เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    อยากจะรบกวนคุณ อ้อง ช่วยโพสคาถาชินบัญชร ที่คุณอ้องสวดอยู่ประจำ ได้ไหมครับ

    เพราะเท่าที่ผมทราบ คาถาชินบัญชร มีหลายแบบเหมือนกัน ก็เลยอยากได้ฉบับที่คุณอ้อง

    สวดอยู่ประจำครับ

    หลังจากที่คุณอ้องได้แนะนำให้เดินจงกรม ปรากฏว่าได้ผลครับ

    ความง่วงได้หายไปครับ นั่งได้นานขึ้นกว่าเดิมหลังจากโดนความง่วง

    รอบกวนมาหลายวัน เดียวนี้ก็เลยต้องนั่งสมาธิ แล้วก็เดินจงกรมครับ

    ถึงค่อยเข้านอน .....

    ไม่รู้ว่าต่อไปจะเจออะไร นั่งครั้งแรกก็เจอทุขเวทนาเล่นงาน พอหาย

    ไปก็เจอความง่วง ต่อไปจะเป็นอะไรหนอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2009
  2. Obtimus-KoAutobot

    Obtimus-KoAutobot สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +8
    เรื่องที่ผมสนใจสมาธิ นี้ก็เพราะ มีอาจารย์สอนวิทยาศาตร์ชีวะวิทยา ทุกคาบเรียนอาจารย์บอกว่า เห็นอะไรมาบ้าง แล้วก็สอดแสรกข้อคิดธรรมมะ แล้วก็เรื่องที่อาจารย์เคยเจอมา บาป-บุญมีจริง ซึ่งส่วนใหญ่เด็กก็ไม่ค่อยเชื่อ ครับเพราะกำลังวัยรุ่นเลย แล้วอาจารย์คงเห็นว่าไม่เชื่อ เลยพูดว่า "ของอย่างนี้ไม่ลองกับตัวไม่รู้" ผมยอมรับว่าไม่เชื่อว่ามีแล้วจะเห็น อย่างที่อาจารย์ว่า แล้วก็ตัดสินใจเข้า ชมรมสมาธิของโรงเรียน สอนนั่งสมาธิแบบมโนมยิธิ มีวิทยากรข้างนอกมาสอน ----คาบแรกก็ลองเลย มีการถวายดอกไม้ธูป เทียนต่อหน้าพระพุธรูปแล้วก็สวดมนต์ แล้วก็ นั่งสมาธิ (ปกติไม่ชอบนั่งสมาธิมากเพราะ ปวดขา ปวดหลัง ชาไปหมด) ครั่งแรกว่าที่เอาจริงเอาจังกับการนั่ง !!!!แปลกครับ รู้สึกว่าหมุดติวๆ ถ้าไม่ลืมตามีอ้วกแน่นอน เลยงงว่าทำไมเป็นแบบ นี้เพราะก่อนหน้านี้ ตอนสมัยประถมก็ให้นั่งตอนคาบพระพุธศาสนามาก็ไม่เป็นอะไร ทีแบบนี้หมุนก็งง และก็เริ่มอยากลอง ดูตามประสาวัยรุ่นครับ ทั้งห้องผมคนเดียวครับที่ไปเข้าชมรมสมาธิ
     
  3. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    คุณธรรมบริสุทธิ์ย่อมคุ้มครองจิตที่มีคุณธรรมบริสุทธิ์(คุณกองกอย)

    อยู่ที่ศีล สมาธิ คุณธรรมภายในของเรา
    ความศักดิ์สิทธิ์มาจากคุณธรรมภายในระลึกในคุณธรรมของพระบริสุทธิ์คุณ
    พลังงานที่ไม่มีวันดับสูญ ที่หลอมกลมกลืนกับสรรพสิ่ง ไม่อิงโลก มีสภาพเป็นไท
    จะเข้ามาหลอมกลมกลืนในจุด ตำแหน่งที่เราสวดมนต์

    คุณธรรมบริสุทธิ์ย่อมคุ้มครองจิตที่มีคุณธรรมบริสุทธิ์

    อย่าติดตัวหนังสือทิ้งความลังเลสงสัย
    จงเชื่อมั่นนะครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  4. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เงาแห่งมายาลวงหลอกจิต

    เมื่อคืนนั่งไล่ดู เข้าไปดูเพราะไม่เข้าใจอยู่3รอบ

    อ้องไม่เข้าใจ...

    ก็ต้องพิสูจน์...

    กายฝันนั้นเวลามันเข้าไปอีกมิติหนึ่ง ทุกครั้ง เราจะทำให้มันสว่างก่อน เหมือนที่ทึมๆไม่ชัดก็ทำให้ชัดด้วยสมาธิที่มีกำลัง เมื่อสว่างปรากฏ ก็เหมือนแสงที่ขับไล่ความมืดออกไป ภาพเริ่มปรากฎ ก็ทำให้ชัดด้วยการพิจารณาในสิ่งที่ปรากฏ

    ทำให้รวมกัน จิตมันละเอียดเข้าไปภพไหน เสมอภพไหน มันก็เหมือนไหลลื่น
    วูบเข้าไปในจุด ตำแหน่งของภพตามความละเอียดของจิต ตามกำลังของจิต

    อ้องตื่นในฝัน...
    ทุกวันนี้เพราะฝึกสติ อบรมสติ จึงเห็นคิดตนในฝัน แต่ตื่นในฝันมันไม่ใช่คิด
    แต่ตัวตนมันผุดขึ้นด้วยกำลังของสมาธิที่เอาจิตไปเสมอภพนั้นๆ

    และเพราะทำได้บ่อย เมื่อเข้าไปได้แล้ว มันจะตื่นแบบเต็มตัว ไม่วุ่นวาย
    ไม่ตื่นเต้น ไม่เพ่งจ้อง ไม่เกร็ง จนทำให้สมาธิหด เพราะความที่อยากจะรู้อยากจะเห็น

    วันนี้อ้องจะพิสูจน์ธาตุ...
    มหาภูตรูป๔บนโลกที่จับต้องได้ ทำไม ที่นี่ก็มี

    มิติภพที่มีมหาภูตรูป๔ มีที่เดียวคือโลกมนุษย์ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    แต่มิติของภพที่ละเอียดขึ้นไปของโลก ทำไมจึงปรากฏธาตุ มีภูเขา มีทะเล แม่น้ำ มีดินที่พื้น มีสายลม มีความอบอุ่น มีรัศมี มีความสว่าง แต่ไม่มีดวงดาว
    ไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์

    ทำไมมิติที่ซ้อนเหลื่อมกับโลกจึงมองไม่เห็นพระอาทิตย์ ดวงดาว โลก ดวงจันทร์

    มิติซ้อนเหลื่อมแต่ละมิติก็มองไม่เห็นกัน คนละวง คนละมิติ

    สายลมเย็นที่มากระทบในขณะที่อ้องทำตัวสบายๆ เดินดูกายของตนเอง และเดินจงกรมต่อในอีกมิติหนึ่ง เพื่อให้กำลังมันมีสะสมมากขึ้น เพราะช่วงที่ผ่านเข้ามาต้องใช้กำลังไปพอสมควร

    อ้องไม่ใส่ใจในภพที่จิตเข้าไปชั่วคราว ทำตัวเดินเล่นสบายๆ แบบรู้สึกตัวในอิริยาบทที่ทำอยู่ในมิติโลก เมื่อจิตรวมมากขึ้น มันจะรู้เองอยู่ภายใน เหมือนคนมีเรี่ยวแรงสะสม

    อ้องปล่อยกายและใจให้เสรี ไม่อยากนำ เหมือนไม่ใส่ใจในอารมณ์อีกมิตที่ปรากฏ มันเข้าไปเองก็เรื่องของมัน มันละเอียดก็รู้ มันสบายก็ร้ แต่มันไม่ยอมตื่น

    อ้องหลับตาลงแต่การหลับตาก็เหมือนไม่ได้หลับ เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ได้หายไปด้วย มันเกิดขึ้นเพราะอำนาจของใจล้วนๆ

    ใจกำลังเข้าไปรับรู้อีกมิตหนึ่งตรงหน้า จนกว่า มันจะหมดกำลัง...

    รัศมีอ่อนๆสีสรรนุ่มนวลตามท้องหญ้า สายน้ำไหล เสียงเบาๆนุ่มนวลของสายลม
    ไม่ปรากฏเสียงสัตว์แมลง ไม่ปรากฏเสียงคน จึงทำให้เหมือนเราเดินอยู่ในสถานที่ๆ สงบ มีอากาศที่สบายด้วยผัสสะที่กระทบรับรู้ไปถึงจิตถึงใจ

    สิ่งที่ช่วงหลายวันนี้สงสัยมาคือเรื่องธาตุ๔ จะแตกต่างจากโลกอย่างไร

    อ้องนั่งลงกับพื้นหญ้าที่เดินอยู่ การเดินมันไม่เหมือนเดิน เหมือนลอยมากกว่า
    ตัวก็เบาอย่างกับนุ่น พร้อมที่จะไปไหนก็ได้แค่การกำหนด แต่ตอนนี้อ้องอยากรู้เรื่องดินมากกว่า ว่าดินบนโลกกับดินในอีกภพมิติหนึ่งต่างกันอย่างไร

    อ้องนั่งลงและเอามือทั้งสองข้างกำดินขึ้นมา ดินที่อ่อนนุ่ม รับรู้ด้วยผัสสะแทบจะเหมือนทรายแต่พอปล่อยดินลง ไม่ปรากฏฝุ่นดินติดมือและกินกลับไหลเหมือนสายน้ำเข้าไปรวมในจุดตำแหน่งเดิม

    อ้องรู้สึกมันเหมือนดิน ในมิตภพนี้ไม่ต่างกับมายา
    ความสงสัยเกิดขึ้นมา โลกที่ว่างเปล่าแต่สิ่งที่รู้ที่สำผัสได้ มันเกิดจากอะไร

    อ้องเดินไปที่ลำธารที่เล็กๆตรงหน้า หาดทรายเล็กๆอ้องนั่งลงหยิบทรายออกมาโปรย ทรายที่นุ่มมือ แต่มีความละเอียดเหมือนกับนุ่น มีแสงระยิบระยับดั่งกับดวงดาว แต่ปราศจากฝุ่นทรายและไม่ติดมือ

    ถ้าถามอ้องตอนนี้ว่าความรู้สึกมันเป็นอย่างไร อ้องว่า ต่างจากโลกมนุษย์ตรงที่ว่า ทุกอย่างมันเหมือนเงามายาที่เกิดมาจากอำนาจของใจ อำนาจของบุญล้วนๆ

    อ้องเดินไปที่ลำธารเห็นสายน้ำที่ไหลช้าๆ อ้องเอามือช้อนน้ำขึ้นมาดู
    ปกติน้ำบนโลกจะมีความเย็น มีน้ำหนักและติดมือ

    แต่น้ำที่นี่ เหมือนเบาอย่างกับเงา ระยิบระยับส่องประกายกับรัศมีที่สว่างไสว
    น้ำหนักก็ไม่ปรากฏ อธิบายได้ยาก น้ำไม่ติดมือแต่เหมือนเงาน้ำซะมากกว่า
    เหมือนก้อนน้ำเป็นรูปที่นักบินอวกาศทำลอยให้ดูในยาน

    ทุกอย่างสัมผัสรับรู้ด้วยใจทั้งสิ้น ผุดมาจากใจ

    โอ้... นี่อ้องกำลังไล่จับเงาบุญ เงาบาป ไล่กินเงาตนเองหรือนี่

    คำว่าวิปลาส มันมีทุกภพภูมิ จิตที่ไปคิดว่าสุข จิตที่ไปคิดว่าทุกข์
    จิตที่ไปเสวยบาป เสวยบุญ นี่มันคือเงาแห่งมายาหลอกลวงจิตทั้งสิ้น

    เทพที่อยู่บนสวรรค์ ถ้ามีปัญญาเห็นสุขไม่เที่ยงก็หลุดพ้นได้ก็ตรงนี้ซินะ
    สุขที่ละเอียด เกิดมาจากบุญที่สะสมมา ปิติ สุขที่ละเอียด มาจากใจ สัมผัสด้วยใจ

    แต่อ้องสัมผัสแล้ว... มันคือเงามายา เงาแห่งอวิชชา อ้องจะทำลายมัน...
     
  5. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    อนุโมทนาครับ ผมเองก็ทิ้งใจมานาน ไม่เคยสนใจจนไม่รู้ว่ามีใจอยู่ ตอนนี้พอเริ่มกลับมา

    สนใจ มันก็ยากหน่อยครับ ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร เสียดายตอนเด็ก ๆ ครับ

    ผมเองก็ยังจำความรู้สึกนั้นได้ เวลาอ่านหนังสือสอบเปิดเพลงดัง ๆ ยังไม่ได้ยินเสียงเลย

    เพราะผมจดจ่อกับตัวหนังสือ แม้กระทั้งเวลาสอบเวลานึกถึงหนังสือที่อ่านก็นึกถึงตัวอักษร

    ได้ชัดเจน ในความโชคดีของผมก็เพราะเกิดทันยุคสอบด้วยข้อเขียน ทำให้เวลาอ่านหนัง

    สือต้องจำได้ทุกตัวอักษรครับ ฉะนั้นเวลาระลึกถึงก็จะเห็นตัวอักษรวิ่งในใจเลย

    พอคุณอ้องแนะนำเรื่องการสวดมนต์ก็ทำให้นึกถึงอดีต

    แต่ด้วย สุรา ตัวเดียวทำให้สิ่งที่เคยได้มาแต่ตอนเด็กนั้นได้เสื่อมไปเกือบหมดครับ

    ทุกวันนี้ผมยังเสียดายความรู้สึกในตอนเด็ก ๆ ที่เวลาผมสวดมนต์ครับความรู้สึกมันต่างกัน

    จริง ๆ แรงศรัทธาต่างกันอย่างลิบลับ ทุกวันนี้ผมยังจำได้ถึงความศรัทธาพระพุทธศาสนา

    สมัยเด็กเวลาพระสงฆ์เดินผ่าน ผมจะต้องหยุดและนั่งลงและกราบลงพื้นดินครับ ทั้งที่ดินนั้น

    เป็นหินล้วน ๆ ครับ แล้วทุกวันนี้แหละเวลาเห็นพระสงฆ์ ความรู้สึกเป็นไงนะเหรอ

    ก็จิตเลวล้วน ๆ ครับ เพราะคิดแต่จับผิดอยู่นั่นแหละ พระสงฆ์จริงไม่จริง พระสงฆ์สำรวม

    หรือไม่สำรวม ดูคนจิตเลวครับ ทั้งที่รู้ว่าคิดแบบนี้มันไม่ดีแต่ก็อดไม่ได้

    ไม่รู้ว่ามันสายไปแล้วหรือยัง ........เสียดายจริง ๆ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมครูบาอาจารย์

    ถึงได้แนะนำให้เรานึกถึงความตายทุกลมหายใจ เพราะไม่ใช่กลัวตาย แต่กลัวทำดีไม่พอ

    ขออนุโมทนา คุณอ้อง อีกรอบครับ
     
  6. kcsn

    kcsn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +111
    สวัสดีค่ะคุณอ้องและเพื่อนกัลยานิมิตรทุกคนในนี้ ดิฉันนำเอาบุญมาฝากทุกๆคนค่ะ คือตอนนี้ได้มีพระภิกษุสงฆ์ 3 รูปเดินทางมาจากเมืองไทย มีท่านเจ้าอาวาสวัดป่าห้วยลาด จ.เลย พระอาจารย์อุทัย ฌานุตตโม มาเผยแพร่พุทธศาสนาและเยี่ยมเยียนคนไทยที่อยู่ที่อังกฤษ ดิฉันและเพือนๆพี่ๆกัลยานิมิตรได้ไปกราบท่าน และนำอาหารคาวหวานถวายท่าน ท่านฉันท์มื้อเดียวค่ะ และก็ได้มีโอกาสสนทนาธรรม และท่านได้กรุณาสอนการนั่งสมาธิด้วยค่ะ พวกเราชาวไทยที่อยู่ไกลบ้าน ไกลแผ่นดินไทย ไกลวัดไทย รู้สึกทราบซึ้งและปลื้มปิติมากค่ะ
     
  7. nina kk

    nina kk สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +9
    ;k04 สวัสดีค่ะคุณอ้อง พี่นีน่าตามมาอ่านถึงเว็บนี้อีกแล้ว
    ( เว็บลานธรรมลาป่วยยาวมากเลย) :(

    อ่านมาได้พักหนึ่งแล้้วค่ะหลังจากลานธรรมปิดซ่อมไป2-3วันก็เลยลองสุ่มดูจากกูเกิ้ล

    เพราะเดาว่าคุณอ้อง น่าจะต้องมีความเคลื่อนไหวที่ไหนสักแห่งแล้วก็เจอเข้าที่นี่จริงๆ

    สังเกต user name พี่นีน่าค่ะ ว่าต้องเติมสร้อยไว้ เพราะชื่อซ้ำค่ะทั้งไทย+อังกฤษ

    ดีใจค่ะ ที่ได้อ่านประสบการณ์และการอธิบายธรรมต่อจากเรื่องเดิม และยังเกริ่นที่อาจจะพิมพ์รอบใหม่

    รวมเนื้อหาใหม่ด้วยคงหนาและหนักน่าดู(แต่ไม่ค่อยน่าถือ?เพราะหนักน่ะน้า)

    จะพิมพ์เมื่อไหร่อย่าลืมบอกบุญ ขอสมทบค่าพิมพ์เล็กๆน้อยๆ นะคะ แล้วถ้าแยกพิมพ์เป็น

    ภาคผนวกหรือภาค ฉันตื่นอยู่ในฝัน...อีกเล่ม จะไม่ดีกว่าหรือคะ แล้วแถม

    ท้ายเล่มก็เป็นถาม-ตอบที่น่าจะเป็นประโยชน์ที่รวบรวมมาจากผู้อ่านในกระทู้นี้

    เพราะถ้าหนามากการเข้าเล่มน่าจะลำบาก และอาจหลุดลุ่ยได้ง่ายในภายหลังนะคะ

    วันนี้ เข้ามาขออณุูญาตด้วยค่ะ ว่าได้เอาบางส่วนไปแปะไว้ที่บุดเพจอีกแล้วค่ะ

    ถือวิสาสะทำก่อน บอกทีหลังค่ะ ถือว่าเป็นเรื่องดีๆที่ควรเผยแพร่ค่ะ

    คุณแม่คงแข็งแรงดีนะคะ เพราะจำได้ว่าเตี่ยคุณอ้องบอกไว้ในฝันหนึ่งของคุณอ้อง

    ว่าคุณแม่จะอายุยืนมาก (พี่นีน่าอยู่ใกล้กับที่คุณแม่คุณอ้องไปรักษามากค่ะ)

    มาที่นี่ก็มีผู้ติดตามมากทีเดียวนะคะ กระทู้เริ่มยาวมากๆเหมือนที่เดิมเลย น่าชื่นชมใน

    ความเมตตาที่ทั้งแบ่งปันประสบการณ์และช่วยชี้แนะ ในทางที่ไม่หลงผิด เสียเวลา

    เสียโอกาสในชาติภพนี้เปล่าๆ

    ขออนุโมทนาค่ะ [​IMG]
     
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อนุโมทนาครับพี่นีน่า

    คุณหมออยู่โรงพยาบาลอะไรครับ
    อ้องจะได้เลี่ยงๆ... แหะๆ(ล้อเล่นครับพี่นีน่า)คิดถึงเสมอเลยครับ
    และอนุาติเสมอ เพราะพระธรรมและข้อเขียนของอ้อง
    ถ้าช่วยเหลือเพื่อนๆได้ ก็ยินดี อนุโมทนนาในกุศลร่วมกันครับ

    เรื่องหนังสือ สงสัยอาจจะต้องทำที่พี่นีน่าบอกนะครับ
    แยกเป็นหมวดหมู่เอา
    มีน้องๆจะขอเป็นเจ้าภาพใหญ่จัดทำกัน

    พอดีเว็บลานธรรมล่มไปก่อน

    แต่คุณกอบบอกว่าอีกสองวันน่าจะโอเคละครับ

    อย่างไรถ้ามีการจัดทำหนังสือ อ้องจะแจ้งให้พี่นีน่าทราบอีกทีครับ
    ขออนุโมทนาและคิดถึงเสมอครับ

    อ้องครับ
     
  9. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    คุณaimaing

    สัญญาไม่เที่ยงและความแข็งทื่อของจิตครับ
    บางครั้ง การที่ไม่รู้ชัด เป็นเพราะสติ สมาธิมีกำลังอ่อน
    บางครั้งการที่จะสวดมนต์และนึกไม่ออก อย่าไปบังคับ อย่าไปอยากรู้

    ปล่อยกายและใจไปสบายๆ เรียกสติกลับมา ความแข็งทื่อ ซึมๆจะหายไป
    จิตที่แข็งทื่อ ซึมๆเซื่องๆ บางทีคิดอะไรไม่ค่อยออกครับ

    ยิ่งอยากจะยิ่งเครียด แข็งๆ ทื่อๆ เป็นธรรมชาติของจิต จดจำเอาไว้เพื่อเตือนตน
    ในสภาวะธรรมที่ปรากฏ จิตที่เข้าไปจมแช่อารมณ์ชนิดนี้ทำให้จิตหมดคุณภาพ
    แต่ถ้ามีสติรู้ว่าเผลอ หลงไปจมแช่กับอารมณ์

    ความว่องไว นิ่มนวลจะกลับมาเพราะสติที่ตื่นจะมีสภาพ อ่อนโยน ว่องไว

    อ้องก็เป็นครับ คิดอะไรไม่ออก แต่พอเห็นสภาวะธรรมชนิดนี้ปรากฏ จิตมันจดจำได้เพราะชิน
    สติจะตื่นตรงอารมณ์ที่จิตเข้าไปกระทบกับอารมณ์
    ความแข็งทื่อจะหายไปเอง

    เป็นเรื่องธรรมดาของจิตที่ไหลไปหาเหตุที่ซึมๆ เซื่องๆ แล้วแต่บางวันครับ
    บังคับมันไม่ได้หรอก บางวันไหลลื่น บางวันแข็งทื่อ

    เป็นเหมือนกันครับแหะๆ...
     
  10. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    สายน้ำไหลที่อ่อนโยน(บุญ) สายน้ำเชี่ี่ยวที่บ้าคลั่ง(บาป)

    เมื่อจิตเราสะสมพลังงานของกุศลมากเท่าไหร่ ก็เหมือนสายน้ำไหล
    ที่อ่อนโยน นุ่นนวล เบาสบาย

    เวลาที่เราผุดด้วยบุญ เราเลี่ยงไม่ได้
    เราต้องรับบุญ... ยิ่งสำสมบุญละเอียด สายน้ำยิ่งละเอียด ยิ่งอ่อนโยน

    เช่นกัน จิตที่สะสมอกุศล ยิ่งสะสมพลังงานอกุศลมากเท่าไหร่ ก็เหมือนสายน้ำเชี่ยว
    ยิ่งสะสมมาก สายน้ำยิ่งรุนแรง ยิ่งสะสมจิตหยาบมาก
    สายน้ำก็ยิ่งบ้าคลั่งถาโถมใส่....

    บุญ บาป ก็คือเงามายาของจิตที่จิตไปสะสมภพเอาไว้ ตื่นไม่เป็น ต้องรับผลแห่งวิบากดี เลว จนกว่าจะหมดเชื้อ จึงหมดภพแล้วหมุนวนไปภพอื่นอีกต่อไป

    สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นสำหรับอ้องเมื่อคืนคือ ภพทุกที่ต่างก็มี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส

    การที่อ้องอบรมสติจึงเห็นจิตมันไหลแวบไปเหมือนเงาของรูปนามที่ปรากฏ ทั้งดีและเลว มาๆไปๆตามที่หลวงพ่อบอกไม่ผิด

    จิตไหลไปหาเหตุ กายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ด้วยจิต จิตก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้อีกจิตดวงหนึ่ง(รู้ซ้อนรู้)

    ความที่อ้องหมั่นสำรวมระวังจึงทำให้อ้องเริ่มควบคุมอารมณ์ ควบคุมจิตตนเองได้มากขึ้น เริ่มจับจิตและกริยาจิตตนเอง ตรงจุด ตำแหน่งที่รู้ชัด

    ในขณะที่อ้องยืนอยู่ในอีกมิติหนึ่ง อ้องพิจารณาธรรมในธรรม จนสังเวชใจตนเอง หลงเงา ไล่กินเงา หิวแม้แต่เงาที่จับต้องไม่ได้ ยึดในสิ่งที่ลวงหลอก

    อ้องถามใจตนว่ากายละเอียดนี้ใช่กายอ้องหรือ เมื่อพิจารณาไม่ส่งจิตอออกนอก
    พิจารณาในอิริยาบท มันเห็นว่ากายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ จิตก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ รู้อะไร

    รู้รูปนามล้วนๆ...และเป็นรูปนามที่อ้องไปยึดมันซะด้วยว่าเป็นกายและจิตตนเองมาอย่างช้านานมากมาย

    อ้องจะหนีสิ่งหลอกลวง มายา เงาที่อ้องไปยึดได้อย่างไร...

    อ้องอดนึกไปถึงคำสอนของ...
    หลวงปู่เทสก์ว่า

    จิตเมื่อรวมกลายเป็นใจ ให้ขัดเกลากิเลสตรงนั้น รู้และวางตรงนั้น อบรมสติตรงใจที่เที่ยงธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา
    ย่อมทำให้อินทรีย์สมบูรณ์เพราะมีสติบริบูรณ์

    พระพุทธองค์สอนว่ามีแต่สติปัฎฐานทั้ง๔จึงทำลายวิปลาสได้ด้วยวิชชา
    ขับไล่ความมืดบอดออกไปจากใจที่ไปยึดโลกเพราะเหตุจากไม่รู้ความจริง

    อ้องทบทวนธรรมของครูอาจารย์อดที่จะเกิดปิติที่ใจไม่ได้ จิตเริ่มกระเพื่อมสั่นไหว เข้าไปยึดอารมณ์ปิติ คำสอนของหลวงปู่เทสก์แวบเข้ามาในสัญญาว่า

    ขัดเกลาตรงใจ...

    ไม่ว่าดีหรือเลว วางอารมณ์มันลงด้วยไม่หวั่นไหว ไม่คล้อยตาม จึงจะหยุดการกระเพื่อม หยุดปฏิกริยาของจิตเสียได้ มาอยู่แค่จิตหนึ่ง ธรรมหนึ่ง ไม่ต้องนับสอง...จิตหด

    ในขณะที่ยืนพิจารณาธรรมในธรรม แม้แต่ในมิติหนึ่งก็เข้าใจว่า
    เทพสามารถจะเจริญสติได้อย่างไร เพราะอ้องก็กำลังกระทำอยู่

    แต่พออ้องเผลอสติแค่นั้น...
    ใจมันจะฟูผ่อง มีปิติ สุข ไม่เห็นทุกข์กายและทุกข์ที่จิตปรากฏ นี่เป็นจิตเสวยบุญ
    เมื่อขาดสติ สายน้ำแห่งกิเลสย่อมพัดเข้าหา ไม่ว่าสายน้ำแห่งบุญและบาป
    ย่อมไหลเข้าหาใจที่ยังยึดติดเงาตลอดเวลา...

    ดินในมิติภพหนึ่ง...

    ดินไม่ใช่ดินเหมือนบนโลก แต่เป็นเพราะใจมีสมมุติ มีสัญญาและไปสร้างมันด้วยอำนาจของบุญ
    อ้องพิจารณาเหมือนเงาดินที่ออกมาจากใจล้วนๆมากกว่า
    ดินที่เกิดมาจากใจในรูปสมมุติ ปรากฏด้วยเพราะอำนาจแห่งบุญ
    และไม่ใช่อำนาจของอ้องเพียงคนเดียว แต่เป็นของจิตร่วมจึงเกิดอำนาจมาก

    มิติที่เคยว่างเปล่า...
    แต่ปรากฏ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็เพราะมิตินั้น มีจิตที่เป็นผู้รู้ คิด นึก ปรุงแต่ง ไปสร้างมันขึ้นมาเพราะไปยึดสัญญาเดิม
    จากโลกที่มีมหาภูตรูป๔...

    สายลมอ่อนๆที่พัดถูกผิวกาย อ้องพิจารณาดูลมที่ถูกกายละเอียด
    มันไม่ใช่ลมแบบบนโลกเลย...
    โลกมีลมเพราะสภาพอากาศที่ถ่ายเทเข้าหากันเพราะสภาพความร้อนและเย็น

    แต่มิติแห่งความละเอียด ไม่มีอากาศ ไม่มีอ๊อกซิเจน กายละเอียดไม่มีความต้องการอากาศ ไม่ต้องสูดลมหายใจ แล้วลมมันมาจากไหน

    มันมาจากใจด้วยอำนาจของบุญล้วนๆ ไหลเป็นสายน้ำที่อ่อนโยนที่พัดถูกผิวกาย
    ลมที่อ้องจะให้มีปรากฏก็ไ้ด้ ไม่มีก็ได้ เพราะมันเกิดมาจากใจอ้องเองล้วนๆ

    แม้กระทั่งกลิ่นความหอมของกายที่เกิดมาจากอำนาจของศีล
    ความหอมที่สดใส ชื่นใจ หอมแบบสดชื่นเบิกบาน อ้องจะให้มันปรากฎหรือหายไปก็ได้

    แม้แต่รัศมีแห่งกายจะทำให้กระจายระยิบด้วยกำลังสมาธิก็ได้
    จะหดจะควบคุม
    ให้มีให้เป็นจะเปล่งออก นี่ก็เกิดมาจากอำนาจใจที่สะสมพลังบุญล้วนๆ

    เมื่อคืนอ้องเข้าไปสามรอบ รอบสุดท้ายอ้องแผ่เมตตาและนึกในกุศลที่เคยถวายอาหารให้แก่พระภิกษุจำนวนมากที่ทำมาและอุทิศให้แก่คนทั่วไป

    และมานอนสบายๆต่อเกือบๆจะเช้า อ้องเห็นสิ่งที่มาเยือน...

    คนแก่ที่ยิ้มอย่างอบอุ่น คนสูงอายุ เดินถือชามก๊วยเตี๋ยวกันยาวเหยียดหลายร้อยคนในบ้าน มีคนต้อนรับและคอยจัดอาหารให้เป็นอย่างดี

    เมตตานี่ช่างอบอุ่น ช่างหอมหวน อ้องมีความรู้สึกว่า พรหมวิหารธรรมเป็นสิ่งที่ชื่นใจเมื่อเราสัมผัสในสิ่งที่ชิ่นใจของวิญญาณที่เรารักและเค้าก็เอ็นดู ยิ้มแย้มให้แบบอบอุ่นใจซึ้งกันและกัน อ้องรู้สึกถึงความอบอุ่น ความยินดี

    ถึงแม้ความฝันก็คือความคิดปรุงแต่งของจิต แต่อ้องฝันในขณะมีสติว่ากำลังฝันและเห็นสิ่งที่มาเยือนในบ้านตนเอง อ้องอดยิ้มและมีความสุขไม่ได้ว่า

    จะทำหน้าที่ต่อไปและเร่งอบรมสติปัญญาของตนเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของมหาชนที่ไม่จำเพาะเจาะจงใครแต่อย่างใด...

    ทำดีให้ถึงพร้อม ไม่ทำชั่วทั้งปวง รักษาจิตที่แจ่มใสด้วยความเพียรชอบ...

    ขอเพื่อนๆอย่าประมาทในชีิวิตมาอบรมสติอบรมที่กายและใจที่เป็นที่ตั้งของทุกข์ เมื่อรู้ทุกข์ก็ละเหตุแห่งทุกข์ได้

    ขออนุโมทนาในกุศล ผิดพลาดขออภัยเป็นแค่ฝันหนึ่งตื่นก็เพียงนั้น...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2009
  11. kcsn

    kcsn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +111
    สวัสดีค่ะคุณอ้องและเพื่อนๆกัลยานิมิตรในนี้ทุกคน หลังจากที่ดิฉันได้มีโอกาสถวายอาหารคาวหวานแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาประเทศอังกฤษ ท่านพระอาจารย์ได้เมตตาสอนนั่งสมาธิ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับของหลวงปู่เทสก์ และตรงกับที่คุณอ้องเอามาเขียนลงที่ว่า...จิตเมื่อรวมกลายเป็นใจ ให้ขัดเกลากิเลสตรงนั้น รู้และวางตรงนั้น อบรมสติตรงใจที่เที่ยงธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมทำให้อินทรีย์สมบูรณ์เพราะมีสติบริบูรณ์ คำสอนนี้ลึกซึ้งและเข้าใจได้ง่ายอย่างแจ่มชัดเลยทีเดียวค่ะ...

    ดิฉันถูกใจประโยคนี้มากๆเลยค่ะ


    ทำดีให้ถึงพร้อม ไม่ทำชั่วทั้งปวง รักษาจิตที่แจ่มใสด้วยความเพียรชอบ...

    จะจดจำและบันทึกไว้ในใจ เพื่อไม่ให้หลง และ เผลอทำ เผลอคิดในสิ่งที่ไม่ดีทั้งปวง
    เพื่อมีจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ สำรวม ระวัง และรักษา ให้ถึงพร้อมในศีล 5 ตลอดไปค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญค่ะ :)
     
  12. aimaing

    aimaing สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +18
    ขอขอบคุณคุณชัชวาล มากค่ะ
     
  13. ck2548

    ck2548 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +37
    อยากรู้

    จากข้อมูลข้างต้น อยากให้อธิบายจุดแรกของพลังงานว่ามาจากไหน เพราะจากพลังงานก็จะเปลี่ยนเป็นมวลอันนี้อธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์
     
  14. ขันติธรรม

    ขันติธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +372
    อนุโมทนา สาธุ

    ได้อ่านและศึกษาธรรมทานในกระทู้ของคุณชัชวาลฯ แล้ว ทะยอยอ่าน ละเอียดดีนะ ได้ความรู้ทางธรรมะมากขึ้นและเข้าใจว่าที่ตัวเองปฏิบัติอยู่ถูกทางแล้ว คือเพื่อความพ้นทุกข์

    --------------------------------------------------------------------------------

    เรื่องเจ้าที่เจ้าทางข้าพเจ้าเคยได้สัมผัสหลายปีแล้วไม่แน่ใจ มาแน่ใจที่ได้อ่านของคุณ คือ ไม่ทราบว่าฝันหรืออะไร อยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ไปเห็นเทวดาที่บ้านเกิดในต่างจังหวัด ซึ่งอยู่นอกรั้วบ้าน ท่านที่อยู่ใกล้รั้วบ้านแต่งกายเป็นชุดเทพสวยงามสีผิวท่านจะไปทางสีดำ ห่างรั้วไปอีกหน่อยมีคลองชลประทานเล็ก ๆ ผ่าน มีเทพในชุดสีขาวสวยงามสีผิวท่านไปทางสีขาว ความจริงท่านแต่งองค์ด้วยเครื่องประดับสวยงามมากอธิบายไม่ได้หมด ท่านโผล่มาจากดินและเป็นทางที่คนและรถเข้าออก ถามท่าน(เหมือนจิตถาม) และท่านตอบว่าไม่เป็นไรท่านอยู่ของท่านตรงนี้ประจำ(เพราะกลัวผู้ที่เหยียบหัวท่านจะบาปกรรม) จึงเดา
    ว่าตรงรั้วคงเทพแห่งดิน ตรงท่อน้ำคงเป็นเทพแห่งน้ำ พอตื่นก็งงตัวเองจริงหรือฝัน เล่าให้ญาติ ๆ หรือคนอื่น ๆ ให้เขารับรู้ไว้ เชื่อหรือไม่ก็ตาม ตัวเองปีหนึ่งจะไปเที่ยวสักครั้ง
     
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    คุณck2548

    ถ้าถามอ้องว่า ปฐมพลังงานมาจากไหน แหะๆ ... เดี๊ยงสนิทครับ
    เพราะเป็นทฎษฏีล้วนๆ... ที่มีโอกาสที่จะหักล้างกันได้ตลอดเวลาในทางวิทยาศาสตร์

    ถ้าถามสิ่งใกล้ตัว นักวิทยาศาสตร์มีคำตอบพอที่จะค้นมาให้ทราบพอเป็นทฏษฎีได้นิดหน่อยครับ


    พลังงาน สสาร ช่องว่างระหว่างสสาร ฝุ่น ก๊าซ ความชื้น ความร้อน อื่นๆโดย
    รวมทั้งหมด ที่ทราบก็ดี ไม่ทราบก็ดี ก็คือ เมตากาแล็กซี่ หมายถึงจักรวาลทั้งหมด
    ประกอบร่วมกันเป็นจักรวาล

    สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จะเชื่อดีหรือไม่ดีก็คือ ตกลงมีจักรวาลเราที่เดียวหรือยังมีจักรวาลอีกมายมายภายนอกที่เรายังไม่สามารถส่องกล้องไปถึง

    สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นคว้าก็คือทฎษฏีที่มีโอกาสที่จะมาหักล้างกันอยูเสมอ
    เมื่อค้นพบสิ่งที่ใหม่และมีโอกาสเป็นไปได้ เช่นการเกิดบิกแบ๊งค์ การหดตัวของ
    จักรวาล บิ๊๊กครั๊น มิติที่หมายถึง กว้าง ยาว สูง x y z และ t ที่หมายถึงเวลา
    ทั้ง4อย่างรวมเป็นมิติที่4 สิ่งเหล่านี้ก็เป็นทฏษฎี เอาแน่เอานอนยังไม่ได้

    สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ไม่เข้าใจคือ สรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็ฯธาตุต่างๆบนโลก
    แม้แต่ร่างกายมนุษย์ที่เป็นธาตุรู้อารมณ์ ต่่างก็มีอนุภาคหลักที่เหมือนกัน
    คือโปรตอน อิเลคตรอน นิวตรอน ไม่ว่าจะเป็นก้อนกรวด ดิน หิน ทราย
    แร่ธาตุหลายร้อยชนิดและร่างกายของมนุษย์ ต่างมีอนุภาคหลักเหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์จัดเอาเป็นธาตุไม่มีชีวิตกับธาตุที่มีชีวิต

    ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติเริ่มมาจากธาตุไม่มีชีวิตแต่มันมีปฏิกริยาของธาตุที่
    เกิดการกระทบกันและกัน ธาตุบางชนิดชอบกันและกัน บางชนิดก็ไม่ชอบ
    บางชนิกก็เป็นกลาง

    ธาตุเริ่มมีปฏิกริยากันและกันและก่อตัวจับกลุ่มมีความละเอียดซับซ้อนมากขึ้น
    ก็ล้วนเริ่มมาจาก ปฏิกริยาของธาตุ จากไม่มีชีวิตก็กลายมาเป็นธาตุเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิต

    อะตอมของธาตุที่เริ่มจับตัวกันและกัน พัฒนามาเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่จนเป็นสารตั้งต้นของสิ่งมีชีวิตคือกรดอะมิโนซึ่งเป็นกรดพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
    บนโลกใบนี้

    นักวิทยาศาสตร์จึงวางกฏเอาว่า สิ่งมีชีวิตมาจากสิ่งไม่มีชีวิต ธาตุรู้มาจากธาตุที่
    เกิดปฏิกริยากันและกัน

    สิ่งนี้พระพุทธองค์ืตรัสสอนในเชิงธรรมชาติในฝ่ายอภิธรรม
    ปรมาณูในพระอภิธรรม
    ทุกปรมาณูประกอบด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชะ อวินิพโภครูป
    ทุกปรมาณู ไม่ติดกัน ถูกกั้นด้วยช่องว่าง ปริจเฉทรูป
    ทุกปรมาณูไม่อยู่นิ่ง ย่อมเคลื่อนที่ด้วยอำนาจแห่งอุณเหเตโช
    รูปที่เป็นปรมาณูทั้งหมดมี28 มีสุขุมรูป16 และสุขุมรูปยังมีละเอียดมากเข้าไป
    ไม่อาจสัมผัส ชั่งวัด ตวงได้

    สิ่งที่อ้องเขียนก็เป็นพื้นฐานในเชิงวิทยาศาสตร์อิงอาศัยพุทธศาสตร์มาประยุกต์ร่วมและอาศัยการศึกษาของครูอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้าที่ท่านกล่าวถึงธรรมชาติ

    ศาสนาของเราสอนเรื่องธรรมชาติ เข้าถึงธรรมชาติ รู้มาที่ความจริงของธรรมชาติที่กายและใจ เพราะเป็นต้นเหตุของพลังงานที่ออกมาจากใจ

    ถ้าถามอ้องว่าปฐมพลังงานมาจากไหน ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ยากจะตอบได้ เพราะท้ายที่สุดก็ต้องมีการถกเถียงไม่สิ้นสุด ต่างก็มาหักล้างความคิด ความเชื่อ
    เหตุผลที่แตกต่างกันออกไป

    แต่ถ้าถามอ้องว่าปฐมเหตุแห่งพลังงานเริ่มจากที่ไหน
    มันเริ่มอยู่ที่ใจอ้องเองและใจท่านเอง ผลักดันออกมาเอง พลังงานที่ไปประยุกต์ร่วมเข้ากับโลก นี่เป็นปฐมเหตุจาก
    ใจกลายมาเป็นจิต จากผู้เฉยๆ สบายๆ แต่ไปเกิดปฏิกริยาเข้ากับ

    รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสคือโลก ใจที่ไม่คิดกลายมาเป็นจิต
    ที่เป็นผู้รู้คิดนึกปรุงแต่ง เมื่อประยุกต์ร่วมเข้ากับโลก
    กิเลสจรจึงผลักดันให้สร้างอายตนะ ปรากฏนิหารความจริงแห่งปฏิจสมุปบาท กิเลส กรรม วิบาก ปรากฏ
    เกิดเป็นสัตว์ท่องเที่ยวไปกับพลังงานของโลก

    ใจที่ยังไม่มีปัญญา ใจที่เหมือนเด็กน้อยไม่รู้เรื่องของโลกจึงหลงเข้ามา

    อ้องว่าเรามาทำลายพลังงานที่ยึดติดโลกตรงแรงผลักเข้าหาโลก หิวโลก หิวอารมณ์
    โดยเข้ามารู้ความจริงที่แรงผลัก ตรงใจที่เที่ยงธรรมที่ต้องอาศัย
    กายและจิตที่เป็นต้นเหตุแห่งความจริงที่พลังงานมันผลักดัน

    เราจะทำลายตรงจุด ตำแหน่ง ขอบเขต ห้วงเวลา ขัดเกลามันตรงนั้น รู้ตรงนั้น
    ยอมรับความจริงตรงนั้น
    จนมันรู้ว่ารูปนามล้วนไร้สาระเหลือกำลังที่เราไปยึดเอามากอดชั่วกัลป์ไปทำไม
    ทุกอย่าง จบแค่วางอารมณ์ ง่ายๆแค่นี้เอง

    คุณ ck2548 อ้องจึงไม่ให้ความสำคัญพลังงานภายนอก เท่ากับพลังงานภายใน
    เพราะพลังงานภายในเราสืบค้นได้เสมอเมื่อมีสติบริบูรณ์
    ส่วนภายนอกเราต้องไปหักล้าง ไปถกเถียงไม่มีคำว่าสิ้นสุด

    ขออนุโมทนาคุณck2548ด้วยครับ ผิดพลาดขออภัย
    ด้วยความเคารพอย่างสูงในมิตรสหายทางธรรม ชื่นใจดีแท้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2009
  16. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    สวัสดีครับอาอ้อง มีเรื่องปรึกษา

    .. อาครับมีเรื่องจะเล่าให้อารู้ครับ คือแบบว่าผมทำสมาธิได้ดีอีกขั้นแระครับ ใครรู้ เรารู้เอง คื่อผมรู้สึกว่าสมาธิของผม ผมสามาระพิจารณาถึง รูปและนามครับอา คือผมเรียนรู้เองครับที่จะเล่าให้อารับทราบ ผมไม่ได้ต้องการสรรญเสริญดอกครับ เพียงแต่อยากให้อารู้ว่าที่อาแนะนำแนวทางให้ผมหนะดีมากครับ ผมปลงทุกอย่างเลยครับอา อตีดเหรอ ช่างมัน อนาคตก็ช่างมัน เงินทองก็ช่างมันอีกแหละครับอามันเอาไปไม่ได้จริงๆครับอา...

    ... สมาธิที่ผมว่าก้าวไปอีกขั้นหนะครับ คือ รูปคืออย่างไร นามคืออย่างไร ผมพอจะแยกมันออกแระครับจากจิตเรานี้ ใครรู้ ไม่มีหรอก เรารู้เอง รู้อย่างไร รู้จากการปฏิบัติ

    ... รูปคือ กายเราใช่มั้ยครับอา กายที่หนังหุ้มกระดู เป็นสิ่งไม่เที่ยง อย่าไปยึดมันเลย ผมรู้จากการพิจราณาขณะทำสมาธิครับอา และก็กลับมาสู่สมาธิอีก แล้วก็พิจารณาสิ่งอื่นอีก กลับมาสมาธิอีก พิจารณาอยู่อย่างนี้ครับอา จนทำให้ผมเบื่อร่างกาย มันเป็นสิ่งไม่เที่ยงจริง ผมก็บ้ามาตลอดครับอา บ้ายึดในร่างกายที่มันไม่เที่ยง..

    ..นาม คือ จิตใจเราใช่มั้ยครับอา นามจะละเอียดกว่ากาย กายมันจะทื่อๆ ครับอา ผมไม่รู้ครับว่าจริงรึเปล่าว เพียงแต่ว่ามันรู้สึกอย่างนี้ครับอา จิตละเอียดอย่างไร ยังไม่ได้พิจารณาครับ แต่พอแยกรูปแยกนามได้

    ...ผมขอบพระคุณอาจริงๆครับ ที่แนะนำให้ผมได้พบทางที่ถูกแล้วครับ ทุกวันนี้ผมเปลี่ยนจากท่าสมาธิที่แต่ก่อนทำเป็นท่านอน แต่ตอนนี้มาเปลี่ยนเป็นท่านั่ง รู้สึกว่าท่านั่งจะบรรลุเร็วกว่าเยอะเลยครับอา

    .... อาครับมีเรื่องจะเล่า วันนั้นกลังจากที่ผีมารบกวนแม่ผม ผมกลัวว่าจะเอาวิญญาณแม่ผมไป ก็เลยหมั่นภาวนาสวดมนต์เลยครับอา ทำสมาธิก่อนนอน ทำเพราะไม่ได้หวังได้ดีเพราะล้วนเป็นกิเลส แต่ทำเพราะจิตโน้มนำครับอา ผมเรียนรู้เริ่มเข้าใจแล้วครับอา ทำแล้วสบายใจดี ไม่หวังอะไร และเมื่อวันก่อนผมสวดมนต์ทำสมาธิก่อนนอน พอทำสมาธิเสร็จ ผมเห็นว่าง่วงมากแระ ประมาณสี่ทุ่มกว่าได้มั้ยครับอา ผมเพลียจึงเปิดพัดลมนอน ....กลางดึกสงัดผมหลับแบบมีสติครับ ยังไม่ทันได้ถูกตัวผม ผมลืมตามาดู เห็นเงาดำคลืบคลานมายื่นมือมาหาผม ...เหวอ...หัวใจเต้นตูมตาม...แต่ ไม่ได้ดอก ต้องรวมสติ จึงหลับตาแล้วท่อง นะโมสามจบครับ ...จากนั้นพัดลมดับพรึบเลยครับอา... หัวใจผมแทบหลุดลอย ...แต่ตัดสินใจลืมตาดู.... อะ .. อะ.... แม่เรานี่หว่าลุกมาปิดพัดลมให้ .... - -*

    ....ทำเอาผมนี้เหงื่อแตกพลับๆ เลยครับอา นึกว่าเจ้าผีวันนั้นจะมาหาผมซะอีก ....

    ... อาครับผมถามแม่ผมเรื่องที่แม่เจอผีเงาดำวันนั้น แม่บอกว่าเกิดมาเคยเห็นเป็นครั้งแรกครับ ผมเลยถามว่าเป็นยังไง แม่บอกว่าเป็นเงาดำๆ เหมือนคนแต่ดำมากมองไม่เห็นหน้าเลย แม่บอกว่ารู้สึกมีอะไรมากดที่หน้าอกด้วยครับอา ...

    ... ที่แม่ผมเล่าเหมือนกับที่อาเล่าเลยครับ ที่ว่าเหมือนมีอะไรมากดทับที่อกเพื่อให้ขยับตัวไม่ได้ ... สิ่งต่างๆ ที่อาเล่าผมเนี่ยน่ะ รู้สึกว่าที่อาเล่ามาเป็นเรื่องจริงแท้แน่หละครับอา ...

    ...เข้าเรื่องต่อครับอา ผมอยากรู้ครับว่า เมื่อเรารู้จิตเป็นอย่างไร รูปเป็นอย่างไร และตอนที่ผมทำสมาธิ ผมรู้สึกถึงว่าผมเหมือนจะแยก จิตและกายผมออกเป็นเนืองๆแล้วครับอา เพียงแต่ การจะละจิตออกจากกายนี้ จะทำอย่างไรครับอา ผมอยากให้อาบอกที่ครับผมจะนำไปปฏิบัติให้รู้อย่างแท้ครับอา จักเป็นพระคุณมากเลยน่ะครับอา

    ....สุดท้ายนี้มีเรื่องอยากจะขอคำแนะนำจากอามากๆ ครับ คือผมในตอนนี้น่ะครับ ถ้าวันนั้นไม่ได้แวะมากระทู้นี้ ผมคงเป็นคนโง่อีกนานยึดสิ่งนั้นยึดสิ่งนี้ กลายเป็นคนไม่ละซะที แต่ผมคงมีกรรมครับอาที่ยังต้องอยู่กับความวุ่นวายต่อไปนี้อีก คือผมถ้าหากว่ามีคนถามผม ว่า แกอยากจะปฏิบัติธรรม จริงๆ มั้ย อยากละทางโลกมั้ย .. ผมบอกว่าอยากละมันแล้ว แต่ ว่า ผมมีแม่ที่ต้องดูแล และต้องตังใจเรียนเพื่อดูแลแม่ จนกว่าตัวผมจะไม่มีใครให้ดูแล และผมจะสละทางโลกเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ สัตว์ อสูรกาย ผี เปรต ให้พ้นจากทุกข์ แต่ผมมัปัญญาน้อยนักครับอา เรียกได้ว่าไม่ค่อยมีประสบการณ์..

    ...จึงอยากถามอาครับว่า ผมจะทำอย่างไรทั้งที่ใจผมนี้เบื่อที่จะครอบครองความอยากทะเยอทะยานผมมันหมดแล้ว มันเป็นสิ่งที่เอาไปไม่ได้ดอก ผมจึงเห็นว่าถ้าผมทะทำงานแทบเป็นแทบตาย เช้าตื่นไปทำงาน ค่ำมาก็กลับมานอน วนเวียนอยู่อย่างนี้ แทนที่จะปฏิบัติธรรม ละทิ้งทางโลกเสีย เพื่อเข้าถึงนิพาน จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก เพราะ การเกิดล้วนเป็นทุกข์ ทุกข์อย่างไร ก็ทุกเพราะ ต้องพลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก ทุกข์เพราะต้องมาเวียนว่าย ตาย เกิด ...ทุกวันนี้ไม่ไม่หวังอะไรเลย ขอแค่พ้นทุกข์ ก็พอ .. แต่ว่า ผมมีแม่ที่เลี้ยงดูเรามา ครั้นจะสละทางโลกเพื่อปฏิบัติธรรม โดยทิ้งแม่ไป มันก็เป็นบาป ...
    .. ผมอยากให้อาแนะนำแนวทางให้ทีครับอา ผมจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะไม่ได้ไปตกในทาสกิเลส หรือเกี่ยวโยงกับเรื่องต่างๆ จนกว่าผมจะดูและแม่ และญาติพี่น้องให้ถึงที่สุด แล้วจึงจะไปให้พ้นจากโลกซะที .... ขอคำแนะนำจากอาด้วยน่ะครับ...

    เพราะตอนนี้ผมจบ ปวช.แล้ว ครับ จะต่อ ปวส. แต่ก็กลัวจิตจะไขว้เขว

    ................ การที่อา สละเวลาของอา เพื่อที่จะเผยแผ่ ธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นับเป็นทานที่ยิ่งใหญ่นัก ด้วยอานิสงค์นี้ ไม่ว่าอาจะเกิดในพบชาติไหน อาจะมีความสุขความเจริญ ความไม่ได้ ความไม่มี จะไม่ปรากฎแก่อาอย่างแน่นอนแท้ ที่อาทำหนะดีแล้วครับ ผมเห็นด้วยแล้วครับ ... อนุโมทนาครับ อา สาธุ สาธุ สาธุ ...

    ...และจะมีอานิสงค์อย่างยิ่งถ้าอาให้คำแนะนำแก่ผม แฮะ ๆ ^^

    ถ้าผมพิมพ์ ผิดขอโทษด้วยน่ะคัรบ อา^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2009
  17. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    จริงอย่างที่อาว่าครับ การที่ทำสมาธิแล้วไปติดสุขกับสมาธิ ผมก็เป็นเช่นกัน พอทำสมาธิก็อยากจะทำอีก ไม่ใช่เพราะว่าปมเห็นเหมือนอาเห็นด้วยตาเนื้อแท้แบบอา ผมไม่เห็นเลย แต่ทำแล้วมันสุขใจดี ก็ไปติดกับมัน เลยชอบที่จะทำสมาธิ
     
  18. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อย่าเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งแวดล้อม(ตั๊ม)

    ตั๊มเข้าใจถูกแต่มีรายละเอียดลงไปอีกมากนะ
    ตั๊มแยกแยะ พิจารณา ตรงแยกแยะ ตรงพิจารณา ไม่ใช่เข้าไปรู้ด้วยสติ
    เอาปัญญา ความรู้ที่ศึกษามาเข้าไปพิจารณา จิตย่อมคลายจากอุปทานไม่ได้

    ตั๊มรีบเกินไปหน่อยนะ ใจเย็นๆ
    อบรมสติตนเองเสียก่อน อย่าพึ่งไปรีบแยกแยะว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้
    ในเบื้องต้นวิปัสสนายังไม่มีนะ มีแค่สมาธิก่อน
    จนสติที่อบรมมาดีแล้วเริ่มตื่นเพราะมีเหตุ

    เหตุคือ จิตมันเริ่มจดจำสภาวะธรรม ตั๊มรีบกระโดดข้ามขั้นตอน เข้าไปแยกแยะ
    ด้วยความคิด ด้วยเพราะจิิตไม่ตั้งมั่นจึงยังไม่พบจิต

    จิตต้องเป็นหนึ่งจึงเรียกว่าพบจิต...

    จิตเห็นจิตเป็นมรรคมีผลเป็นนิโรธ(หลวงปู่ดูลย์)

    ดังนั้นทุกอย่างต้องใช้เครื่องมือให้เป็น อย่าพึ่งข้ามขั้นตอนไปแยกแยะ ด้วยการพิจารณา

    ขั้นพื้นฐานสำคัญที่สุด....

    ในบ้านอาอ้อง จะติดป้ายแผ่นเล็กๆเหมือนครูอาจารย์ทำเอาไว้
    คือ ดูสภาวะธรรมที่ปัจจุบัน

    ง่ายที่สุดก็คือ ...
    รู้สึกตัวว่าทำอะไรก็พอนะตั๊ม ยังไม่ต้องแยกแยะ
    ตอนอาเริ่มต้น ก็เอาปัญญานำอย่่างตั๊มนี่ละ...
    ทำแล้วเครียด สลับฟุ้ง นี่แสดงว่าทำผิด

    ถ้าทำถูกจะเข้าใจว่าสติ ตื่น เป็นอย่างไร และสุขทุกข์ก็สั้นลง ควบคุมจิตตนเอง
    ควบคุมอามณ์ตนเอง ได้ด้วยสติที่ดีขึ้น

    ดามที่ตั๊มเล่ามายังเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งแวดล้อม คือ ติดแม่ ติดเรียน ติดสถานที่
    ตรงนี้ขอบอกว่า ภาวนา ไม่ได้ยากอย่างนั้น

    สรุปแค่ตรงรู้สึกตัวกับปัจจุบัน จนจิตมันเริ่มชิน กายไหวก็รู้ จิตไหวก็รู้ นี่...
    ตรงนี้ต้องให้เวลาจิตมันจดจำสภาวะความรู้สึกตัวด้วย

    คนทำครัวก็บรรลุธรรมได้ แม่บ้าน หมอ อาจารย์ นักเรียน อื่นๆ ทุกอาชีพ
    ไม่ใช่ต้องบวช ต้องอยู่สถานที่สงบเงียบ แล้วจะบรรลุธรรมได้เสมอนะ

    อาอ้องบอกได้ว่า...
    ยิ่งวุ่นวาย ยิ่งกล้าแกร่ง ยิ่งพบอุปสรรคและไม่หันหน้าหนี ยิ่งพบความจริง

    เพื่อนปฏิบัติธรรมบางคน หนีอารมณ์นะ เอาธรรมอันไปปฏิปักษ์มากดข่ม
    เช่นมีราคะก็นึกสิ่งน่าเกลียด มีโทสะก็รับเจริญพรหมวิหาร นี่หนีอารมณ์นะ
    จิตมีราคะต้องเรียนรู้ จิตมีโทสะต้องเรียนรู้ สรุปทุกอย่างคือ

    อะไรที่ผุดขึ้นมาตรงหน้า รู้ให้หมด รู้เพื่อจดจำ รู้เพื่อตื่นเพราะชิน
    เมื่อรู้ สติที่พัฒนาเป็นมหาสติ จะตื่นขึ้นเพื่อละ ตรงที่เราอบรมสตินี่ละ

    ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เพราะเราเจริญมาดี อบรมมาดี
    กิเลสมีอยู่แต่ใจมันไม่เอาตรงที่อบรมสติมาดีนี่ละ

    รู้และวางได้

    ตั๊มเข้าไปศึกษาเพิ่มในเว็บ วิมุตตินะ.. ในเรื่องกายและจิต รูปและนาม
    ครูอาจารย์ที่ประเสริฐอยู่ที่นั่น ทั้งหลวงพ่อปราโมทย์ และอาจารย์สุรวัฒน
    ศึกษาเพิ่มเติมด้วย

    ภาวนาทำได้เลย อย่าติดสถานที่ ติดบุคคล แค่รู้สึกตัวว่าทำอะไร ยืน เดิน นั่ง นอน จิตมีราคะ โทสะ โมหะ(หลงคิด) โลภะ รู้เท่านั้นจะตื่นขึ้นมาเอง

    อนุโมทนาครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2009
  19. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ครับอา ผมจะค่อยๆ ไป
     
  20. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    จิตออกจากกาย

    ตรงนี้อาบอกตั๊มว่า...
    มันออกมันเองเพราะเคยทำมาก่อน ไม่พ้นทุกข์ และไม่ได้เก่ง
    อภิญญามันจะเกิดเองเพราะอำนาจวาสนาเก่า
    ยิ่งอยากยิ่งไม่มี อย่่าเอากิเลสนำนะ สมาธิจะไม่เจริญก้าวหน้าเลย
    เพราะจิตมีโลภะนะเป็นอกุศลนำ

    มันจะมีจะเป็นจะเห็น อย่างที่อาบอกนะ รู้และอย่าไปติดอารมณ์จะเสียเวลาที่มีคุณค่า ตรงนี้คือ เครื่องมือที่เอาไปใช้เพื่อพ้นทุกข์ แต่ไปหลงเครื่องมือซะงั้น
    กอดเครื่องมือดีกว่าแล้วเมื่อไหร่จะพ้นทุกข์ได้เสียละ

    อนุโมทนาครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...