ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096

    ท่านละสังขารไปเมื่อก่อนเพลวันนี้ วันที่เราทำกิจกรรม เมื่อเดือนก่อนในวันเดียวกัน เวลาเดียวกันช่วงเช้าเรารอพบท่าน แต่กุฏิปิด เรามาอีกทีช่วงบ่าย จึงพบท่าน เหมือนสั่งลากัน ทุกท่านในคณะที่ไปได้กราบท่านหมด ได้ชานหมากของท่าน วันนี้ท่านละแล้ว พี่ใหญ่บอกข้างในท่านใสเป็นแก้ว ท่านไม่มาเกิดอีกแล้ว คราวนี้คงเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเมื่อเดือนก่อนเราถึงได้รีบกุลีกุจอไปกราบท่านให้ทันเวลา ก่อนที่ท่านจะเข้าโรงพยาบาล และละสังขาร จากพวกเราไป

    สาธุ อรหันต์ นะมามิ

    ในนามคณะกรรมการ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ขอไว้อาลัยแด่ท่าน ผู้มีดวงจิตใสดั่งแก้ว ผู้มีอัฐธาตุใสดั่งแก้ว พระผู้ที่ไม่กลับมาเกิดอีกแล้วชั่วนิรันดร์

    [​IMG]
     
  2. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ขอกราบนมัสการหลวงปู่ทิมด้วยความเคารพค่ะ
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    เห็นหลวงปู่ทิมท่านละแล้ว หากนับมาก่อนหน้า องค์ไหนที่มีผู้สะกิดให้คณะเรารีบไปกราบ เราก็พอจะรู้ในนัยยะบ้าง อย่างเช่นเมื่อปีก่อนพวกเราไปกราบหลวงปู่อ่อนศรี ที่ จ.ชลบุรี พอผ่านไม่นานท่านก็ละ เดือนที่แล้วก็เช่นกัน แต่ไม่นึกว่าท่านหลวงปู่ทิมจะละเร็วผมว่าจะไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเชียว นี่ก็ได้รับการเตือนกันมาสองรอบแล้ว ว่าท่านที่ระยองใกล้แค่นี้ จะไปกราบกันรึยัง ท่านเสร็จกิจแล้ว และรู้เวลาแล้ว ใครอยากไปบ้างก็ไม่รู้ล่ะ...ไปกราบท่านที่ไม่มาเกิดอีกแล้วดีนา...จะบอกให้
     
  4. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    อยากไป...ขอไปด้วยคนนะครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ

    สุปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อุชุปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    สามีจิปฎิปันโนภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฎฐะ ปุริสะปุคคะลา
    เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย
    อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2009
  5. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    โมทนาสาธุครับ สำหรับงานบุญที่ได้รับมอบหมายนั้น ได้ทำการมอบเงินในนามของ ทุนนิธิ สงฆ์อาพาธให้กับร.พ.ศิริราชแล้วครับ
    เดี๋ยวจะถ่ายรูปใบอนุโมทนาบัตรมาให้ทุกท่านชม และ ร่วมอนุโมทนากันครับ
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096

    ขอบคุณ คุณหมอทั้งคู่ มากครับ
     
  7. NNnight

    NNnight Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +28
    ผมได้โอนเงิน ทำบุญ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาครเป็นจำนวนเงิน 100 บาท ครับ

    อนุโมทนา กับบุญกุศล ทั้งหมดทั้งมวล กับทุกๆท่าน ในอดีด ปัจจุบัน และอนาคตครับ สาธุ
     
  8. โอลีฟ

    โอลีฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +257
    โอนเงินเข้าบัญชีทุนนิธิอีก จำนวน 1,100 บาทค่ะ

    รายละเอียด ดังนี้ค่ะ

    วันที่ทำรายการ : 24/03/2009 11:00:54 AM.
    หมายเลขอ้างอิง : KBKR090324851861
    ธนาคารของบัญชีผู้รับโอน : BANK OF AYUDHAYA
    เพื่อเข้าบัญชี : 348-1-23245-9 prapom foundation
    ชื่อเจ้าของบัญชีในฐานข้อมูล : PRATOM F.

    รายชื่อแจ้งทาง pm กับคุณโสระค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2009
  9. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    คำเทศน์ของพระปัจเจกพุทธเจ้า (พระองค์หนึ่ง)


    [​IMG]

    ความดีของพวกเธอ คือ พรอันประเสริฐ สุนทรแล้ว

    ทุกคนทรงได้ในฌาน ตั้งใจอธิษฐานกุศลให้แก่ผู้ปกครองบ้านเมือง ผู้ที่รักษาชาติ ผู้ที่ช่วยชาติ ตลอดจนบรรพบุรุษ

    ความดี คือ การกระทำ ที่ถูกต้องตามธรรม (ธรรม คือ ธรรมชาติ) ฉะนั้น เรียกความดีว่า การกระทำที่เป็นคุณ อานิสงค์ของการทำความดี มีมากสุดที่จะพรรณาได้ ความดีแบ่งออกได้เป็น 3 อย่าง คือ
    -ความดีทางกาย
    -ความดีทางวาจา
    -ความดีทางใจ อานิสงค์ที่จะรับความดีได้มากที่สุด คือ อานิสงค์กระทำความดีทางใจ ถ้าทำได้ทั้ง 3 ทางจะดีมาก ความดีทางกาย คือ การกระทำในบุญ เช่นสร้างพระ ถวายของพระ การกระทำความดีทางวาจา คือ ชอบพูด พูดปรัชญา พูดเตือน การพูดต้องประสงค์ให้ผู้ฟังได้เกิดผล เป็นความดีออกมา ความดีด้วยใจ คือ เจตนาจะกระทำความดี คิดสร้างพระ เป็นต้น รวมแล้วความดีนี้ควรทำทั้ง 3 ทาง

    อันที่ 1 ความดีทางกาย มีอานิสงค์ทดแทนเราทางร่างกายเช่นเดียวกัน มีอานิสงค์อย่างน้อย 5 ชาติ อย่างมาก 1 กัป ทำความดีด้วยวาจา อานิสงค์อย่างน้อย 3 ชาติ อย่างมาก 1 ใน 3 ของกัป ทำความดีที่ใจ อานิสงค์ 6 ชาติ อย่างมาก 1 กัป กับอีก 1 ส่วน 2 ถ้าทำความดีพร้อมกันทั้ง 3 อย่าง ก็ได้ถึง 10 มหากัป เป็นอย่างยิ่ง

    บุญเราทำด้วยพลังแค่ไหน อานิสงค์ทุกชาติก็ขึ้นอยู่กับกรรมตัดรอน คือ บุญมีอยู่ แต่กำลังอ่อน เจ้ากรรมนายเวรนั้น คือ ผู้ที่เคยได้รับทุกข์เพราะเราและยังฝังใจที่จะสนองเรา ส่วนการกระทำที่เราก่อโดยไม่มีผู้สนอง เช่น ด่าพระ ข้ามเศียรพระ เช่นนี้ ผู้คุ้มครองเค้าสนองกรรม เหมือนกระทำของปลอมออกมาใช้ แล้วตำรวจจับ แต่ถ้าเจ้ากรรมนายเวรเขามาเกิดแล้ว ส่วนก็ยังคงอยู่ คนทำบุญมากก็พ้น เหมือนกับเธอทำงานให้นายจ้าง แล้วทำของเขาเสียหาย แต่เธอเป็นผูทำงานเก่งก็พ้นไป

    ศีล เป็นทางนำใจคนให้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูก คือ ความดี สมาธิ เป็นสิ่งที่ก่อให้ทุกคนชำระจิตใจออกจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน หัดใจให้เป็นสามัญสำนึก ปัญญา เป็นแสงสว่างชี้ทางที่ควรจะดำเนิน

    ศีล มีองค์ควบคุม คือ เมตตา กรุณา สมาธิ มีองค์ควบคุม มี มุทิตา อุเบกขา ปัญญา มีองค์ควบคุม คือ อริยสัจ 4

    เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราก็จะรู้ถึงแผนความชั่ว เมื่อประจักแล้วก็เจริญวิธีอันทำให้จิตสงบ คือ วิปัสสนาญาณ เมื่อจิตสงบแล้ว เราจงใช้อิทธิบาท 4 มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ดำเนินไปอย่างสงบ

    คนเรา ถ้ายืนอยู่ที่สูง ก็จะมองเห็นที่ต่ำสะดวก รู้เห็นแล้วก็วางแผนได้ คิดกันให้พอ คน ๆ หนึ่งเดินอยู่ริมแม่น้ำ เขามองไปในน้ำ แล้วรำพึงกับตัวเองว่า สัจจะทำให้เป็นสุข หมายได้อย่างไร รู้ไหม

    สัจจะ คือความจริง ความจริงคือธรรมะ หรือ ธรรมดา หรือธรรมชาติ ฉะนั้น คนเขายืนอยู่ริมน้ำ เขามองว่าน้ำ มันเป็นเงา เห็นได้ สะท้อนได้ เห็นซึ่งตัวตนของเขา ว่าเขาเป็นคน ฉะนั้น น้ำเป็นธรรมชาติที่ต้องเหลว มีประโยชน์ มีความธรรมดา คือให้ความเห็น คือเห็นรูปได้แก่เรา

    น้ำนั้นให้ความจริง เห็นรูปร่างทั้งส่วนดีและไม่ดี แต่เขารำพึงว่าสัจจะทำให้สุข คือใจของคนถ้ารู้จักมอง รู้จักสะท้อน ดูรูปร่างส่วนดี ส่วนเสียของคนแล้วรู้คิดให้เป็นธรรมดา ยอมรับนิสัยสันดานของคนว่าเป็นธรรมชาติของคน รู้จักกรรมดี กรรมชั่วว่าเป็นธรรม นั่นเป็นความรู้ เกิดปัญญาแตกฉาน เข้าใจ และคิดออก เขาจึงเป็นสุข

    (จากหนังสือพรสวรรค์ โดยคณะพรสวรรค์)

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • buddha1.jpg
      buddha1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.6 KB
      เปิดดู:
      258
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    [​IMG]

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี​

    " ขณะที่จิตสงบอยู่ย่อมปล่อยอารมณ์ที่เคยรบกวนต่าง ๆ เสียได้ เหลือแต่ความรู้ ความสว่างประจำใจ และความสุขอันเกิดจาก ความสงบตามขั้นของใจเท่านั้น ไม่มีสองกับสิ่งอื่นใด เพราะว่า จิตปราศจากอารมณ์ และเป็นตนของตนอยู่โดยลำพัง แม้กิเลส ส่วนละเอียดยังมีอยู่ภายในก็ไม่แสดงตัว ใจที่ปราศจากอารมณ์ มีความสงบตัวอยู่โดยลำพังนานเพียงไร ก็ย่อมจะแสดงความสุข ความอัศจรรย์ ความสำคัญ ความมีคุณค่า ให้เจ้าของได้ชมนาน และมากเพียงนั้น "
     
  11. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    [​IMG]

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี​

    " ขณะที่จิตสงบอยู่ย่อมปล่อยอารมณ์ที่เคยรบกวนต่าง ๆ เสียได้ เหลือแต่ความรู้ ความสว่างประจำใจ และความสุขอันเกิดจาก ความสงบตามขั้นของใจเท่านั้น ไม่มีสองกับสิ่งอื่นใด เพราะว่า จิตปราศจากอารมณ์ และเป็นตนของตนอยู่โดยลำพัง แม้กิเลส ส่วนละเอียดยังมีอยู่ภายในก็ไม่แสดงตัว ใจที่ปราศจากอารมณ์ มีความสงบตัวอยู่โดยลำพังนานเพียงไร ก็ย่อมจะแสดงความสุข ความอัศจรรย์ ความสำคัญ ความมีคุณค่า ให้เจ้าของได้ชมนาน และมากเพียงนั้น "
     
  12. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ด้วยแรงอธิษฐาน

    ในบรรดาพระเถรานุเถระที่"พุทธวงศ์"เคยได้นมัสการกราบไหว้มาทั้งหมดนั้น อาจที่จะกล่าวได้ว่า หลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปางเป็นหนึ่งในพระอริยเจ้าที่ทรงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้ได้เป็นที่ประจักษ์มากที่สุดองค์หนึ่งก็ว่าได้ไม่ผิดคำทีเดียว
    แม้เคยจะได้กราบใกล้ๆ แต่หาได้สนทนาด้วยองค์ท่านอย่างตรงๆแม้เพียงครั้งก็ตาม แต่ประสพการณ์ที่ได้เจอะเจอจากท่าน แบบ"รีโมทคอนโทรล"นั้น ช่าง"จะๆ"และ"เต็มๆ"อย่างเหลือที่จะพรรณาให้ถูกถ้วนตามความที่เป็นจริงได้
    เคยมี"ผู้ใหญ่"ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า อันหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษมนั้น ท่านมีภารกิจต้องคอยใช้อำนาจจิตฤทธิ์อภิญญาของท่านคอยปกป้องคุ้มครองประเทศชาติอยู่ตลอดเวลา ท่านจึงไม่มีเวลาที่จะมาสนทนาด้วยคนทั้งหลายตามปกติให้ต้องเสียการใหญ่ใดๆไปได้

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ได้ทราบมานานแล้วว่า มีผู้นั่งสมาธิไปเห็นเป็น"ตาข่ายเพชร"ล้อมประเทศไทยทั้งหมดอยู่ จึงมาเล่าให้หลวงปู่ดู่ วัดสะแกฟัง หลวงปู่ดู่จึงกล่าวรับรองทันทีว่า
    "นั่นแหละ ตาข่ายเพชรนั้น เป็นของที่หลวงพ่อเกษมท่านทำเอาไว้ปกป้องประเทศไทยเองหรอกน๊ะ..!!!!!"
    ชะรอย การคงจะเป็นด้วยเหตุนี้กระมัง หลวงปู่ครูบาเจ้าเกษมท่านจึง"พูดน้อย ภาวนามาก"เป็นนิจสินอย่างนี้
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    และด้วยการที่เป็นเช่นดังว่า จึงทำให้หลายๆคน แม้มิได้สนทนาวิสาสะด้วยท่านแบบต่อหน้า แต่กลับได้เจอะเจอกับฤทธิอภิญญาของท่านใน"ทิพยสภาวะ"หรือ"ในฝัน"อย่างน่ามหัศจรรย์ที่สุด เล่ากันสามวันแปดวันไม่หมดฯ
    ก็เพราะหลวงพ่อเกษมท่าน นิยมใช้
    "จิตล้วน"แบบนี้นั่นอย่างไร
    และแน่นอนที่สุด แม้ตัวของ"พุทธวงศ์"เอง เมื่อครั้งสร้าง"พระพุทธบาทสี่รอย" โดยได้นำพระเครื่องไปเข้าพิธีอธิษฐานจิตจากท่านแทนหลวงปู่สิม ซึ่งด่วน"นิพพาน"ไปก่อนเป็นหลายวาระตั้งแต่ปีพ.ศ. 2535 -2539 ก็เลยเป็นเหตุให้ได้
    "เจอดี"จากอำนาจฤทธิจิตของหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษมมาแบบเนื้อๆ ทั้งโดย"ความฝัน"และ"ความจริง"(กายเนื้อ) อย่างที่ไม่มีอะไรต้องสงสัยในเรื่องของ"อภินิหาร"อีกเลยในชั่วชีวิตนี้ด้วยเช่นกัน.......
    เพราะ"เต็มๆจะๆ"เสียจนแทบจะขนลุกซู่อย่างห้ามหรือยั้งไม่อยู่ไปเลยนั่นเทียว..!!!!!
    เรื่องแบบนี้ ใครที่ไม่เคยมีโอกาสได้มาเจอะเจอกับตัวแล้ว ย่อมไม่อาจและไม่มีทางที่จะได้รู้"รสชาดของชีวิต"ที่"เหนือโลก"แบบนี้ได้เป็นเด็ดขาดทีเดียว..........
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://www.phuttawong.net
     
  13. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    "พระรัตนะ"
    ที่ใหญ่ที่สุดในกุฏิหลวงปู่ทิม

    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    หมายเหตุ , ตั้งแต่เห็น"พระบูชารัตนโกสินทร์ทรงเครื่อง"มามากกว่ามาก ก็เพิ่งเห็นองค์ที่ประดิษฐานในกุฏิหลวงปู่ทิม วัดพระขาวนี่แหละที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ปกติ หากเป็นปางนั่ง ก็จะเห็นแต่หน้าตัก 2 นิ้ว - 9 นิ้วเสียโดยมากแต่องค์ที่อยู่ในกุฏิหลวงปู่ทิม ซึ่งจะมีการโยงสายสิญจน์ไปยังวัตถุมงคลทั้งปวง ที่หลวงปู่ทิมจะลุกขึ้นมานั่งสมาธิ,อธิษฐานจิตตั้งแต่ตี 2 ของทุกๆวันนั้น ขนาดหน้าตักราว 1 เมตร ความสูงราว 2 เมตร..!!!!!!
    เรียกได้ว่า
    พระรัตนะองค์นี้ แทบจะอัญเชิญไปเป็นพระประธานในโบสถ์ได้ในทันทีเลยทีเดียว..!!!???!!!

    หมายเหตุ 2, พระรัตนะองค์นี้ แต่แรกเริ่มเดิมที ถูกเก็บซ่อนไว้อีกกุฏิหนึ่ง โดยปิดบังมิได้บอกใคร เพราะเกรงจะถูกโจรกรรม พอดีพระสมุห์สุนทร (หลวงพี่หม่อง) พระเลขาหลวงปู่ทิมเห็นว่า "พุทธวงศ์"มีความสนใจในพุทธศิลป์ไทย โดยเฉพาะ"พระทรงเครื่อง"มิใช่น้อย จึงเคยพาไปชมเป็นการส่วนตัวที่สุดครั้งหนึ่ง ต่อมา จึงได้มีการอัญเชิญมาลงรักปิดทองใหม่แล้วนำมาเป็นพระประธานในกุฏิหลวงปู่ทิมในภายหลัง ซึ่ง"พุทธวงศ์"ยังเคย"เพ็ดทูล"ว่า น่าจะสร้างพระรัตนะองค์นี้ให้หลวงปู่ทิมปลุกเสกเป็นอนุสรณ์ด้วย คงจะเป็นการที่ดีแน่ๆ เพื่อเป็นการเผยแพร่ว่า นอกจาก"หลวงพ่อขาว"ในอุโบสถแล้ว ที่วัดพระขาวก็ยังมี"พระรัตนะองค์ใหญ่ที่สุด"อยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ขอนำภาพของพระรัตนะองค์นี้มาโพสต์ไว้ให้ชื่นชมบูชาและเป็นหลักฐานสืบไปในภายหน้าเสียก่อนเลยทีเดียวครับผม.


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://www.phuttawong.net
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ไม่ได้นำเสนอซะนาน สำหรับพุทธประวัติ ตอนนี้จึงเสนอตอนที่ 109 ต่อจากตอนที่ 108 ในหน้าที่ 177 จากทั้งหมด 114 ตอน


    <!-- END WEBSTAT CODE --><TABLE height="95%" width="99%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 15 กันยายน 2551 16:16:00 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๐๙ | เสด็จโปรดพระพุทธบิดา
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๐๙ : เสด็จโปรดพระพุทธบิดา


    พระพุทธบิดาประชวร เสด็จไปโปรด
    กระทั่งสำเร็จพระอรหันต์แล้วนิพพาน


    ในปีที่ ๕ นับตั้งแต่ตรัสรู้เป็นต้นมา พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่ป่ามหาวัน ใกล้กรุงไพศาลี ได้ทรงทราบข่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พุทธบิดา ทรงประชวรหนักด้วยพระโรคชรา ทรงปรารถนาจะได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ตลอดถึงพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นเจ้าศากยะ และเป็นพระญาติอีกหลายรูปที่เสด็จออกบวชตามพระพุทธเจ้า เช่น พระอานนท์ พระนันทะ และสามเณรราหุลผู้เป็นหลาน

    พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งพระอานนท์ให้แจ้งข่าวพระสงฆ์ ถึงเรื่องพระองค์จะเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์อีกวาระหนึ่ง ธรรมเนียมการเสด็จจาริกทางไกลของพระพุทธเจ้ามีอยู่อย่างหนึ่ง คือ ก่อนเสด็จจะรับสั่งพระสงฆ์ที่อยู่ใกล้ชิดให้บอกข่าวพระสงฆ์ทั้งมวลว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จจาริกทางไกลที่นั่น ที่นี่ เวลานั้น เวลานี้ พระสงฆ์รูปใดจะตามเสด็จก็จะได้เตรียมข้าวของจำพวกอัฐบริขารไว้พร้อม การเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ของพระพุทธเจ้า เพื่อทรงเยี่ยมพุทธบิดาที่กำลังทรงประชวรครั้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้าย


    [​IMG]


    เมื่อเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ได้เสด็จเข้าเยี่ยมพุทธบิดา ซึ่งมีพระอาการเพียบหนักแล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบิดา ด้วยเรื่องความเป็นอนิจจังของสังขารว่า (ตามปฐมสมโพธิ)
    "ดูกรบพิตร อันว่าชีวิตแห่งมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนักดำรงอยู่ โดยพลันมิได้ยั่งยืนอยู่ช้า ครุวนา ดุจสายฟ้าแลบอันปรากฎมิได้นาน
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle vAlign=top>การเจริญปัญญา เป็นสุดยอดของการสร้างบุญบารมีโดยแท้จริง</TD><TD class=gensmall vAlign=bottom align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>

    การเจริญภาวนานั้น เป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา จัดว่าเป็นแก่นแท้และสูงกว่าฝ่ายศีลมากนัก

    การเจริญภาวนานั้น มี ๒ อย่าง คือ
    (๑) สมถภาวนา (การทำสมาธิ)
    (๒) วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา)


    พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า "ผู้ใดแม้จะทำสมาธิจนจิตเป็นฌานได้นานถึง ๑๐๐ ปี และไม่เสื่อม ก็ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่มองเห็นความเป็นจริงที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายอันเนื่องมาจากการปรุงแต่ง ล้วนแล้วแต่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้จะเห็นเพียงชั่วขณะจิตเดียวก็ตาม"


    ดังนี้ จะเห็นได้ว่า วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา) นั้น เป็นสุดยอดของการสร้างบุญบารมีโดยแท้จริง และการกระทำก็ไม่เหนื่อยยากลำบาก ไม่ต้องแบกหาม ไม่ต้องลงทุนหรือเสียทรัพย์แต่อย่างใด แต่ก็ได้กำไรมากที่สุด

    เมื่อเปรียบการให้ทานเหมือนกับกรวด และทราย ก็เปรียบวิปัสสนาได้กับเพชรน้ำเอก ซึ่งทานย่อมไม่มีทางที่จะเทียบศีล ศีลก็ไม่มีทางที่จะเทียบกับสมาธิ และสมาธิก็ไม่มีทางที่จะเทียบกับวิปัสสนา

    แต่ตราบใดที่เราท่านทั้งหลายยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็ต้องเก็บเล็กผสมน้อย โดยทำทุก ๆ ทางเพื่อความไม่ประมาท โดยทำทั้งทาน ศีล และภาวนา สุดแต่โอกาสจะอำนวยให้ จะถือว่าการเจริญวิปัสสนาภาวนานั้นลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้กำไรมากที่สุด ก็เลยทำแต่วิปัสสนาอย่างเดียว โดยไม่ยอมลงทุนทำบุญให้ทานใด ๆ ไว้เลย

    เมื่อเกิดชาติหน้า เพราะเหตุที่ยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็เลยมีแต่ปัญญาอย่างเดียวไม่มีจะกินจะใช้ ก็เห็นจะเจริญวิปัสสนาให้ถึงฝั่งพระนิพพานไปไม่ได้เหมือนกัน

    อนึ่ง พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาไว้ว่า "ผู้ใดมีปัญญาพิจารณาจนจิตเห็นความจริงว่า ร่างกายนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน คน สัตว์ แม้จะนานเพียงชั่วช้างยกหูขึ้นกระดิก ก็ยังดีเสียกว่าผู้ที่มีอายุยืนนานถึง ๑๐๐ ปี แต่ไม่มีปัญญาเห็นความเป็นจริงดังกล่าว"

    กล่าวคือ แม้ว่าอายุของผู้นั้นจะยืนยาวมานานเพียงใด ก็ย่อมโมฆะเสียเปล่าไปชาติหนึ่ง จัดว่าเป็น "โมฆบุรุษ" คือ บุรุษที่สูญเปล่า

    : การภาวนา
    : โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5515&start=0&postdays=0&postorder=asc&highlight=
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    [​IMG]

    ... ใจของเรานี่มันอยู่ในกรง

    ยิ่งกว่านั้นมันยังมีเสือที่กำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั้น

    ด้วยใจที่มันเอาแต่ใจของเรานี้

    ถ้าหากมันไม่ได้อะไรตามที่มันต้องการแล้วมันก็อาละวาด

    เราจะต้องอบรมใจด้วยการปฏิบัติภาวนาสมาธิ

    นี่แหละที่เราเรียกว่า "การฝึกใจ"
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>ข้อคิดพินิจธรรม
    โดย ผู้จัดการออนไลน์

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    อยู่บ้านอย่าติดบ้านนะ
    อยู่วัดอย่าติดวัดนะ
    อยู่ถ้ำก็อย่าติดถ้ำนะ
    ติดที่ไหน? เป็นกิเลสที่นั่น

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    วัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.สิงห์บุรี

    ผู้ใดหลงใหลในตำราและอาจารย์
    ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้
    แต่ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้
    ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน

    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์

    ใจที่ยังไม่ได้ฝึก
    มันก็คอยวิ่งไปตามนิสัยเคยชิน
    ที่ยังไม่ได้ฝึก ไม่ได้อบรม
    มันเต้นคึกคักไปตามเรื่องตามราว
    ตามความคะนอง
    เพราะมันยังไม่เคยถูกฝึก
    ดังนั้นจงฝึกใจของตัวเอง
    การปฏิบัติภาวนาในทางพุทธศาสนา
    ก็คือการปฏิบัติเรื่องใจ ฝึกจิตฝึกใจของตัว

    หลวงพ่อชา สุภทฺโท
    วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

    ทุกคนต้องมีศีล จึงจะเป็นคนดีได้
    คนไม่มีศีลทำอะไรก็ผิดๆ
    เหมือนเรือไม่มีหางเสือ
    เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องมีศีล
    ไม่ว่าจะเล่าเรียนอะไร จะมีอาชีพอะไร
    ศีลเป็นของคนทุกคน
    ศีลทำคนให้เป็นคน
    ทำมนุษย์ให้เป็นเทวดา
    คนไม่มีศีลก็เหมือนสัตว์
    ทำอะไรไปตามกิเลสชักนำ
    กิเลสคือ โลภ โกรธ หลง
    มันคอยชวนคนให้ทำผิดตลอดเวลา
    คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมย่อมไม่รู้จักมัน
    หลงเชื่อมัน ทำตามมัน
    มันก็พาไปพบทุกข์
    คนไม่รู้ก็คิดว่าเป็นความสุข

    หลวงปู่ขาว อนาลโย
    วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู

    คนเมา เมาโลภ เมาโกรธ เมาหลง
    เมาสุรา ถ้าเมาแล้ว ทำอะไรก็ได้
    ไม่รู้ชั่วดี-เสื่อมเจริญ-ทุกข์สุข อยู่ในความมืด
    เมื่อตกอยู่ในความมืด
    ก็ไม่สามารถรู้เห็นความดีได้

    หลวงพ่อคำบ่อ ฐิตปัญฺโญ
    วัดใหม่บ้านตาล จ.สกลนคร

    มนุษย์ของเรานั้น ในครอบครัวเล็กๆ
    ถ้าเกิดทะเลาะเบาะแว้งกันในตัวเอง
    ก็ได้ชื่อว่าทำลายภาพพจน์
    บทบาทแห่งความผ่องใสแห่งจิตใจ
    ทำลายศีลสมาธิปัญญา
    เมื่อทำลายศีลสมาธิปัญญาให้เศร้าหมอง
    และเสียไปแล้ว
    การดำเนินชีวิตที่จะให้รุ่งเรืองนั้น
    ก็คงหมดหวัง

    หลวงปู่คำพอง ติสฺโส
    วัดถ้ำกกดู่ จ.อุดรธานี

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5323
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    คิดดี พูดดี ทำดี...สมเด็จพระญานสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ


    คิดดี พูดดี ทำดี เพียงทำสามประการนี้ให้สม่ำเสมอตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน
    ก็จะสามารถหนีมือแห่งกรรมไม่ดีได้
    มือแห่งกรรมไม่ดี จะไม่สามารถตระครุบไว้ในอำนาจได้
    บาปกรรมใดๆ แม้ได้กระทำไว้ตั้งแต่อดีตชาติ จะไม่อาจตามสนองได้ง่ายๆในภพชาตินี้
    อย่างมากก็จะเพียงไล่ตามตระครุบอยู่อย่างหมายมั่น จะทำให้ได้สำเร็จเท่านั้น
    ถ้าคิดดี พูดดี ทำดี เสมอ

    ทุกวันนี้ มีตัวอย่างผู้ที่ถูกมือแห่งกรรมตามทันจับได้มากมาย
    คนสวยคนงามถูกมือของกรรมร้ายทำให้กลายเป็นคนสิ้นสวยสิ้นงาม
    ทนความรู้สึกของตนเห็นรูปลักษณ์ของตนด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
    คนบางคนแขนขาบริบูรณ์ถูกมือของกรรมร้าย
    ทำให้กลายเป็นคนเหลือขาครึ่งเดียวบ้าง ข้างเดียวบ้าง
    คนบางคนมีลูกรักดังดวงใจ ลูกออกจากบ้านไป ก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย
    มือของกรรมร้ายปลิดชีวิตของเขาแล้วปลิดชีวิตของเขาแล้วอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต
    กลายเป็นศพคอขาดก็มี ไส้ทะลักก็มี
    คนบางคนนอนหลับอยู่ในบ้านเรือนตน ด้วยความรู้สึกปลอดภัยแท้ๆ
    แต่กลับมีมือของกรรมร้ายเอื้อมเข้าไปห้ำหั่นถึงฟูกถึงหมอน
    เสียเลือดเนื้อ และชีวิต นี่คืออำนาจร้ายแรงแห่งกรรม

    คัดลอกจาก...ชีวิตนี้สำคัญนัก
    สมเด็จพระญานสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5309
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096

    คณะกรรมการทุนนิธิฯ ขออนุโมทนา และสาธุบุญ กับทั้ง 2 ท่าน ด้วยครับ บุญใดที่คณะทุนนิธิฯ ได้ทำสำเร็จแล้วด้วยความปิติ ประณีต และสมบูรณ์ ขอผลบุญและผลกุศลนั้นจงสำเร็จแด่ท่าน ดุจดั่งท่านได้อุปัฏฐากองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเองด้วยเทอญ


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
     
  20. natta_pea

    natta_pea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +1,515
    วันนี้เวลา 12.31 น. ผมได้โอนเงิน 200.- บาท
    ร่วมทำบุญฯ ขออนุโมทนาบุญทุกๆท่านด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...