การกระทำที่ถือว่าเป็นกรรม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย พระไตรภพ, 24 กรกฎาคม 2008.

  1. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    การกระทำที่ถือว่าเป็นกรรมที่มีผลส่งทอดสืบต่อในภพเบื่องหน้า

    ( กรรมในบทความนี้ หมายเอา กรรมที่มีผลสืบทอดต่อ ในความเป็นบุญ ความเป็นบาป อันจะนำพาให้ก่อภพชาติ )

    หลักเกณฑ์ข้อที่ ๑ การกระทำโดยมีเจตนาเกิดขึ้นในตอนใดตอนหนึ่งถือว่าเป็นกรรมที่ต้องมีผลตกทอดเป็นบุญเป็นบาปตามการกระทำนั้นๆทั้งสิ้น ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนา คือใจไม่ได้สั่งให้ทำ ไม่จัดว่าเป็นกรรมที่จะมีผลตกทอดเป็นบุญเป็นบาป เช่นคนเจ็บซึ่งมีไข้สูง เกิดเพ้อคลั่ง แม้จะพูดคำหยาบออกมา เอามือหรือเท้าไปถูกใครเข้าก็ไม่เป็นกรรม ในทางวินัยก็ยกเว้นให้พระที่วิกลจริตซึ่งล่วงเกินสิกขาวินัยไม่ต้องอาบัติ ทั้งนี้ก็โดยหลักเกณฑ์ที่ว่า ถ้าผู้ทำไม่มีเจตนา กระทำแล้วการกระทำนั้นก็ไม่เป็นกรรม

    หลักเกณฑ์ข้อที่ ๒ ที่ว่า การกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือเป็นบาป ก็เพื่อแยกการกระทำของพระอรหันต์ออกจากการกระทำของปุถุชน เนื่องจากพระอรหันต์เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ไม่มีความยึดถือในตัวตน การกระทำเรียกว่า อัพยากฤต ไม่นับว่าเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว บุญและบาปก็ไม่มี การกระทำของพระอรหันต์จึงไม่เรียกว่า กรรม แต่เรียกว่า กิริยา ส่วนปุถุชนหรือแม้กระทั้งพระเสขะบุคคล ตั้งแต่โสดาบัน จนถึงอนาคามี ยังมีกิเลส หยาบบ้างละเอียดบ้างลดหลั่นกันไปตามภูมิธรรม ยิ่งเป็นปุถุชนแล้ว ความยึดมั่นยิ่งมีเต็มอัดตรา ในตัวตนอยู่ จะทำอะไรก็ยังยึดถือว่าตนเป็นผู้กระทำ การกระทำของปุถุชนจึงเป็นกรรม ย่อมจะก่อให้เกิดวิบากหรือผลเสมอกรรมดีก็ก่อให้เกิดบุญส่วนกรรมชั่วก็ก่อให้เกิดบาป
    คนบางคนเข้าใจว่ากรรมหมายถึง สิ่งไม่ดีคู่กับเวร หรือบาป เช่นที่เรียกว่า เวรกรรม หรือ บาปกรรม ตรงกันข้ามกับฝ่ายข้างดีซึ่งเรียกว่าบุญ ทั้งนี้เพราะเราได้ใช้คำว่ากรรมในความหมายที่ไม่ดี เช่นเมื่อเห็นใครต้องประสบเคราะห์ร้ายและถูกลงโทษ เราก็พูดว่ามันเป็นเวรกรรมของเขา หรือเขาต้องรับบาปกรรมที่เขาทำไว้ แต่ความจริงคำว่ากรรมเป็นคำกลาง ๆ หมายถึงการกระทำตามที่กล่าวมาแล้ว จะมุ่งไปในทางดีก็ได้ ทางชั่วก็ได้

    ทางแห่งการทำกรรม จำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมชาติที่เป็นมูลเหตุมี ๒ อย่าง คือ
    ๑.กรรมฝ่ายไม่ดีคือกรรมชั่วเรียกอกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมบถ
    ๒.กรรมฝ่ายดีเรียกกุศลกรรมหรือกุศลกรรมบถ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2008
  2. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ....กรรม หมายถึงการกระทำ...

    ...ผลกรรม หมายถึงผลแห่งการะทำนั้นๆ....

    ...เจตนา เป็นเครื่องชี้ ผลแห่งการกระทำ....

    ...อุปมา หินหล่นลงน้ำ ย่อมก่อเกิดคลื่น ไม่ว่าเจตนาหรือไม่...
     
  3. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    สาธุ เราให้ความหมายของการกระทำที่ไม่มีเจตนาว่า เป็นเพียงกิริยา และ ให้ความหมายคำว่ากรรม คือ กิริยา ที่แสดงออกอันประกอปไปด้วยเจตนาเพื่อที่จะกระทำ ตัวเจตนานั้นนั่นแหละที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าจะเป็นบุญหรือเป็นบาป

    เช่น กิริยาของพระอรหันต์ อาจทำให้ผู้อื่น พอใจ หรือไม่พอใจ ก็ได้ แต่จิตของพระอรหันต์หาได้พอใจหรือไม่พอใจไปด้วยเลย

    หินหล่นลงน้ำทำให้เกิดคลื่น ใช่แน่นอน แล้วคลื่นจะมีสุขหรือทุกข์ ได้อย่างไรกัน

    ถ้ากล่าวเช่นนั้น การกระทำของสัตว์เดียรัจฉานนับว่าเป็นกรรมหรือไม่ และ กรรมของสัตว์นั้นจะส่งผลวิบากสืบทอดต่อหรือไม่ในภพเบื่องหน้า

    คนบ้าทำบาปแล้วเป็นบาปหรือไม่ ขอจงกระทำให้แจ้งเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2008
  4. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ....จิตรับรู้ ผลแห่งบุญ บาป....เจตนากระทำให้เกิดความดี/ใจคล้อยตามเป็นบุญ(ใจเป็นสุข)....เจตนากระทำให้เกิดความไม่ดี/ใจคล้อยตามเป็นบาป(ใจเศร้าหมอง)....ไม่มีเจตนา/ไม่รู้(ไม่มีสติ มีแต่สัญชาตญาณ)/ไม่ได้ตั้งใจย่อมไม่ได้บุญ ไม่ได้บาป

    ....กายรับผลแห่งกรรม เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ไม่ว่าเจตนาหรือไม่

    ....กาย กับ จิต ต่างแยกกันรับผล....
     
  5. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ....สัตว์เดรัจฉาน ทั้งจิตและกาย กำลังรับผลแห่งกรรม ซึ่งเป็นผลแห่งเจตนาในภพภูมิก่อน..

    ....การกระทำของสัตว์เดรัจฉาน มีแต่สัญชาตญาณ(กฎของกรรม)ไม่มีสติ จึงไม่มีเจตนาผลแห่งบุญบาปจึงไม่มี(กำลังรับผลของบาปอยู่)...แต่ผลแห่งกรรมทางกายมีอยู่ตามกฎ เช่น วิ่งขับจะกัดคน ก็จะโดนตี

    ....เช่นกันคนบ้าไม่มีสติ กำลังรับผลแห่งบาปอยู่ การกระทำใดใด โดยไม่มีสติย่อมไร้เจตนาจึงได้ผลบุญไม่ได้ เป็นบาปก็ไม่ได้....แต่ผลแห่งการกระทำทางกายมีอยู่ตามกฎ เช่น คนบ้าเจอหมา แล้วเตะหมา หมาจึงกัด

    ....ร่างกาย ย่อมเป็นไปตามกฎ เกิด แก่ เจ็บ ตาย (ไม่มีเว้น บ้า ดี หรือ เดรัจฉาน)

    ....จิตไม่มีตาย รับผลแห่งเจตนาดีคือบุญ รับผลแห่งเจตนาไม่ดีคือบาป ไม่ได้รับผลใดใดเลยหากไม่มีเจตนา
     
  6. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    บทความนี้ใช้ศัพท์ตามความเข้าใจฝ่ายเดียว จึงอาจทำให้บางท่านแย้งได้

    จึงคิดว่าน่าจะเปลี่ยนใหม่เป็น เรื่อง กรรมที่มีผล เป็นบุญ เป็นบาป และ กรรมที่ไม่เป็นบุญเป็นบาป จึงจะเข้าใจกันได้ดีขึ้น

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    สาธุ อนุโมทนาด้วยคับ...

    เห็นด้วยอย่างยิ่ง .. "กรรม" เป็นคำกลางๆ ยังไม่เป็น บุญ หรือ บาป...
    จะเป็นบุญหรือ บาป.. ก็ต้อง ดูเจตนา เป็นที่ตั้ง... อันนี้ก็เห็นด้วยอีกนะคับ ..สาธุ
    ..เพราะ องค์ประกอบ 3 ที่จะ ชี้ลงไป ว่าบุญหรือบาป ... ว่า จะถูกบันทึกเป็น วิบากกรรม รอส่งผลข้ามภพ ข้ามชาติหรือไม่ คือ
    1. เจตนา 2. การลงมือกระทำ 3. ทำสำเร็จ ..
    .........นี่ย่อมถูกบันทึก เป็น "วิบากกรรม"... รอส่งผลแน่นอน ทั้ง กุศลและอกุศล...

    ...........อันนี้เป็นเบื้องต้น.... ในการทำความเข้าใจ สำหรับผู้ปฎิบัติใหม่ หรือเพิ่งเริ่มจะหันมาสนใจ ศึกษาธรรม เพื่อความพ้นทุกข์ ...

    ...ต่อเมื่อศึกษา ถึงรายละเอียดลงไป ก็พบว่า กรรม แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ตามความหนักเบา คือ....
    1.คลุกรรม 2.ลหุกรรม 3.อาจิญกรรม 4.กตัตตากรรม(สกดผิดขออภัยนะคับ)

    ซึ่งในข้อ4.นี่แหละคับ คือกรรมที่ไม่มีเจตนาประกอบ...มีผลไหม? เป็นวิบากกรรมไหม?
    มีแน่นอนคับ...เช่น..
    การฆ่าคนตายโดย ประมาท.. (คือไม่มีเจตนา) กรรมก็ส่งผลกันในชาติปัจจุบัน ทันทีเลย
    ไม่ว่า จะเป็น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เมื่อ กระทำลงไป จะโดยเจตนาหรือไม่ เมื่อกระทำลงไปแล้วมีผลทั้งสิ้น... ไม่มีเลย สำหรับปุถุชน ที่จะทำอะไรลงไปแล้วไม่มีผล..
    ..
    พระพุทธองค์ จึงบอกไว้ว่าใน สำรวมระวัง กาย วาจา ใจ และมี โยนิโสมนสิการ โดยแยบคาย นี่เมื่อศึกษาลึกลงไปในระดับกลาง.. ในความละเอียดของกรรม และการส่งผล...
    ........กรรมนั้นจะหนัก หรือเบา ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ที่ว่า...ความพยายามมาก ก็หนักมาก(ความพยายามมาก เจตนาก็แรง มีความมุ่งมั่นมากในการทำกรรมนั้นๆ ไม่ว่า กรรมดี หรือไม่ดี)... ผลกระทบ เช่นทำกับสัตว์มีคุณมาก ก็หนักมาก... หรือ ทำลงไปแล้ว ผู้รับผลของเราเดือดร้อนมาก ก็หนักมาก เช่นการพูดให้ร้าย ผู้อื่น ก็ผิดข้อ มุสาวาทา อย่างเดียว..แต่ถ้าพูดให้ร้ายเขา จนหมดเนื้อประดาตัว ถึงฆ่าตัวตาย เราก็โดน 2 เด้ง.. ทั้ง ปานาติบาท และ มุสาวาทา...หรือ การขโมยทรัพย์ ผู้มีรายได้น้อยมา 100 บาท เขาเดือดร้อนมากก็หนักมาก... แต่ ขโมยเงินเศรษฐี พันล้าน มา 100 บาท ก็แค่เศษเงินของเขา วิบากนั้นก็ให้ผลน้อย...
    และเมื่อศึกษาธรรม...(ไม่ศึกษาก็เห็นได้ ในสัจจะธรรม) เห็นสัจจะธรรม ที่ว่า.. เจตนาดีไม่ได้ให้ผลดีเสมอไป... คำๆนี้ ฟังแล้วอาจจะขัดแย้ง กับข้อความ ด้านบน... แต่มันคือ สัจจะธรรมความจริง ...ที่สัมผัสได้ในชีวิตประจำวันมากมาย... พระพุทธองค์จึง เน้นว่า ต้องมีโยนิโสมนสิการ โดยแยบคลาย .. แม้ในพระไตรปิฏก ก็มีกล่าวไว้.. ที่พระพุทธองค์ ในอดีตชาติ ก่อนที่จะถึงชาติที่เป็นสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเรา... พระองค์มีเจตนาดีต่อม้า ไม่ให้ม้ากินน้ำที่ขุ่น พอมาในชาติที่เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านให้พระอานนท์ตักน้ำให้ฉันท์ ตักมาอย่างไรก็เจอแต่น้ำขุ่น จนต้องฉันท์น้ำที่ขุ่นนั้น....

    ...นี่แหละความซับซ้อนของกรรม... พระพุทธองค์ จึงตรัสจัดเรื่อง "กรรมของเวนัยสัตว์" เป็น 1 ใน 4 อจินตรัย... ยากแก่การชี้ชัด และคาดเดา...แต่ผมเชื่อนะคับสำหรับผู้ที่จะมาเดินเส้นทางสายนี้..ทางแห่งความพ้นทุกข์ จะมีความเชื่อเรื่องกรรม โดยไม่มีข้อสงสัย ว่า... ทำดีได้ดี แน่นอน...
    อ่านแล้วก็อย่าพึ่งท้อกันละคับ...ในเบื้องต้นก็เอาเจตนาที่ดี..และจิตที่ปล่อยวาง นั่นจึงเป็นเหตุให้เกิดกุศล.. ทำดีไม่ติดดี ทำบุญไม่ติดบุญ .... ผู้เดินเส้นทางนี้ แม้สวรรค์ ก็ไม่อยากได้ไม่อยากไป เพราะยังต้องกลับมาเกิดอีก.. หยุดการเวียนวายตายเกิด จึงชื่อว่า หยุด เหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง... สาธุ



     
  8. TJ69

    TJ69 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +152
    อนุโมทนาสาธุ ในผลบุญด้วยครับ

    --------------------------------------
    คนที่ไม่เคยเป็นผู้ให้...ย่อมยากที่จะได้รับ..
    “การให้”..มองอย่างธรรมดาดูเหมือนว่า..เป็นการสูญเสีย..
    แต่แท้ที่จริงแล้ว...
    ผู้ให้ คือ..ผู้ที่ได้รับต่างหาก..
    คนที่เป็นผู้ให้จึงมีเกียรติคุณเกริกกรรจายชั่วฟ้าดินสลาย
    ทั้งนี้นั่นเป็นเพราะ
    “...โลกคารวะผู้ให้... แต่บอดใบ้ต่อผู้กอบโกยและโกงกิน...”



    ที่มา : ธรรมะรับอรุณ....ท่าน ว. วชิรเมธี
     
  9. Viengvilay

    Viengvilay สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    sabaidee !
    I am Laos person I hope monk understand about me write English I can read Thai but it very hard for me write well I would ask monk tell me clear more I would like to know ! My father he drink Beer and come home than he hit my mom I see him do that and his beat some thing in home too .my sister her when for tell my dad stop don't hit mom so he hit my sister too. so I went to tell him don't do that and the house I looking very hard for get money to fix house and tell him stop but him not stop then he scold me I can't listening him for mad and scold every one at home also me too so I am scold he back by I don't want to said and intend than he curse me and my sister don't have money and poor forever I will be like him said or not?me any my sister will be poor or not ? How to do for me and my sister not be like him said?
    I know it not good but it very hard for control right? Please tell me too know I am worry too much now <O:p</O:p
    Thank you before monk will tell me! <O:p</O:p
    if you can send to me on PM or you can show it on the board please tell me for know now I am try be good and do good thing ! Thank you!<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    Hope monk tell me pity_pig
    <O:p></O:p>
     
  10. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ผมเองก็ไม่ได้เก่งอังกฤษ แต่พอจับใจความว่า ที่บ้านคุณViengvilay คุณพ่อชอบกินเหล้า-เบียร กลับมาบ้านก็ทุบตี คุณแม่ เมื่อน้องสาว เข้าไปห้ามก็โดนทุบตีอีก...และ ไม่สามารถย้ายบ้านหนีได้...

    การแก้ปัญหาชีวิตในโลกมีวิธีแก้ใหญ่ๆ แค่ 3 วิธี
    1.แก้ที่เขา 2.แก้ที่เรา 3.ปล่อยให้เวลาเป็นผู้แก้ปัญหา
    ...1.การจะแก้ที่เขานั้น คงต้องเอาน้ำเย็นเข้าหา.. เขาจะแก้ได้ เขาต้องรู้ด้วยตนเองก่อนว่า สิ่งที่เขาทำนั้นไม่ถูก เพราะเขาต้องแก้ด้วยตัวเอง คือเขาต้องข่มใจที่จะเลิกกินเหล้า-เบียร เอง...หรือเมื่อกินมาแล้ว ก็ต้องข่มใจเองที่จะไม่ใส่อารมณ์ ทุบตี คนในบ้าน.. การที่จะให้เขารู้ตัวเองก็คงต้องพยายามคุยกับเขาในขณะที่เขาอารมณ์ดีๆๆ..และ ยังไม่ได้กินเหล้า ค่อยๆบอกให้เขาดูผลที่เขาได้ทำไว้ในขณะที่เขาเมา..ให้เขาเกิดความยอมรับที่จะแก้ไขขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง..
    ...2.การแก้ที่เรา ก็คงต้องทำความเข้าใจในเรื่องของกรรม พิจารณาตัวทุกข์..เจริญสติ..เมื่อเห็นเขาเมากลับมา ก็อยู่ห่างๆไว้อย่าทำอะไรที่คิดว่าจะทำให้เขา บันดาลโทษะ ถึงขั้นทุบตี...พิจารณาตัวทุกข์ ทุกข์เกิดที่ไหน? เกิดเพราะทุกสิ่งไม่เป็นไปตามที่ใจเราอยากให้เป็น...เช่น เราอยากให้เขาเลิกกินเหล้า อยากให้เขาไม่ทุบตีแม่ และน้อง เมื่อไม่เป็นไปตามที่อยากให้เป็น ใจก็เป็นทุกข์..เราก็เปลี่ยนมุมมองเสียไหม่ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทุกคนมีกรรมเป็นของๆตน ... เราก็แก้ไขไปตาม สถานะการณ์เท่าที่เกิดตรงหน้า.."ด้วยสติ" ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ที่โกรธ เกลียด ชิงชัง เมื่อจิตใจเราย่อมรับได้...ความเย็นในใจเราเกิด...ความเย็นนั้นแหละ จะแผ่ไปถึงคนรอบข้างให้เย็นลง....
    ...3.การแก้ปัญหาโดยให้เวลาเป็นตัวแก้.. เหตุเพราะทุกสิ่งในโลกนี้ไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดที่จะตั้งอยู่ได้นาน..เมื่อได้ทำ 2 อย่างข้างต้นแล้ว..ก็เหลือแต่ รอ...เมื่อหมดกรรม ทุกอย่างก็จะคลายตัวลงเอง...
    ผมเชื่อนะว่า ทุกคนที่ได้มาพบ..เนื่องด้วยกรรม นำพามา มีกรรมเกี่ยวเนื่องด้วยกันมา..เมื่อหมดกรรม ก็แยกย้ายกันไป..เว้นแต่ว่าจะมีจิตตั้งเจตจำนงค์ จะร่วมกระทำกรรมสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ร่วมกันต่อไป...
    ...สัพเพธัมมา สังขารา ... ธรรม(ทุกสิ่งในโลก) ล้วนเกิดจากเหตุที่มาปรุ่งแต่งกันให้เกิด..
    ...สัพเพธัมมา อนิจจา ... ธรรม(ทุกสิ่งในโลก) ล้วนอนิจจัง มีอาการแปรเปลี่ยนตลอดเวลา ตามเหตุและปัจจัยที่มาปรุ่งแต่งกัน ให้เกิด..
    ...สัพเพธัมมา อนัตตา ... ธรรม(ทุกสิ่งในโลก) จึงไม่มีตัวตนที่แท้จริง สิ่งที่เห็นว่ามีว่าเป็น...เมื่อเหตุเปลี่ยน สิ่งที่เห็นก็แปรเปลี่ยนตาม ล้วนเกิด-ดับ แปรเปลี่ยนตลอดเวลา..

    ...ขันติ คืออดทน ...เจริญสติ ให้เกิดปัญญา.. พลิกวิกฤตในชีวิตให้เป็นโอกาสได้เห็นธรรม... ทุกสิ่งในโลก ล้วนเป็นเครื่องฝึกให้เรา เข้มแข็ง และแข็งแกร่งขึ้นเมื่อผ่านเหตุการณ์ หนึ่งๆ ไปได้...

    มันต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอนครับ...ขอพระธรรมคุ้มครอง..สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...