ผวาปอบสิงหญิงชราวัย80ปี

จะมีใครช่วยยายได้ครับ

 

ตับไตไส้พุง ยังอยู่ไหม ถ้าโดนไม่นานก็พอมีทาง แต่ถ้านานไป มันก็กินตัวเองจนหมด มีกลิ่นเหม็น อย่างนี้ ผมกลัวว่า ยายแก จะอยู่ด้วย อำนาจปอบ แต่ตัวยายแกอาจจะหมดอายุไปแล้ว หรือป่าว

ที่เล่ามานะเข้าตำราปอบ หลายอย่างเลยครับ เรื่อง เช่นเอาคางคกหลอกให้กลัว
ปอบเชื้อ" หมายถึง ครอบครัวใดพ่อแม่เป็นปอบเมื่อพ่อแม่ตายไปลูก หลานก็จะสืบทอดให้เป็นปอบ
ต่อไป อีกประการหนึ่งเป็นกรรมพันธุ์ไม่ว่า จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม เรียกว่าเป็นปอบต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ


อีกวิธีหนึ่ง หมอผีจะนำสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวบางชนิดมาข่มขู่ให้ปอบกลัว เช่น คางคก ตุ๊กแก งู ในกรณีนี้ คนที่ถูกปอบเข้าสิงมักเป็นผู้หญิงหรือตัวปอบเป็นหญิง แม้จะเป็นผีปอบ ( เธอ ) ก็ยังขยาดแขยงสัตว์ประเภทนี้และ มักจะยอมออกจากร่างที่เข้าสิงง่าย ๆ

ผีปอบที่แก่กล้าเวลาเข้าสิงใครจะอดอยาก กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้เข้าสิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย
เมื่อหมอผีดำเนินการไล่ผีปอบจากร่างที่ถูกปอบสิงมีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ จะปรากฎเป็นก้อนกลมอยู่ใต้
ผิวหนังปูดนูนขึ้นมา เวลาหมอผีจี้ก้อนกลม ๆ นี้ด้วยไพลเสก มันจะเลื่อน

 

ขออนุญาตแสดงความคิดเห้ฯสักเล็กน้อยนะครับ
ผมว่าน่าจะเป็นเปรต(โอปปาติกะหรือวิญญาณของบุคคลที่ตายแล้วนั้น)
ซึ่งเปรตในพระพุทธศาสนามีหลายชนิด
พระศาสดาตรัสไว้ว่าบางชนิดอุทิศส่วนกุศลไปให้ได้บางชนิดอุทิศส่วนกุศลให้ไม่ได้
เปรตที่เราเรียกว่าปอบอาจหิวโหย และมีอำนาจทางไสย์ และแผ่ส่วนกุศลไปให้ไม่ได้นะครับ
จึงต้องออกหากินเอง อันนี้เดาตามที่เคยศึกษามา ไม่รู้ถูกไหม


สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
เราชาวพุทธเชื่อเช่นนั้นจึงขยันทำเหตุแต่ไม่กังวลหรือดิ้นรนเพราะผล
ก็น่าสงสารนะครับ ทั้งคนทั้งปอบ(ไม่ว่าจะเป็นปอบจริงปอบไม่จริงก็มีกรรมทั้งนั้น บางครั้งปอบเป็นเพียงสมมติบัญญัติถึงคนที่น่ารังเกียจของหมู่บ้านอ่ะนะครับ)
ส่วนเรื่องที่ผมได้ยินมานั้นมีจริงครับ มาจากเพื่อนที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิของพระเกจิอาจารย์ที่ผมนับถือ(หลวงตาพวง จ.ยโสธร)มันเล่าให้ฟังว่าพระอาจารย์เล่าไว้เช่นนั้นๆ
(ท่านเห็นคนที่เขาบอกว่าเป็นปอบมาใส่บาตรพอใส่เสร็จเหลือบไปเห็น คนใส่ชุดดำนั่งพนมมืออยู่เป็นแถวนั่งถัดจากคนใส่บาตรท่านไป ท่านก็รู้ว่าไม่ใช่โอปปาติกะปกติที่มารับผลบุญ แต่เป็นปอบ ท่านก็ทักไปว่า "ญาติเยอะนะโยม เอ้ารับพร")


แต่เราทั้งหลายก็ไม่พึงใส่ใจมากนะครับ เพราะไม่ได้เกี่ยวกับเรา
หันมาดูกายดูใจ ตัวเองกันเถอะครับ
อนุโมทนาในความดีที่จะเกิดขึ้นนะครับ

 

"ดูข่าวทางทีวีน่าสงสารจัง"​

 

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จริงๆเลย

 

เฮ้อ.. อนิจจัง

 

(ความเห็นส่วนตัว) คิดว่าคงมีเวรกรรมกันมานะคะ ไม่เช่นนั้นคงไม่ตามลูกสาวมาจากต่างจังหวัด เพื่อที่จะมาเข้าคุณยายหรอก อะไรจะใหญ่เกินกรรมล่ะคะ พระท่านยังขวางไม่ได้

 

เห็นด้วยครับสวดแบบกระหน่ำเช้า เที่ยง เย็น มิดไนท์ไปเลยครับดูซิจะยังทนได้มั้ย

 

ขอเป็นกำลังใจให้ทางบ้านยายหรือยายเองมีกำลังใจให้เผชิญกับอุปสรรคที่เป็นอยู่ด้วยคะ...สาธุ

 

ของขลังที่ไล่ปอบนึกอะไรไม่ออกครับ จำได้มีผู้ใหญ่เขาเล่าให้ฟัง ว่าดินที่รองเผาศพหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เอาไล่ผีปอบได้ ลองดูนะคัรบถ้ามี

 

<TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">ว่าน...จากคำบอกเล่า และจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า...ว่านนั้นมีมากมาย หลากหลายชนิด และคนเฒ่าคนแก่ได้ปลูกกันมาอันยาวนาน...ซึ่งว่านเกือบทุกชนิดกล่าวขานกันว่ามีประโยชน์เกือบทุกชนิด แต่การนำมาใช้ประโยชน์ก็จะแตกต่างกันออกไป บ้างก็ถูกนำมาใช้เป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคชนิดต่างๆ บ้างก็ถูกนำมาใช้เป็นอาหาร บ้างก็ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องสำอาง ความสวยความงาม แม้กระทั่งในทางไสยศาสตร์ก็ไม่อาจยกเว้นได้ มีว่านมากมายหลายชนิดที่ได้ถูกนำมาใช้ในการขับไล่ผีสางนางไม้ โดยเฉพาะว่านไฟนั้นก็ไม่อาจละเว้น เนื่องจากเป็นว่านที่สามารถนำมาใช้ในการขับไล่ผีปอบ อย่างได้ผลมาแล้วชนิดนับครั้งไม่ถ้วน

​

สืบเนื่องจากที่มหาชีวาลัยอีสาน โดยท่านครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ได้เชิญอาจารย์ สมพิศ ไม้เรียง ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร จากกรมวิชาการเกษตร มาบรรยาย และสาธิตการผลิต การปลูกพืชสมุนไพร ให้กับพี่น้องเกษตรกร จากจังหวัดมหาสารคามกว่า 50 คน ตามโครงการฝึกอบรม และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในเรื่องของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามนโยบายของรัฐบาล สำหรับรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 10 ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างราบรื่น แต่แฝงไว้ด้วยความเข้มข้น สมุนไพรที่เราแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้ มีมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นขมิ้นชัน ว่านหอม กระชายดำ แต่ชนิดที่ผมมีความประทับใจมากที่สุดก็คือว่านไฟ เนื่องจากว่าเป็นว่านที่มีประโยชน์อย่างมหันต์ เพราะว่านอกจากประโยชน์ในแง่ของวิทยาศาสตร์แล้วยังสามารถใช้ใด้ในแง่ของไสยศาสตร์ได้อีกด้วยนะครับ

แต่ก่อนอื่นเรามาดูด้านวิทยาศาสตร์กันก่อนนะครับว่า จริงๆ แล้ว ที่บอกว่าว่านไฟที่เราเรียกๆ กันอยู่นี้ภาษาสากลเขาเรียกกันอย่างไร และประโยชน์เป็นเช่นไร ผมจึงใคร่ขอเล่าสู่กันฟังดังนี้นะครับ

ว่านไฟนั้นมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zingiber cassumunar Roxb. อยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE มีชื่อเรียกกันไปต่างๆ นานา ว่าปูลอย ปูเลย (ภาคเหนือ) ว่านไฟ ไพล(ภาคกลาง) ว่านไฟ (อีสาน) ซึ่งมีคุณสมบัติ คือ เป็นไม้ลงหัว มีเหง้าใหญ่ เนื้อสีเหลือง กลิ่นหอม ใบเรียวยาว ปลายแหลม ดอกออกรวมกันเป็นช่อ อยู่บนก้านช่อดอกที่แทงจากเหง้า

​

การขยายพันธุ์ สามารถทำได้โดยใช้เหง้าปลูก ชอบดินเหนียวปนทราย ระบายน้ำดี แสงแดดพอควร ซึ่งมีสรรพคุณในการ แก้ฟก บวม เคล็ด ยอก ขับลม ท้องเดิน และช่วยขับระดู เหง้าไพล มีน้ำมันหอมระเหย (Essential oil) 0.5-0.9% และมีสารประเภทโมโนเทอร์ปีนอยด์ และเฟนนิลบิวทานอยด์ จากการทดลอง พบว่า มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบ ปวดบวม และมีผลเป็นยาชาเฉพาะที่ และจากรายงานพบว่า ไพลเป็นสมุนไพร ที่ไม่มีพิษเฉียบพลัน แต่สำหรับในแง่ไสยศาสตร์นั้น มีคนเขาบอกว่าเป็นอย่างนี้ครับ...

แต่ก่อนอื่นต้องขอเรียนเน้นย้ำว่า...ในด้านไสยศาสตร์ อาจารย์สมพิศ ไม้เรียงท่านบอกว่าไม่แน่ใจนะครับว่าด้านไสยศาสตร์นั้นเขาใช้ว่านไฟไปทำอะไร แต่จากการสอบถามพ่อผู้ใหญ่บ้าน แผง แห่งอำเภอพยัคฆภูมิสัย หนึ่งในผู้เข้ารับการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ท่านบอกว่า ในสมัยโบราณผู้เฒ่าผู้แก่ได้นำว่านไฟมาขับไล่ผีปอบที่มาเข้าร่างของคนเรา โดยเฉพาะผู้หญิง โดยหมอผี หรือหมอธรรมก็จะใช้ลำต้นของว่านไฟไปตี และใช้หัวไปถูตามจุดต่างๆ เพื่อขับไล่ผีให้ออกไปจากตัวเรา ถามว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น...

คงต้องขอเรียนอย่างนี้ครับว่าจากประสบการณ์ของผู้เขียนเองก็ดี เคยเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วเช่นกันครับ เป็นดังที่พ่อแผงกล่าวเช่นกัน เพราะรายไหนรายนั้นเมื่อผีปอบโดนว่านไฟจิ้ม หรือตี เป็นว่าปอบวิ่งหนีกระเจิงทุกทีไป แต่เหตุผลลึกๆใครตอบได้ช่วยทีเถอะครับ
ยังต้องมีคำถามต่อท้ายอีกเช่นเดิมครับว่า...

สุดท้ายว่านไฟมันเกี่ยวข้องกับเกษตรประณีตอย่างไร คงต้องขอเรียนอย่างนี้ครับว่า การปลูกว่านไฟในแปลงเกษตรประณีตนั้นเป็นการผสมผสานการปลูกพืชทั้งระบบ สำหรับการนำมาใช้ประโยชน์ในครัวเรือน ญาติมิตร หรือจนกระทั่งการขายอันจะนำมาซึ่งรายได้ในประการต่อมา นับว่าเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงนับได้ว่าเป็นการเรียนรู้ อย่างไม่หยุดยั้ง

ขอบคุณครับ
อุทัย อันพิมพ์

http://www.board.siamplant.com/index.php?topic=73.0

</TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

น่ากลัวจิง

 

จากอ่างทองไปสิงห์บุรีก็ไม่ไกลนะครับลองไปที่วัดอัมพวันดูน่าจะดีครับหลวงพ่อจรัญท่านน่าจะช่วยแก้ไขได้

 

เคยได้ยินคุณแอนดรู บิกส์ (ฝรั่งหัวล้าน) พูดว่า
ทำไมผีเปรตผีปอบมีแต่ในเมืองไทย ที่ออสเตรเลียหรือที่อเมริกาไม่เห็นมี
ผมว่าที่ละตินอเมริกา ยุโรป กับอาหรับ ก็ไม่น่าจะมีเหมือนกันนะ ยกเว้นแอฟริกาที่มีวูดู

 

อนุโมทนา สาธุ
ขอแผ่อุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าทำไว้ดีแล้ว จงดลบันดาลให้หญิงชราชื่อนางริน
(นามสมมติ) อายุ 80 ปี บ้านหมู่ 6 ต.ยี่ล้น อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง จงพ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

 

คุณยายอาจจะเป็นสก็อยก็ได้นะครับ กลางวันนอน กลางคืนหนีเที่ยว อ่ะ

 

มีจริงๆหรือนี่ผีปอบ ?

 

แผ่เมตตาให้กันและกันคัฟผม

 

บ้านเรือนที่เราอาศัยอยู่ ใช่ว่าผีจะย่างกรายเข้ามาได้ง่ายๆนะคะ แม้แต่คนในบ้านเองตายแล้วอาจจะเข้าบ้านตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ คนไทยมักนับถือผีบ้านผีเรือนหรือพระภูมิเจ้าที่ไว้คอยปกปักรักษา ยกเว้นบรรดาห้องเช่าร้อยพ่อพันแม่แต่ที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือต้องมีพระพุทธรูปบูชาในบ้านทุกคน การที่จะมีผีเร่ร่อนมาสิงสู่ได้นั้นแสดงว่าบ้านนั้นคงผิดปกติแล้วละ

 

น่าสงสารยายแกจัง