..."

    "เฮ้ย..ไอ้น้อง.." พี่ผู้ชายคนนั้นชี้หวีมาที่ผู้เขียน

    " เฮ้ย..ไอ้น้อง..ถ้าน้องพูดได้อย่างนี้ ไม่ต้องชดใช้ กินต่อไป น้อง..พูดอย่างนี้ได้มาเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกันดีกว่า กินตามสบาย..ตลอดไปเลยน้อง!..."

    โอ้หนอ..อัศจรรย์หนอ.. ช่างน่าฟัง น่าครอบครอง น่ารักษาไว้จริงหนอ เจ้าประคุณศีลเอย.. เพียงเราเห็นโทษอันมีแก่เรา และจะพึงมีแก่ท่านที่เราละเมิด ก็เกิดพลังอัศจรรย์ให้เกิดความอาจหาญผ่องใสในใจเรา ให้เกิดการให้อภัยปรองดองกับผู้อื่นที่อยู่รอบตัว อย่างนี้เองหนอ นี่เพียงข้อเดียวคือข้อ 2 อทินนา.. เราก็ยืดอกมองฟ้า เดินดิน นั่งนอนยืนไปได้ทุกสถานที่ โดยไม่ระแวงตัวเอง โดยใจประกาศ ก้องไปถึงไหนๆตามลม ทวนลมว่า

    "คนอย่างเรา จะไปอยู่ที่ใด จะไม่มีสัตว์ มนุษย์ พรหม เทวดา ต้องเดือดร้อนเพราะตัวเรา ขาดเด็ดสมุจเฉทปหาน

    (แปลว่าอะไร.. มันยั้งมือไม่ได้ เขียนแล้วมันคึกใจดี)

    พ่อเอย..พ่อดุนัก เดือนหน้า ลูกจะไปกราบให้ดุด่าอีก

    ดุเถิด ด่าเถิด เคี่ยวเข็ญรุกรานลูกเถิด

    เอาลูกให้จนตรอก ประจานให้หมดศักดิ์ศรี

    อยากจะรู้เหลือกเกินว่าเมื่อถึงที่สุดแห่งความอับอายแล้ว

    ถึงที่สุดแห่งความแหนงหน่าย...เราจะเป็นอย่างไร

    มันต้องเข้าท่าแน่นอน....

    ว่า จะขยักไว้สักหน่อย ใจมันอยากเขียนต่ออีก ในเดือนถัดไปก็ไปพบพ่อ.. พ่อนั่งบนตั่งตามเดิม งามสง่าดุจพระอาทิตย์ทรงกลด ช่างอาจหาญสูงส่งพ้นพรรณนานัก พ่อเอย...คนอย่างลูก(คนเลวนะพ่อ) นี่ไม่เคยร้องไห้ให้ใครง่ายนัก แต่ลูกหลั่งน้ำตา เทน้ำใจกราบเท้าพ่อ ..พูดไม่ออก..! แต่พ่อก็พูดเสียเอง

    "เออ..เออ..อย่างนี้พอใช้ได้ เอ้าเข้ามาใกล้ๆ"

    พ่อรู้ไหมว่ามือพ่อที่ตบไหล่ลูกนั้นมีอานุภาพเพียงใด

    "อย่างนี้รับเป็นศิษย์ได้ แต่อย่าทะนงตัวนะ ยังไม่พ้นนรกหรอก หนีมันให้ได้ ลูกผู้ชายเกิดมาพบพระพุทธศาสนา อย่าให้เสียชาติเกิด.."

    พระคุณพ่อเหนือเกล้าเอย..เพียงพอแล้ว พอที่ลูกจะพิสูจน์ตัวเองแล้ว พ่อดูเถิด ลูกจะทำให้พ่อดู..........


    ขอขอบคุณ
    http://www.pranippan.com/new/board/index.php?showtopic=773
     
  2. สน2550

    สน2550 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +280
    อนุโมทนาในธรรมคำสั่งสอนของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่งครับ
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้
     
  3. r-nisong

    r-nisong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +394
    "คนอย่างเรา จะไปอยู่ที่ใด จะไม่มีสัตว์ มนุษย์ พรหม เทวดา ต้องเดือดร้อนเพราะตัวเรา ขาดเด็ดสมุจเฉทปหาน"
    กล้าหาญมาก อาจหาญเหลือเกินครับ หลวงตา
    ขอนำไปเป็นแบบอย่าง ในวันหนึงข้างหน้า ผมต้องทำให้ได้เหนือนกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...