วิธีทำศพแบบ ทิเบต เลือดเนื้อเพื่อสัตว์โลก

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย หนึ่ง99999, 24 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>
    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]




    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">การทำศพแบบทิเบตที่เห็นนี้เขาเรียกว่า Sky Burial หรือการฝังแบบห่มด้วยท้องฟ้า

    Stupa burial and cremation are reserved for high lamas who are being honored in death.

    การทำศพมีอีกแบบหนึ่ง คือ แบบฝังในเจดีย์ และการเผา ซึ่สงวนไว้สำหรับเพื่อการให้เกียรติพระลามาะตำแหน่งสูง ๆ เท่านั้น

    Sky burial is the usual means for disposing of the corpses of commoners. Sky burial is not considered suitable for children who are less than 18, pregnant women, or those who have died of infectious disease or accident.

    การฝังศพแบบห่มด้วยท้องฟ้านี้ ใช้สำหรับสามัญชน
    แต่มีข้อยกเว้นไม่ใช้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี
    หรือ สตรีตั้งกำลังตั้งครรภ์
    หรือ คนที่ตายจากโรคติดต่อ หรือ อุบัติเหตุ

    The origin of sky burial remains largely hidden in Tibetan mystery.

    กำเนิดของพิธีนี้เป็นเรื่องลึกลับ
    ไม่มีใครรู้ประวัติว่าเริ่มเมื่อไร

    Sky burial is a ritual that has great religious meaning.

    การฝังศพแบบนี้
    เป็นพิธีกรรมทางศานาพุทธทิเบตที่สำคัญมาก

    Tibetans are encouraged to witness this ritual, to confront death openly and to feel the impermanence of life.

    ชาวทิเบตทุกคนจะได้รับเชิญให้ไปเป็นพยาน
    ในการทำพิธีนี้โดยทั่วกัน

    Tibetans believe that the corpse is nothing more than an empty vessel.

    ชาวทิเบตเชื่อว่าเมื่อคนตายแล้ว
    ศพก็คือเปลือกที่ว่างเปล่า

    The spirit, or the soul, of the deceased has exited the body to be reincarnated into another circle of life.

    ส่วนวิญญาณนั้น
    ได้ออกจากร่างไปเกิดไหม่แล้ว

    The corpse is offered to the vultures.

    ส่วนศพก็จะให้เป็นอาหารแก่นกแร้ง
    ที่มีมากมายในแถบนั้น


    It is believed that the vultures are Dakinis. Dakinis are the Tibetan equivalent of angels. In Tibetan, Dakini means "sky dancer".

    เขาเชื่อกันว่า
    นกแร้งนั้นมีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดา

    Dakinis will take the soul into the heavens, which is understood to be a windy place where souls await reincarnation into their next lives.

    ซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้
    จะนำเอาวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์

    This donation of human flesh to the vultures is considered virtuous because it saves the lives of small animals that the vultures might otherwise capture for food.

    นอกจากนี้ ยังถือว่าเป็นการให้ทาน
    เพราะการให้อาหารด้วยศพนี้
    จะทำใหนกแร้งไม่ต้องไปจับสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหารไปได้หลายมื้อ
    ทำให้ช่วยสัตว์เล็ก ๆ ไว้ได้หลายชีวิต

    Sakyamuni, one of the Buddhas, demonstrated this virtue. To save a pigeon, he once fed a hawk with his own flesh.

    ในเรื่องของศาสนาพุทธก็มีเรื่องเล่าว่าพระศกยมุนี พระพุทธเจ้า
    ว่าพระองค์ได้เคยเฉือนเนื้อตนเอง
    ให้เป็นทานแพญาเหยี่ยวเพื่อช่วยชีวิตนกพิราบเหมือนกัน

    After death, the deceased will be left untouched for three days.

    พิธีนี้เขาจะทิ้งศพไว้กลางแจ้ว 3 วัน

    Monks will chant around the corpse.

    พระลามะ จะอยู่ดูแลศพตลอด

    The ritual of sky burial usually begins before dawn.

    พิธีนี้จะเริ่มต้นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น


    http://www.travelchinaguide.com/cityguides/tibet/sky-buria.htm
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_1940 vAlign=bottom><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">[​IMG]


    พูดถึงความสุขใจจาก การเป็นผู้ให้ ลูกรู้ไหมว่าชาวธิเบตได้ชื่อว่าเป็น ผู้ให้ตราบจนชีวิตหาไม่ เพราะพิธีศพของชาวธิเบตแต่โบราณจะไม่ฝังหรือเผา แต่จะนำศพผู้ล่วงลับขึ้นไปบนหน้าผาสูง แล้วชำแหละศพออกเป็นชิ้นๆ ให้แร้งกินเป็นอาหาร ตามความเชื่อว่าการให้ทานจนวาระสุดท้ายของชีวิต จะเป็นอานิสงส์ให้ดวงวิญญาณผู้ตายไปเสวยสุขบนสรวงสวรรค์ แม้กระทั่งกระดูกก็ยังนำมาป่นผสมกับเนยจามรี แล้วให้ทานเป็นอาหารของเหล่านกกาอีกด้วย

    พ่อเรียกพิธีศพแบบนี้ว่า "เวหาฌาปนกิจ" (Sky Burial) ซึ่งนอกจากเพราะชาวธิเบตมีศรัทธาเคร่งครัดในศาสนาพุทธนิกายวัชรยานแล้ว การอาศัยอยู่บนที่สูงระดับหลังคาโลก ทำให้ไม่มีป่าไม้มาทำเป็นเชื้อเพลิงเผาศพ ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง

    ซึ่งการที่เราจะเป็น ผู้ให้ ก็ไม่จำเป็นต้องทำตามแบบชาวธิเบตเสมอไป เพียงแค่ลูกรู้จักเอื้อเฟื้อคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนที่ด้อยโอกาสกว่า ก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้จักให้ แล้วลูกยังจะได้รับสิ่งดีๆ กลับคืนมา ดังพุทธภาษิตบทที่ว่า
    "... มนาปทายี ลภเต มนาปํ ..."
    "... ผู้ให้สิ่งอันเป็นที่รัก ย่อมได้สิ่งอันเป็นที่รัก ..."




    :yociexp28:http://www.give2all.com/writer/view.php?id=404

    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5742 vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">[​IMG]


    ไปดูงานศพที่แดนหลังคาโลก




    งานศพถือว่าเป็นเครื่องบ่งบอกถึงวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของประเทศนั้นๆ เลยก็ว่าได้ครับ แม้ความตายจะเท่าเทียมกัน แต่งานศพนั้นคนจัดไม่ยอมให้เท่าเทียมกันหรอก ใครรวยก็จัดหรู ใครจนก็จัดแบบจนๆ


    แต่วันนี้ผมจะเขียนถึงงานศพที่จัดขึ้นที่ทิเบตและเนปาลครับ


    ก่อนที่จะเล่าถึงงานศพ ผมขอแนะนำอาชีพหนึ่งที่จำเป็นสำหรับงานศพทิเบตและเนปาลครับ มีอาชีพหนึ่งที่แสนจำเป็น มันคือ ด็อมเอ็มส์(Domdems)


    ด็อมเอ็มส์ ก็คล้ายๆ กับ สัปเหร่อบ้านเราแหละ แต่การกระทำต่อศพของเขามันไม่เหมือนบ้านเราเท่านั้นเอง

    บ้านเราตกแต่งศพ แต่ทิเบตเขานั้นต้องกระหน่ำศพ!?

    ใช้แล้วครับ หรือพูดให้ยาวๆ หน่อยคือการใช้ฆ้อนที่ใหญ่และหนากระหน่ำศพใส่ร่างศพจนกระดูกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

    และเมื่อทุบจนถึงเวลาอันควร ร่างศพที่เพิ่งตายหรือตายมานานแล้วจะกลายเป็นเศษเนื้อที่สัตว์ปีกขนาดใหญ่นั้นคืออีแร้งที่พวกด็อมเอ็มส์เลี้ยงไว้เป็นฝูง เพื่อให้แร้งพวกนั้นกินศพให้หายไป$อย่างรวดเร็ว

    พวกด็อมเอ็มส์นี้เชี่ยวชาญเรื่องจัดการศพมากๆ พวกเขามีเครื่องมือหลายชนิดในการหั่นเชือดเฉือนศพคนให้เป็นเศษเล็กเศษน้อยอย่างรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์

    ภาพที่ท่านได้เห็นต่อไปนี้ความจริงทางการทิเบตและเนปาลเขาไม่อยากให้ถ่ายนะครับ ออกจะห้ามด้วยซ้ำ เพราะทางการทิเบตค่อนข้างห่างภาพลักษณ์ประเทศพอสมควร เพราะรายได้หลักของเขามาจากการท่องเที่ยวนี้

    ถ้าเป็นไทยมาเห็นละก็คงด่ายาวเลย แต่เราคงด่ามั่วแหละ ลืมไปแล้วเหรอว่าสมัยก่อนเรากำจัดศพอย่างไร ก็เอาแร้งไปให้กินศพที่วัดนะสิ ที่บ้านผมสมัยก่อนก็เอาศพไปทิ้งลงในหนองน้ำให้แร้งกินก็มี


    อีกทั้งทิเบตจำเป็นต้องจัดงานศพแบบนี้ครับ เพราะ ทิเบตเป็นเขาหัวโล้นไม่มีไม้มาให้เผา และที่ฝังไม่ได้ เพราะพื้นดินทิเบตเป็นภูเขาเนื้อแข็งการขุดหลุมให้ลึกพอนั้นยาก อาจทำให้สัตว์ต่างๆมาคุ้ยเขี่ยได้ และเหตุทีเขาใช้อีแร้ง เพราะ ส่งไปสู่สวรรค์ โดยมีอีแร้งเป็นพาหะนำไป

    [​IMG]





    การทำศพแบบทิเบตที่เห็นนี้เขาเรียกว่า Sky Burial หรือการฝังแบบห่มด้วยท้องฟ้าและมีอีกแบบ แบบฝังในเจดีย์ และการเผา ซึ่งสงวนไว้สำหรับเพื่อการให้เกียรติพระลามะตำแหน่งสูง ๆ เท่านั้น
    การฝังศพแบบห่มด้วยท้องฟ้านี้ ใช้สำหรับสามัญชน แต่มีข้อยกเว้นไม่ใช้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี หรือ สตรีตั้งกำลังตั้งครรภ์ หรือ คนที่ตายจากโรคติดต่อ หรือ อุบัติเหตุ


    ส่วนการกำเนิดของพิธีนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับไม่มีใครรู้ประวัติว่าเริ่มเมื่อไร แต่เป็นพิธีกรรมทางศานาพุทธทิเบตที่สำคัญมากชาวทิเบต ทุกคนจะได้รับเชิญให้ไปเป็นพยานในการทำพิธีนี้โดยทั่วกันชาวทิเบตเชื่อว่าเมื่อคนตายแล้ว ศพก็คือเปลือกที่ว่างเปล่าส่วนวิญญาณนั้นได้ออกจากร่างไปเกิดใหม่แล้ว ส่วนศพก็จะให้เป็นอาหารแก่นกแร้งนั้นเชื่อกันว่า นกแร้งนั้นมีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดาซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้ จะนำเอาวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์ นอกจากนี้การให้แร้งกินยังถือว่าเป็นการให้ทาน เพราะการให้อาหารด้วยศพนี้ จะทำให้นกแร้งไม่ต้องไปจับสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหารไปได้หลายมื้อ ทำให้ช่วยสัตว์เล็ก ๆ ไว้ได้หลายชีวิต โดยพิธีนี้เขาจะทิ้งศพไว้กลางแจ้ง 3 วัน พระลามะ จะอยู่ดูแลศพตลอด พิธีนี้จะเริ่มต้นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น


    คราวนี้เรามาดูขั้นตอนของงานศพแบบทิเบตกัน

    ชาวทิเบตถือว่า การเกิดเป็นเรื่องธรรมดา การตายยิ่งเป็นเรื่องธรรมดา การตายหมายถึงการเกิดใหม่ของวิญญาณของคนๆนั้น เพราะเขาเชื่อว่าวิญญาณจะไม่มีวันตาย

    ซึ่งก็จะขึ้นกับฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวด้วย แต่ต้องไม่น้อยกว่า2 วันอนุญาตให้มีแขกมาในงานได้กี่คน การเคลื่อนศพจะต้องออกทางทิศไหน ทางประตู หรือหน้าต่าง วิธีการทำศพนั้นไม่มีพิธีอาบนำศพ หรือแต่งตัวใหม่คือตอนเสียชีวิตใส่เสื้อผ้าชุดใดก็ใส่ชุดนั้น แล้วนำผู้ตายขึ้นไปนอนบนเตียงขนาดพอตัว และมีขาเตี้ยๆ ครอบครัวผู้ตายก็จะเอา"ข่าต๋า" คือผ้าพันคอผืนยาว 2 ถึง 3 เมตรเศษสีขาวห่มร่างผู้ตาย แล้วขึงเชือกเหนือร่างผู้ตายจากหัวไปเท้าเพื่อแขกที่มาในงาน จะได้เอาข่าต๋าไปพาดบนเชือกที่ขึงนี้ ใครที่จะบริจาคช่วยงานศพก็ทำได้ตอนนี้ถ้าคนใดคนหนึ่งในครอบครัวตาย เขาจะต้องรีบไปติดต่อโรงพยาบาลทิเบตพร้อมกับวันเดือนปีเกิด และวันเวลาที่ เสียชีวิตของผู้ตาย เพื่อให้หมอเอาข้อมูลไปคำนวณว่าจะเก็บศพเอาไว้กี่วัน

    จากนั้นญาติก็นิมนต์พระซึ่งชาวทิเบตเรียกว่า "ลามะ" มาสวดที่บ้าน ซึ่งจะเชิญมากี่องค์ก็ได้ แต่ต้องสวดตลอดระยะเวลาที่ไว้ศพ เช่นถ้าไว้ศพ 5 วัน ก็ต้องสวดตลอด 5 วัน จะหยุดพักบ้างก็ได้เพียงประมาณ 15 นาทีต่อช่วงเท่านั้นถ้าลามะมาองค์เดียว ฆราวาสที่อ่านภาษาทิเบตได้จะช่วยสลับเวลาสวดแทน เมื่อสวดจบหนึ่งรอบ ญาติจะนำน้ำชาผสมเนยจามรีไปวางใกล้ศพ เพื่อเสริฟให้แก่ผู้ตาย และลามะเองก็พักซดน้ำชาไปในช่วงเวลานี้เหมือนกัน เพราะชาวทิเบตคลั่งไคล้การดื่มน้ำชาเป็นชีวิตจิตใจ การสวดจะเป็นไปอย่างนี้จนครบระยะเวลาการไว้ศพ จากนั้นก็เคลื่อนศพไปทำพิธีฝังจะทำกันตอนเช้าตรู่ ตี 4 หรือตี 5 แต่ก่อนหน้าวันเคลื่อนศพ ผู้ทำหน้าที่ฝังศพ ซึ่งชาวทิเบต เรียกว่า "อาจารย์" จะมาบ้านผู้ตายครอบครัวผู้ตายต้องเตรียมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของผู้ตายมามอบให้อาจารย์พร้อมทั้งเงินค่าทำศพ ส่วนใหญ่ประมาณร้อยถึงสองร้อยหยวน ส่วนเสื้อผ้าอาจารย์ก็จะให้ภรรยาของตนนำไปขาย



    [​IMG]




    ก่อนทำพิธีเคลื่อนศพ อาจารย์ต้องทำเครื่องหมาย"สวัสดิกะ" ไว้บนพื้นตรงทางที่ศพจะถูกขนออกจากบ้านไป จากนั้นอาจารย์จะเอาเชือกผูกหัวเตียง จุดธูปบอกกล่าวผู้ตายจากนั้นก็ถือเชือกนำหน้าศพ บรรดาญาติจะช่วยกันแบกทั้งเตียงและศพ เดินตามเป็นขบวนแล้ววนรอบเครื่องหมายสวัสดิกะ 3 รอบ แล้วมุ่งหน้าไป "วัดต้าเจ้า" ซึ่งเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของทิเบต เมื่อขบวนแห่มาถึงวัด ก็เดินวนรอบวัด 3รอบเป็นการให้ผูตายได้เคารพสักการะองค์พระพุทธรูปเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็เอาศพใส่ รถยนต์กระบะ เพื่อนำไปสถานที่สำหรับพิธีฝังศพ ในสมัยก่อนไม่มีรถยนต์ อาจารย์ต้องเป็นคนแบกศพรวดเดียวไปยังสถานที่ ฝังศพ ซึ่งเป็นระยะทางที่ต้องขึ้นเขาไปกว่า 2 กิโลเมตร ดังนั้นอาจารย์ส่วนใหญ่ต้องมีร่างกายแข็งแรง

    เมื่อขบวนแห่ และอาจารย์มาถึงสถานที่ฝังศพ ซึ่งเป็นลานกว้างมีแผ่นหินปูลาดขนาด 2 X 2 เมตร แล้วอาจารย์ และญาติจะช่วยกันเปลื้องเสื้อผ้าของศพออก แล้วอาจารย์ ก็จะเอาเครื่องมือของตนออกมาวาง ประกอบด้วยมีดขนาดต่างๆ มีตั้งแต่อีโต้ จนถึงขนาดเล็กๆที่ใช้ในการแล่เนื้อประมาณ 15-16 เล่ม อาจารย์เริ่มลงมือด้วยการเอามีดเล็กกรีดหน้าผากศพเป็นแนวยาวเหนือคิ้ว แล้วถลกหนังศีรษะออกมากองไว้ จากนั้นผ่าท้องเอาเครื่องในออกมาแล้วแล่เนื้อออกจากกระดูก ใช้มีดอันใหญ่ทุบกระดูก และสับเนื้อเป็นชิ้นๆและทุบกระโหลกศีรษะเอามันสมองออกมาผสมกับกระดูกใส่ในหลุมที่มีเลือดไหลไปรวมอยู่ จากนั้นเอา"จามปา" แป้งชนิดหนึ่งที่คนทิเบตนำมาทำอาหาร มาผสมคลุกเคล้าให้ดีกับเลือดกระดูกและสมอง เพราะจะช่วยดูดซับเลือดให้เข้ากับกระดูก ทำให้บริเวณนั้นแห้งสนิทไม่เหลือเศษเลือดทิ้งเอาไว้ ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะ อีแร้งชอบกินมันสมอง ไม่ชอบกินกระดูกจึงต้องเอามันสมอง มาคลุกกับกระดูกให้อีแร้งกินกระดูกเข้าไปด้วย

    เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว อาจารย์ก็เรียกบรรดาอีแร้งที่อยู่เหนือบริเวณฝังศพขึ้นไปบนยอดเขา ให้ลงมากิน เริ่มด้วยอาจารย์เอามันสมอง และเลือดให้อีแร้งกินก่อนแล้วค่อยตามด้วย เนื้อที่สับไว้ เมื่ออีแร้งกินทุกอย่างหมด แล้วญาติพี่น้องก็จะช่วยเผาสิ่งสุดท้ายที่เหลือคือเสื่อผ้าชุดที่ผู้ตายใส่ กับหนังศีรษะติดผม แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมีการเก็บร่างกายของผู้ตายไว้เป็นที่ระลึกให้ต้องทำพิธีระลึกถึงกันทุกปีเพราะเขาเชื่อว่าในขณะที่เรากำลังร้องไห้เศร้าโศก อยู่หน้าหลุมฝังศพผู้ตายนั้น เขาได้ไปจุติในร่างใหม่เรียบร้อยแล้ว

    แน่นอนว่า สำหรับคนนอก ความอยากรู้อยากเห็นมันแฝงความรู้สึก "อนารยะ" แต่คงยากที่จะเปลี่ยน เพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิต ความเชื่อ ความศรัทธา อย่างลึกซึ้ง

    จบแล้วครับท่าน
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">
    [​IMG]



    ความตาย นกแร้ง กับพิธีศพทางฟากฟ้าของชาวทิเบต

    ประชากรส่วนใหญ่ของทิเบตนับถือ ศาสนาพุทธนิกายมหายาน คติความเชื่อเรื่องความตาย ไม่แตกต่างจากความเชื่อของชาวไทยพุทธ เพียงแต่ พิธีกรรมเกี่ยวกับศพ และความตาย แตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่ และข้อจำกัดบางประการเท่านั้น

    ความตาย สำหรับชาวทิเบตแล้ว หมายถึง การไปเกิดใหม่ของคน ๆ นั้น แม้ร่างกายจะสลายไปแล้ว แต่ดวง วิญญาณจะไม่มีวันตาย ความตายเป็นสัจจธรรม และเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงระลึกถึงอยู่เสมอ เพื่อความไม่ประมาท ในการใช้ชีวิต รวมทั้งเร่งทำความดีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ คนทิเบตให้ความสำคัญกับ
     
  2. ปรานต์

    ปรานต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +668
    สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย
     
  3. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    อุบายในการทำ ปรมัถ บารมี ให้เกิดขึ้นกับลามะเอง
     
  4. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    เห็นเเล้วปลงดีครับ ตายเเล้วก็มีเเค่นี้ หมํ่นทําความดีไว้เเน่นอนที่สุดครับ
     
  5. พงศ์830

    พงศ์830 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,172
    ค่าพลัง:
    +1,196
    สุดยอดครับท่าน
     
  6. แสงสว่างกับความมืด

    แสงสว่างกับความมืด สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +15
    น่ากลัวจังครับ
    แต่ก็ทำให้เราปลงได้เยอะเหมือนกัน
    ตายไปก็ไม่เหลืออะไร
     
  7. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    เมื่อ 9 ปีก่อนเราไม่ค่อยสบาย คิดว่าตัวเองคงอยู่ได้อีกไม่นาน ก็เลยทำเรื่องบริจาคอวัยวะ ให้สภากาชาดไทย คิดเพียงแค่ว่าเราตาย 1 คน จะมีคนที่มีโอกาสมีชีวิตต่อไปอีก 8 คน โดยลืมนึกถึงความรู้สึกคนรอบข้าง พอแม่รู้แม่ก็โกรธมาก ทำใจไม่ได้ ตอนนี้แม่ชินแล้ว เราก็เลยเปลี่ยนใจ จากเิดิมบริจาคอวัยวะไว้ แต่ด้วยข้อจำกัดของโรคที่เป็นอาจมีผลต่อผู้รับ(ไม่ได้เป็นเอดส์นะ) ตอนนี้เลยทำพินัยกรรม บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล หลังตายก็ให้หมอเขาไป ปาดๆ กรีดๆ ดึงๆ 2-5 ปี ไม่ต้องเอากลับมาเผา เดี๋ยวเขาทำพิธีให้ เผาเสร็จกระดูกไม่ต้องเก็บ เอาไปเทใส่โคนต้นไม้ เราจะเหลือไว้เพียงความทรงจำพอ บนโลกใบนี้
     
  8. ศรัทธาในพระองค์

    ศรัทธาในพระองค์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2009
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +40
    ดูแล้วรู้สึกเศร้าใจมากมาย
     
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ธรรมปรมัตถ์.....พระทิเบต...และผู้ทำศพ....คงเชื่ยวชาญ อสุถะกรรมฐานไม่น้อย...
     
  10. Frozen

    Frozen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +33
    อนุโมทนา ครับ
    _____________
    ผู้มีความเพียรย่อมละความชั่วได้และทำความดีให้เกิดขึ้นได้
     
  11. wee2010

    wee2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +122
    น่าสลดสังเวชยิ่งนัก ร่างกายอันหาที่สวยและสะอาดไม่ได้เลย เป็นเครื่องแก้ กาม ราคะได้เป็นอย่างดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...