ขอคำแนะนำครับ จากอาการที่เป็นอยู่ครับ อยากไปต่อครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kamkling, 4 มีนาคม 2009.

  1. kamkling

    kamkling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +562
    ปกติก่อนนั่งสมาธิผมจะสวดชินบัญชรก่อนครับ สำหรับผมเองผมนั่งได้ถือว่านิ่งมากครับ ภาวนาพุทธโธ มีเสียงยังไงก็ไม่สนครับ แต่อาการที่ผมเป็นนี่สิ เวลานั่งสมาธิไปสักพักจะมีอาการ ขนลุกทุกครั้ง ( จะแผ่จากด้านหลังขึ้นถึงหัวเลยครับ ปกติคนเราจะขนลุกที่แขน แต่นี่มาจากด้านหลัง ) และเหมือนตัวจะหมุน เอนไปเอนมา และตัวเบามากเหมือนลอยยังไงยังนั้นเลยครับ บางครั้งชาไปทั้งตัว หลัง ๆ เป็นทุกครั้ง ( เพราะผมนั่งสมาธิทุกวัน ) บางครั้งบางวันก็มีอาการตึงที่ตรงหน้าผาก ระหว่างคิ้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร สักพักก็หาย ตอนนี้ผมอยากจะพัฒนาต่อ จะต้องทำยังไงบ้างครับ และอาการที่เป็นใช่ปิติหรือเปล่าครับ เพราะผมอ่านในบอร์ดจะคล้าย ๆ กัน ขอคำแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อาการที่ปรากฏระหว่างปฏิบัติที่เล่ามา ไม่ใช่ปัญหา เป็นเรื่องปรกติ

    ปัญหาตอนนี้คือ ความกังวล ที่เรียกว่า กุกกุจจะ มันมาครอบงำ อยาก
    จะให้ผลมันเกิดดีๆ สำเร็จเร็วๆ อย่างใจ

    อย่าไปเผลอสร้าง นิวรณ์ ขึ้นมาครับ ทำเรื่อยๆ บ่อยๆ เนืองๆ อะไรเกิด
    ขึ้นก็แค่รู้ สักแต่ว่ารู้ ระลึกรู้ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อาการใดปรากฏก็
    ระลึกรู้ มันปรากฏซ้ำก็ระลึกรู้ มันดับไปก็รู้ชัดว่ามันดับไป สังขารธรรม
    ทั้งหลายย่อมมีชรา และดับไปเป็นธรรมดาเมื่อหมดเหตุ อะไรปรากฏก็แค่
    รู้สึก รู้สึก

    ทีนี้ก็ดูเรื่อง นิวรณ์ทั้ง5 เวลานวรณ์เกิดก็ให้รู้ทัน อย่าให้มันเจริญ เพราะมัน
    จะค่อยๆทำให้เราห่างจากผลสำเร็จ

    เวลาเลิกปฏิบัติ ออกมาใช้ชีวิตประจำวัน จิตใจคุณจะละเอียด กิเลสไหวตัว
    คุณจะรู้สึกได้ก่อนถึงการก่อตัวของมัน ก็ให้ทำความรู้สึกว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่
    ดับไป รู้สึก รู้สึก ไปเหมือนกับการจัดการอาการที่เกิดระหว่างนั่งสมาธิ สภาวะ
    สังขารของกิเลส มันหยาบกว่าสภาวะทีเกิดในสมาธิ หากสภาวะในสมาธิคุณยัง
    รู้สึก และจัดการได้ด้วยวิธีการดู ระลึกรู้ สักแต่ว่าเห็น ไม่กระโจนลงไปยินดี หรือ
    ยินร้าย มันก็ลากคุณไปไม่ได้ กิเลสลากคุณไปไม่ได้ก็เรียกว่า จิตคุณมีศีลอยู่ แต่
    ถ้ามันลากไปได้คุณก็ต้องสมาทานศีล

    ก็ปฏิบัติไปแบบนี้ ลองดูครับ

    การนั่งสมาธิ ก็คือ การทำสมถะกรรมฐาน ทำสมาธิตามรูปแบบ

    การตามรู้ ตามดู กิเลสในชีวิตประจำวัน ระหว่างวันที่เราทำหน้าที่อื่นๆ อันนี้
    ก็เรียกว่า ทำการตามเห็นอันวิเสษ เรียกว่า ทำวิปัสนนา การตามรู้ตามดูสภาวะ
    ธรรมละเอียดระหว่างปฏิบัติตามรูปแบบ ก็ถือเป็นวิปัสสนา

    สมถะ และ วิปัสสนา ควรเจริญทั้งคู่ ด้วยปัญญาอันยิ่ง(สลับไปสลับมาให้มี
    จังหวะ จะทำให้กิลส นิวรณ์ ลากเราไปไม่ได้)
     
  3. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937
    จะสวดมนต์ก่อนหรือไม่ ก็ได้ แต่เวลาสวดให้มีสติรู้การทำงานของใจไปด้วย เช่นสวดๆอยุ่ ใจไปคิดถึงเรื่องอื่นนอกจากมนต์ที่สวดก็ให้รู้

    ส่วนอาการต่างๆที่คุณเล่ามา ก็เป็นอาการธรรมดาของคนปฏิบัติทำแต่สมาธิ แถมเพ่งเกินไปด้วย เพราะร่างกายมันแข็งมันตึง แต่ถ้าคุณอยากให้ชีวิตคุ้มค่าให้การทำสมาธิของคุณไปต่อยอดในการเจริญสติ เพื่อให้ปัญญาเกิดได้ ต้องปรับเปลี่ยนนิดนึง

    ก่อนภาวนาพุธโธดูจิตใจให้สบายก่อนแล้วค่อยภาวนา เมื่อภาวนาพุธโธๆๆ ไปเรื่อย แล้วเผลอไปนึกถึงเรื่องอื่น นอกจากคำบริกรรมพุธโธ ก็ให้สังเกตเห็น พอบริกรรมอีก เผลอไปคิดเรื่องอื่นอีกก็ให้รู้ ง่ายๆแค่นี้ ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมให้ซ้ำซ้อนอีกน่ะ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ การภาวนาของคุณจะพัฒนาทั้งในด้าน สติ สมาธิ และปัญญา หรือถ้าอยากศึกษาธรรม ฟังเสียงเทศน์แนะนำลิงค์ด้านล่างที่อยู่ในลายเซ็นต์ของผมครับ

    โมทนาด้วยน่ะ
     
  4. MrBean

    MrBean สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +0
    อนุโมทนาด้วยนะครับ
    อาการที่เกิดเป็นปิติเราดี ๆ นี่เองนั่นแหละครับ ก็เข้าใกล้องค์ฌานเข้าทุกขณะ
    ถ้าจะให้แนะนำไปต่อ ท่านควรจะละวางอาการทั้งหลายครับ ไม่ควรใส่ใจมากถ้าอยากไปต่อ
    การไปต่อก็คือการถึงฌาน 1 ครับ
    การจะถึงฌาน 1 ท่านจะมีคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดคือ ละนิวรณ์ 5 ให้ได้
    จริง ๆ เมืิ่อสมาธิดี ท่านไม่จำเป็นต้องละหรอกนะครับ
    นิวรณ์ 5 จะหมดไปเอง เมื่อนิวรณ์หมดเด็ดขาดขณะนั้น อาการณ์ของฌาน 1จะปรากฏออกมาเหมือนตำราเลยครับ
     
  5. kasitun

    kasitun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +181
    โมทนาด้วยค่ะ

    หลายคนนั่งมาตั้งนานยังไม่ได้ปิติเลยนะคะ

    ไปต่อ ... ก็นั่งต่อไป ... ไม่ต้องสนใจค่ะ
     
  6. moodang99@yahoo.com

    moodang99@yahoo.com เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +160
    โมทนาบุญด้วยนะคะ เราเองก็เป็นเหมือนกัน แต่ผ่านขั้นนี้มาแล้ว แต่ละคนอาการปีติจะไม่เหมือนกัน อย่าไปสนใจร่างกายมันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ตามดูจิตของเราก็พอ
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456



    [​IMG][​IMG][​IMG]

    [​IMG]
     
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    สรุปแล้วเป็นอาการของปิตินะครับ ทั้งขนลุกและ ตัวโยก ถือเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ปฏิบัติธรรมนะครับ.....ยิ่งคุณฝึกกรรมฐานกองนี้(อานา)....เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องผ่าน.....แนะนำนะครับอย่าไปฝึกแบบใหม่นะครับ...ของเก่าดีอยู่แล้ว....พัฒนาให้ดีขึ้นก็ได้แล้วครับ....ไม่ต้องไปเริ่มใหม่เสียเวลานะ.....
    ผมจะยกข้อความเดิมอีกครั้งจาก หนังสือ วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ ของหลวงพ่อ ตามเดิม........แนะนำให้ศึกษาหมดทั้งเล่มนะครับ....แล้วจะเข้าใจ....อาจกล่าวได้ว่า อาการทางสมาธิที่ถามในเวบบอร์ดนี้อยู่ที่นี่เกือบทั้งหมด......

    <TABLE width="45%" align=center border=1><TBODY><TR><TD>อาการและอารมณ์ของอุปจารสมาธิ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    อาการของอุปจารสมาธิคือ ปีติได้แก่อารมณ์ความอิ่มใจเมื่อทำมาถึงตอนนี้อารมณ์
    จะชุ่มชื่นมาก อารมณ์สะอาดเยือกเย็น มีความเป็นสุขอย่างยอดเยี่ยม ไม่เคยพบความสุข
    อย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต ตอนนี้เวลาภาวนาลมหายใจจะเบากว่าปกติมาก อารมณ์เป็นสุข
    ร่างกายของนักปฏิบัติที่เข้าถึงระดับนี้ ผิวหนังจะนวลขึ้นเพราะอารมณ์ที่มีความสุขแต่อาการ
    ทางร่างกายนี่สิที่ทำให้นักปฏิบัติตกใจกันมากนั่นก็คือ
    ๑. อาการขนลุกซู่ซ่า เมื่อเกิดอาการอย่างนี้หรืออย่างอื่นที่กล่าวถึงต่อไปจะมีอารมณ์
    ใจเป็นสุข ขอให้ทุกท่านปล่อยอาการอย่างนั้นไปตามสภาพของร่างกาย จงอย่าสนใจ เมื่อสมาธิ
    สูงขึ้น หรือลดตัวลงต่ำกว่านั้น อาการอย่างนั้นก็จะหมดไปเอง อาการขนลุกพองถ้ามีขึ้นพึงควร
    ภูมิใจว่า เราเข้าถึงอาการของปีติระดับหนึ่งแล้ว อย่ากังวลอาการของร่างกาย
    ๒. อาการของปีติขั้นที่ ๒ ได้แก่อาการน้ำตาไหล
    ๓. อาการของปีติขั้นที่ ๓ คือร่างกายโยกโคลง โยกไปข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง
    บางคราวโยกแรง จนศีรษะใกล้ถึงพื้น
    ๔. อาการของปีติขั้นที่ ๔ ตามตำราท่านว่าตัวลอยขึ้นบนอากาศ แต่ผลของการปฏิบัติ
    ไม่แน่นัก บางรายก็เต้นเหมือนปลุกตัว บางรายก็ตัวลอยขึ้นบนอากาศ เมื่อลอยไปแล้ว ถ้าสมาธิ
    คลายตัวก็กลับมาที่เดิมเอง (อย่าตกใจ)
    ๕. อาการของปีติขั้นที่ ๕ คือ มีอาการแผ่ซ่านในร่างกายซู่ซ่าเหมือนมีลมไหลออก
    ในที่สุดเหมือนตัวใหญ่และสูงขึ้น หน้าใหญ่แล้วมีอาการเหมือนลมไหลออกจากกาย ในที่สุด
    ก็มีความรู้สึกว่าตัวหายไปเหลือแต่ท่อนหัว
    อาการทั้งหมดนี้ เมื่อเกิดขึ้นอารมณ์ใจจะมีความสุข ฉะนั้น นักปฏิบัติให้ถืออารมณ์ใจ
    เป็นสำคัญ อย่าตกใจในอาการตามที่กล่าวมาแล้วนั้น พอสมาธิสูงถึงระดับฌานก็จะสลายตัว
    ไปเอง ปีตินี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วอารมณ์จะเป็นสุข คือถึงระดับที่สี่ ที่จะเข้าถึงปฐมฌาน ต่อไปก็
    เป็นปฐมฌานเพราะอยู่ชิดกัน​



    ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=150
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2009
  9. kong_sorakrit

    kong_sorakrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,771
    ค่าพลัง:
    +3,426
    ผมแนะนำให้ลองฟังพระธรรมเทศนา โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
    วัดร่มโพธิธรรม บ้านหลัก 160 กิ่งอำเภอหนองหิน จังหวัดเลย


    บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ที่ไม่ใช่ตัวเอง
    บนพื้นฐานแห่งการไม่ยีดติด ปราศจากความหมาย ไร้ความเเตกต่าง
    ไม่ใช่ตรงที่คอยติดหรือคอยหลุด



    ที่มา http://www.rombodhidharma.com/Pg-04-Dharma.htm
    http://web.nkc.kku.ac.th/manit/watromphothitham.htm
     
  10. j.chaisat

    j.chaisat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    299
    ค่าพลัง:
    +842
    ผมก็มีอาการคล้ายๆ กับคุณครับ

    คือเมื่อประมาณเมษา-พฤษภา 2551 ปีที่แล้ว ผมได้ฝันว่าได้ไปในสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่เคยไปมาก่อน..โบราณ แปลกๆ ไม่สว่างมากนักแต่ก็มองเห็นได้ชัดเจน พอรู้ว่าเห็นอะไรบ้าง..สิ่งที่เห็นคือ น่าจะเป็นสถูปเจดีย์ มีความคล้ายแต่ไม่เหมือนวัดบ้านเรา...แต่รู้ว่าคือวัดของศาสนาพุทธแน่นอน....(เก่ามากๆ)...
    ตรงเบื้องหน้าของผม ราว 15-20 เมตร ผมมองเห็นกลุ่มคนกลุ่ม (10กว่าคน)นั่งสนทนากัน..เบาๆ..ผมไม่ได้ยินเพราะอยู่ไกล..ผมจึงเดินเข้าไปหา..(ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเข้าไปหา..ใจมันสั่งเอง) จู่ก็ไดนเสียงแว่วดังขึ้นที่หู..หรือจิต ก็ไม่รู้ง่ะ ..แต่ได้ยินบอกว่า "อยากเห็นใช่ไหม....(ชื่อเล่นผม)" ผมงี้ขนลุกซู่เลย...ยิ่งรีบเดินเข้าไปหา เพราะอยากรู้ ผมมองเห็นกลุ่มคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น สวมชุดเหมือนนักบวช(พระ) สีน้ำตาลแก่ๆ หลายคนมองที่ผม...ผมก็มองทุกคน...แต่แปลก มีอยู่คนหนึ่งลักษณะไม่เหมือนเพื่อนเค้า อยู่สูงกว่าเพื่อนนิดหน่อย ที่ศรีษะมีผม มีจุก แต่คนอื่นไม่มีจุก...(ตัวผมรีบตรงเข้าไปหาท่านเลย)
    เหมือนอยากเจอมานาน...แต่ท่านกลับยกมือขึ้นโบก 1 ครั้ง แล้วพระที่นั่งข้างๆ
    ก็เดินมายืนอยู่ตรงหน้าผม..ผมก็เลยนั่งลงกราบท่าน..ก็เลยแหงนหน้ามองท่าน
    ที่ตัวท่านจู่ๆ ก็มีแสงอะไรไม่รู้ มีสีขาว เหลือง เขียว สว่างมาก แล้วก็เปลี่ยนเป็นเครื่องทรงสีเขียว สีทอง ระยิบระยับแล้วก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนจุดพลุครับ
    ผมก็จะเดินเข้าไปหาท่านอีกท่านก็โบกมือแบบนี้อีก ก็มีพระเดินมาหาอีกและก็
    เป็นลักษณะแบบเดิม ผมก็กราบอีก(มีแสง + พุ่งไปบนฟ้า) ประมาณ 3-4 องค์ .....กว่าผมจะมานั่งอยู่หน้าท่าน(ในใจก็คิดอยู่ว่า..นี่หรือพระพุทธองค์)แต่ก็ไม่กล้าพูด...ในใจมันตื้นตัน..ปีติ..ไม่เคยเป็นมาก่อน...ดีใจจนร้องไห้ออกมา...ผมมองหน้าท่าน..และก้มลงกราบ+ร้องไห้ไปด้วย...แล้ววืบๆๆ ตื่น...ตื่นมายังพบว่าตัวเองร้องไห้จริง..น้ำตางี้ไหลพรากๆ เลย.....
    หลังจากนั้นไม่นาน...ตัวผมเป็นยังไงไม่ทราบ..อยู่ดีอยากนั่งสมาธิก็เลยรองนั่งดู(นั่งหย่อนขาบนเก้าอี้แล้วหลับตา) พอเท่านั้นแหละมันโยกหน้าโยกหลัง หัวใจเป็นหวิวๆ หายใจแปลกๆ สั่น มันไม่หยุด ก็เลยเลิกเพราะตกใจ นั่อยู่บนรถบัสมันยังเป็นเลย..ผมก็กลัวหัวใจจะวาย มันเป็นอยู่ทั้งวัน ทั้งคืนเลย...นั่งอยู่หน้าคอมฯ บางครั้งก็เป็น..บางครั้งก็ไม่เป็น...แปลกแต่จริง...
    *****เมื่อคืนวานรองนั่งดูรู้สึกว่ามันแผ่ซ่านตั้งแต่หัวเลย สว่างบ้างมืดบ้าง...
    ภายในใจคิดถึงพุทโธ + มรณัง และกราบขอพระจอมมุณีช่วยปกป้องคุ้มครอง
    และขอชัยมงคลจงมีแก่เรา (ทั้งทำสมาธิ+ชีวิต งาน และอื่นๆ ครับ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...