ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ขออนุโมทนาและสาธุบุญกับทั้ง 4 ท่าน ที่ได้ทำบุญช่วยเหลือสงฆ์อาพาธ โดยผ่านทุนนิธิฯ ด้วยครับ บุญใดที่ท่านได้ทำไว้ดีแล้ว ประณีตแล้ว และบริสุทธิ์แล้ว และกุศลใดที่พึงเกิดขึ้นจากบุญที่ท่านได้กระทำ ขอจงส่งผลให้ท่านทั้ง 4 ได้สำเร็จตามความประสงค์ของท่านด้วยเทอญ.


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    <HR>พุทธโอวาทสุดท้ายก่อนปรินิพพาน

    พระพุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน......

    พุทธโอวาทก่อนปรินิพพานนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานแก่พระอานนท์ผู้เป็นพระอุปัฏฐากและพระภิกษุคราที่ทรงปรงพระชนมายุสังขารออกเดินทางด้วยพระบาทเปล่าจากปาวาลเจดีย์ไปยังกรุงกุสินาราสถานที่ปรินิพพานตลอดพระชนมชีพ พระพุทธเจ้าหาได้ทรงท้อแท้หรือเหน็ดเหนื่อยต่อการเผยแพร่ธรรมไม่ยังทรงประกาศพระธรรมอันประเสริฐที่ทรงค้นพบด้วยพระองค์เองแก่พุทธบริษัท 4ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้คราเมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงปาวาลเจดีย์ ได้ประทับอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีเงาครึ้มต้นหนึ่งโดยมีพระอานนท์หมอบลงที่พระบาทมูลแล้วทูลว่า
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อานิสงส์ของการทำบุญตักบาตร กับการตายแล้วฟื้นของ พ.อ.เสนาะ







    <CENTER>(อ่านเรื่อง พ.อ.(พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ ผู้ตายแล้วฟื้น)</CENTER>

    [​IMG]"......เรื่องราวที่ผมจะพูดในวันนี้ ถ้าคิด ๆ ดูมันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ว่าเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้วกับผม และมันเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่ตายไปแล้วนะครับ
    ........คนที่ตายไปแล้วไม่สามารถฟื้นขึ้นมาและพูดหรือบรรยาย ความรู้สึกในสิ่งที่เขาไปพบเห็นมาให้ฟังได้ เพราะเขาไม่มีโอกาสหรือบางท่านอาจจะมีโอกาส แต่เป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีเกียรติ เมื่อพูดจาไปแล้วก็ดูว่าเชื่อถือไม่ได้

    .........เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เลยเป็นสิ่งที่เร้นลับ ไม่มีใครสามารถจะพิสูจน์ได้ แต่ในฐานะที่ผมประสบมา เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตผม ผมกล้ายืนยันว่า เรื่องเหล่านี้มีจริง เรื่องของผมที่จะเล่าจะเริ่ม ณ บัดนี้...

    ประวัติชีวิตข้าพเจ้า


    <DD>ชีวิตผมเกิดมาเป็นลูก "สิบเอก" คุณพ่อเป็นทหารรักษาวังชีวิตความเป็นอยู่แร้นแค้น เพราะว่าคุณพ่อมีลูกเยอะถึง 10 คน ผมเป็นคนที่ 3 เมื่ออายุได้ 8 - 9 ขวบ ช่วงนั้นคุณพ่อมีลูกถึง6 - 7 คน แล้วนะครับ เพราะฉะนั้นความเป็นอยู่ลำบากมาก เมื่อเวลาฝนตกทุกคนนอน แต่ผมต้องออกไปหาปลา น้องอีกคนไปหากบหาเขียด อีกคนหาผักบุ้ง เพื่อมาเป็นอาหารมื้อเช้า เงินเดือนสิบเอกแค่ 22 บาท เท่านั้น </DD>
    <DD>ผมโตขึ้นผมต้องไปรบเวียดนาม ไม่ใช่เพราะผม ego ที่ไปเพราะผมต้องการเงินมาให้ญาติพี่น้องผมเรียนหนังสือ เพราะคุณพ่อผมเสียตั้งแต่ปี 2513 พูดถึงเรื่องความตายทุกคนก็ไม่อยากจะพบ ไม่อยากประสบ แต่ทุกคนก็อยากรู้ว่า เมื่อเวลาตายแล้วไปไหน จริงหรือไม่เมื่อตายแล้วเราต้องไปนรกหรือไปสวรรค์ เราทำบุญเราจะได้บุญเราทำบาปเราจะได้บาป เรื่องนี้ท่านทุกคนก็สงสัย ทุกคนมีกรรม แต่ว่ากรรมของเรานี้เมื่อชาติก่อนเราเป็นอะไร อาจจะเป็นมนุษย์ อาจจะเป็นสัตว์ เราได้สร้างกรรมสร้างเวรไว้กับใคร อันนี้เราไม่ทราบได้ <DD>

    <DD>แต่เมื่อเกิดมาในชาตินี้ กรรมนั้นมันก็ตามมา บางท่านอาจจะไม่เชื่อว่ากรรมนั้นเป็นมาอย่างไร แต่กรรมนั้นมี แต่เราไม่รู้ ทุกคนเกิดมาก็จะต้องมีการตายแน่นอน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หมายความว่ากรรมที่ว่านั้นคือ กุศลกรรมและอกุศลกรรม ซึ่งเราเรียกว่ากรรมดีและกรรมชั่วท่านอาจจะอยากทราบว่าเวลาจะตายนั้นมันเป็นอย่างไรเพราะเมื่อมีการตายนั้นจะต้องมีการตั้งศพสวด นิมนต์พระมาสวดศพ เป็นการแผ่บุญกุศลให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว และก่อนที่เราจะบรรจุศพคนตายลงไปในโลง เรามีการรดน้ำศพที่มือขวา เวลาที่เรารดน้ำศพ เรามักพูดกันอย่างนี้ คือขออโหสิกรรมผู้ตายเมื่อสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ กรรมใดที่เราเคยผิดพ้องหมองใจก็ขออโหสิกรรมเสียในชาตินี้ อีกคนหนึ่งก็อาจจะพูดว่า ขอให้ท่านไปสู่สุคติ อีกท่านก็อาจจะพูดว่า ขอให้ท่านจงไปสู่สัมปรายภพเทอญ <DD>


    <DD>บางท่านก็บอกว่าชีวิตของคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตายเหมือนกัน ขอให้ท่านอย่าได้ห่วงร่างและห่วงวิญญาณในชาตินี้เลยขอจงไปสู่สุคติเถิด บางคนก็รดน้ำศพไปอย่างนั้นน่ะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรการที่เราทำอย่างนั้น เราก็ต้องการให้คนที่ตายไปอยู่ภพหน้า ทั้ง ๆที่เราก็ไม่รู้ว่ามีจริงมั้ยจริง ให้เขาไปอยู่ในภพหน้าด้วยความสุขกว่าที่เขาอยู่ในชาตินี้ ถึงแม้ว่าเขาจะมีความลำบากในชาตินี้อย่างไรเพียงใดก็ตาม เมื่อเวลาเขาตาย เราก็ขอให้เขาไปดี แล้วก็ไปอยู่ดีกว่าที่เขาเป็นอยู่ในชาตินี้ แต่ความจริงแล้วการที่เราพูดอย่างนั้นมันก็มีส่วนถูกบ้างแต่ก็ไม่ใช่จะถูกทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์การที่เรารดน้ำศพ เราควรจะพูดอย่างนี้ครับ <DD>

    <DD>ชีวิตของคนเกิดมา ท่านกับเราตายเหมือนกัน แต่ว่าใครจะตายช้าตายเร็ว ขอให้กรรมดีที่ท่านได้สร้างไว้ในชาตินี้ในภพนี้จงช่วยนำท่านไปสู่สุคติ อย่างนี้ครับจึงจะถูก.
    <DD>และต้องพูดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งคนตายต้องการมากที่สุด อย่าได้ห่วงญาติมิตร อย่าได้ห่วงทรัพย์สมบัติ ซึ่งมันไม่มีแก่นสารอะไร ขอให้ท่านตัดสิ่งเหล่านี้ให้ได้ และขอให้กรรมดีที่ท่านทำในชาตินี้พาท่านไปสู่สุคติ อย่างนี้น่าจะถูกต้องมากกว่า

    <CENTER>[​IMG]

    เล่าเรื่องการตายครั้งที่ 1
    </CENTER>
    <DD>ซึ่งผมจะมีเหตุผลในการที่จะพูดต่อไปในเรื่อง การตายครั้งที่ 1 ที่กองทัพหนึ่งมีสโมสรของ พัน สห.มทบ. 1 ผมได้มาเล่นรัมมี่ที่นี่ติตต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน 6 เดือนนี้ผมจะเลิกในราวเที่ยงคืน ตลอด วันนั้นประมาณวันที่ 8 มีนาคม 2513 ก็ปรากฏว่าผมเล่นไพ่ 3 วัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วันแรกทานข้าวได้ วันที่สองทานก๋วยเตี๋ยววันที่ 3 ทานน้ำอัดลม


    <DD>พอคืนวันอาทิตย์ผมก็หมดแรง ผมจะลุกขึ้นไปห้องน้ำปรากฏว่าหน้ามืดล้มตึง เพื่อน ๆ ถามว่าจะไปตายที่บ้านหรือจะไปโรงพยาบาลผมบอกไปตายโรงพยาบาล ญาติพี่น้องไม่เห็นใจ เขาก็พาผมไปบ้านในสภาพของคนที่เรียกว่าหมดสภาพเหมือนนกปีกหักไม่มีแรง โซซัดโซเซนะฮะ หน้าดำ..ดำปี๋เลย.

    ผมก็บอกคุณแม่ว่าผมไปเล่นไพ่มา แล้วก็ไม่ได้ทานน้ำไม่ได้นอนเลย คุณแม่มองดูลักษณะท่าทางการพูดของผมแล้วมันเหน็ดเหนื่อยมาก ท่านก็บอกว่าไปนอนพักผ่อนซะ ในระหว่างนั้นผมก็มีอาการหนาวสั่น เท้าเริ่มชา แล้วตาก็มองไม่เห็น คุณแม่ก็คิดว่าผมคงจะต้องตายแน่ ท่านก็เลยให้น้องชายไปซึ้อดอกไม้มา แล้วก็ให้ผมสวดมนต์
    <DD>


    <DD>ท่านให้ผมนึกถึงพระที่ผมนับถือ ให้นึกถึงหลวงพ่อที่เราเคารพ เพื่อวิญญาณเราจะได้ไปสู่สุคติตามความเชื่อของผู้ใหญ่ ท่านให้ผมพูดคำว่า "พระอรหันต์" ผมก็ไม่รู้ว่า "พระอรหันต์" หมายความว่ายังไง ผมก็นึกว่าคงเป็นพระพุทธเจ้ามากกว่า ผมก็พูดตามที่คุณแม่ว่า ตอนนี้มันก็มีโลหิตออกทางปาก จมูก และที่หู เท้าชา แล้วก็เริ่มลมสว้าน ลมสว้านมันจะตีขึ้นมา เสียงมันจะอู้ในหูครับ ดังวิ้ว..วิ้ว,,วิ้ว..ว ดังตลอดเลย นั่นหมายความว่าชีวิตใกล้จะสิ้นแล้ว แล้วตัวนี่เย็นชาตลอด เย็นมาก คุณแม่ก็ไม่รู้จะทำยังไงฮะ คุณแม่ก็ร้องไห้ ท่านร้องไห้ตลอดเวลา ผมก็บอกว่า คุณแม่ครับ ผมได้ยินเสียงระฆังดัง <DD>


    <DD>เพราะตอนนั้นมันเป็นเวลาใกล้สี่ทุ่ม คุณแม่ก็บอกว่าระวังที่ว่านี้มันเป็นระฆังแบบที่แขวนไว้ตามโบสถ์ มีใบโพธิ์ห้อยกลาง เขามีเงินเขาก็ซื้อมาแขวนไว้ที่บ้าน เราคนจนเราก็ไม่มี อย่าไปสนใจเลยลูกว่า "พระอรหันต์" ต่อดีกว่า ผมก็ว่า "พระอรหันต์" ต่อ. <DD> <DD>เดี๋ยวเดียวเท่านั้นผมได้ยินเสียงพระสวด พระท่านสวดมาแต่ไกล ผมก็บอกคุณแม่ครับ ผมได้ยินเสียงพระสวด คุณแม่ก็บอกมีคนตายใกล้ ๆ บ้านเรา เขาเป็นเศรษฐี เขาเอาศพทั้งที่บ้านสามารถที่จะเลี้ยงแขกได้ 3 มื้อ ซึ่งมันเปลืองกว่าไปเลี้ยงที่วัดเพราะเขาเป็นเศรษฐี ลูกอย่าไปสนใจเลย ว่า..พระอรหันต์ ว่า..นะโม ตามที่แม่บอกดีกว่า <DD>


    <DD>ผมก็ว่าตาม คราวนี้ผมเห็น...ก้อนเนื้อพังผืด ที่มันน่าเกลียดมาก มันลอยจากท้องฟ้า ลอยมา..ลอยมา แล้วผมก็บอกคุณแม่ว่าผมเห็นเนื้อพังผืด ซึ่งเป็นปุ่มปมคล้าย ๆ กับหนังคางคก ซึ่งมันน่าเกลียดมาก เมื่อมันลอยเข้ามาหาผม ผมมีความขยะแขยง ความน่าเกลียดของมันมาก ผมก็แลบลิ้นออกมาเต็มที่

    ในช่วงนี้ผมปัสสาวะราดและก็อุจจาระออก เลือดออกปาก ออกจมูก แล้วคุณแม่บอกว่า ผมคอพับไปและหัวใจไม่เต้น คุณแม่ก็หวังว่า พรุ่งนี้จะรดน้ำศพกันที่วัดโสมฯ ก็ได้มีการติดต่อกับที่วัด จะเอาศพผมไปรดน้ำศพที่ศาลา 3 และได้มีการติดต่อกับทางญาติที่ชลบุรีบ้าง ที่เพชรบุรีบ้าง ที่นครสวรรค์นครปฐม และที่ปากเกร็ด คือบอกหมดทั้งญาติคุณพ่อคุณแม่เพื่อจะให้มารดน้ำศพ
    <DD>

    ท่องแดนนรก - สวรรค์


    <DD>ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่ผมไปแล้วนะครับ ต่อไปก็เป็นช่วงที่ผมจะไปพบอะไรข้างบนบ้าง ผมไม่ทราบว่าผมใช้เวลาเท่าไหร่ในการที่จะรู้สึกตัวว่าผมได้มาเดินอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นพื้นราบน่าเดินมาก พื้นราบนั้นเปรียบเสมือนสนามบินดอนเมือง แต่ว่าเท้าที่เราเดินผมไม่มั่นใจว่าเป็นการเดินเอาฝ่าเท้าลง


    <DD>ผมรู้สึกว่าผมเดินเอาฝาเท้าหงายขึ้นซึ่งมันผิดปรกติ แล้วพึ้นที่นั่นก้มมองไม่เห็น เพราะมันเป็นพวกหมอกสีขาว และหมอกสีขาวนั้นทึบมาก แต่ผมมองเห็นตัวเองนุ่งกางเกงสีน้ำเงิน เสื้อยืดสีขาว แต่คนที่เขาเดินกับผมไม่เหมือนผม คือเขาแต่งชุดสีขาว ลักษณะเป็นผ้ามัดตราสัง แล้วตัวเขาไม่ได้มีเนื้อมีหนังเหมือนอย่างเรา คือตัวเป็นกระดูกทั้งสิ้น เพราะเราสังเกตได้เวลาเขาเดิน ตรงหัวเข่าเขาที่หายไปกับหมอกควัน ซึ่งท่วมพื้นอยู่นั้น ผมเห็นเขาเดินหย่ง ๆเหมือนหนังสโลว์ แล้วก็เห็นเป็นกระตูก มีเสียงดังของกระดูกกระทบกับพื้น แล้วทุกคนที่เดินไปร้องไห้ ร้องไห้ทุกคน เขาร้องไห้ทำไมครับ เขาร้องไห้ เพราะเสียดายเวลาเมื่อตอนที่เขาเป็นมนุษย์เขาไม่ได้ทำบุญเลย หรือทำก็ทำน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการ เมื่อเขาเดินทางไปเขาหิว เมื่อหิวเขาก็ไม่มีอาหารทาน. <DD>

    <DD>ในระหว่างที่เดินไปนั้น มันจะมีอำนาจอันหนึ่งที่เราไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าอำนาจนี้มาจากไหน เราจะได้ยินแต่เสียงดังขึ้นจากท้องฟ้า เสียงนั้นบอกว่า บัดนี้ท่านตายแล้ว ขอให้ท่านปฏิบัติตัวดังนี้ หนึ่ง อย่าคิดถึงญาติพี่น้อง ลูก เมีย และร่างของตัวเองที่อยู่ในเมืองมนุษย์ ห้ามคิดถึงเด็ดขาด ใครคิดจะมีโทษ โทษนั้นหนักมาก เดี๋ยวจะเล่าว่าเป็นยังไง
    ต่อไปประการที่สอง ในระหว่างเดินไปห้ามเหลียวซ้ายห้ามแลขวา ห้ามหันหลัง ประการที่สาม ห้ามพูดจากันระหว่างทางที่เดินกันไป เหล่านี้เป็นบัญญัติที่มีการสั่งห้ามไว้ แล้วถ้าไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษมาก เมื่อเราฟังโทษแล้ว เราจะรู้สึกว่าโทษนั้นเป็นโทษที่น่ากลัวมาก เราเป็นทหารนี่ เจ้านายผู้บังคับบัญพาบอกว่าถ้าทำผิดอย่างนี้จะต้องถูกขัง 3 วัน เรามีระยะเวลาออก ละเราก็สามารถที่จะทนได้ แต่โทษของเขาข้างบนนั้นไม่เหมือนกัน.
    <DD>


    <DD>ยกตัวอย่างเช่นคนที่ถูกตีถูกโบย เนื่องจากก่อกรรมไว้ในชาตินี้มาก เวลาตายไปแล้วจะมีคนมารับ แล้วคนที่รับนั้นจะทุบตีการตีด้วยหวายของเขา เขาไม่ใช่เฆี่ยนตีหลายที เขาตีเพียงทีเดียวหนเดียว แต่การเจ็บนั้นเจ็บไปถึง 3 - 4 ชั่วโมง แล้วคนที่ถูกตีนั้นจะร้องโหยหวนเจ็บปวดมาก ที่ผมฟังดังนั้นเสียงมันโหยหวนมาก จนกระทั่งเรียกว่าเรากินข้าวเสร็จ เสียงนั้นก็ยังได้ยินอยู่เรื่อยไป


    <DD>อันนี้ทุกคนเห็นภาพแล้วนะครับว่าผมเดินไปยังไง และมีใครบ้าง แต่ผมจะไม่พูดถึงการไปนรกนะครับ ผมจะพูดถึงเรื่องการไปสวรรค์เท่านั้น เพราะข้างบนเขาสั่งมาว่า ถ้าท่านจะพูดถึงเรื่องการไปสวรรค์นั้น ท่านพูดได้ ข้างบนไม่ขัดข้อง แต่ห้ามพูดเรื่องการไปนรก เพราะว่าในการที่เราพูด มันจะมีผลเสียผลดีไม่เหมือนกัน
    <DD>อย่างเช่นเราบอกเขาว่าท่านทำบุญสิ ใส่บาตรพระวันละองค์สิ ถึงแม้ไม่มีก็ใส่ไข่ต้มหรือไข่ดาวก็ได้ ไม่มีก็ปาท่องโก๋หรือซาลาเปา ถวายพระชิ้นสองชิ้นก็ได้ ถ้าหากท่านไม่ทำมันก็ไม่มีผลเสียอะไร สังคมก็อยู่ได้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากเราบอกว่า ท่านอย่าไปผิดถูกผิดเมียเขาท่านอย่าไปปล้นจี้ขี้โกง อย่าไปฆ่าคนนะ ถ้าหากท่านทำอย่างนี้ท่านจะได้รับโทษอย่างนี้.

    สภาพเมืองนรก


    <DD>1...ท่านอาจจะต้องลุยกอบัวที่มีหนามแหลมคม ซึ่งหนามนี้เป็นหนามเหล็ก ท่านจะต้องปีนต้นงิ้ว ซึ่งมีอีกาปากเหล็ก และข้างล่างจะมีคนคอยเฆี่ยนคอยโบยให้ท่านต้องปีนต้นงิ้ววันหนึ่งไม่รู้กี่เที่ยว ท่านต้องนั่งในที่แคบ ๆ โดยที่ไม่มีอาหารกิน แล้วก็จะมีคนมาเฆี่ยนตีท่านทุกชั่วโมง ถ้าหากเราพูดไปอย่างนี้ไม่มีใครเชื่อ เมื่อไม่มีใครเชื่อคนต่าง ๆ เหล่านั้นก็ขัดขืน เมื่อเขาเกิดการลองดีขึ้นมา เขาก็ไปก่อกรรมทำชั่วขึ้นมา มันก็เกิดผลเสียขึ้นต่อมนุษยโลก ...

    เพราะฉะนั้นไอ้เหตุผลอันนี้นะครับ ผมถึงไม่พูดเรื่องการไปนรก ดังที่ผมก็เห็นว่านรกมีอะไรหลายต่อหลายอย่าง แต่พูดไม่ได้ เพราะรับปากไว้แล้วว่าไม่พูด แล้วผมกลัวมากครับ ผมถึงไม่พูด ทีนี้ในระหว่างที่เดินไปนะครับ ทางขวาก็เป็นพื้นที่ว่างโล่งทางซ้ายก็เป็นเหมือนคนใส่บาตรเต็มหมดเลยนะครับ แล้วแต่ว่าคนมีคนจน
    <DD>

    อานิสงส์การทำบุญใส่บาตร


    <DD>แต่คนจนก็มีพวกโต๊ะไม้ ขันทองเหลือง ขันอะลูมิเนียมใส่ข้าว ปิ่นโตก็ใส่กับข้าว คนรวยก็มีเก้าอี้มุก เก้าอีเงิน และอาหารก็แตกต่างกันออกไป ผมก็รู้สึกว่าผมหิวข้าว ผมก็มองไปที่ที่เขาตั้งอาหารอยู่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งกวักมือเรียกผม บอกว่า เอ้า ! ร้อยโท เสนาะอาหารคุณอยู่ทางนี้ ตอนนะผมยังเป็นร้อยโท เขาก็เรียกผมเข้าไป.

    เขาก็เอาอาหารให้ผมทานตลอด ผมท่านไปผมก็คิดนะครับว่า อาหารต่าง ๆ เหล่านี้ผมเคยเห็นที่ไหน ผมนึกได้ครับว่าเมื่อตอนสมัยผมอายุ 7-8 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ใช้ให้ผมเป็นผู้ใส่บาตรตอนเช้าตลอดเวลา เนื่องจากครอบครัวเราจน เพราะฉะนั้นเราจึงทำบุญใส่บาตรทั้งข้าวแดงข้าวขาว
    <DD>

    ส่วนกับข้าวนั้น คุณแม่ก็ช่วยรายได้ของคุณพ่อ ก็โดยที่คุณแม่ก็เป็นแม่ค้าขายข้าวแกงให้กับทหารเกณฑ์ เพราะงั้นอาหารที่ใส่บาตรพระก็เป็นพวกแกงซะเป็นส่วนใหญ่ พวกแกงปลาดุกแกงปลาไหล แกงเนื้อ ปลาทูทอด ไข่ลูกเขย ไข่ต้ม ไข่ดาว ไข่พะโล้มันจะเป็นลักษณะนี้มาก ขณะผมท่านผมคิดได้ว่า ไอ้ขันเงินใบนี้มันเป็นขันล้างหน้าของคุณแม่ผม
    <DD>

    และก็ไอ้ขันทองเหลืองที่ใส่ข้าวแดงเป็นขันล้างหน้าของคุณพ่อผมที่ให้ผมใส่ข้าว แล้วก็เอามาใส่บาตรพระ ผมทานเสร็จผมก็นึกนะฮะ นึกถึงการทำบุญเมื่อตอนสมัยที่ผมเป็นเด็กอยู่ ผมก็คิดว่าเมื่อผมทำบุญมาผมก็ได้กิน ผมก็ถามบอกว่าแล้วคนอื่นเขาจะมาทานอาหารผมได้มั้ย ผู้หญิงคนที่เขามารับผมบอกว่าทานไม่ได้ เนื่องจากว่าตอนเป็นมนุษย์นั้นไม่ได้ทำเอาไว้ เพราะงั้นก็ไม่มีกิน.
    <DD>

    ผู้หญิงที่มารับผมเขานุ่งผ้าถุงสีเขียว เสื้อสีขาวแบบผ้าด้ายดิบ สะอาดและมีกลิ่นหอม ทรงผมปล่อยแล้วมีปิ่นปักผมเป็นไม้ไผ่เสียบไว้ข้างหลัง มันจะหอมชวนให้เราเดินตามไป ลักษณะมันคล้าย ๆ ต้นไม้ใหญ่ลอยบนอากาศ เป็นรากสีเขียว ๆ มัน ๆแผล็บเลย มันจะลอยนำหน้าตลอดเวลา แล้วมันจะมีกลิ่นหอมให้เรานี้เดินตามกลิ่นหอมนั้นไป คล้าย ๆ ว่าไปแล้วไม่ต้องกลับละให้ไปตลอดทาง
    <DD>

    ผมได้เหลือบมาทางซ้ายมือนะฮะ ก็เห็นตาแก่คนหนึ่ง แกสูงประมาณ 180 ซม. ตัดผมทรงลานบิน นุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อด้ายดิบแขนสั้น แกชะโงกทางขวามือ แล้วก็ถามว่าเห็นนายแกมั้ยผมบอกผมไม่เห็นหรอก เพราะผมไม่รู้จักว่านายท่านชื่ออะไรอยู่ที่ไหนผมไม่รู้ แกบอกว่าแกมาคอยนายแกนานแล้ว ไม่เจอสักที
    <DD>


    <DD>ผมสังเกตว่าอาหารของแกวางอยู่บนเก้าอี้มุก มีขันเงินใบใหญ่ มีข้าวมีควันขึ้น แล้วก็น้อยหน่าลูกใหญ่ มีทั้งเงาะ ลางสาดหรือผลไม้ลูกโต ๆ แกงก็ใส่ภาชนะที่ดีมากเลย แล้วมีควันขึ้นตลอด ผมก็ทานเงาะของผมที่มันดีมั่ง ใหญ่มั่ง เล็กมั่ง และกันไปนะฮะซึ่งเทียบเขาไม่ได้

    ผลของการทำความชั่ว

    ในขณะเดียวกันผมก็มองไปทางขวามือ ผมก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งแต่งสีขาวแบบที่ผมว่า แกกินข้าวแล้วแกก็ร้องไห้ น้ำตาแกไหลพรากเลย แกกินข้าวไม่เหมือนเรากิน อย่างเรากินเราใช้ช้อนตักทานปรกติ แต่แกกินแกต้องใช้มือหยิบข้าวทีละเม็ดเข้าปากเวลาแกกินทีแกต้องร้องทีร้องโหยหวน ผมก็ถามผู้หญิงที่เขามารับผู้ชายคนนี้ว่า ทำไมเขาถึงเป็นอย่างนี้ น่าสงสารนะ น่าเวทนา เขาก็เล่าให้ฟังว่า
    <DD>


    <DD>เมื่อตอนที่ผู้ชายคนนี้ยังเป็นมนุษย์ เขาเป็นพ่อค้า ก็มีพระองค์หนึ่งมาบิณฑบาตตอนเช้า แกก็ไม่อยากให้พระมาบิณฑบาต เพราะแกไม่อยากทำบุญ วันแรกแกก็ทำบุญด้วยข้าวดิบ พระก็กลับไปวัดไปฉันข้าวดิบก็ท้องเสีย อีกวันหนึ่งพ่อค้าคนนี้ก็แกล้งเอาข้าวไหม้ใส่บาตร เพื่อจะไม่ให้พระองค์นี้มาบิณฑบาตอีก อีกวันก็เอาข้าวบูด ส่วนผลไม้ก็เอาที่ดิบมั่ง สุกมั่ง เน่ามั่ง เอามาใส่บาตร


    <DD>เมื่อเวลาแกตายมา แกก็ต้องมากินไอ้อย่างนั้นแล้วแกก็ร้องไห้ตลอดเวลา ซึ่งระยะทางที่ต้องไปมันจะมีทางสองแพร่งทางหนึ่งจะเดินขึ้นสูง นั่นหมายความถึงไปสวรรค์ อีกทางหนึ่งจะเดินไปทางลง ความรู้สึกเราบอกว่าเราเดินขึ้น แต่คนที่เดินไปทางแรกนั้นจะมีคนไปเยอะมาก เดินกันที่เรียกว่าแทบจะเบียดกันเลยนะฮะ เยอะมาก.

    ผมก็บอกว่าผมหิวน้ำนะครับ เขาบอกว่าเมื่อตอนสมัยที่คุณเป็นมนุษย์นั่น คุณไม่ได้ทำบุญด้วยน้ำ เพราะงั้นคุณไม่มีน้ำกินผมหิวคอแห้งมาก ผมบอกว่าผมจะกลับไปเมืองมนุษย์ใหม่ เพื่อทำบุญด้วยน้ำ จะได้มีน้ำกินเยอะ ๆ แต่ผู้หญิงที่มารับผมเขาบอกว่า ผู้ที่มาที่นี่แล้ว ไม่มีใครที่จะกลับได้สักคนนะครับ แล้วก็ถามผมว่าอิ่มหรือยัง เพราะคุณจะต้องไปอีกไกล ผมบอกผมอิ่มแล้ว
    <DD>

    พอพูดคำว่าอิ่มแล้ว อาหารที่เราทานหมดมันมีขึ้นมาพูนเหมือนเดิม ข้าวก็เต็มขัน แกงก็เต็มปิ่นโต ไข่เจียวไข่พะโล้เนี่ย ก็ขึ้นมาเต็มจาน ผู้หญิงคนนี้ก็แบกโต๊ะแล้วก็เดินไปเขาเดินไปสัก 4-5 ก้าว ก็กลายเป็นลอยขึ้นไปนะฮะ เหมือนคนเหาะแล้วก็หายขึ้นไปในอากาศ อากาศที่นั่นผมกะประมาณ 17-1 8 องศาเซลเซียสเพราะว่าอากาศมันเย็นมาก และฝุ่นละอองไม่มี ผมก็รู้สึกหิวน้ำมากก็คิดว่าจะต้องกลับ แต่กลับทางเก่าก็คงกลับไม่ได้
    <DD>

    เพราะงั้นมันมีช่องสำหรับผู้หญิงผู้ชายที่เป็นคนคอยมารับ เพราะเมื่อเขาไปแล้วมันจะมีช่องโหว่ตรงนั้นใช่ไหมครับ ผมก็เอาเท้าไปเหยียบลงไปพอเอาเท้าไปเหยียบก็คล้าย ๆ ว่าถูกของแหลมคมบาดผมก็ชักเท้ากลับมา รู้สึกว่ามีเลือดไหลที่ฝ่าเท้า ผมก็ให้เท้าขวาเหยียบไปอีก ก็ปรากฏว่าเจ็บเหมือนกัน แต่ทีนี้ไอ้ความหิวอยากจะทานน้ำ หรืออยากจะกลับบ้านมีมาก ทำให้ผมกลั้นใจเหยียบเดินลงไป แล้วก็ย้อนจากตาแก่นั้นขึ้นมา.
    <DD>




    <CENTER>[​IMG] </CENTER><DD><CENTER>
    ตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมา ครั้งที่ 1</CENTER>


    <DD>ผมเดินมานานเท่าไหร่ผมไม่ทราบนะฮะ แต่ผมมารู้สึกว่าผมเห็นบ้านผม แล้วก็มีคนเดินกันขวักไขว่ เขาแต่งขาว แต่งดำตอนนั้นผมกะว่าตอนนั้นคงเป็นเวลาสัก 3 โมงครึ่งเกือบ 4 โมงแล้วตอนนี้ทางวัดโสมฯ เขาเอารถมารับผมแล้ว ที่ใส่ศพสมัยก่อนเขาก็เป็นเปลสนาม มันจะมีผ้าคลุมศพสีดำคาดทอง ผมรู้สึกว่าหน้ามืดแล้วก็ล้มลง มารู้สึกอีกทีผมก็ดันฟื้นมาตอนเกือบ 4 โมงเย็น ผมหมดสติหรือผมตายไป ดังที่ว่านี่ก็เป็นเวลาตั้งแต่ 4 ทุ่มของคืนวันอาทิตย์แล้ววันจันทร์ตอน 4 โมงผมฟื้น

    ตอนช่วงที่ผมสิ้นชีวิตหรือว่าตายไป คุณแม่ผมจุดธูปตลอดไม่ให้ขาดเลยนะ โดยที่ขอชีวิตผมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยคุณแม่ก็หวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปอย่างนั้นเอง คล้าย ๆ กับว่าคุณพ่อก็มาเสียไป ถ้ามาเสียผมอีกคน น้อง ๆ อีก 7 คน ก็ไม่ได้เรียนหนังสือกันก็อยากจะขอวิญญาณหรือขอชีวิตผมคืนมา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ผมก็กลับฟื้นขึ้นมานะฮะ แล้วผมก็ไปรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลพระมงกุฎ ประมาณ3-4 วัน หมอก็ให้ออกซิเจน น้ำเกลือ ให้เลือด แล้วผมก็มีชีวิตอยู่รอดมาจนกระทั่งมีการตายครั้งที่สองขึ้นมา
    <DD>


    <DD>คราวนี้ผมต้องเรียนให้ทราบก่อนว่า ผมเริ่มช่วยเป็นโรคไตวาย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2527 ผมได้เข้ารับการรักษาที่ตึกแปดชั้น โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ห้อง 619 ผมป่วยอยู่ประมาณเกือบ 70 วัน.

    วันนั้นเป็นวันที่ 7 หรือที่ 8 เดือนมกราคม 2528 ซึ่งเป็นวันที่ผมดีใจที่สุด เพราะคุณหมอผู้รักษาก็บอกว่าผู้การกลับบ้านได้แล้วนะ เพราะว่าโรคไตที่เป็นนั้นได้รับการรักษาขั้นต้น ได้มีการเจาะหน้าท้อง แล้วก็ใช้น้ำยาล้างหน้าท้อง คือถ่ายเอาของเสียออกทั้งหมด 54 ขวด ก็หมายความว่าพ้นขั้นอันตรายแล้วกลับบ้านได้ แล้วก็รอการผ่าตัดเส้นเลือดดำเส้นเลือดแดง คือรอให้เส้นมันโตจะได้ใช้การล้างทางเครื่องไตเทียมต่อไป ผมก็ดีใจมาก
    <DD>


    <DD>ตอนนั้นผมกับภรรยายังคุยกันเรื่องหนัง ที.วีที่ดูในห้องผู้ป่วยพิเศษที่ผมนอนอยู่นั้น พอหนังเรื่องนี้จบตอน 2 ยาม15 ผมก็นอน ก็ต่างคนต่างนอนลง พอล้มตัวลงนอน ผมรู้สึกว่ามีคนมาปลุกผมนะครับ โดยคนจำนวนมากไม่ต่ำกว่าร้อย ๆ คน ผมก็ลืมตาขึ้นมา

    ก็ปรากฏว่าทางซ้ายมือของผมในลักษณะที่ผมนอนอยู่บนเตียงนี้นะครับ ผมเห็นมือของคนเป็นร้อย ๆ มือยุ่บยั่บเลย ส่วนหลังมือเป็นสีดำคล้ายๆแช่น้ำครำ แต่ฝามือนี่เหลืองคล้าย ๆ สีท้องจิ้งจก เหลืองมากและซีดมาก เสียงร้องนี่ไม่รู้ใครเป็นใครเลย ระงมไปหมด ผมไม่ทราบว่าหูผมฝาดไปหรือเปล่า
    <DD>

    ตอนแรกลืมตาดูก็เห็นภาพไหว ๆ ทางขวามือ ผมเห็นผู้หญิง 2 คน นุ่งผ้าถุงสีน้ำตาลไหม้เก่า ๆ ตัวแกผอมมากเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มือแก ก็มีแต่กระดูก กำลังจับแขนผมดึงขึ้นเอาไว้ที่แก้มแก 2 หนนะครับ แล้วแกก็ร้องไห้ ผมก็แอบชำเลืองดู เอ๊ะ ! ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนนี่ มันเป็นผีนี่เพราะว่าดวงตาของแกมันไม่มีดวงตาสีดำเลย มันเป็นดวงตาสีขาว แต่มีเลือดสีแดงเต็มหมดเลย แล้วตาแกก็ลึกโบ แก้มตอบ แกหิวโหย มาก ปากแกแห้ง แกร้องไห้แบบ - ผมไม่รู้จักเรียกยังไงไอ้ความเศร้าโศกของแก แกร้องไห้เหลือเกิน โหยหวนมาก
    <DD>


    <DD>ในระหว่างนี้ผมก็นึกถึงพระนะครับ ว่าตอนนี้ผมถูกผีหลอกผมก็นึกถึง หลวงพ่อผา หลวงพ่อโอภาศรี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่ผมเคารพนับถือ พระแก้ว พระชินราช ผมก็นิมนต์มาหมดเลยผมก็ท่องคาถาของหลวงพ่อโอภาศรี ท่องสามจบแล้วก็ยังไม่ไปท่องคาถาของหลวงพ่อวัดปากน้ำก็ไม่ไป ท่อง "นะโมตัสสะ" แล้วก็ไม่ไป เมื่อไม่ไปแล้วเขาทำยังไงรู้ไหมครับ.


    <DD>ตอนนี้เขาเริ่มยกตัวผมขึ้นจากเตียง ยกขึ้นๆ ๆ ผมก็เริ่มกลัวผมก็ร้องเรียกแฟนผมว่า แม่! ผีหลอก! ผมอ้าปากลั่นห้องเลยแต่ว่าแฟนผมไม่ได้ยิน แกก็หลับไปเรื่อยเลย เห็นท่าไม่ดีผมก็บอกว่า เอายังงั้นผมรู้แล้วว่าที่ท่าน ๆ มาท่านต้องการให้ผมช่วยเหลือ ผมจะทำบุญใส่บาตรแผ่ส่วนกุศลไปให้พรุ่งนี้นะ เสียงก็ยังร้องอยู่ และยกผมขึ้นสูง ผมก็จะตกเตียง


    <DD>ผมก็บอกงั้นพรุ่งนี้ ผมจะนิมนต์พระที่วัดมะกอก เพราะมันใกล้โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ มาทำสังฆทานให้ในห้องนี้เลย เสียงนั้นก็ยังร้องไห้โหยหวนต่อไปอีก ผมกลัวมาก แล้วหน้าตาของแต่ละคนก็เริ่มปรากฏให้เห็นในลักษณะของหน้ากระดูกทั้งนั้นเลย แล้วมือนี่ซีดและน่าเกลียดมากยุ่บยั่บเลย ผมมานึกดูเป็นร้อย ๆ มือเลยแล้วมาอุ้มตัวคุณอยู่ คุณจะรู้สึกยังไง ผมก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีแน่


    <DD>เอาละ..พรุ่งนี้ผมกลับไปบ้านแล้วนี่ผมจะนิมนต์พระ 9 องค์มาทำบุญและก็บังสุกุลให้ เขาก็ไม่ยอมรับจนกระทั่งผมบอกว่าปีนี้ผมยังไม่ได้บวชเลยนะ ผมจะบวชและแผ่ส่วนกุศลให้ เท่านั้นละครับเสียงหายเลย ทำไมเขายอมรับครับ เมื่อเราบอกว่าจะบวชและแผ่ส่วนกุศลให้ คืออย่างนี้ครับ การทำบุญนี่มีหลายอย่าง การทำบุญด้วยการใส่บาตรนั้น สัตว์ทั้งหลายที่ตายไปแล้วสามารถจะได้รับเพียงบางส่วน เพราะว่าผู้ที่ก่อกรรมทำเข็ญไว้เช่น ฆ่าบุพการี ฆ่าพระสงฆ์ แล้วก็ทรมานสัตว์

    ตัวอย่างนี้นะครับ เวลาเราทำบุญใส่บาตร พวกนี้ไม่ได้รับครับ เพราะว่าพวกนี้ไม่ได้เป็นผี แต่เขาเป็นเปรต เขาเป็นเปรต อยู่ในนรก มันมีขุมอะไรต่าง ๆ อีก เขาตกนรก คราวนี้ถ้าหากว่าเขาอยู่ลึกไป 3 เมตร เราเอาไม้ประมาณ 100 เมตร แล้วก็ผูกอาหารไป เขารับไม่ได้
    <DD>

    เพราะงั้นเขาก็ไม่ยอมรับในสิ่งที่ผมเสนอไป เราบอกเราจะทำบุญด้วยการถวายสังฆทาน หมายความว่าเราต้องเสียเงินมากขึ้นมานิดหนึ่ง แต่เขา มีบาปมากเขาก็รับไม่ได้ เพราะ งั้นวิธีสุดท้ายที่เขาจะรับส่วนบุญจากเราได้คือการบวชและการแผ่ส่วนกุศลให้ เพราะงั้นพอวันที่ 30 กรกฎาคม2528 ผมถึงบวชครับ บวชที่นครราชสีมา วัดเบญจมบพิตร บวชอยู่ 1พรรษา.
    <DD>

    ในระหว่างที่บวชผมก็ได้ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น ก่อนนอนก็สวดมนต์ แล้วก็แผ่ส่วนกุศลไป หลังจากฉันเช้า ฉันเพล ผมก็สวดสัพพีให้ ตอนกลางคืนก่อนนอนผมก็สวดชินะบัญชร เพราะ ชินะบัญชรสามารถจะให้ได้ทั้งการแต่งงาน การทำบุญขึ้นบ้านใหม่การให้ศีลให้พรเป็นสิริมงคล หรือแม้แต่การทำน้ำมนต์ เป็นบทครอบจักรวาล ผมได้พูดถึงเรื่องการทำบุญ และผู้ที่ได้รับนั้นถ้าหากว่า ไม่มีเวร ไม่มีกรรมแล้วนี่ ก็จะสามารถได้รับส่วนบุญนี้ คราวนี้กลับมาอีกนิดเรื่องการทำบุญ
    <DD>


    <DD>คือตอนเช้าไม่ว่าจะทำบุญที่ไหนก็ตามแต่ ตามประเพณีเขาต้องมีการกรวดน้ำ บางคนบอกว่าผมไม่กรวดน้ำจะได้ไหมบอกได้ ท่านไม่กรวดน้ำ อาหารที่ท่านทำไปมันก็เป็นอาหารของท่าน คนอื่นกินไม่ได้ ญาติพี่น้องท่าน บุพการีท่าน ปู่ย่าตาทวดที่เสียชีวิตไปแล้วกินไม่ได้ แกจะมานั่งพับเพียบและมานั่งคอยดูอาหารอันนี้ แต่แกไม่ได้กินเพราะกินไม่ได้.


    <DD>วิธีที่เราจะแผ่กุศลไปให้คนตาย เราไม่จำเป็นต้องไปท่องบาลีสันสกฤตหรือภาษาพระเขาสวด เพราะเราไม่ใช่พระ เพียงแต่เราพูดว่า ข้าพเจ้าพันเอก เสนาะ จินตรัตน์ ขออุทิศส่วนกุศลอันมีข้าวแกง ปลาดุก เป็ปซี่กระป๋อง แล้วก็ลอดช่องนำกะทิ หรือไข่ดาวขอให้กับใคร ให้ คุณพ่อสิบเอก เลือน จินตรัตน์ อะไรอย่างนี้ แล้วก็่คุณยาย เอ่ยชื่อและนามสกุล http://images.google.co.th/imgres?i...A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3&gbv=2&hl=th&sa=G<DD>



    [​IMG]






    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2009
  4. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ได้ทำบุญวันนี้ คือ
    1.ร่วมค่ารักษาพยาบาลหลวงปู่ถม วัดเชิงท่า 1000.11บาท
    2.เจ้าภาพบวชสามเณรฤดูร้อนวัเพระธาตุดอยกวางคำ ลำพูน2รูป 2000.22 บาท
    3.ผ้าป่าโครงการบูรณะพรพุทธรูปชำรุดกับหลวงพ่อวิชญ์ 10,000บาท
    4.ร่วมบุญสถานีวิทยุธรรมะ บรรจุพระ สร้างพระ ถวายพระไตรปิฏก ชำระหนี้สงฆ์ สร้างมหาเจดีย์ วัดพุทธบูชา 2000 บาท
    5.ถวายสังฆทานวัดราชสิทธารม(วัดพลับ)และหลวงพ่อวีระ 6000 บาท
    ร่วมกันอนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอแสดงมุทิตาจิตกับน้องแมวหลวงด้วย
    บุญใหญ่ หลายเลยนี่ทั้ง 5 รายการสำคัญๆ ทั้งนั้น


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2009
  6. L.sooksun.E

    L.sooksun.E Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +50
    อนุโมทนาครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 19 สิงหาคม 2551 22:57:38 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๐๖ | พระเทวทัตถูกธรณีสูบ
    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๐๖ : พระเทวทัตถูกธรณีสูบ


    ฝ่ายพระเทวทัตทำการปรงพระชนม์พระพุทธเจ้า หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ แม้พระเจ้าอชาติศัตรูได้ทรงสดับข่าวของพระเทวทัต ก็ละอายพระทัย จึงเลิกโรงทานที่จัดอาหารบำรุงพระเทวทัตและศิษย์เสียสิ้น ทั้งไม่เสด็จไปหาพระเทวทัตเหมือนแต่ก่อน แม้ชาวเมืองทั้งหลายก็ไม่ศรัทธาเลื่อมใส ไม่พอใจให้การบำรุง แม้พระเทวทัตไปสู่บ้านเรือนใด ๆ ก็ไม่มีใครต้อนรับ เพียงแต่อาหารทัพพีหนึ่งก็ไม่ได้ พระเทวทัตได้เสื่อมเสียจากลาภสักการะทั้งปวง

    อีกทั้งเพราะสาเหตุที่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ได้มาแสดงธรรมให้แก่เหล่าภิกษุ 500 รูปที่เป็นบริวารของพระเทวทัต ให้เห็นแจ้งในธรรม แล้วติดตามพระสารีบุตรและโมคคัลนะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระเทวทัตจึงเป็นไข้ตรอมใจอยู่ 9 เดือนเกิดสำนึกได้ จึงประสงค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ใคร่จะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยแน่ใจในชีวิตสังขารของตนคงจะดับสูญในกาลไม่นานนั้นเป็นแน่แท้ จึงได้ขอร้องให้ภิกษุที่เป็นสาวกของตนให้ช่วยพาไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ภิกษุพวกนั้นกล่าว
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อไม่รู้จะอ่านอะไร : กำลังใจแด่ผู้เริ่มปฏิบัติธรรม
    -----------------
    ทางมาแห่งบารมี

    วันนี้เราพึงพอใจในการนั่งธรรมะได้ ๕ นาที
    วันพุร่งนี้ฝึกใหม่ ฝึกไปเรื่อย ๆ
    แม้วันพรุ่งนี้จะดีไม่เท่าวันนี้ก็ช่าง หรือดีกว่าวันนี้ ก็ช่าง
    ให้เฉย ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ ล้มลุกคลุกคลานกันไป เราก็ฝึกไป
    นี่เป็นทางมาแห่งบารมีของเรา

    ความเจริญงอกงามของจิตใจเกิดขึ้นทุกวินาที
    แม้เราว่าไม่เห็นจะก้าวหน้าอะไร ไม่เห็นมีอะไรใหม่
    แม้เราจะรู้สึกอย่างนี้ก็ตาม
    แต่ความละเอียดก็ถูกสั่งสมเอาไว้ในใจ

    บุญเกิดขึ้นทุกครั้งที่เราลงมือปฏิบัติอย่างที่เราไม่รู้ตัวเลย
    จะเกิดขึ้นทุกอนุวินาทีเลย
    กาย วาจา ใจของเราจะถูกกลั่นให้สะอาดแล้ว สะอาดเล่า
    บริสุทธิ์แล้ว บริสุทธิ์เล่า เพิ่มขึ้นทุกวัน

    (พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๕)

    __________________

    บรรลุธรรมได้ด้วยความเพียร

    ความขยันหมั่นเพียรเป็นหัวใจสำคัญ
    ในการปฏิบัติธรรม
    ผู้รู้ทั้งหลายที่ท่านได้บรรลุธรรม ก็อาศัยความเพียร
    สิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความขยันหมั่นเพียร
    ก็คือ ความเกียจคร้านนั่นเอง
    ซึ่งมีวิธีแก้ได้ด้วยคำ ๆ เดียวเท่านั้น ก็คือ "ขยัน"
    ถ้าขยันได้ ความเกียจคร้านก็จะหมดไป

    (พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๓)



    ทำใจให้ผ่องใส

    ทำใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ อย่าให้ใจเศร้าหมอง
    สิ่งใดที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรา
    ต้องกลั่นกรองให้เหลือแต่สิ่งดี ๆ
    ที่จะอยู่ในใจอันสุกใสสว่างไสวของเรา
    เพราะไม่วันใดวันหนึ่งเราก็ต้องไปสู่ปรโลก
    วันนั้น...เราจะต้องไปด้วยใจที่สว่างสุกใส...
    ไม่มีมลทินเลย

    (พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ๑ กันยายน ๒๕๔๕)



    เหมือนอากาศที่ขาดไม่ได้

    ต้องฝึกนิสัยขยันนั่งธรรมะจนติดเป็นนิสัย
    เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน
    เช่นเดียวกับการอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน
    ที่ต้องทำทุกวัน จนเป็นปกติ ไม่ทำไม่ได้
    ไม่ทำแล้ว เหมือนชีวิตขาดสิ่งที่สำคัญไปอย่างหนึ่ง
    เหมือนอากาศที่ขาดไม่ได้
    เราจำเป็นต้องหายใจทุกวัน หายใจอยู่ตลอดเวลา
    ถ้าไม่หายใจเราก็ตาย

    การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน
    ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
    ให้มีความสำนึกว่า
    การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิต
    สำคัญยิ่งกว่าอากาศที่เราหายใจ
    เพราะถ้าเราขาดอากาศ เราก็แค่ตายจากโลกนี้ไป
    แต่ถ้าขาดธรรมะแล้ว เราจะตายจากความดี
    ตายจากทุกสิ่งทุกอย่าง

    ธรรมะที่เราปฏิบัตินี่แหละ จะเป็นที่พึ่งติดตามตัวเรา
    แม้เราละโลกไปแล้ว ก็จะมีชีวิตใหม่ที่ประณีตกว่าเดิม
    เป็นชีวิตอันยาวนานที่มีความสุขด้วยการเข้าถึงธรรม
    ธรรมะจะติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติ
    ตลอดเส้นทางแห่งการเดินทางไปสู่ที่สุดแห่งธรรม

    (พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ๑๕ ตุลาคม ๑๕๔๓)



    ---------------------
    __________________

    งานที่แท้จริง

    ชีวิตของพวกเราทั้งหลาย
    เกิดมาเพื่อที่จะมาทำงานที่แท้จริง ที่เราเรียกว่า กรณียกิจ
    กิจที่แท้จริง ที่ควรทำก็คือ งานทำหยุดทำนิ่ง
    งานที่จะเอาชนะกิเลสอาสวะ
    ขจัดกิเลสอาสวะให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ
    ไม่มีส่วนเหลือของกิเลสอาสวะเลย
    ก็คือ สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษนั่นเอง
    ให้ใจใสสว่าง แล้วความไม่รู้ก็จะหมดไป
    ความรู้ที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริง ก็บังเกิดขึ้น
    เมื่อจิตของเราสว่างไสว สว่างโพลง...
    เราเกิดมาเพื่อการนี้นะลูกนะ

    (พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ๑๑ สิงหาคม ๒๔๔๕)



    มรดกโลก

    ลูก ๆ ทุกคน หมั่นพยายามตรวจตราดูว่า
    เรายังมีสิ่งที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขตนเองอะไรบ้างให้ดีขึ้น
    และให้ดีเพิ่มขึ้นไปทุกวันทุกคืน
    เพราะเราเหลือเวลาอย่างจำกัด...ไม่มากแล้ว
    จะต้องเก็บเอาความดี...ทั้งทาน ศีล ภาวนา ไปให้มากที่สุด

    เพราะเมื่อถึงวันสุดท้าย...
    ยิ้มสุดท้ายของเราจะได้สง่างาม
    จากไปก็ทิ้งข้อวัตรปฏิปทาการดำเนินชีวิตของเราให้เป็นมรดกโลก
    ให้ลูกหลานได้ศึกษา ฝึกฝน เดินตามรอยของเราต่อไป

    (พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕)



    การค้นพบที่ยิ่งใหญ่

    การที่เราค้นพบว่า
    ตัวเราเองมีข้อบกพร่อง ข้อควรปรับปรุงตรงไหน
    หลวงพ่อถือว่า เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์
    ยิ่งกว่าการค้นพบทางวิทยาศาสตร์
    แล้วจะอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นเข้าไปอีก
    ถ้าค้นพบแล้ว ลด ละ เลิก
    แก้ไขปรับปรุงตัวเราให้ดีขึ้น
    ซึ่งผลที่ได้ก็คือ ตัวของเราดี
    เราจะเป็นมนุษย์วิเศษ มนุษย์อัศจรรย์ทีเดียว

    (พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๕)


    --------------

    สัญลักษณ์แห่งคุณธรรม

    กำลังใจ นี่แปลก
    ยิ่งให้เขาเท่าไหร่ เรายิ่งได้เพิ่ม
    ผู้ให้ย่อมได้รับ ไม่ใช่ยิ่งให้ยิ่งหมด
    ผู้ให้กำลังใจ เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณธรรม
    ผู้ที่มีคุณธรรมสูง
    ย่อมมีความปราถนาดีต่อทุก ๆ คน ที่อยู่รอบข้าง
    ปรารถนาอยากให้เขาได้ดี
    นั่นสัญลักษณ์แห่งคุณธรรม
    สัญลักษณ์แห่งสติปัญญา

    (พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๕)



    ไม่ยินดียินร้าย

    เส้นทางสายกลาง
    ใจต้องเป็นกลาง ๆ
    ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้น
    ยินดีก็ไม่ได้...
    ยินร้ายก็ไม่ได้...
    นิ่งเฉย ๆ ให้ใจเป็นกลาง ๆ
    ทำเหมือนไม่ได้ทำ
    ทำอย่างนี้แล้วธรรมะจะก้าวหน้า

    (พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๙)



    อย่ากังวล

    เมื่อย ก็ให้เปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนท่านั่ง
    เรื่องร่างกายอย่าไปกังวล
    เราสนใจที่ใจหยุดใจนิ่งเท่านั้น
    เราไม่ได้มาแข่งขันกับอะไร หรือจะเอาแพ้เอาชนะ
    แล้วเราก็ไม่ได้มาฝึกความอดทนด้วย

    แต่เรามาฝึกหยุดฝึกนิ่ง มันคนละเรื่องกัน
    ต้องมุ่งการหยุดนิ่งภายในเป็นสำคัญ
    ส่วนเรื่องข้างนอกจะเคลื่อนไหวอย่างไร อย่าไปสนใจ

    (พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ๓๑ มีนาคม ๒๕๓๕)



    คลาย...เดี๋ยวก็หาย

    การฟุ้งซ่าน ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่สมหวัง
    เราจะต้องอนุญาตให้ตัวเรา
    ปล่อยความคิดที่สะสมไว้ในใจให้ผ่านไปบ้าง
    อย่าไปต้าน อย่าไปรำคาญ และอย่าไปกังวล
    ให้มันคลาย เดี๋ยวก็หาย
    เหมือนน้ำกำลังเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง
    เดี๋ยวจะตึงเครียด

    (พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ๓๑ มีนาคม ๒๕๓๕)




    ----------
    http://www.pantip.com/cafe/religious.../Y4375116.html
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อเดือนก่อนเดินไปสะดุดแผงพระข้างถนนที่ท่าพระจันทร์ เป็นกลุ่มพระสกุลพระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่า เลยถามดูว่าป้ามีกี่องค์ ป้าเลยยกมาให้ดูบอกมีแค่นี้ล่ะ นับดูได้สัก 50-60 องค์ เลยบอกผมเอาหมดน๊ะ เลยได้มาในราคาองค์ละแค่ปาท่องโก๋คู่หนึ่งเท่านั้นเอง สัปดาห์ก่อนได้พระสมเด็จพิมพ์ปัญจสิริในราคามิตรภาพลูกอมฮอล์ 3 เม็ด จับดูครั้งแรกก็รู้เลยว่าเป็นของหลวงปู่บรมครูฯ คณะธรรมทูตเทพโลกอุดร เลยเอามาล้างดูอีก 100 องค์ หย่อนงามนิดนึง แต่ทันหลวงปู่ฯ อธิษฐานจิตเอง ถือว่าใช้ได้ เลยลงภาพเก่าๆ มาให้ดู เอาเฉพาะพระฯ เจ้าคุณกรมท่า ก่อนก็แล้วกันครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    พระพิมพ์สมเด็จฯ ข้างต้นนี้ เป็นพระพิมพ์นอกมาตรฐานที่วงการเล่นหากัน ราคาอย่างสูงที่สุดไม่ควรเกินองค์ละ 10.- แต่ถ้าหากมีความสามารถทางจิตในการพิจารณาความวิเศษขององค์ผู้เสก และมีความเข้าใจในเรื่องจิตพอสมควร ประกอบกับการมีบาทฐานทางด้านศีล สมาธิ และปัญญาแล้ว แขวนเดี่ยวท่านได้โดยไม่อายใคร หนำซ้ำท่านยังส่งเสริมในหน้าที่การงาน และทำให้เงินไม่ขาดมือ นี่นับเป็นคุณวิเศษเบื้องต้นขององค์ท่านผู้อธิษฐานจิตไว้จริงๆ พระพิมพ์ชนิดนี้หาได้ง่ายที่แผงพระข้างทางเดินตลอดแนวถนนข้างวัดมหาธาตุ-ท่าพระจ้นทร์ ฝั่งแนวริมกำแพงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เศรษฐกิจยามนี้ หากไม่มีทรัพย์ไว้เช่าหาพระพิมพ์มาตรฐานวงการที่มีราคาแพง เอาท่านนี่ล่ะเป็นที่พึ่ง ไว้ใจได้จริงๆ ในขณะที่ up-load ภาพอยู่นี่ผมก็ห้อยพระพิมพ์ฯ ของท่าน แต่เป็นพิมพ์พระประธานครับ ขอให้ท่านกดคลิ๊กเพื่อขยายภาพให้ใหญ่ จำเนื้อ จำรักที่ทาเคลือบองค์พระไว้ จำผงทองที่โรย จำความเก่าให้ได้ หากมีของจริงไว้สักองค์ก็จะดูองค์ที่ 2 และ3 ได้ไม่ยาก ตามหาท่าน เก็บท่านไว้เถอะครับ ช่วยกัน ท่านจะได้ไม่ต้องไปกองตามข้างถนนอีกต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2009
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    และเพื่อเป็นการร่วมอนุรักษ์ของดีที่บรรพบุรุษของเราได้สร้างไว้ให้ลูกหลานมีไว้บูชาและเพื่อเป็นการสืบทอดพระศาสนาอีกโสตหนึ่ง ในงานบุญของทุนนิธิฯ ที่ รพ.สงฆ์ ประจำเดือนมีนาคม ที่จะมีการจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 นี้ผมจึงตกลงใจที่จะมอบพระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ทรงพิมพ์พระประธานที่มีความงามพร้อมโดยเป็นพระพิมพ์ที่ผู้เก็บได้คัดเลือกไว้ดีแล้วก่อนมาถึงผม และพระสมเด็จปัญจสิริ ที่อาจจะหย่อนงามสักนิดแต่ไม่จำกัดทรงพิมพ์ อย่างละ 1 องค์ รวมเป็น 1 คู่ ให้กับกลุ่มนักเรียนดูพระเดิมของทุนนิธิฯ และกลุ่มผู้ที่สนใจในการดูพระ จำนวน 20 คู่ เอาไว้ศึกษาและบูชากันฟรีๆ และไม่คิดมูลค่า โดยมีข้อแม้ว่าท่านต้องนำนม 1 กล่อง และผลไม้ 1 อย่างหรือสิ่งของสังฆทานอื่นใดที่ท่านพิจารณาแล้วเห็นว่าพระสงฆ์ที่อาพาธควรขบฉันได้ นำมาใส่ถุงสังฆทาน ร่วมกับสังฆทานอาหารเช้าที่ทุนนิธิฯ จัดไว้ให้แล้ว โดยท่านต้องไปประเคนที่ให้พระสงฆ์ที่ท่านอาพาธอยู่บนตึกด้วยตัวท่านเอง เสร็จแล้วกลับมานั่งศึกษาพระพิมพ์ทั้ง 2 ประเภทนี้ โดยการฟัง การพิจารณาเนื้อหา ความเก่าฯ ของพระทั้งคู่ที่อยู่ในมือท่านให้เข้าใจในหลักการก่อนเท่านั้นเอง ผมมีพระที่จะแจกให้ฟรีสำหรับใช้ในการศึกษาครั้งนี้ และมอบให้ท่านกลับไป 20 คู่ ศึกษาท่านให้รู้ ให้ถ่องแท้ ให้เข้าใจจุดประสงค์ของบรรพบุรุษ แล้วไปช่วยกันนำท่านขึ้นมาจากข้างถนนท่าพระจันทร์ หรือที่อื่นๆ ที่พบเจอ นำท่านไปบูชา หรือไปทำบุญตามวัดต่างๆ ให้สมกับเจตนาที่ท่านได้สร้างพระพิมพ์นี้ไว้ และช่วยกันจรรโลงพุทธศาสนาให้ดำเนินสืบไปจนถึงพุทธทำนาย นับว่าท่านจะได้กระทำบุญและกุศล ข้ามภพข้ามชาติไปหลายประการเลยทีเดียว หากท่านพร้อม ก็มาทำบุญกันที่ รพ.สงฆ์ในวันอาทิตย์ที่ 22/3 ด้วยกัน นม 1 กล่อง ผลไม้ 1 อย่าง มาด้วยใจ มาเรียนรู้สิ่งที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ พร้อมกับเอาสิ่งมงคลที่เรียนรู้ด้วยตนเองกลับไปไว้กับตัวเอง กับครอบครัว หากมีโอกาสพบเห็นท่านบนแผงพระ อย่าปล่อยไว้ สร้างกุศลกับตนเองก่อนตาย สืบทอดพระศาสนา ด้วยปัญญา ด้วยการปฏิบัติข้างต้น หากคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจริง ทุคคติภูมิ ไม่เกิดกับท่านแน่นอน ผมมั่นใจเช่นนั้นจริง...

    พันวฤทธิ
    8/3/52

    หมายเหตุ หากท่านใดสนใจที่จะเรียนรู้ให้แจ้งความจำนงในกระทู้นี้ก่อน ผมให้เฉพาะคนที่ทำตามกติกาเท่านั้น หลักการก็คือหลักการ ใครไม่แจ้งชื่อ ผมไม่แจก เพราะให้ฟรี ไม่มีการบริจาคเงิน ของดีมีคุณค่า ไม่สามารถให้กับคนที่ไม่รู้ค่าได้ครับ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ตัวอย่างพระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่า พิมพ์ทรงพระประธาน (มีหน้า มีตา พระเนตร พระกรรณ ทรงเครื่องพร้อม) ที่จะแจกให้ฟรี


    [​IMG]


    [​IMG]

     
  12. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    สวัสดีครับพี่โสระครับ
    วันนี้เวลา11:24 ได้โอนเงินทำบุญเข้าที่บัญชีพี่แล้วนะครับ
    รวมจำนวน450บาท
    โดยทำบุญตามข้างบน200บาท+ค่าส่ง50บาท
    และทำบุญส่งอาพาธประจำเดือนมีนาตามที่ทำปกติที่โอนเข้าที่บัญชีโดยตรง
    แต่ครั้งนี้ถือโอกาสฝากทำบุญด้วยนะครับจะได้ไม่ต้องเสียค่าโอนครับอีก200ครับ

    ขอบคุณครับพี่โสระและขอโมทนาบุญกับพี่โสระและทุกๆท่านด้วยนะครับ
    เอ
    เอก เอ อิน โต้ง ปอนด์ น้องต้นกล้า ขอโมทนาบุญด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2009
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เดือนมีนา-เมษา เป็นช่วงปิดภาคเรียนการศึกษาวัดบางวัดจะมีกิจกรรมบวชภาคฤดูร้อน วันนี้จึงขอนำรูปการบวชพระทีเป็นชาวเขาจาก pantip มาลงให้ดูกัน

    ...ผู้กล้า ไม่ใช่แค่เพียงกล้าทำอะไรที่คนธรรมดาทำได้ยาก หรือ เสี่ยงตาย กล้าบ้าบิ่น แต่ต้องกล้าที่จะฝึกฝนตนเองให้มีความสมบูรณ์ มีคุณธรรมสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ด้วย...

    หนุ่มๆ (ชายแท้) ทั้งหลาย คุณ คือ
     
  14. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    เมื่อวันอาทิตย์ที่8ผมได้ไปถวายผ้าป่าที่วัดคำหยาด จังหวัดอ่างทอง ได้นำสังฆทานอีก1ชุดของทุนนิธิฯไปถวายร่วมกับองค์ผ้าป่า โดยมีองค์หลวงพ่อบุญลือ พระดีที่หาได้ยากในปัจจุบันเป็นองค์รับ ทำการชักผ้าจากต้นผ้าป่า ส่วนสังฆทานถวายแด่พระสงฆ์ในวัดคำหยาดครับ


    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER><CENTER></CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มีนาคม 2009
  15. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]
    พระประธานภายในโบสถ์เก่าสมัยอยุธยาของวัดคำหยาด
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    ไปถึงวัดแล้วเลยรับเป็นกรรมการผ้าป่าหนึ่งกอง หลวงพ่อแจก พระฤาษีดาบส ที่สร้างมาตั้งแต่ปี2507 โดยอาจารย์ท่านคือหลวงปู่คำโป๋ได้เสกไว้และบรรจุไว้ในถ้ำ ด้านหลังเป็นรูปพระสี่องค์ เท่าที่ดูน่าจะเป็น หลวงปู่ทวด สมเด็จโต หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน ส่วนอีกองค์หนึ่งดูไม่ออกว่าเป็นท่านใด

    แต่ที่แน่ๆคือ พระนี้มีความพิเศษอยู่ที่
    1 รูปทรงเหมือนจตุคามที่โด่งดัง มีราหูอยู่ทั้งสี่ทิศแต่พระนี้ทำก่อนจตุคามรุ่นแรกของศาลหลักเมืองนครถึงยี่สิบกว่าปี
    2พระนี้ทำด้วยเจตตนาบริสุทธิ์ ทำกันเองโดยพระเณรในถ้ำ สมัยนั้นหลวงพ่อบุญลือยังเป็นพระหนุ่มอยู่ ส่วนหลวงปู่คำโป๋มีอายุเป็นร้อยปีแล้ว
    3 ผงที่นำมาทำพระนี้มีเมตตาและโชคลาภมากจนกลายมาเป็นพระที่ถ้าได้สัมผัสแล้วจะร้องว่าดีจัง
    <CENTER> </CENTER>

    <CENTER> </CENTER>
     
  16. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ขากลับไปกราบองค์หลวงปู่ทิม วัดพระขาว ไปถึงวัดนั่งรอที่หน้ากุฏิหลวงปู่ทิมซักระยะ ได้ยินว่าวันนี้มีพิธีเสกวัตถุมงคลรุ่น 8 รอบที่วัด หลวงปู่ท่านไม่ค่อยสบายเลยไม่ออกมาให้กราบ ผมเลยกลับก่อนออกรถเดินไปดูแผงพระในวัด เห็นสมเด็จรุ่นดังของหลวงปู่เลยติดมือกลับว่าหนึ่งองค์
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    พระสมเด็จรุ่น ชนะจน เป็นพระที่สร้างขึ้นเมื่อปี2540 ตอนนั้นภาวะตกต่ำของเศรษฐกิจไทยกำลังรุนแรง ท่านจึงอธิษฐานพระนี้อย่างดี เน้นโชคลาภ เมตตามากเป็นพิเศษ ​
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    เจอที่ไหนเก็บได้ก็ดีนะครับ เพราะยังไม่แพงอยู่หลักร้อยข้อสำคัญ เค้าว่ายังไม่มีปลอม สำหรับเหรียญรุ่นชนะจนนี้ราคาเป็นพันมีปลอมมากแล้วครับ

    สมเด็จองค์นี้พิเศษตรงที่ความคมชัด สวยงามมากเลขประจำองค์พระเป็นหลักร้อย (ส่วนใหญ่เจอเลขหลักพันหรือหมื่น) มีเกศาหลวงปู่ทิมแถมให้ด้านหน้า ส่องกล้องดูใสเป็นแก้วเลยครับ ที่สำคัญสัมผัสแล้วจะบอกว่าเทียบพระสมเด็จรุ่นเก่าๆได้สบายเมตตาสุดๆจริงๆ
     
  17. BD

    BD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +419
    ผมสมัครเรียนด้วยครับ อยากรู้เรื่องจริงจากผู้รู้โดยตรงพร้อมหลักฐานเอาไว้สอนลูกหลานได้ร่วมอนุรักษ์ของดีที่บรรพบุรุษของเราได้สร้างไว้นะ่ครับ
     
  18. BD

    BD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +419
    สาธุ สาธุ โมทนด้วยครับ ผมผ่านวัดนี้บ่อยแต่ไม่เคยแวะเลย ขอบพระคุณที่ช่วยแนะนำครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มีนาคม 2009
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">ตอนที่ ๒๐ นางผู้มีใจประเสริฐ </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=createdate vAlign=top colSpan=2>๒ ธันวาคม ๒๕๔๗ </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>
    [​IMG]

    .......นางวิสาขาได้กราบทูลเล่าเรื่องที่ใช้นางทาสีไปกราบอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ยังวัดเชตวัน และได้เห็นพระภิกษุอยู่ในอาการไม่งามให้ทรงทราบแล้ว จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
    ๑ . การเปลือยกายเป็นสิ่งไม่งาม น่าเกลียดน่าชัง หม่อมฉันพิจารณาเห็นประโยชน์ จึงประสงค์จะถวายผ้าสาฎกแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
    ๒ . พระภิกษุอาคันตุกะไม่ชำนาญทาง ไม่รู้จักที่โคจร ย่อมจาริกบิณฑบาตลำบาก เมื่อพระคุณเจ้าได้ฉันอาคันตุกภัตของหม่อมฉันแล้ว พอชำนาญทางและรู้จักที่โคจรก็จะจาริกบิณฑบาติได้สบาย หม่อมฉันพิจารณาเห็นประโยชน์นี้ จึงประสงค์จะถวายอาคันตุกภัตแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
    ๓ . พระภิกษุผู้เตรียมตัวจะเดินทางไกล มัวแสวงหาอาหารเพื่อตนอยู่ อาจจะทำให้พลาดจากหมู่เกวียน หรือจะทำให้เดินทางล่าช้าไปถึงเวลาพลบค่ำทำให้ประสบความลำบาก เมื่อพระคุณเจ้าได้ฉันคมิกภัตของหม่อมฉันแล้วจะเดินทางได้โดยสะดวก หม่อมฉันพิจารณาเห็นประโยชน์อย่างนี้จึงประสงค์จะถวายคมิกภัตแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
    ๔ . เมื่อพระภิกษุอาพาธ ไม่ได้รับโภชนาหารเป็นที่สบาย บางทีอาพาธอาจกำเริบหรืออาจทำให้มรณภาพได้ แม้เมื่อพระคุณเจ้าฉันคิลานภัตของหม่อมฉันแล้ว อาพาธจะทุเลาหรือพระคุณเจ้าไม่ถึงมรณภาพ หม่อมฉันพิจารณาเห็นประโยชน์อย่างนี้ จึงประสงค์จะถวายคิลานภัตแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
    ๕ . พระภิกษุผู้พยาบาลพระภิกษุอาพาธ มัวแสวงหาอาหารเพื่อตนเอง กว่าจะได้อาหารไปถวายพระภิกษุอาพาธก็จวนเวลาสาย กลัวตนเองจะอดอาหาร เมื่อพระภิกษุผู้พยาบาลได้ฉันคิลานุปัฏฐากของหม่อมฉันแล้วจะได้นำอาหารไปถวายพระภิกษุอาพาธได้ทันเวลา หม่อมฉันพิจารณาเห็นประโยชน์อย่างนี้ จึงประสงค์ที่จะถวายคิลานุปัฏฐากแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
    ๖ . พระภิกษุอาพาธเมื่อไม่ได้คิลานเภสัชที่ตรงกับโรคอาพาธ อาพาธจะกำเริบหรือจะถึงมรณภาพ เมื่อพระคุณเจ้าได้ฉันคิลานเภสัชของหม่อมฉันแล้ว อาพาธจะทุเลาลงหรือไม่ถึงมรณภาพ หม่อมฉันพิจารณาเห็นประโยชน์ข้อนี้ จึงประสงค์ที่จะถวายคิลานเภสัชแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
    ๗ . พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นอานิสงส์ ๑๐ ประการ คือ ให้อายุ ให้วรรณะ ให้สุข ให้กำลัง ให้ปฏิญาณ ช่วยกำจัดความหิว ช่วยบรรเทาความกระหาย ทำลมให้เดินสะดวก ชำระล้างลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร ได้ทรงอนุญาตข้าวต้มไว้แล้ว ณ เมือง อันธกวินทะ หม่อมฉันพิจารณาเห็นอานิสงส์ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสนั้น จึงประสงค์จะถวายธุวยาคู คือ ข้าวต้มประจำวันแก่พระสงฆ์จนตลอดชีวิต
    ๘ . ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระภิกษุณีทั้งหลายเปลือยกายอาบน้ำร่วมท่าน้ำเดียวกับหญิงแพศยา

    ณ แม่น้ำอจิรวดีนี้ พวกหญิงแพศยาเหล่านี้พากันเย้ยหยันพระภิกษุณีว่า
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บทความนี้ขอมอบให้แก่คุณกำธร ที่กำลังป่วย และได้กรุณาติดต่อมาที่ผมครับ ตั้งใจให้ดี ทำที่ไหนก็ได้ครับ ขนาดทำชั่วทำคนเดียวคนอื่นไม่เห็นยังตกนรก ทำดีด้วยการช่วยสงฆ์อาพาธ ไม่จำเป็นที่จะเป็น รพ.สงฆ์ อานิสงส์ตามที่เอามาลง นี้ล่ะครับ ถ้าเชื่ออย่างน้อยก็เท่าทุน คือเสมอตัว แต่ผมรับรองไม่ติดลบแน่นอน


    สลักธรรม 1
    อานิสงส์การรักษาพยาบาลภิกษุสามเณรอาพาธ
    ๑. ชื่อว่าเสมือนอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า "ผู้ใดต้องการอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นจงไปอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด"

    ๒. อกุศลกรรมในอดีตชาติ จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ ถือเป็นการสเดาะเคราะห์อย่างหนึ่งได้

    ๓. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติ เมื่อได้รับส่วนบุญนี้จะเลิกจองเวรจองกรรม ช่วยให้พ้นเวรพ้นกรรม

    ๔. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง เทวดารักษา สรรพวิญญาณเมตตาปราณี

    ๕. เหล่าวิญญาณร้ายไม่อาจเบียดเบียนบีฑาได้

    ๖. จิตใจสงบร่มเย็น ปวงภัยไม่เกิด ฝันร้ายไม่มี มีสง่าราศีผ่องใส สุขภาพเเข็งเเรง กิจการงานเป็นมงคลแก่ตัว อายุยืนยาว ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

    ๗. คุณธรรมเจริญมั่นคง ปฏิบัติธรรมก้าวหน้า ปัญญาเกิด

    ๘. ไม่พลัดพรากจากคนรัก ของรัก ก่อนเวลาอันควร

    ๙. ชื่อว่าได้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ยั่งยืน

    ๑๐. ถือเป็นการทำสังฆทานอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการถวายการอุปัฏฐากบำรุงแก่พระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก

    ๑๑. จะไม่ไร้ญาติขาดมิตร เวลาแก่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะมีคนคอยดูเเล ไม่ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว

    ๑๒. มีเดชบารมีมาก มียศวาสนา เป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีใครข่มขี่เบียดเบียนได้

    ๑๓. จะเป็นที่รักแก่คนทั้งปวง ไปที่ใดจะมีผู้คอยช่วยเหลือเกื้อหนุน ไม่ถูกปล่อยให้ขัดข้องในเรื่องทั้งปวง

    ๑๔. จะมีสมบัติมาก และสมบัติจะไม่ถูกทำลายโดยราชภัย โจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย ฯลฯ

    ๑๕. จะได้พบพระอริยสงฆ์ ได้พบพระอรหันต์ ได้พบพระดี ได้พบพระเครื่องพระบูชาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่เจอพระปลอม ไม่เจอพระเก๊ พระทุศีล

    ๑๖. จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้า และเข้าถึงธรรมได้โดยง่ายดาย

    ๑๗. จะได้เจอครูบาอาจารย์และเพื่อนที่ทรงคุณธรรม

    ๑๘. ด้วยบุญที่อุปัฏฐากภิกษุอาพาธนี้จะเป็นปัจจัยแก่สวรรค์และนิพพาน

    ๑๙. ด้วยบุญที่อุปัฏฐากภิกษุอาพาธนี้ สามารถอธิษฐานให้เป็นปัจจัยแก่การบรรลุเป็นพระมหาสาวก พระอัครสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลได้

    ที่มา http://www.palapanyo.com/files/tip/fbody.php?f=med.html

     

แชร์หน้านี้

Loading...