ยาผีบอก

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 27 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    "ลุงพลอย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อผีมาแนะนำยาแก้เบาหวาน

    ทุกวันนี้คนไทยเป็นโรคเบาหวานมากขึ้นทุกที เพราะนิยมกินอาหารสมัยใหม่ประเภทฟาสต์ฟู้ด ที่เขาเรียกกันว่า "แดกด่วน" ใครๆ ก็รู้ว่าเป็น "จั๊งก์ฟู้ด" หรือ "อาหารขยะ" เพราะแทบจะไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเอาเลย

    ความจริงอาหารแบบไทยๆ นั้นเหมาะสมที่สุด พวกผักน้ำพริก ปลาทู แกงส้มต้มยำ ให้ทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน ในผักก็มีทั้งวิตามินและสารใยที่ช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างสะดวกอีกด้วย

    ส่วนแกงเผ็ดผัดเผ็ดก็ใช้กะทิที่มีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าไขมันจากสัตว์

    ยิ่งกว่านั้นยังชอบกินขนมหวาน ดื่มน้ำอัดลมพร่ำเพรื่อ หลายๆ คนดื่มมากถึงวันละ 5-6 ขวด (หรือกระป๋อง) เชื่อว่าทำให้แก้กระหาย ชุ่มคอ ชื่นใจเพราะพิษสงของกาเฟอีนนั่นเอง

    ประมาณว่าคนไทยเป็นเบาหวานกันไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน นับวันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ เพราะชอบกินอาหารหวานๆ จนติดเป็นนิสัย มีคำตักเตือนว่าขอให้เป็นคน "อ่อนหวาน" ในเชิงยั่วเย้ากัน ซึ่งไม่ได้หมายถึงการพูดจาปราศรัยใดๆ ทั้งสิ้น

    แต่บอกกล่าวให้กินอาหารรสหวานแต่น้อยต่างหากเล่า!

    ผมเองเป็นเบาหวานมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่อายุเริ่ม 40 ได้ไม่นาน คงจะเป็นเพราะดื่มเหล้าเบียร์มามากในสมัยหนุ่ม ตรวจเลือดครั้งแรกก็พบน้ำตาลสูงถึง 226 ซึ่งแพทย์บอกว่าสูงเกินปกติ ซึ่งไม่ควรเกิน 140 จึงต้องรักษาเบาหวานเป็นการเป็นงาน ตรวจเลือด 2-3 เดือนครั้ง จนน้ำตาลในเลือดลดต่ำมาอยู่ที่ร้อยเศษ...

    ต้องงดแอลกอฮอล์เด็ดขาด เพราะเหล้าเบียร์มีน้ำตาลมาก เรื่องขนมนมเนยก็หย่าขาดจากกัน แม้จะดื่มกาแฟก็ไม่ใส่น้ำตาล จนมีญาติมิตรตักเตือนว่าร่างกายได้รับน้ำตาลน้อยไปจะเป็นอันตรายได้ ไม่ควรเข้มงวดจนเกินไปนัก

    บางคนแย้งว่าไม่เป็นไร เพราะข้าวหรืออาหารแป้งที่กินเข้าไปก็ย่อมกลายเป็นน้ำตาลอยู่แล้ว...ควรจะพกลูกอมหรือท็อฟฟี่ติดตัวไว้ ถ้ารู้สึกอ่อนเพลียใจหวิวๆ ให้รีบแกะลูกอมใส่ปาก หรือหาน้ำส้มน้ำหวานกินโดยเร็ว...สาเหตุมาจากร่างกายขาดน้ำตาล!

    ผมมีเพื่อนฝูงหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อเบาหวาน บางคนถึงกับผอมซูบผิดตาจนแทบจะจำไม่ได้ เพราะชั่วเวลา 4-5 เดือน น้ำหนักลดลงไปถึง 15 กิโลกรัม ระยะแรกตรวจพบน้ำตาลในเลือด 300 เศษ ไม่ตายก็ถือว่าเป็นบุญเต็มที

    แพทย์แนะนำให้กินผักกินปลา และควรออกกำลังด้วยการจ๊อกกิ้งวันละหนึ่งชั่วโมง อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 30 นาที จะช่วยบรรเทาโรค มีท่านผู้ใหญ่บอกเอาบุญว่าท่านเคยเป็นเบาหวานมาก่อน แต่หายได้ด้วยการกินมะแว้งดิบๆ จิ้มน้ำพริก แต่ต้องอดทนกับความขื่นขมพอสมควร

    "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" ท่านยืนยัน เพื่อนคนหนึ่งเอาหนังสือ "คิดถึงเบาหวาน" เขียนโดยแพทย์ที่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน วิธีแก้คือกินใบบัวบกสดๆ เป็นกำๆ จิ้มน้ำพริกทุกมื้อ ทุกวัน จนท่านหายขาดและตั้งชื่อหนังสืออย่างมีอารมณ์ขันดังกล่าว

    ผมเองมีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยแก้ตัวเหมือนกับคนอื่นๆ ที่มีนิสัยคล้ายคลึงกันว่า...ไม่มีเวลา! แถมเครื่องดองของเมาก็ไม่อาจตัดได้เด็ดขาด เมื่อไปการงานต่างๆ หรือพบปะกับเพื่อนฝูง

    มะแว้งก็ไม่ได้กินเพราะครั่นคร้ามความฝาดขม ใบบัวบกสดๆ ก็ไม่ถูกปากเหมือนน้ำใบบัวบกที่มีขายเป็นขวดๆ ผมคิดว่าน่าจะเหมือนกันนั่นแหละ...แต่เอาจริงเข้าคงจะไม่เหมือนเพราะผมยังไม่หายจากโรคเบาหวานเสียที

    ขนาดอดข้าวอดน้ำก่อนจะไปเจาะเลือดไม่ต่ำกว่า 7-8 ชั่วโมง ผลออกมาคือต้องกินยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเส้นเลือดต่อไป!

    ล่าสุด แพทย์บอกว่าต้องเข้มงวดเรื่องน้ำตาล หรือต้อง "อ่อนหวาน" ยิ่งกว่าเดิม มิฉะนั้นไตจะทำงานหนักจนถึงอาจไตวาย ต้องมาให้หมอทำการฟอกเลือด หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า "ล้างไต" แน่นอน

    ผมเองก็เริ่มหมดอาลัยตายอยาก เมื่อนึกถึงภาพเพื่อนฝูงต้องไปนอนแซ่วล้างไตที่โรงพยาบาลครั้งละ 3-4 ชั่วโมง อาทิตย์ละครั้งบ้าง 2 ครั้งบ้าง น่าท้อแท้ใจเต็มที

    คืนหนึ่งผมก็ฝันเห็นชายชรานุ่งขาวห่มขาว ผมเผ้าและหนวดเคราขาวไปหมด คล้ายกับ "ชีปะขาว" มาบอกกล่าวว่าจะให้ยาวิเศษรักษาโรคร้าย ดังนี้

    ...นำหัวปลีของกล้วยน้ำว้ามาเผาไฟจนเกรียม แล้วใส่หม้อต้มให้เดือด ให้กินน้ำนั้นแทนน้ำดื่มอื่นๆ ตลอดวัน วันรุ่งขึ้นก็ให้นำหัวปลีใหม่มาต้มกินดังเดิม ครบ 7 วันแล้ว โรคเบาหวานจะหายขาดไปชั่วชีวิต

    ให้สังเกตว่าเมื่อกินน้ำในวันแรก จะเกิดอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อแสนสาหัสแทบจะทนไม่ไหว จงอดทนและอย่าตื่นเต้นตกใจ เนื่องจากเป็นลางดีว่าเราจะหายจากโรคร้าย จงกินให้ครบไป 7 วันเถิดแล้วจะเห็นผลแน่นอน

    มีข้อสังเกตว่า ถ้ากินยาตำรานี้ถึง 3 วันแล้ว ยังไม่เกิดอาการปวดเมื่อยใดๆ ตามเนื้อตัว จงเลิกกินยานี้เสียเพราะไร้ผล เข้าตำรา "ลางเนื้อชอบลางยา" นั่นปะไร

    ข้อสำคัญคือ เมื่อหายดีแล้วให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าตำรับยา อย่าลืม!

    เมื่อตื่นขึ้นมาผมก็จำได้แม่นยำเพราะไม่มีตัวยายุ่งยากอะไร ให้เด็กไปหาซื้อหัวปลีกล้วยน้ำว้ามาต้มกินต่างน้ำวันละหัว...วันแรกก็ปวดเมื่อยทั้งตัวปิ่มว่าจะสิ้นชีวิต รุ่งขึ้นก็รีบบอกกล่าวญาติมิตรที่เป็นเบาหวานให้ทดลองกินยาตำรับนี้ ปรากฏว่าได้ผลไปตามๆ กัน

    ผมเองไปตรวจเลือดก็พบว่าน้ำตาลยังสูงเท่าเดิม นึกฉุกใจว่าอาจจะได้หัวปลีกกล้วยชนิดอื่นมาก็ได้ จนปัญญาจะแยกแยะออก...หรือไม่ก็เข้าตำรา "ลางเนื้อชอบลางยา" อย่างที่ว่า...แต่ก็นอนขวัญหายอยู่หลายคืน กลัวว่าชีปะขาวจะมาเข้าฝันต่อว่าต่อขาน หรือไม่ก็มาบอกยาตำราใหม่ให้อีกน่ะซีครับ
     
  2. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,105
    ค่าพลัง:
    +2,696
    ผีชอบหลอก อย่าไปเชื่อผี
     
  3. nokito

    nokito Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +73
    นกพอจะมีความรู้เรื่องโรคเบาหวานนิดหน่อยที่อยากจะนำมาบอกค่ะ

    เบาหวานเป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของร่างกายซึ่งเกี่ยวกับฮอร์โมน Insulin มี 2 ประเภทค่ะ

    ประเภทแรกเป็นประเภทที่ต้องพึ่ง Insulin (รักษาโดยต้องใช้ Insulin)มักเกิดในคนอายุน้อยกว่า 30 ปีโรคมักจะดำเนินอย่างรุนแรง เพราะเกิดจาก autoimmune(ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราเอง) มักเกิดจากพันธุกรรม และคนไข้มักผอมแต่พบได้น้อย ซึ่งโรคแทรซ้อนที่สำคัญคือ ภาวะเลือดเป็นพิษ ภาวะนี้ป้องกันโดย พยามรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งพยามหลีกเลี่ยงจากความเครียด และไม่ดื่มสุรา เพราะความเครียดและสุราก็เป็นสาเหตุอีกสาเหตุของภาวะเลือดเป็นพิษ

    ประเภทที่สอง เป็นประเภทที่ไม่ต้องพึ่ง Insulin มักเกิดมากกว่าอายุ 35-40 ปี โรคมักดำเนินอย่างช้ากว่า ผู้ป่วยมักอ้วน โรคแทรกซ้อนคือ hyperosmolar coma เป็นอาการหมดสติจากความเข้มข้นในเลือดสูง โดยเฉพาะสูงเกิน 600 mg/DL ซึ่งปัจจัยเยงคือ การที่คุมเบาหวานไม่ดี รีบรับประทานอาหารมากเกินไป ขาดการออกกำลังกาน รับประทานหรือฉีดอินซูลิน หรือยาไม่สม่ำเสมอ





    ที่จริงอาหารโรคแทรกซ้อนของเบาหวานมีอีก เช่น โรคแทรกซ้อนทางตา ทางไต ทางระบบประสาทรับความรู้สึก ทางระบบเลือด เป็นต้น

    อาการของโรคเบาหวานffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    อาการสำคัญของโรคเบาหวาน คือ <O:p></O:p>
    1. คนที่มีอาการผิดปกติต่อไปนี้<O:p></O:p>
    - ปัสสาวะบ่อยและมีน้ำปัสสาวะมากกว่าปกติ (เพราะน้ำตาลที่ออกไปกับปัสสาวะดึงน้ำตามไปด้วย) และอาจสังเกตว่ามดขึ้น (แต่การที่มดขึ้นไม่ได้แปลว่าเป็นเบาหวานเสมอไปเพราะบางทีมดอาจหิวน้ำ<O:p></O:p>
    - หิวน้ำบ่อยและดื่มน้ำมาก (เพราะปัสสาวะออกมามาก)<O:p></O:p>
    - อ่อนเพลีย แต่ผอมลงทั้งๆ ที่กินอาหารมากกว่าธรรมดา<O:p></O:p>
    - คนที่เป็นเบาหวานอาจเป็นฝีบ่อยๆ โดยเฉพาะถ้าเป็นฝีฝักบัว (เป็นฝีหลายหัวมักขึ้นที่หลังหรือต้นคอ) ต้องรีบตรวจว่าเป็นเบาหวานหรือไม่<O:p></O:p>
    - บางคนมีอาการคันตามตัวโดยไม่ปรากฏสาเหตุ (ต้องสังเกตดูว่าไม่ใช่คันจากผดผื่นคัน) หรือคันที่ช่องคลอดมาก<O:p></O:p>
    - ตามัวลงทุกทีหรือต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยๆ <O:p></O:p>
    - ชา ปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือและปลายเท้า<O:p></O:p>
    2. คนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานสูงกว่าคนปกติ<O:p></O:p>
    - พ่อแม่หรือพี่น้องท้องเดียวกันเป็นเบาหวาน<O:p></O:p>
    - กำลังตั้งครรภ์ (มักตรวจหาเบาหวานให้กับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ทุกคน)<O:p></O:p>
    - เคยคลอดลูกหนักเกิน 4 กิโลกรัม (น้ำหนักแรกคลอด) หรือเคยมีครรภ์ผิดปกติหรือคลอดลูกผิดปกติ<O:p></O:p>
    - อ้วนมากๆ <O:p></O:p>

    ถ้าขอมูลผิดพลาดอย่างไรก้อขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงเป็นประโยชน์บ้างนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2006

แชร์หน้านี้

Loading...