การทำบุญ.....ที่ถูกลืม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ญ.ผู้หญิง, 28 เมษายน 2009.

  1. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    [​IMG]


    "คุณนายแก้ว" เป็นเจ้าของโรงเรียนที่ชอบทำบุญมาก เป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าทอดกฐินอยู่เนือง ๆ ใครมาบอกบุญสร้างโบสถ์วิหารที่ไหน ไม่เคยปฎิเสธ เธอปลื้มปิติมากที่ถวายเงินนับแสนสร้างหอระฆังถวายวัดข้างโรงเรียน แต่เมื่อได้ทราบว่ามีนักเรียนคนหนึ่งไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน ค้างชำระมาสองเทอมแล้ว เธอตัดสินใจไล่นักเรียนคนนั้นออกจากโรงเรียนทันที



    "สายใจ" พาป้าวัย ๗๐ และเพื่อนซึ่งมีขาพิการไปถวายภัตตาหารเช้าที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเจ้าอาวาสเป็นที่ศรัทธานับถือของประชาชนทั่วประเทศ เช้าวันนั้นมีคนมาทำบุญคับคั่ง จนลานวัดแน่นขนัดไปด้วยรถ เมื่อได้เวลาพระฉันเสร็จ ญาติโยมก็พากันกลับ สายใจพาหญิงชราและเพื่อผู้พิการเดินกระย่องกระแย่งฝ่าแดดกล้าไปยังถนนใหญ่ เพื่อขึ้นรถประจำทางกลับบ้าน ระหว่างนั้นมีรถเก๋งหลายสิบคันแล่นผ่านไป แต่ตลอดเส้นทางเกือบ ๓ กิโลเมตร ไม่มีผู้ใจบุญคนใดรับผู้เฒ่าและคนพิการขึ้นรถเพื่อไปส่งถนนใหญ่เลย


    เหตุการณ์ทำนองนี้มิใช่เป็นเรื่องแปลกประหลาดในสังคมไทย "ชอบทำบุญแต่ไ้ร้น้ำใจ" เป็นพฤติกรรมที่พบเห็นได้ทั่วไปในหมู่ชาวพุทธ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า คนไทยนับถือพุทธศาสนากันอย่างไร จึงมีพฤติกรรมแบบนี้กันมาก เหตุใดการนับถือพุทธศาสนาจึงไม่ช่วยให้คนไทยมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะผู้ีที่ทุกข์ยาก การทำบุญไม่ช่วยให้คนไทยมีเมตตากรุณาต่อผู้อื่นเลยหรือ<WBR><WBR>


    หากสังเกตุจะพบว่า การทำบุญของคนไทยมักจะกระทำต่อสิ่งที่อยู่สูงกว่าตน เช่น พระภิกษุสงฆ์ วัดวาอาราม พระพุทธเจ้า เป็นต้น แต่กับสิ่งที่ถือว่าอยู่ต่ำกว่าตน เช่น คนยากจนหรือสัตว์น้อยใหญ่ เรากลับละเลยกันมาก (ยกเว้นคนหรือสัตว์ที่ถือว่าเป็น "พวกกู" หรือ "ของกู") แม้แต่เวลาไปทำบุญที่วัด เราก็มักละเลยสามเณรและแม่ชี แต่กุลีกุจอเต็มที่กับพระสงฆ์ อะไรทำให้เราชอบทำบุญกับสิ่งที่อยู่สูงกว่าตน ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะเราเชื่อว่าสิ่งที่อยู่สูงเหล่านั้น สามารถบันดาลความสุขหรือให้สิ่งดี ๆ ที่พึงปรารถนาแก่เราได้ เช่น ถ้าทำอาหารถวายพระ บริจาคเงินสร้างวัดหรือพระพุทธรูป ก็จะได้รับความมั่งมีศรีสุข มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ เป็นต้น หรือช่วยให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ มีความสุขสบายในชาติหน้า ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่อยู่ต่ำกว่าเรานั้นไม่มีอำนาจที่จะบันดาลอะไรให้เราได้ หรือไม่ช่วยให้เราสุขสบายขึ้น เราจึงไม่สนใจที่จะช่วยเหลือเผื่อแผ่ให้แก่สิ่งเหล่า
    นั้น


    นั่นแสดงว่าที่เราทำบุญกันมากมายก็เพราะหวังผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ ดังนั้น ยิ่งทำบุญด้วยท่าทีแบบนี้ก็ยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้น ผลคือ จิตใจยิ่งคับแคบ ความเมตตากรุณาต่อผู้ทุกข์ยากมีแต่จะน้อยลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการทำบุญแบบนี้จะทำให้ได้บุญน้อยลงแน่ แน่นอนว่าประโยชน์ย่อมเกิดแก่ผู้รับอยู่แล้ว เช่น หากถวายอาหาร อาหารนั้นย่อมทำให้พระสงฆ์มีกำลังในการศีกษาปฎิบัติธรรมได้มากขึ้น แต่อานิสงส์ที่จะเกิดแก่ผู้ถวายนั้น ย่อมไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะเจือด้วยความเห็นแก่ตัว ยิ่งถ้าทำบุญ ๑๐๐ บาท เพราะหวังจะได้เงินล้าน บุญที่เกิดขึ้นย่อมน้อยลงไปอีกเพราะใช่หรือไม่ว่า นี่เป็นการ "ค้ากำไรเกินควร"


    บุญที่ทำในรูปของการถวายทานนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเงินก็ตาม จุดหมายสูงสุดอยู่ที่การลดความยึดติดถือมั่นในตัวกู ของกู ยิ่งลดได้มากเท่าไร ก็ยิ่งเข้าใกล้พระนิพพานอันเป็นประโยชน์สูงสุดที่เรียกว่า "ปรมัตถะ"ซึ่งสูงกว่าสวรรค์ในชาติหน้า (สัมปรายิกัตถะ) หรือความมั่งมีศรีสุขในชาตินี้ (ทิฎฐธัมมิกัตถะ) แต่หากทำบุญเพราะหวังแต่ประโยชน์ส่วนตน อยากได้เข้าตัวมาก ๆ แทนที่จะสละออกไป ก็ยิ่งห่างไกลจากนิพพานหรือกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นนิพพานด้วยซ้ำ อันที่จริงอย่าว่าแต่นิพพานเลย แม้แต่ความสุขในปัจจุบันชาติก็อาจเกิดขึ้นได้ยาก เพราะจิตที่คิดแต่จะเอานั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์


    ในทานมหัปผลสูตร อังคุตตรนิกาย พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระสารีบุตรว่า ทานที่ไม่มีอานิสงส์มาก ได้แก่ "ทานที่ให้อย่างมีใจเยื่อใย ให้ทานอย่างทีจิตผูกพัน ให้ทานอย่างมุ่งหวังสั่งสมบุญ" รวมถึงทานที่ให้เพราะต้องการเสวยผลในชาติหน้า เป็นต้น พิจารณาเช่นนี้ก็พบว่าทานที่ชาวพุทธไทยส่วนใหญ่ทำกันนั้นหาใช่ทานที่พระองค์สรรเสริญไม่ นอกจากทำด้วยความมุ่งหวังประโยชน์ในชาติหน้าแล้ว ยังมักมีเยื่อใยในทานที่ถวาย กล่าวคือ ทั้ง ๆ ที่ถวายให้พระสงฆ์ไปแล้ว ก็ยังไม่ยอมสละสิ่งนั้นออกไปจากใจ แต่ใจยังมีเยื่อใยในของชิ้นนั้นอยู่ เช่น เื่มื่อถวายอาหารแก่พระสงฆ์แล้ว ก็ยังเฝ้าดูว่าหลวงพ่อจะตักอาหารของฉัน "ฉัน" หรือไม่ หรือหากท่านไ่ม่ฉัน ก็รู้สึกไม่สบายใจ คิดไปต่าง ๆ นานา นี้แสดงว่ายังมีเยื่อใย
    <WBR>ยึดติดผูกพันอาหารนั้นว่าเป็นของฉันอยู่ ไม่ได้ถวายให้เป็นของท่านอย่างสิ้นเชิง


    เยื่อใยในทานอีกลักษณะหนึ่งที่เห็นได้ทั่วไปก็คือ การมุ่งหวังให้ผู้คนรับรู้ว่าทานนั้น ๆ ฉันเป็นผู้ถวาย ดังนั้น ตามวัดวาอารามต่าง ๆ ทั่วประเทศ ของใช้ต่าง ๆ ไม่ว่า ถ้วย ชาม แก้วน้ำ หม้อ โต๊ะ เก้าอี้ ตลอดจนขอบประตู หน้าต่างในโบสถ์ วิหาร และศาลาการเปรียญ จึงมีชื่อผู้บริจาคอยู่เต็มไปหมด กระทั่งพระพุทธรูปก็ไม่ละเว้น ราวกับจะยังแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ หาไม่ก็หวังให้ผู้คนชื่นชมสรรเสริญตน การทำบุญอย่างนี้ จึงไม่ได้ละความยึดติดถือมั่นในตัวตนเลย หากเป็นการประกาศตัวตนอีกแบบหนึ่งนั่นเอง


    การทำบุญแบบนี้มีข้อดีตรงที่ช่วยอุปถัมภ์วัดวาอารามและพระสงฆ์ให้ดำรงอยู่ได้แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ไม่ส่งเสริมให้ผู้คนมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากหรือไร้อำนาจวาสนา ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เมืองไทยมีวัดวาอารามใหญ่โตและสวยงามมากมาย แต่เวลาเดียวกันก็มีคนยากจนและเด็กที่ถูกทอดทิ้งเป็นจำนวนมาก ไม่นับสัตว์อีกนับไม่ถ้วนที่ถูกละเลย หรือถูกปลิดชีิวิ ตแม้กระทั่งในเขตวัด


    อันที่จริง ถ้ามองให้กว้างกว่าการทำบุญ ก็จะพบปรากฎการณ์ในทำนองเดียวกัน นั้นคือ คนไทยนิยมทำดีกับคนที่ถือว่าอยู่สูงกว่าตน แต่ไม่สนใจที่จะทำดีกับคนที่ถือว่าต่ำกว่าตน เช่น ทำดีกับเจ้านาย คนรวย ข้าราชการระดับสูง นักการเมือง ทั้งนี้ ก็เพราะเหตุผลเดียวกัน คือ คนเหล่านั้นให้ประโยชน์แก่เราได้ (หรือแม้เขาจะให้คุณได้ไม่มาก แต่ก็สามารถให้โทษได้) ประโยชน์ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นประโยชน์ทางวัตถุ อาจเป็นประโยชน์ทางจิตใจก็ได้ เช่น คำสรรเสริญหรือการให้ความยอมรับ ประการหลัง คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนไทยขวนขวายช่วยเหลือฝรั่งที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างเต็มที่ แต่กลับเมินเฉยหากคนที่เดือนร้อนนั้นเป็นพม่า มอญ ลาว เขมรหรือกระเหรี่ยง ใช่หรือไม่ว่าคำชื่นชมของพม่าหรือกระเหรี่ยง ความหมายกับเราน้อยกว่าคำสรรเสริญของฝรั่ง


    บุคคลจะได้ชื่อว่าเป็นคนใจบุญ ไม่ใช่เพราะนิยมทำบุญกับสิ่งที่อยู่สูงกว่าตนเท่านั้น หากยังยินดีที่จะทำบุญกับสิ่งที่เสมอกับตนหรืออยู่ต่ำกว่าคนอีกด้วย แม้เขาจะไม่สามารถให้คุณให้โทษแก่ตนได้ ก็ช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ ทั้งนี้ เพราะมิได้หวังผลประโยชน์ใด ๆ นอกจากความปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ นี้คือกรุณาที่แท้ในพุทธศาสนา การทำดีโดยหวังผลประโยชน์หรือยังมีการแบ่งแยกและเลือกปฎิบัติอยู่ ย่อมไม่อาจเรียกว่าทำด้วยเมตตากรุณาอย่างแท้จริง


    จะว่าไปแล้ว ไม่เพียงความใจบุญหรือความเป็นพุทธเท่านั้น แม้กระทั่งความเป็นมนุษย์ก็วัดกันที่ว่า เราปฎิบัติอย่างไรกับคนที่อยู่ตำกว่าเราหรือมีอำนาจน้อยกว่าเรา หาได้วัดที่การกระทำต่อคนที่อยู่สูงกว่าเราไม่ ถ้าเรายังละเลยเด็กเล็ก ผู้หญิง คนชรา คนยากจน คนพิการ คนป่วย อุปถัมภ์พระสงฆ์มากมาย ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าเป็นคนใจบุญ เป็นชาวพุทธหรือเป็นมนุษย์ที่แท้ ไม่ผิดหากจะกล่าวว่านี้เป็นเครื่องวัดความเป็นศาสนิกที่แท้ในทุกศาสนาด้วย แม้จะปฎิบัติ
    ตามประเพณี พิธีกรรมทางศาสนาอย่างเคร่งครัดแต่เมินเฉยความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ หรือยิ่งกว่านั้นคือกดขี่บีฑาผู้คนในนามของพระเจ้า ย่อมเรียกไม่ได้ว่าเป็นศาสนิกที่แท้ จะกล่าวไปใยถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์


    ในแง่ของชาวพุทธ การช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยากเดือนร้อน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่สามารถให้คุณให้โทษแก่เราได้เป็นเครื่องฝึกใจให้มีเมตตา กรุณาและลดละความเห็นแก่ตัวได้เป็นอย่างดี ยิ่งทำมากเท่าไร จิตใจก็ยิ่งเปิดกว้าง อัตตาก็ยิ่งเล็กลง ทำให้มีที่ว่างเปิดรับความสุขได้มากขึ้น ยิ่งให้ความสุขแก่เขามากเท่าไร เราเองก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น สมดังพุทธพจน์ว่า "ผู้ให้ย่อมได้รับความสุข" เป็นความสุขที่ไม่หวังจะได้รับ แต่ยิ่งไม่อยากก็ยิ่งได้ ในทางตรงข้ามยิ่งอยากก็ยิ่งไม่ได้้


    เมื่อใจเปิดกว้างด้วยเมตตากรุณา เราจะพบว่าไม่มีใครที่อยู่สูงกว่าเราหรือต่ำกว่าเรา ถึงจะเป็นพม่า มอญ ลาว เขมร กระเหรี่ยง ลัวะ ขมุ เขาก็มีสถานะเสมอเรา คือเป็นเพื่อนมนุษย์ และเป็นเพื่่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายกับเรา แม้แต่สัตว์ก็เป็นเพื่อนเราเช่นกัน จิตใจเช่นนี้ คือจิตใจของชาวพุทธ และเป็นที่สถิตของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง การทำนุบำรุงพุทธศาสนาที่แท้ ก็คือการบำรุงหล่อเลี้ยงจิตใจเช่นนี้ให้เจริญงอกงามในตัวเรา ในลูกหลานของเรา และในสังคมของเรา หาใช่การทุ่มเงินสร้างโบสถ์ วิหารราคาแพง ๆ หรือสร้างพระพุทธรูปให้ใหญ่โตที่สุดในโลกไม่

    ดังนั้นเมื่อใดที่เราเห็นคนทุกข์ยาก ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหน เชื้อชาติอะไร ต่ำต้อยเพียงใด อย่าได้เบือนหน้าหนี ขอให้เปิดใจรับรู้ความทุกข์ของเขา แล้วถามตัวเองว่าเราจะช่วยเขาได้หรือไม่และอย่างไร เพราะนี้คือโอกาสดีที่เราจะได้ทำบุญ ลดละอัตตาตัวตนและบำรุงพระศาสนาอย่างแท้จริง

    ขอบคุณที่มา: พระไพศาล วิสาโล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 เมษายน 2009
  2. yupanatuk

    yupanatuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +418
    ให้ข้อคิดที่ดี กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของสังคมทุกวันนี้ได้ดี ทำให้คิดได้ว่าเราเองก็ทำแบบเดียวกัน เพราะเป็นค่านิยมทางสังคมปัจจุบัน ช่วยเตือนสติให้คิดได้ว่าทุกสิ่งมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สาธุ...
     
  3. สิตามน

    สิตามน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +369
    พี่ๆ หนูก็เห็นคนแบบนี้ในสังคมเยอะ
    ปากบอกว่าทำบุญ แต่ไม่มีน้ำใจก็มีถมไป
    บทความดีๆ อย่างนี้อนุโมทนาด้วย
     
  4. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932

    โมทนาในความคิดค่ะ

    จะมีสักกี่คนที่คิดได้แบบนี้้ เพราะอย่างที่บอก มันเป็นค่านิยมทางสังคมในปัจจุบันเสียแล้ว บทความนี้เพียงแค่่อยากให้ทุกคนเมื่อได้อ่านจบจะช่วยเตือนสติให้รู้เท่าทันความคิดแห่งจุดประสงค์หลักของการทำบุญที่แท้จริง หรือว่าเมื่ออ่านจบจะมัวแต่หลงยึดติดอยู่ในวังวนของกระแสค่านิยมอีกต่อไปเท่านั้น
    แต่จะทำอะไรก็แล้วแต่้ให้ยึดทางสายกลางเป็นดีที่สุดค่ะ
     
  5. i-Anne

    i-Anne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    284
    ค่าพลัง:
    +694
    อ่านแล้วก้อชวนให้คิดถึงเมื่อครั้นเวลาเราทำบุญนี่ เราทำเพื่ออะไรนะ......เพื่อทำดีหรือจะเอาดี ทำบุญหรือจะเอาบุญ คิดได้อย่างนี้นี่รู้สึกว่าตัวเรานี่ช่างเลวแสนเลวจริงๆ ต่อไปคงต้องสำรวมระวังให้มากขึ้นหล่ะค่ะ
     
  6. พรพิสุทธิ์

    พรพิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +3,811
    ทุกวันนี้ก็หมั่นเพียรในการทำความดีทุกทางที่ตนเองจะทำได้ เช่นตักบาตรพระ ไปวัดบ้างตามโอกาสอำนวย ถวายน้ำปานะ ถวายปัจจัย สวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล ถือศีล5 ทุกวัน วันพระถือศีล8 (เพิ่งทำครั้งแรกเองศีล8 อิอิ)ดูแลแม่ (อรหันต์ของลูก)ร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ทำความดี โอนเงินช่วยเหลือทำบุญในเวปต่างๆ แจกขนมกับเด็กๆ หรือคนยากไร้สติไม่สมประกอบ เก็บขวดเปล่าไว้ให้คนยากไร้ให้เค้าเอาไว้ขาย ลดราคาค่าสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า พระสงฆ์ก็ลดครึ่งราคาหรือนิดหน่อยก็ไม่เก็บเลย
    ให้อาหารสุนัข อาหารไก่ (ไก่ของชาวบ้านเค้ามาหากินแถวบ้านเรา) ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาด เวลาขับรถก็พยายามมองพื้นถนนให้ดีว่ามีสัตว์อะไรบ้างจะได้ไม่เหยียบเค้าทำจิตใจให้ผ่องใส ระลึกถึงความดีที่เราได้ทำไว้ จิตใจจะได้เบิกบานอิ่มสุข และก็จะกำหนดลมหายใจ พุทโธ อยู่บ่อยๆ ค่ะ...
     
  7. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส าธุ. . .ดีแล้วชอบแล้ว

    ขอบคุณบทความดีดีมีมงคลด้วยครับ
     
  8. มุทิตา2525

    มุทิตา2525 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +80
    ต้องทำบุญด้วยจิตบริสุทธิ์จริงๆ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำเพื่อไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ อันทำให้กิเลสเพิ่มพูน นอกจากเหตุปัจจัยนำพาไปสู่ปัญญาแห่งการรู้แจ้ง และหนทางสู่การพ้นทุกข์
     
  9. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    สาธุ อนุโมทนาคุณญ.หญิงด้วยค่ะ พยายามหาคำอธิบายแบบนี้มานานแล้ว เพราะพอเราทำบุญกับสุนัข แมว คนก็จะบอกว่าทำทำไมได้บุญน้อย ทำกับเด็กปัญญาอ่อนก็บอกสู้สร้างโบสถ์ไม่ได้ แต่เราก็อดที่จะทำไม่ได้มื่อมีโอกาส ด้วยความสงสาร เพราะอย่างน้อยเราก็มีส่วนช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของเขาได้ แม้จะไม่ทั้งหมด ขออนุญาตนำไปเผยแพร่นะคะ ดีมากๆเลยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2009
  10. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงกับคุณหญิง ในส่วนแห่งธรรมทาน
    เรื่องนี้เป็นสิ่งที่มีมากในสังคมไทย ส่วนหนึ่งก็มาจากผู้ที่ทำบุญแต่ไม่รู้จักบุญ
    หลวงพ่อชาท่านเคยกล่าวไว้ว่า คนเราชอบทำแต่บุญแต่ไม่ละบาป
    ถ้าให้ตรงอีกความหมาย คือ เศรษฐีติดคุก
    เพราะอานิสงส์ของทานก็คือทำให้มีทรัพย์สมบัติ แต่การไม่รักษาศีล
    เหมือนเป็นเศรษฐีที่ทำผิดกฏหมาย ต้องติดคุก มีเงินก็ใช้ให้เกิดความสุขไม่ได้
    ที่ถูกต้องก็คือทำทานด้วย รักษาศีลด้วย เจริญสมาธิภาวนาด้วย
    ท่านจะมีความสุขที่แท้จริง
     
  11. ส.เชียงใหม่

    ส.เชียงใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +145
    เป็นคำสอนที่มองเห็นภาพเลยครับ..จะน้อมนำไปปฎิบัติ..ขออนุโมทนาบุญครับ
    ตนเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนใครจะเตือนให้ป่วยการ
     
  12. พรบารมีสามสิบทัศ

    พรบารมีสามสิบทัศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +220
    อ่านแล้ว....มองย้อนดูตัวเรามันให้อะไรหลายๆอย่าง

    ขอโมทนาบุญในบทความดีๆครับ
     
  13. joeycoles

    joeycoles เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +457
    นั่นสิ คนเราลืมทำกับคนใกล้ตัวที่ไม่รู้จัก เช่น หมา แมว หรือคนยากจน ไม่สามารถช่วยตัวเองได้พอสมควร เราทำบุญกับคนที่สูงกว่าแต่เราไม่ทำบุญกับคนที่ต่ำกว่า เพราะฉะนั้นเราทุกคนควรทำบุญกับทุกสิ่งทุกอย่างนะครับ
     
  14. tenis

    tenis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +1,228
    เห็นประจำ

    ใช่เลย

    ทำบุญ แต่ ไม่มีน้ำใจ
     
  15. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    นี่แหละหนา คน ทีแปลว่า ปนกันไป
     
  16. trirut

    trirut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,420
    ค่าพลัง:
    +1,499
    สาธูครับ
     
  17. r-nisong

    r-nisong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +394
    การทำทาน จุดประสงค์ก็เพื่อให้ จิตเคยชินกับการสละออก เป็นบารมีอย่างนึง ที่สะสมไว้เป็นกำลังใจ เพื่อใช้เวลาจะข้ามภพข้ามชาติ ซึ่งต้องใช้กำลังของบารมีทั้งหมด ที่เราเคยสั่งสมกันมา
    การทำทาน ถ้าวางกำลังใจไม่ดี นอกจากผลที่ได้จะน้อยแล้ว ก็จะยิ่งเพิ่มกิเลสเข้าไปอีก
    ขึ้นชื่อว่ากุศลแล้วทำไปเถอะ ถ้าทำเพื่อละ เพื่อวาง เพื่อเผาผลาญกิเลส
    มีผลมากนะครับ
    ขอชื่นชมกับเจ้าของกระทู้ ครับ
    อนุโมทนา...สาธุ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2009
  18. Chay 4

    Chay 4 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    291
    ค่าพลัง:
    +94
    คนเรามีหลากหลายประเภท นานจิตตัง ส่วนใหญ่มองข้ามสิ่งที่ต่ำกว่าตน
    หากคนเรามีน้ำใจกว่าผู้ด้อยกว่าสังคมจะน่าอยู่ขึ้นเยอะ
    คนรวยก็รวยไม่รู้จักพอ คนจนก็จนไม่มีจะกิน ***หากคนรวยช่วยเอื้อเฟื้อคนจนสังคมจะอุดมด้วยน้ำใจ
     
  19. Solotel

    Solotel Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +38
    ขออนุโมทนา กับบทความดี ๆ และข้อคิดเห็นดี ๆ ของทุกท่านครับ สาธุ...
     
  20. Faithfully

    Faithfully เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    656
    ค่าพลัง:
    +2,459
    การให้นั้น ทำให้จิตใจอ่อนโยน มีเมตตาจิต นึกอยากเป็นผู้ให้อยู่เนือง ๆ ช่วงแรกอาจมีบ้างที่ให้เพื่อหวังกลับคืนมาอย่างเดียว แต่ถ้ายิ่งเพียรทำด้วยใจบริสุทธิ์ไม่ยึดติด ก็จะรู้สึกอยากให้ผู้อื่นมากขึ้น ไม่ว่าจะให้กับ คน สัตว์ หรือทำบุญก็แล้วแต่ จะซึมซาบถึงคุณค่าของการให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน บางครั้งรู้สึกยินดีจนน้ำตาคลอ

    มีความรู้สึกแบบนี้ไหมคะ เกิดขึ้นกับตัวเองเลยค่ะ ขออนุโมทนานะคะ

    ไม่มีชัยชนะใด ยิ่งใหญ่เท่าชนะใจตนเอง
    อัตตาหิ อัตโน นาโถ
     

แชร์หน้านี้

Loading...