เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. kcsn

    kcsn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +111
    สวัสดีค่ะ แวะมาบอกบุญทุกๆคนค่ะ วันนี้ดิฉันกับเพื่อนๆพี่ๆกัลยานิมิตร ได้นำอาหารคาวหวานไปถวายพระภิกษุสงฆ์ 3 รูปที่มาจากเมืองไทยค่ะ ขออนุโมทนาบุญนี้ให้กับคุณอ้องและครอบครัวและเพื่อนๆกัลยานิมิตรในเวปนี้ทุกๆคนด้วยค่ะ สาธุ :)
     
  2. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    การบ้านตั๊ม ฝึกตัวรู้

    หลวงปู่ดูลย์...

    เริ่มต้นด้วยอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน ตามสบายๆ
    ทำความรู้สึกตัว รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องไปรู้อย่างอื่น
    รักษาจิตเช่นนี้ไปเรื่อยๆ รู้เฉยๆพอ ไม่ต้องไปแยกแยะ...

    อย่าไปบังคับด้วยการเพ่งจ้อง
    เมื่อรู้อยู่ซักพัก จิตย่อมแส่หาอารมณ์ต่างๆเพราะเผลอหลงไป
    จิตที่แส่หาอารมณ์จนอิ่ม

    แล้วรู้สึกตัวขึ้นมา..

    ตรงนี้ละให้พิจารณาเปรียบเทียบได้...
    ขณะรู้สึกตัว กับขณะเผลอหลง มีอะไรแตกต่าง

    จากนั้นก็ให้รักษาจิตรู้สึกตัวต่อไป
    อุบายเช่นนี้ ในไม่นานจะฉลาดในพฤติของจิต ควบคุมจิต และบรรลุสมาธิได้
    แค่นี้สั้นๆ

    ไม่ต้องปรึกษา ไปหาใครอีก

    เมื่อสิ้นอายุขัย ทำให้จิตเป็นหนึ่ง หยุดเพ่ง ปล่อยวางทั้งหมด
     
  3. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ขอบคุณครับอา

    .. การบ้านที่อาให้จะไปยากอะไรเล่า แค่ปลงไว้ มีสติ เป็นหลัก ครับอาพอจะเข้าใจอะไรเยอะเลยครับอา จะไม่เอากิเลสนำ แต่ก่อนไม่รู้ครับอาว่ากิเลสคืออะไร เมื่อปล่อยวาง แล้วมันรู้เอง สาธุครับ ไปแล้วครับอา ^^
     
  4. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตัดสัญญาอารมณ์ทั้งปวง

    สมาธิเราต้องสละอารมณ์ วางอารมณ์
    เมื่อตัดสัญญาในอารมณ์ที่ปรากฏก็จะเหลือแค่ จิตกับสติ

    เมื่อรักษาเป็นอุบายเอาไว้จนจิตรวมลงกลายเป็นใจ
    ก็ให้เอาสติและใจมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียว
    มีอุเบกขาเป็นแกนเชื่อม
    เมื่อใจและสติปรากฏ
    สัมมาสมาธิปรากฏ
    สติและใจย่อมทราบเองว่า..
    นี่คือใจที่เที่ยงธรรมที่สุด แม่นยำที่สุด มีกำลังที่สุด ศีลอริยมรรคปรากฏ
    จิตมีความผ่องใสที่สุด โลกธรรมไม่หวั่นไหว ดีเลวมองด้วยใจเป็นกลางที่สุด
    ไม่หวั่นไหว ไม่คล้อยตามแม้กระทั่งความละเอียดของจิต
    จิตสงบนิ่งเป็นที่สุด ปรากฏ สัมมาสติ
    รู้ที่สัมมาทิฎฐิ(รู้ถูก) เพียรถูก มรรคทั้งหมดปรากฏ

    เมื่อคุณธรรมดังกล่าวปรากฏเกิดขึ้น
    พิจารณาลงที่ความจริงของที่ตั้งแห่งอริยสัจคือกายและจิต(ขันธ์)
    ดูที่ความจริงของธรรมชาติ ด้วยใจที่เป็นกลาง
    ไม่ว่าหยาบ ละเอียด ที่ปรากฏ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลง

    ขัดเกลากิเลสตรงนี้ละ ปัญญาอยู่ตรงนี้ ความสว่างที่บริสุทธิ์แท้อยู่ตรงนี้
    ความบริสุทธิ์แท้อยู่ตรงนี้ ความไม่มีอะไรเลยอยู่ตรงนี้
    ศีล สมาธิ ปัญญาที่อบรมมาดีแล้ว

    จะต่อสู้กับกิเลสตรงนี้ที่ความเที่ยงธรรม...
    เข้าสู่สภาพความเป็นกลางถึงที่สุด
    จนกิเลสไม่ว่าจะหยาบปานใด ละเอียดขนาดไหน
    ใจและสติที่อบรมมาดีแล้ว
    จะอยู่แค่จิตหนึ่ง ในธรรมหนึ่ง

    ไม่นับสองสามสี่จนมาเป็นกายและจิตเหมือนจิตปถุชน

    พระอริยเจ้าอยู่แต่จิตหนึ่ง สักแต่รู้อารมณ์ ไม่หวั่นไหว ไม่คล้อยตาม
    ไม่กระเพื่อม นี่ก็เพราะการอบรมสติตรงใจที่เที่ยงธรรม...

    ขออนุโมทนาผิดพลาดขออภัยด้วยครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2009
  5. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    ^
    ^
    ^
    ^ ยิ่งอ่านยิ่งทำให้นึกถึง หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ครับ ผมเคยอ่านหนังสือของหลวงปู่ จะเน้นเรื่องการค้นหาใจ พอมาอ่านของคุณอ้อง สังเกตุได้ว่าจะเน้นเรื่องใจมากเป็นพิเศษ

    ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนก็จะหนีไม่พ้นใจ สาธุครับ

    วันนี้มีเรื่องเล่าให้ฟังครับ เมื่อคืนนั่งสมาธิแล้วจู่ ๆ ก็ไม่อยากสนใจอะไร คืออยากนั่งเฉย ๆ สบาย ๆ ไม่อยากสนใจ คำภาวนา ไม่อยากสนใจลมหายใจ นั่งเฉย ๆ

    แล้วก็เลยคิดถึง เรื่องราวต่าง ๆ ของ สมเด็จโต พรหมรังสี เพราะผมเคยดูวีดีโอ เกี่ยวกับสมเด็จโต แล้วจู่ ๆ ก็เกิดขนลุกซู่ทั้งตัวอย่างรุ่นแรงครับ
     
  6. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    จับจิตจนเป็นใจ

    จิตมีสภาพไม่มีตัวตน เหมือนดั่งเงา
    เราจะจับเงาก็ต้องใช้บริกรรม...
    พุธโธ....

    ตรงที่รู้สึกในคำบริกรรมพุธโธ รู้สึกชัดตรงไหน
    จิตก็อยู่ตรงนั้น
    เพราะจิตเป็นผู้รู้ คิด นึก ปรุงแต่ง

    เมื่ออยู่กับคำบริกรรมพุทโธเป็นอุบายหลอกล่อจิต
    ก็เหมือนเราไล่จับเงาตนเอง

    สิ่งที่พระพุทธศาสนาสอนคือการสำรวมจิต
    ไม่ว่าคิดดี คิดชั่ว ก็ให้รู้สึกตัว ไม่ใช่หนีจิตด้วยการกดข่มด้วยสมาธิ
    หรือหาสิ่งอันเป็นปฏิปักษ์มาทำให้ลืมจิต

    พระพุทธองค์สอนให้รู้เท่าทันจิต...
    เมื่อจับจิตที่บริกรรมสติจะปรากฏพร้อมกับจิต
    ไม่ต้องไปเอาสติบังคับจิต

    เมื่อรู้อยู่กับบริกรรมนานเข้า อดีตก็ไม่ปรากฏ อนาคตก็ไม่ปรากฏ
    อยู่กับความเป็นกลาง บริกรรมจะเริ่มหนักและทิ้งลงเสียด้วยเพราะแม้แต่
    คิดนึกในอารมณ์บริกรรมก็หนักเสียแล้ว

    จิตเริ่มรวมจนกลายมาเป็นใจคือ สัมมาสมาธิ
    สติเริ่มรวมมาเป็นสัมมาสติ
    สัมมาทิฎฐิจึงเริ่มปรากฏตามความจริงด้วยเพราะความเพียรชอบ

    ใจจะมีสภาพตรงข้ามกับจิต คือไม่มี คิดนึก ปรุงแต่ง มีแต่เฉยๆ สบายๆตรงอุเบกขา อยู่กับความเที่ยงธรรมของใจที่เที่ยงตรงที่สุด

    เมื่อจับจิตจนเป็นใจเพราะอุบายหลอกล่อจิตด้วยบริกรรมในการจับจิต
    ย่อมเข้าใจในความจริงของจิตและใจที่แตกต่างกันด้วยการพิจารณา...

    (จิตอันใดใจอันนั้น อันเดียวกัน ต่างกันตรงที่อาการ หลวงปู่เทสก์)

    ผิดพลาดขออภัยด้วยนะครับ...อนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2009
  7. ธนานุวัตร

    ธนานุวัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +968
    อนุโมทนาครับ เพิ่งเิริ่มอ่านครับ เยอะมากๆอ่านจนตาลาย ขออนุญาติคุณอ้องนำไปปริ๊นเย็บเล่มไว้อ่านที่บ้านนะครับ
     
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    วิธีแก้อาการกลัวที่ปรากฏในสมาธิ

    สิ่งที่ปรุงแต่งจิตและเกิดการวิ่งหนี และทำเอาใจหายใจคว่ำ ก็คือ
    อาการกลัวนี่ละ

    ความกลัวนี่ปรากฏทั้งเวลาตื่นและเวลาทำสมาธิ
    ในช่วงเวลาตื่นในขณะที่อ้องเดินคนเดียวเงียบๆท่ามกลางป่าเปลี่ยว
    ความกลัวที่ปรากฏคือ จิตเข้าไปปรุงแต่งอารมณ์

    ในสิ่งที่ไม่มีตัวตนไปทำให้มีตัวตน...

    กลัวแม้กระทั่งเสียงเดินของตัวเองเหมือนมีผู้ติดตามมาข้างหลังและทำเอา
    อ้องตั้งท่าจะวิ่งเพราะขาดสติ

    กลัวไปทุกสิ่งที่จิตจะเข้าไปปรุงแต่ง ไม่ว่าจะผี หรือสัตว์ร้าย เสียงที่แปลกๆ
    เงาทมึนๆที่น่าสงสัย เรียกว่าแม้แต่ตื่นก็กลัว

    เมื่อทำสมาธิ...

    ความกลัวก็ปรากฏเกิดขึ้น สิ่งที่อ้องอบรมสติมาเพิ่มมากขึ้น
    ทำให้สมาธิที่เกิดสภาวะธรรมคือกลัวชนิดใดก็ตาม

    สติที่เริ่มอบรมมาดีจะรู้ว่าเผลอหลงเข้าไปปรุงแต่งอารมณ์

    ความกลัวใดๆก็ตาม ถ้าเพียงแต่มีสติกับจิตและวางอารมณ์มันลงเสียด้วยสติ
    ที่อบรมมาดีแล้ว จิตที่ไหลแวบเข้าไปย่อมถูกทำลายลงด้วยสติทั้งสิ้น

    ดังนั้นเราควรที่จะอบรมสติในระหว่างวันอยู่เสมอ เพราะความกลัวในขณะที่ตื่นก็มีอยู่มากมาย ทำเอาตกใจ ใจหายใจคว่ำก็มีอยู่เสมอ

    ความกลัวเป็นสภาวะธรรมชนิดหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้ หนีไม่ได้ ไม่งั้นก็จะไม่รู้จักมัน ยามที่มันปรากฏ จิตจะถูกอำนาจชนิดนี้ทำลายลงเพราะขาดสตินั่นเอง

    ความกลัวจึงต้องกล้าที่จะต่อสู่ ไม่ใช่หันหลังโกยหนี หนีใจไปตลอดก็ไม่พบความจริง...
     
  9. aimaing

    aimaing สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +18
    ช่วงเวลาในการนั่งสมาธิ เวลาไหนดีที่สุดค่ะ ปกติจะนั่งช่วงเช้า แต่พอนั่งเวลากลางคืนเกิดความกลัวขึ้น
     
  10. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เลือกช่วงเวลาที่กายผ่อนคลายมากที่สุด

    สุขอิงสมาธิคือกายต้องเกิดปัสสัทธิคือกายสงบ
    เมื่อกายสงบ สุขจะปรากฏ จิตจะเริ่มรวม ถ้ารักษาสติดีในช่วงภวงัค์
    จะไม่มีอาการตกสดุ้งมากนักเพราะมีกำลังสติอยู่

    การนั่งสมาธิบางครั้งจึงต้องเลือกเวลาที่กายมันพักผ่อนไม่ตึงเครียด
    มีการผ่อนคลาย ไม่มีอาหารมากมายอยู่ภายใน ไม่ง่วงซึมๆเซื่องๆ

    เลือกสถานที่
    เลือกเวลาที่สงบเพื่อไม่ให้เสียงเป็นหนามมาทิ่มแทงใจ
    ดูกายที่ผ่อนคลาย

    เมื่อดูแล้วช่วงเวลา กาย สถานที่ เอื้อประโยชน์ในช่วงใด ก็ทำด้วยการปล่อย
    กายและใจแบบเสรี ช่วงแรกมีอยากนำ มีกิเลสก็ให้รู้ และปล่อยวางโลภะจิต
    ด้วยการวางอารมณ์ ตามรู้จิตด้วยมีสติตามเข้าไป

    อ้องจะเลือกเวลาที่กายอ้องนอนพักมาดีพอแล้ว บ้านสงบเงียบ
    เลือกท่านั่งที่สบายๆ ที่ถนัดแต่ละคน ท่าสวยจิตไม่นิ่งก็ไร้ประโยชน์
    ท่าไม่สวย
    แต่จิต สติตื่นนี่ของแท้

    นั่งหลังโค้งแต่ใจสงบ ดีกว่านั่งหลังตรงแล้วบังคับใจเครียดๆ

    ชอบท่านั่งอย่างไรทำไปอย่าฝืนกายของตน
    เมื่อฝึกจนชำนาญก็ค่อยขยับท่านั่งให้มั่นคงมากยิ่งขึ้น

    บริกรรมตามชอบใจ อย่างไรก็ได้ดูที่จริต
    จะเปลี่ยนการดูไปตามสภาวะจิตก็ได้
    เช่นตอนแรกบริกรรม
    ภายหลังทิ้งเสียมาดูที่ลม
    พอลมหายมาดูที่สงบละเอียด....

    ดัง นั้นสมาธิก็คือ เครื่องมือชนิดหนึ่งเพื่อพบ
    ความเฉยๆ สบายๆ ไม่มีคิด นึก ปรุงแต่ง
    ไม่เอาปิติ สุข นิมิตแสงสี รู้และวางจนพบใจ นี่เป็นจุดหลักของสมาธิครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2009
  11. ลาซาล

    ลาซาล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +7
    เรียน คุณอ้อง ขอสอบถามวิธีปฎิบัติเกี่ยวกับการนั่งสมาธิที่ผมทำอยู่ซึ่งยังไม่คืบหน้าเท่าไร
    คือเวลานั่งสมาธิผมจะนั่งเวลาประมาณ 2ทุ่ม (ไม่กล้านั่งตอนตีสี่เหมือนอย่างที่คุณอ้องทำ) โดยทำสมาธิในท่านั่ง สวดมนต์ แผ่เมตตา แล้วจึงนั่งหลับตา ใช้เวลาในการนั่งไม่เกิน1ชั่วโมง เท่าที่ทำดูก็มีเพียงแค่เคลิ้มๆ บางช่วงก็เหมือนจะวูบ(สงสัยจะง่วงนอน) จึงต้องคอยดึงสติกลับมา แต่ก็ทำได้แค่นั้น ยังไม่รูสึกอะไรมากไปกว่านี้ สุดท้าย ก็ต้องหยุดทุกครั้ง เพราะขาชามาก ชาจนหนัก จนต้องคลายออก จะนั่งทำต่อก็ทำไม่ได้ ทุกวันก็จะเป็นแบบนี้ จึงขอสอบถามคุณอ้องว่า วิธีที่ผมทำจะต้องแก้ไขอย่างไร จึงจะถูกต้องครับ ขอบคุณครับ
     
  12. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    แก้กรรม สะเดาะเคราะห์ สแกนกรรม

    สิ่งที่เป็นเรื่องกรรมเหล่านี้ มาฟังพระอริยเจ้าที่มีปัญญาอย่างหลวงปู่เทสก์กันดูหน่อยนะครับ

    เพราะทุกวันนี้ การสร้างศรัทธาโดยยกเอากรรมมาสร้างศรัทธากำลังทำลาย
    เวลาอันมีค่ากับพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมาก

    สวดมนต์ก็แก้กรรม ถือศีลก็แก้กรรม ทำทานก็เพื่อสะเดาะเคราะห์กรรม
    แม้แต่ภาวนาก็เพื่อลดหย่อนผ่อนกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวร

    ตกลงเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแทนกรรมแล้วหรือ

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เพื่อนๆที่เป็นผู้ศึกษาทางพุทธศาสนาควรที่จะพิจารณาเสียก่อน
    ไม่ใช่งมงายเพราะถูกสอนให้กลัวกรรมแล้วก็กระทำตามกิเลส

    สวดมนต์เพื่อหวังร่ำรวย ภาวนาเพื่อชื่อเสียง ลาภยศ

    ลองมาฟังหลวงปู่เทสก์พูดเรื่องกรรมจะกระจ้างแจ้งกันนะครับ,...

    "เรื่องทำบุญแล้วใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรนี้ ขอให้พึงพิจารณาในความจริงที่ว่า

    กรรมคือการกระทำผู้กระทำย่อมรับกรรมอันเป็นวิบากไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี

    กรรมดีกรรมชั่วไม่ได้ไปอยู่ที่เจ้ากรรมนายเวรแต่ผู้หนึ่งผู้ใด
    หรือผลแห่งกรรมเกิดขึ้นจากเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้บังคับบัญชาให้เกิดขึ้น
    หรือให้สินน้ำใจเจ้ากรรมนายเวรบ่อยๆเพื่อติดสินบนให้ลดหย่อนผ่อนปรนเป็นต้น

    กรรมที่เรากระทำกับบุคคลคนอื่นนั้น คนนั้นเองนี่ละคือเจ้ากรรมนายเวร เป็นผู้รับผลเอง
    ทั้งเหตุและผลที่จะตามมาทั้งสิ้น

    การที่เราระลึกในความผิดแห่งตนและทำบุญอุทิศเพื่อผ่อนผัน อันนี้ไม่ถูก เพราะเขาได้ตายไปซะแล้ว ไปที่ใดก็ไม่ทราบ ไปกำเนิดภพตามคติอำนาจแห่งกรรมของเค้าซะแล้ว เค้าจะรับรู้ด้วยการอโหสิก็ยากอยู่

    เว้นเสียแต่ว่ายังมีชีวิตอยู่และขออโหสิเลิกผูกเวร นี่คือเลิกซึ้งกันและกันแต่กรรม
    ที่ได้กระทำเอาไว้แล้วไม่มีวันเลิก

    กรรมนี่ละคือเจ้ากรรมนายเวรอย่างแท้จริงและเป็นไปโดยยุติธรรมไม่ว่าดีหรือเลวต้องรับผลแห่งกรรม"

    ขอให้พิจารณาด้วยปัญญาด้วย พุทธศาสนาไม่ได้ให้แก้ แต่ให้รู้เพื่อทำให้พ้นไปจากกรรมทั้งหลาย....

    ส่วนนี้เป็นความเห็นของอ้องนะครับ...

    มีสามเณรสมัยอดีต ครูอาจารย์ดูว่าต้องสิ้นบุญแต่ระหว่างทางกลับบ้านได้
    ปล่อยชีวิตสัตว์ด้วยใจบริสุทธิ์ สิ่งนี้ไม่ได้เรียกว่าแก้กรรม สะเดาะห์เคราะห์
    เพียงแต่ผลของกุศลเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนให้เสียก่อนจึงยังไม่สิ้นอายุขัย

    ไม่ใช่จะเป็นทุกคนเสมอเหมือนซะที่ไหนกัน

    การภาวนาก็เช่นกันถ้าภาวนาแล้วแก้กรรมได้ทุกๆคน พระอริยเจ้า พระภิกษุสงฆ์ทั่วประเทศก็ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย

    ญาติโยมที่เข้าวัดภาวนาก็คงจะรวยเอา มีชื่อเสียง สวดมนต์แต่พระคาถาเงินร้อยล้านพันล้าน บิลเกตไม่ได้สวดแต่ก็ยังร่ำรวย แต่คนที่สวดนี่จนเอาจนเอา

    นี่ก็เพราะโดนสอนให้ยึดกิเลสทั้งสิ้น ใครอ่านแล้วจะว่าอ้องก็ยินดี
    แต่การแก้กรรม สะเดาะห์เคราะห์สแกนกรรม สวดมนต์แก้กรรม ภาวนาแก้กรรม
    ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญ

    เพราะไม่ต่างกับการสวดอ้อนวอน สอนคนด้วยความกลัว สอนให้ขี้แพ้ ขี้ติดสินบน สอนให้หวังผลในทาน ศีล สมาธิอันเต็มไปด้วยกิเลสทั้งสิ้น

    พระพุทธองค์ พระอริยเจ้าท่านกระทำเพื่อเป็นตัวอย่างเป็นอันดี
    ทุกอย่างดำเนินตลอดเส้นทางด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยความสะอาด ด้วยการสละออก

    กรรมหนีไม่พ้นเมื่อสังขารขันธ์ยังปรากฏ แม้พระพุทธองค์และพระอริยเจ้า
    ส่วนพวกเราเป็นปถุชนแต่ใครกันหนอ มาสอนพวกเราให้กอดกรรม สอนให้เรา
    มีแต่กิเลส อ้องพิจารณาดูแล้วว่า ผู้ที่สอนในอนาตคกาลข้างหน้า

    ย่อมหลงทางและเสียเวลาเป็นอันมากก็เนื่องมาจากการให้สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์
    ทำลายศรัทธาแก่พุทธบริษัทที่ศรัทธาให้เกิดความเสียหายในเวลาอันมีค่าทั้งสิ้น

    ดูเหมือนดีมากๆทำให้คนเข้ามาทางพระศาสนา
    ดูเหมือนดีมากๆสำหรับบัวแต่ละเหล่าที่ต้องใช้สิ่งนี้เป็นตัวจุดเริ่มต้น
    เพื่อให้เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา

    แต่ทุกวันนี้ที่อ้องดูอยู่...

    มีแต่ความหลงผิดไปในทางที่ลุ่มหลงงมงาย เพราะการเผยแผ่นั้น กินเป็นวงกว้างและควบคุมไม่ได้และผู้ที่สอนก็ไม่สอดแทรกสิ่งผิดและสิ่งถูกเข้าไปด้วย

    ทำให้เกิดมิจฉาชีพเข้ามาหากินในทางพุทธศาสนาและเกิดความเสื่อมตามมา
    ขอให้พิจารณาด้วยครับ...

    ผิดพลาดขออภัยอ้องก็แค่เตือนสติตนและเพื่อนๆทั้งหลายก็แค่นั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2009
  13. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    คุณลาซาล

    สมาธิคนเราติดตรงที่ว่า นั่งเลยพออยากจะนั่งก็นั่งละ....

    คนที่นั่งเลยนี่ต้องเก่งนะ คือต้องเป็นคนผ่อนคลายตนเองได้เร็ว
    เพราะจิตในระหว่างวันที่สะสมกามคุณ๕มา มันจะเห็นเหตุใกล้ในระหว่างวันผุด
    ขึ้นมาแบบห้ามทัพไม่อยู่

    สมาธิพอเริ่มต้นเมื่ออยากนำ มันจะเครียด มีหวังผล มันไม่สบายๆเหมือนสายน้ำไหลช้าๆแต่มั่นคง

    คนทำสมาธิถ้าเหมือนตอนนอนก็จะดีมั๊กๆ คือปล่อยกายและใจให้มันเสรี สบายๆ
    ช้าๆแต่มั่นคง คนที่หลับง่าย กับคนที่เข้าสมาธิได้เร็วเหมือนกันนะ

    คือทิ้งอารมณ์

    คนที่ตั้งท่าจะหลับนี่เอาเรื่องหลับยาก
    ส่วนคนที่หลับง่าย...
    พวกนี้คือจะนอนละก็ปล่อยกายและใจแบบอิสรเลย

    ขยับต้วเข้าที่เข้าทางในท่าสบายๆ พอนับไม่ถึง10พวกนี้หลับไปแล้ว
    พวกนี้หลับเร็วและคอยดูไปนะครับ..
    จะมีอาการตกสดุ้งมากกว่าคนอื่นคือ สติมีน้อยและตกภวังค์อย่างรวดเร็ว

    การที่อ้องชอบยกเรื่องการนอนมาเปรียบเทียบจะทำให้เข้าใจง่าย
    ซึ้งคุณลาซาลช่วงนอนก็ขอให้คอยดูจิตจนหลับไป ช่วงที่ง่วงมากๆ ถ้ามีซึมสลับ
    กับรู้สึกตัวตรงนี้เป็นขณิกสมาธิ แต่ถ้าเห็นร่างกายกรนคร๊อกๆ

    นี่จะแยกกายกับจิตได้ และสมาธิจะมั่นคงเข้าไป ยากหน่อยแต่ทำทุกๆวัน
    เอาสติตามเข้าไปด้วย นานหน่อยยังดีกว่าไม่ได้ทำแถมมีผลช่วงสิ้นอายุขัย
    มันจะวางสิ่งต่างๆไ้ด้ดี

    เพราะกายที่เจอสภาพทุกข์ก่อนสิ้นไปนั้น สมอง ความคิด จะตื้อ ตีบตัน
    นี่เป็นสภาพการของนเสียชีวิต ถ้าเรารู้และไม่กระวนกระวาย ไม่เศร้าหมอง
    อยากตายตายไป ไม่โวยวาย ก็จะไปดี

    ส่วนของคุณลาซาลคงจะขอให้ปรับเพิ่มในการทำให้กายเกิดปัสสัทธิคือกายสงบ
    โดยขอให้คุณลาซาลเดินจงกรมแบบรู้สึกตัวธรรมดา เดินเล่นสบายๆแบบรู้สึกตัวว่าเดินอยู่

    จนรู้สึกภายในว่ากายมันเริ่มเบา ไม่เคร่งเครียด ปล่อยกายและใจตนเอง
    และไปนั่งสมาธิโดยไม่หวังผลทั้งสิ้น ขอเพียงแต่ปล่อยกายและใจให้อิสร
    จะพบความจริงในไม่ช้า

    ทิ้งอยากนำนะครับ
    อนุโมทนาครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2009
  14. ลาซาล

    ลาซาล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณมากครับคุณอ้อง สำหรับคำแนะนำ เพราะที่ผ่านมาไม่ทราบว่าเริ่มอย่างไร พออาบน้ำอาบท่าเสร็จ รู้สึกสบาย กายพร้อม ก็ลงจากห้องนอนมาสวดมนต์ แผ่เมตตา และนั่งสมาธิเลย ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไร แต่มีสิ่งหนึ่งซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเกี่ยวกับการนั่งสมาธิหรือเปล่า
    คือขณะสวดมนต์มักจะมีเสียง โทรทํศน์ซึ่งเป็นจอโปรเจคเตอร์ มักลั่นแก๊กๆอยู่เรื่อย ปกติก็ไม่เคยได้ยิน แต่พอเริ่มสวดมนต์ซักพักเดียว .......เอาแล้ว เสียงแบบนี้ดังขึ้นมาทุกที จนเดี๋ยวนี้ชักเริ่มคุ้นครับ.... เล่าสู่กันฟังครับคุณอ้อง
     
  15. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    อ่านเรื่องความกลัวแล้ว ผมมีเรื่องตลกจะเล่าให้ฟังครับ วันหนึ่งหลังจากที่สวดมนต์ นั่งสมาธิเสร็จแล้ว ผมก็จะเข้านอนด้วยการจับลมหายใจจนปล่อยหลับ

    พอถึงช่วงกลางดึก จู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่แรงมาก ๆ ได้ยินชัดเจนมาก ๆ เหมือนลมผ่านท่ออะไรสักอย่าง .........เท่านั้นแหละครับ ผมก็ตกใจ หัวใจเต้นอย่างกับกลองรัว ความคิดแรกเลยก็คือ เห้ย.........ผีหลอกแน่เลย เอาละสิยิ่งกลัวผีอยู่

    แต่แวปหนึ่งก็ตั้งสติ พิจารณาความกลัวว่ามันเกิดจากอะไร ถึงแม้จะเป็นผีจริงหรือไม่จริงก็ตาม เรามากลัวสิ่งไร้สาระหรือนี่แค่ผีมาหายใจให้ฟังก็กลัวงั้นเหรอ ก็ค้นหาต่าง ๆ นานาครับว่าความกลัวมันเป็นตัวยังไง สุดท้ายก็หาความกลัวไม่เจอ

    แล้วก็สรุปตัวเองว่า เรา.....โดนจิตหลอกอีกแล้ว แล้วก็เลยมานั่งพิจารณานอกกายว่าเสียงนั้นมาจากอะไร ดูไปดูมา กำ......นี่มันลมหายใจเรานี่หว่า 5 5 5 5 คืนนั้นนอนขำตัวเองแทบตายครับ นี่เรามากลัวเสียงลมหายใจตัวเองหรือนี่ ขนาดพิมพ์ยังนึกขำเลยครับ


    จากที่ดูมหาชาดก สิ่งที่ได้จากการดูก็คือ พระพุทธเจ้าทรงไม่สร้างกรรมเลวเพิ่ม มีแต่ชดใช้กรรมที่เคยก่อมาทั้งสิ้นเลย หรือแม้แต่พระสาวกก็เช่นกันต้องทนทุกข์กับวิบากชดใช้กรรมทั้งสิ้นเลย

    สาธุครับ สำหรับธรรมที่นำมาเสนอ
     
  16. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เราจะหยุดกรรมเสียได้ด้วยการรู้จักกรรมไม่ใช่แก้กรรม

    จิตมีสภาวะทุกข์ล้วนๆนี่คือความจริงของจิต
    เพราะธรรมชาติของจิตหนีทุกข์มาตั้งแต่ต้นเพราะความไม่เข้าใจ

    บัณฑิตผู้มีปัญญาย่อมเผชิญหน้ากับกรรมทั้งดีและเลวด้วยสติ
    เพราะทุกสิ่งคือสภาวะธรรมแห่งความจริง

    เวลาที่มีความสุขคนมักจะประมาท
    เวลาที่มีความทุกข์คนมักจะหาทางแก้ไข

    แต่พระพุทธองค์สอนให้รู้ในธรรมคู่ไม่ว่าดีหรือเลว
    ถ้าใจยังติดดี ติดชั่ว ใจก็ไม่เป็นกลางต่อสรรพสิ่ง
    โลกที่ปรากฏทั้งดีและเลวย่อมทำให้ใจหวั่นไหวกระเพื่อมเข้าหา

    สิ่งที่พระพุทธองค์สอนคือทางแห่งสันติสุข นั่นก็คือนิพพานแห่งสันติของใจ
    ที่หมดจดปราศจากกิเลส

    คำว่าหมดกิเลสที่หลวงปู่เทสก์บอกก็คือ...
    ศีล สมาธิ ปัญญา ที่อบรมมาดีแล้ว มันไม่เอากิเลสอีก เพราะรู้...

    อายตนะที่ยังอยู่ก็แสดงว่าบ่อกิเลสยังปรากฏ มีขันธ์
    กิเลสมีอยู่ แต่ ใจมันไม่เอา มันสักแต่รู้และก็วาง...

    เพื่อนๆคงจะเห็นแล้วว่า การแก้กรรม ไม่ได้ทำให้พ้นทกุข์และทำลาย
    สิ่งที่เป็นโอกาสในการที่จะเข้าไปเรียนรู้ความจริงเสียด้วย

    อ้องเองก็เพียงแต่ทำหน้าที่แห่งกัลยาณมิตรที่ดีมาเตือนสติ

    ลูกผู้ชายกล้าทำก็กล้ารับ
    ลูกผู้หญิงมีความทะนงตน

    ทำสิ่งใดก็ต้องยอมรับความจริง... ไม่ใช่ไปอ้อนวอนดั่งกับคนขี้แพ้

    บัดนี้พวกเราต่างก็มุ่งหน้าไปสู่เส้นทางอันบริสุทธิ์...
    เราเริ่มสำรวมในศีล ภาวนา เราเริ่มละอายและเกรงกลัวต่อการเบียดเบียน

    เราไม่กลับไปทำสิ่งชั่ว เราจะทำในสิ่งที่ดี เราจึงต้องรักษาจิตที่ผ่องใสด้วยการสำรวมอินทรีย์เพื่อทำให้มีสติ

    พวกเราจะมุ่งหน้าทำลายกรรมตรงที่ใจมันเข้าไปยึด ทั้งสิ่งดีและไม่ดี
    ด้วยการอบรมสติเพื่อเข้าสู่ความเป็นกลางที่ไม่หวั่นไหว เพื่อคลายอุปทานในขันธ์

    ขอเพื่อนๆพิจารณาในความจริง นำวิกฤตมาเป็นโอกาส ไม่หนีหน้า ไม่อ้อนวอน
    มารู้กับความจริงตรงหน้าเพื่อประโยชน์เพื่อความพ้นไปจากกรรมที่แท้จริงเถิด...
     
  17. nina kk

    nina kk สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +9
    What's the meaning of แสกนกรรม ka? mai kao jai jing jing?

    Sorry I don't have Thai font right now (and don't want to
    wait ).
     
  18. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    พี่นีน่า

    ตอนนี้สแกนกรรมของผู้หญิงคนหนึ่งในรายการตีสิบ
    กำลังมีคนให้ความสนใจนะครับ
    คือเค้าบอกว่าเบื้องบนบอกว่าคนนๆนี้่ทำกรรมในอดีตมีอะไรมาบ้าง
    เช่นเป็นนักรบ นักฆ่า เคยเฆี่ยนตีคนอะไรอื่นๆนะครับ
    มาภพนี้ชาตินี้จะมีกรรมอะไรบ้าง

    เค้าใช้ว่าสแกนกรรม แหะๆ..คุณหมองานยุ่งเลยไม่ค่อยได้ดูทีวีแน่ๆ
    เค้าบอกแสกนกรรมและให้ไปแก้ไขคือไปแก้กรรมนะครับ
    เช่นสวดมนต์ ภาวนา ปล่อยสัตว์

    อ้องว่าก็น่ารักดี แต่ช่วยได้ระดับหนึ่ง
    นะครับพี่นีน่า ไม่ทำให้เกิดปัญญา...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2009
  19. nina kk

    nina kk สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +9
    Thank you lai' , kob jai very much kha!
     
  20. ck2548

    ck2548 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +37
    ขอบคุณคุณอ้อง เป็นอย่างมากที่นำเรื่องราวดีๆมีเผยแผ่ และขอร่วมอนุโมทนาในจิตอธิฐานในพุทธภูมิของคุณอ้องด้วย ขอให้คุณอ้องสมปราถนาทุกประการ ...ส่วนเรื่องกำเนิดจักรวาลเคยอ่านของหลวงปู่ดุลท่านก็อธิบายว่า นาม รูปมีอยู่แล้ว แต่ต้น (ตรงนี้ยังไม่ค่อยเคลียในส่วนของรูป ส่วนนามเป็นความว่างเดิม) และทุกสิ่งปฏิพัธ ให้เกิดการเคลื่อนไหว เกิดเวลา และเรื่อยมาจนเป็นพืช สัตว์ และเกิดการสะสมวิญญาณในปรมณูรูป ตรงนั้นเป็นวิวัฒนาการสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน .. อันนี้ก็พอเข้าใจได้..
     

แชร์หน้านี้

Loading...