การปฏิบัติเพื่อปัญญา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 22 ธันวาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]

    การปฏิบัติเพื่อปัญญา<?:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>​


    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก<O:p></O:p>​


    วัดบวรนิเวศวิหาร<O:p></O:p>​


    คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์<O:p></O:p>​


    อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ<O:p></O:p>​

    บัดนี้ จะแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
    <O:p></O:p>
    การปฏิบัติพระพุทธศาสนา เป็นการปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสและกองทุกข์ในตนเอง และการปฏิบัตินั้นก็ต้องปฏิบัติให้ถึงจิตใจ จิตใจที่มีสรณะ คือที่แล่นไปสู่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันหมายความว่าแล่นไปสู่พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นเครื่องนำการปฏิบัติตั้งแต่ในเบื้องต้น เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องรู้จักพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
    <O:p></O:p>
    พระพุทธคุณนั้นเมื่อสรุปโดยย่อแล้วก็ดังที่เราทั้งหลายได้สวดกันอยู่ว่า พุทโธ สุสุทโธ กรุณามหัณโว พุทโธพระผู้ตรัสรู้แล้วอันหมายถึงพระปัญญาคุณ วิสุทโธ พระผู้บริสุทธิ์แล้วอันหมายถึงพระปาริสุทธิคุณ
    <O:p></O:p>
    กรุณามหัณโว มีพระกรุณาคือช่วยให้พ้นทุกข์ ใหญ่หลวงดั่งห้วงทะเลหลวง เป็นพระกรุณาคุณ
    <O:p></O:p>
    พระพุทธคุณทั้งหมดนี้ย่อมรวมอยู่ในพระธรรมนั้นเอง เพราะพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น ก็เพื่อให้ได้ปัญญารู้แจ้งแทงตลอดถึงธรรมะ ดังที่พระองค์ได้ตรัสรู้ เพื่อให้บรรลุความบริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา บริสุทธิ์ใจ ดังที่พระองค์ได้บริสุทธิ์แล้ว เพื่อให้มีกรุณาช่วยสั่งสอนนำให้เวไนยนิกรคือหมู่ชนที่พึงแนะนำได้ ให้พ้นกิเลสและกองทุกข์ด้วย เพราะฉะนั้นพระพุทธคุณทั้งหมดจึงรวมอยู่ในพระธรรม
    <O:p></O:p>
    และพระพุทธเจ้าก็ได้ทรงแสดงพระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้ได้ทรงบรรลุนี้สั่งสอนเป็นพุทธศาสนา ผู้สดับฟังตั้งแต่ในเบื้องต้นได้รู้ธรรม ดังที่เรียกว่ามีจักษุดวงตาเห็นธรรมตามพระพุทธเจ้า เป็นปัญญา และด้วยอำนาจของปัญญานี้ ก็ทำให้หลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ ตามภูมิตามชั้น ก็เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ ดั่งที่ แสดงไว้ในบทพระสังฆคุณว่าปฏิบัติดีแล้ว เป็นต้น และก็มีกรุณาสั่งสอนสืบพระพุทธศาสนาต่อมาจนถึงบัดนี้ อันนับว่าเป็นนาบุญของโลก
    <O:p></O:p>
    คือตัวพระสงฆ์เองนั้นเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยบุญในองค์ท่านเอง เหมือนอย่างชาวนาทำนาได้ข้าวเต็มยุ้งเต็มฉางของตนเอง แล้วก็แบ่งข้าวที่มีอยู่เต็มยุ้งเต็มฉางนั้นแจกจ่ายแก่ผู้อื่น ให้มีส่วนได้บริโภคข้าวของตนด้วย นี้จึงเป็นพระสงฆ์ ซึ่งเนื่องมาจากพระธรรมที่ทรงสั่งสอน และพระธรรมที่ทรงสั่งสอน ก็เนื่องมาจากพระธรรมที่ได้ตรัสรู้ อันเป็นสัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นตัวจริง เพราะฉะนั้นจิตใจที่มีสรณะก็คือที่แล่นไปสู่น้อมไปสู่ พระพุทธคุณพระธรรมพระสังฆคุณ อันจะพึงกล่าวรวมได้ว่าสู่พระธรรมที่ทรงแสดงสั่งสอนดังกล่าวนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้จึงเป็นเหตุให้ปฏิบัติธรรมตามที่ทรงสั่งสอน และการปฏิบัติธรรมนั้นก็เพื่อปัญญา เพื่อปาริสุทธิคือความบริสุทธิ์ และเพื่อกรุณาตามพระพุทธคุณนั้นเอง


    <O:p>[​IMG]</O:p>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เพราะฉะนั้น เมื่อได้ศึกษาสดับตรับฟัง เพ่งพินิจพิจารณา ทำความเข้าใจให้รู้จัก พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แม้โดยย่อ การปฏิบัติจึงเป็นการปฏิบัติธรรม และการปฏิบัติธรรมนั้นเมื่อได้ปัญญาเป็นธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม ก็ได้ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า ดังพระพุทธภาษิตที่ตรัสแก่พระวักกลิว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ดั่งนี้
    <?:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    เพราะฉะนั้นการเห็นพระพุทธเจ้านั้น ในทางปฏิบัติจึงมิใช่หมายถึงเห็นรูปกายของพระองค์ แต่ว่าหมายถึงเห็นธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้ และที่ทรงแสดงสั่งสอน อันเป็นสัจจะคือความจริง ไม่ใช่เป็นรูปกาย เป็นตัวเป็นตน หรือเป็นกายอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ว่าเป็นธรรมะที่บริสุทธิ์ และธรรมะที่เมื่อได้เห็นก็ชื่อว่าได้เห็นพระพุทธเจ้าดังกล่าวนี้ ก็หมายถึงสัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นตัวความจริง( เริ่ม ๑๔๓/๑ ) ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ได้ทรงแสดงสั่งสอน และธรรมะที่เป็นสัจจะธรรมคือตัวความจริงนั้น ที่ตรัสเอาไว้เองตรัสเรียกว่า ธาตุ นั้น

    <O:p></O:p>
    ธรรมธาตุ
    <O:p></O:p>
    คำว่าธาตุก็คือ ธา-ตุ ธ.ธง สระอา ต.เต่า สระอุ ธาตุ ธาตุนั้นตั้งอยู่เป็นธรรมฐิติความตั้งอยู่แห่งธรรม ธรรมนิยามความกำหนดแน่แห่งธรรม พระตถาคตทั้งหลายจะทรงอุบัติขึ้น หรือไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้นคือธรรมฐิติความตั้งอยู่แห่งธรรม ธรรมนิยามความกำหนดแน่แห่งธรรม ก็คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา ความกำหนดแน่แห่งธรรมดา ก็ตั้งอยู่
    <O:p></O:p>
    ว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งปวงไม่เที่ยง สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ สัพเพ ธรรมา อนัตตา ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน พระตถาคตทั้งหลายได้ทรงพบธาตุนั้น ตรัสรู้ธาตุนั้น ครั้นทรงพบตรัสรู้แล้วก็ได้ทรงจำแนกแจกแจงแสดงสั่งสอนให้เวไนยนิกรชาวโลกได้รู้ด้วย
    <O:p></O:p>
    ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ดั่งนี้ เพราะฉะนั้น ข้อนี้จึงเป็นสัจจะธรรม ธรรมะอันเป็นตัวความจริง อันเรียกว่า ธาตุ ที่แปลว่าทรงไว้ เป็นอีกคำหนึ่งของคำว่าธรรม ที่แปลว่าทรงไว้เหมือนกัน ก็คือทรงไว้ดำรงไว้ หรือทรงอยู่ดำรงอยู่ ไม่มีเปลี่ยนแปลงทุกกาลสมัย

    <O:p></O:p>
    หลักธรรมดาที่เป็นอกาลิโก
    <O:p></O:p>
    เพราะฉะนั้นนี้จึงเป็นหลักใหญ่ในพุทธศาสนา ที่แสดงให้รู้จักธรรมดา อันเรียกว่าธรรมฐิติหรือธรรมนิยาม ซึ่งธรรมดานี้เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ เป็นสิ่งที่กำหนดแน่คือกำหนดได้ไม่มีเปลี่ยนแปลง เป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลา จะเป็นครั้งใดสมัยใดก็ตาม ธรรมดานี้ก็ยังคงมีอยู่ดั่งนี้ ตั้งอยู่ดั่งนี้ และก็สามารถจะกำหนดได้<O:p></O:p>
    เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์คือพระพุทธเจ้าเมื่อก่อนตรัสรู้ ซึ่งได้ทรงอบรมพระบารมี มีพระปัญญาบารมีเป็นต้นมาโดยลำดับ จึงทรงกำหนดตรัสรู้ได้ และก็ทรงมาชี้แนะ ให้เราทั้งหลายได้รู้ ดังที่เราทั้งหลายได้สวดอยู่ในบทสวดต่อท้ายทำวัตรเช้าว่า พหุลานุสาสนี คือคำสั่งสอนเป็นอันมากของพระพุทธเจ้า ก็คือได้ทรงสั่งสอนว่า
    <O:p></O:p>
    รูปังอนิจจัง รูปไม่เที่ยง เวทนาอนิจจา สัญญาอนิจจา สังขาราอนิจจา วิญญาณังอนิจจัง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลาย คือความคิดปรุงหรือความปรุงคิดไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปังอนัตตา เวทนาอนัตตา สัญญาอนัตตา สังขาราอนัตตา วิญญาณังอนัตตา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน ดั่งนี้


    <O:p>[​IMG]</O:p>​
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
    <?:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    บทสวดที่เราสวดกันนี้ก็เป็นบทที่แสดงว่าพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้มาก เพื่อให้ทำปัญญา ให้รู้จักขันธ์ ๕ หรือย่อลงเป็นนามรูปว่าไม่เที่ยงเป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน แต่ว่าในบทสวดนี้ไม่มีว่า สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ หรือ รูปังทุกขัง เวทนาทุกขา เป็นต้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นทุกข์
    <O:p></O:p>
    ก็เพราะเหตุ ๒ ประการ คือประการที่ ๑ คำว่าทุกข์นั้นมีความหมายรวมอยู่ในคำว่าอนิจจะ ไม่เที่ยงแล้ว เพราะว่าที่เรียกว่าอนิจจะไม่เที่ยงนั้นก็มีอธิบายว่าเพราะเป็นสิ่งที่เกิดดับ มีเกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดา และที่เรียกว่าเป็นทุกข์นั้นก็มีอธิบายว่าตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป คือต้องเกิดดับ
    <O:p></O:p>
    คำว่าทุกข์มิใช่หมายความถึงทุกขเวทนาอย่างเดียว ดังที่เราเรียกกันว่าทุกข์สุขซึ่งเป็นเวทนา แต่หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป คือต้องเกิดต้องดับ เพราะฉะนั้น จึงมีความหมายรวมอยู่ในคำว่าอนิจจะด้วยแล้ว
    <O:p></O:p>
    อีกประการหนึ่งในบทที่สวดนั้นได้ตั้งทุกข์ขึ้นไว้เป็นเบื้องต้น ดังที่เราสวดกันนั้นว่ามีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ประกอบไปด้วยความทุกข์ เป็นทุกข์ที่ใช้นำดั่งในคำว่าพ้นกิเลสและกองทุกข์ ซึ่งเป็นความหมายรวมได้ทั้งไม่เที่ยงด้วย ทั้งเป็นอนัตตาด้วย เมื่อเป็นดั่งนี้จึงได้ปฏิบัติธรรมเพื่อให้พ้นทุกข์
    <O:p></O:p>
    และในการปฏิบัติธรรมเพื่อให้พ้นทุกข์นั้น ก็จำที่จะต้องรู้จักว่าอะไรเป็นทุกข์<O:p></O:p>
    จึ่งได้มีแสดงไว้ในคำอธิบายทุกขอริยสัจจ์ อริสัจจข้อที่ ๑ คือทุกข์ ว่า สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา กล่าวโดยย่อขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเป็นทุกข์ ก็คือขันธ์ ๕ ดังกล่าวนั้นเอง
    <O:p></O:p>
    เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะชี้แจงว่าเป็นทุกข์อย่างไร จึงได้อธิบายออกไปว่าก็เพราะเป็นอนิจจะไม่เที่ยง เป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน ไม่กล่าวถึงทุกข์ซ้ำเข้าอีกในที่นี้ เพราะเหตุว่ายกทุกข์ขึ้นไปเป็นหัวหน้า ดั่งในอริยสัจจ์ ๔ ก็ยกทุกข์ขึ้นไว้เป็นข้อที่ ๑ และเพื่อจะอธิบายทุกข์อันนี้ออกไปอีก ก็อธิบายว่า กล่าวโดยย่อก็คือว่าขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการนี้เป็นทุกข์ คือเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป

    <O:p></O:p>
    อะไรเป็นทุกข์ ทุกข์อย่างไร
    <O:p></O:p>
    ดังจะพึงเห็นได้ว่าชีวิตของเราทุกๆ คนนี้ เป็นตัวทุกข์มาตั้งแต่เกิด คือว่าเมื่อถือกำเนิดเกิดก่อขึ้น ตั้งแต่ในครรภ์ของมารดาแล้ว ก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงมาโดยลำดับ ไม่มีหยุดแม้สักหนึ่งวินาที หรือแม้จะแบ่งเวลาให้ละเอียดกว่าวินาทีออกไปอีกเท่าไรก็ตาม ความที่ไม่ตั้งอยู่คงที่นั้นก็มีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีว่างเว้นจนถึงบัดนี้
    <O:p></O:p>
    และเพราะความที่ไม่ตั้งอยู่คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพราะความที่ไม่ตั้งอยู่คงที่ และต้องเปลี่ยนแปลงไปดังกล่าว จึงตรัสสอนเป็นการอธิบายขยายออกไปเป็นไม่เที่ยงเป็นอนัตตา และในที่ทั่วไปที่ไม่ได้แสดงทุกข์นำดังกล่าวนี้ ก็ใส่ทุกข์ไว้เป็นที่ ๒ ด้วย เพื่อให้เป็นที่ปรากฏชัด ไม่ทิ้งคำว่าทุกข์ซึ่งเป็นคำสำคัญ<O:p></O:p>
    อันความที่ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาดังกล่าวนี้<O:p></O:p>
    ก็เทียบกันได้กับดวงอาทิตย์หรือเวลา เวลานั้นต้องเปลี่ยนไปไม่มีหยุด ก่อนมาถึงก็เป็นอนาคต มาถึงก็เป็นปัจจุบัน แล้วก็เป็นอดีต เปลี่ยนไปทุกวินาที นี่แหละคือลักษณะที่เป็นทุกข์ คือลักษณะที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปเหมือนเวลา เรียกว่าหยุดดวงอาทิตย์ได้เมื่อใดเวลาก็อาจจะหยุดได้ แต่นี่หยุดดวงอาทิตย์ไม่ได้ เวลาก็หยุดไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่ทุกวินาที หรือจะแบ่งให้ละเอียดออกไปอีกเท่าไหร่ก็ตาม ก็ต้องเปลี่ยนแปลง ไปตามความละเอียดของเวลาที่แบ่งนั้น ไม่มีหยุดยั้ง สังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นทุกข์ก็เป็นดั่งนี้ คือต้องเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดยั้ง


    <O:p>[​IMG]</O:p>
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เหมือนอย่างชีวิตสังขารของเราทุกๆ คนนี้ ก็เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าว ตั้งแต่เป็นการก่อกำเนิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็เปลี่ยนแปลง เป็นการเพิ่มเติมให้บริบูรณ์เป็นสังขารร่างกาย มีอายตนะ เมื่อคลอดออกมาก็เปลี่ยนแปลงเรื่อย เป็นเด็กเล็กเด็กใหญ่ เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นผู้ใหญ่ เป็นกลางคน เป็นคนแก่ แก่หง่อมจนถึงแตกสลาย อันเรียกว่าตายในที่สุด เนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดยั้งตั้งแต่ต้นดังกล่าวแล้ว เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดมาชีวิตร่างกายของทุกคนนี้จึงชื่อว่ารุกล้นเข้าหาความดับ เดินเข้าสู่ความดับอยู่ทุกขณะไม่มีหยุดยั้ง ดั่งนี้แหละคือลักษณะที่เรียกว่าเป็นทุกข์ และเมื่ออธิบายออกไปแล้วก็ได้ว่าเป็นอนิจจะคือไม่เที่ยง ต้องเกิดต้องดับ

    <?:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    ความเกิดดับทางกาย
    <O:p></O:p>
    ความเกิดความดับนั้นเล่า ว่าถึงความเกิดความดับของร่างกาย ก็มีอยู่ทุกขณะเช่นเดียวกัน ร่างกายส่วนที่เป็นธาตุมารวมกันเข้า แม้แต่เป็นธาตุที่แข็งคือเป็นธาตุดิน ชนิดแข็งอย่างกระดูกที่เป็นโครงร่างในร่างกายนี้ แม้ทางแพทย์ในปัจจุบันนี้ก็รับรองว่าเป็นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง คือมีเกิดมีดับ
    <O:p></O:p>
    แต่ว่าเมื่อเกิดดับแล้วก็มีเกิดต่อ แล้วก็ดับแล้วเกิดต่อ แล้วก็ดับ คือแปลว่าสิ่งที่ถูกเผาๆ ไหม้ไป สิ้นไป ก็มีสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา โดยที่บุคคลจะต้องบริโภคอาหารเข้าไปเพิ่มเติม และอาหารที่บริโภคเข้าไปเพิ่มเติมนี้ เมื่อเรามองอย่างเผินๆ จะเห็นว่าเราบริโภคกันวันละหนึ่งมื้อ สองมื้อ สามมื้อ เป็นต้น แล้วยังมีบริโภคหยุมหยิมต่างๆ อีก รวมทั้งน้ำซึ่งต้องดื่มกันอยู่ให้พอเพียง เหมือนอย่างว่าวันหนึ่งบริโภคเพียงสองครั้งสามครั้งสี่ครั้งเป็นต้น
    <O:p></O:p>
    แต่อันที่จริงนั้นบริโภคอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก โดยที่ต้องหายใจเอาอากาศอันประกอบด้วยธาตุทั้งหลายเข้าไปบำรุงเลี้ยงร่างกาย เพราะร่างกายที่เป็นส่วนสำคัญนั้นเป็นสิ่งที่ต้องถูกเผาไหม้ไป สิ้นไปหมดไปทุกลมหายใจ จึงต้องหายใจเอาอากาศที่ประกอบด้วยอาหารต่างๆ เข้าไปบำรุงเลี้ยงเพิ่มเติมไว้ และก็เป็นอยู่ดั่งนี้ตลอดชีวิต แปลว่าเราต้องกินอาหารกันอยู่เพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายนี้ ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่วันละสองมื้อสามมื้อเท่านั้น ต้องบริโภคอาหารเข้าไปเลี้ยงกันอยู่ ทุกลมหายใจเข้าออก หยุดเพียงสองนาทีสามนาทีชีวิตนี่ก็จะดำรงอยู่ไม่ได้แล้ว คือหยุดหายใจสองนาทีสามนาทีชีวิตนี้ก็จะหยุดดำรงอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นความที่เกิดดับของร่างกายนี้จึงมีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
    <O:p></O:p>
    และร่างกายทุกส่วนของเรานี้ทางแพทย์ในปัจจุบันนี้ก็บอกแล้วว่า โครงกระดูกของเราในบัดนี้นั้นไม่ใช่โครงกระดูกเมื่ออดีตที่ล่วงมา โครงกระดูกในอดีตที่ล่วงมานั้นถูกเผาไหม้ไปหมดแล้ว แต่ว่าโครงกระดูกที่อยู่ในบัดนี้นั้นเป็นของใหม่ ที่ได้รับจากอาหารเข้าไปเสริมสร้างเอาไว้ ทุกส่วนในร่างกายก็เป็นเช่นนี้ เป็นความเกิดดับที่มีสันตติคือความสืบต่อ อันทำให้ชีวิตดำรงอยู่ ถ้าขาดสันตติคือความสืบต่อเมื่อใด ชีวิตก็สิ้นสุดเมื่อนั้น และสันตติคือความสืบต่อชีวิตของบุคคลนี้ก็มีระยะที่ต่างๆ กันตามคติธรรมดา ตามกรรมที่ได้กระทำไว้ ส่วนมากก็ไม่เกินร้อยปี เกินร้อยปีไปบ้างก็มีน้อย


    <O:p>[​IMG]</O:p>​
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ความเกิดดับทางใจ<?:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    ส่วนความเกิดดับของจิตใจนั้นยิ่งเร็วยิ่งกว่าร่างกาย เพราะว่ากระแสจิตของบุคคลนี้ที่รับอารมณ์หนึ่งๆ มีจำนวนมากมาย เพราะอารมณ์นั้นเข้าไปสู่จิตใจทางอายตนะทั้ง ๖ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ โดยเป็นอารมณ์คือรูปเป็นเสียงเป็นกลิ่นเป็นรสเป็นโผฏฐัพพะ และเป็นธรรมะคือเรื่องราว สลับซับซ้อนกันมากมาย
    <O:p></O:p>
    แต่จิตนี้รับอารมณ์ได้คราวละ ๑ เพราะฉะนั้น เมื่ออารมณ์ที่ ๑ เกิดดับ อารมณ์ที่ ๒ จึงเข้ามา เช่นว่าเห็นรูปทางตาเป็นอารมณ์ที่ ๑ เกิดดับ และอารมณ์ที่ ๒ คือเสียงที่เข้าทางหูจึงเข้าสู่จิต แล้วเมื่ออารมณ์ที่ ๒ นี่เกิดดับ แล้วอารมณ์ที่ ๓ ทางจมูกทางลิ้นทางกายทางมนะคือใจจึงเข้าสู่จิตใจ จิตใจรับอารมณ์คราวละ ๑ เท่านั้น แต่ว่าอารมณ์ตั้งหลายร้อยหลายพันหลายหมื่น ซึ่งคนทั้งหลายได้เห็นอะไรกันก็เยอะแยะวันหนึ่งๆ ได้ยินอะไรก็มากมาย ได้กลิ่นอะไรก็มาก ได้รสทางลิ้นก็มาก ถูกต้องอะไรทางกายก็มาก ยิ่งใจคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้อีกมากมาย อารมณ์จึงมีมากมาย แต่ว่าจิตรับได้คราวละหนึ่งๆ ก็แสดงว่าอารมณ์นี้เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ อย่างรวดเร็วมาก จิตจึงสามารถรับได้มาก เพราะฉะนั้น ความเกิดดับของทางร่างกายและทางจิตใจดังกล่าวมานี้ จึงมีอยู่เป็นประจำ และมีอยู่อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ว่าช้า

    <O:p></O:p>
    ความเกิดดับในระยะยาว
    <O:p></O:p>
    แต่ว่าในการสอนให้พิจารณานั้น ก็จำเป็นที่จะต้องสอนให้พิจารณา ในเรื่องความไม่เที่ยงนี้ในระยะยาวก่อน เช่นว่า ปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย<O:p></O:p>
    ปฐมวัยก็เกิดเป็นปฐมวัย ปฐมวัยดับก็เป็นมัชฌิมวัย ก็เกิดเป็นมัชฌิมวัย มัชฌิมวัยดับก็เป็นปัจฉิวัย ก็เกิดเป็นปัจฉิมวัย ตายก็เป็นสิ้นสุดของปัจฉิมวัย เมื่อแบ่งเป็นระยะยาวดั่งนี้ก็เห็นได้ชัด

    <O:p></O:p>
    ความเกิดดับในระยะสั้น
    <O:p></O:p>
    แต่ว่าต้องหัดพิจารณาให้เห็นว่าอันที่จริงนั้นไม่ใช่ยาวอย่างนั้น แต่ว่าเกิดดับๆ คือสั้นมาก ซึ่งเป็นสัจจะคือความจริง นี่เป็นอนิจจะ และที่เป็นอนิจจะดั่งนี้ก็คือเพราะเป็นสิ่งที่ทนอยู่คงที่ไม่ได้ เหมือนอย่างเวลาที่เปลี่ยนไปไม่ตั้งอยู่คงที่ อาทิตย์ๆ ไม่มีหยุดเวลาก็ไม่มีหยุด ความที่ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงก็ไม่มีหยุด นี่แหละคือลักษณะที่เรียกว่าเป็นทุกข์ และเมื่อเป็นดั่งนี้จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่าอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน

    <O:p></O:p>
    อนัตตา
    <O:p></O:p>
    และทางที่จะพิจารณาให้เห็นว่าเป็นอนัตตาได้นั้น ก็พิจารณาเช่นว่าเป็นสิ่งที่บังคับให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ จะบังคับให้เที่ยงก็บังคับไม่ได้ จะบังคับไม่ให้เป็นทุกข์ดังกล่าวก็บังคับไม่ได้ หรือว่าจะบังคับให้เป็นสุขก็บังคับไม่ได้ ให้เป็นสุขยั่งยืนตลอดไปก็บังคับไม่ได้ เป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้ดั่งนี้ จนถึงจะต้องตายก็บังคับให้ไม่ตายไม่ได้ จึงเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวเราของเรา ถ้าเป็นตัวเราของเราจริงแล้วต้องบังคับกันได้ ให้เที่ยงก็ได้ ให้เป็นสุขก็ได้ แต่นี้บังคับไม่ได้จึงเป็นอนัตตาไม่ใช่อัตตาตัวตน
    <O:p></O:p>
    แต่ว่าบรรดาสิ่งที่เป็นสังขารนั้น ประกอบด้วยลักษณะที่เป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ส่วนที่เป็นวิสังขารคือสิ่งที่ไม่ใช่เป็นสังขาร ที่ตรัสยกไว้คือนิพพาน<O:p></O:p>
    เป็นอสังขตธรรม ธรรมะที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เป็นสังขาร สิ่งที่เป็นวิสังขารไม่ใช่สังขารดังกล่าวนี้ ไม่มีลักษณะที่เรียกว่าไม่เที่ยง ไม่มีลักษณะที่เรียกว่าเป็นทุกข์ แต่ว่ามีลักษณะที่เรียกว่าเป็นอนัตตา คือไม่ใช่อัตตาตัวตน ( เริ่ม ๑๔๓/๒ ) เพราะว่าสิ่งที่เป็นอัตตาตัวตนนั้นย่อมเกิดจากอุปาทานคือความยึดถือ ยึดถือเพราะเหตุว่ามีตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก จึงยึดถือ ยึดถือว่านี่เป็นของเรา เราเป็นนี่ นี่เป็นอัตตาตัวตนของเรา


    <O:p>[​IMG]</O:p>​
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ตัณหาอุปาทานในธรรมปฏิบัติ
    <?:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรม หากไปยึดถือธรรมะปฏิบัติด้วยประการใด ประการหนึ่งเข้าแล้ว ก็เรียกว่ายังมีตัณหาอยู่ในธรรมะปฏิบัติ ยังมีอุปาทานคือความยึดถืออยู่ในธรรมะปฏิบัติ เหมือนอย่างธรรมปฏิบัตินี้เป็นตัวเราเป็นของเรา ก็ปฏิบัติไปได้ และอาจจะต้องมีความยึดถือในขั้นปฏิบัติเบื้องต้นมาไปโดยลำดับ แต่ว่าเมื่อจะบรรลุถึงนิพพานจริงๆ แล้วต้องละความยึดถือดังกล่าวนี้ทั้งหมด จึงจะบรรลุนิพพานได้ ถ้ายังมีความยึดถืออยู่แล้วก็บรรลุนิพพานไม่ได้
    <O:p></O:p>
    เพราะฉะนั้น วิสังขารคือนิพพานจึงเป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน ผู้ปฏิบัติจะต้องปล่อยความยึดถือในการปฏิบัติ กิเลสจึงจะสิ้นไป เพราะเมื่อมีความยึดถืออยู่ก็ยังมีตัณหาอยู่ ก็ยังไม่สิ้นกิเลส กิเลสยังยึดอยู่ ต้องปล่อยตัวความยึดนั้นในที่สุดแล้วจึงบรรลุนิพพานได้ แต่ว่าในการปล่อยความยึดในที่สุดจะบรรลุนิพพานนั้น จะต้องมีความยึดปฏิบัติในเบื้องต้นไปก่อน
    <O:p></O:p>
    เพราะจะไม่ยึดอะไรเสียเลยแล้วก็ปฏิบัติไม่ได้ เหมือนอย่างการขึ้นบันใด ก่อนที่จะขึ้นถึงบันใดขั้นสุดท้ายนั้น ผู้ขึ้นบันใดจะต้องยึดบันใดไว้ก่อน
    <O:p></O:p>
    แต่ต้องปล่อยต้องขึ้นไปทีละขั้น ขึ้นบันใดขั้นที่หนึ่ง เท้าก็ต้องเหยียบบนบันใดขั้นที่หนึ่งนั้น แต่ว่าถ้าเท้ายังเหยียบอยู่ไม่ปล่อยขั้นที่หนึ่งแล้ว ก็จะขึ้นขั้นที่สองไม่ได้ จะต้องปล่อยขั้นที่หนึ่งขึ้นขั้นที่สอง ถึงขั้นที่สองแล้วเท้าเหยียบอยู่บนขั้นที่สอง ถ้าเหยียบอยู่นั้นไม่ปล่อยก็ขึ้นต่อไปไม่ได้ ต้องปล่อยขั้นที่สองขึ้นขั้นที่สาม จนถึงขั้นที่สุดแล้วก็ต้องเหยียบขั้นที่สุดอีกเหมือนกัน แต่ว่าถ้ายังเหยียบอยู่ขั้นที่สุด ยังยึดอยู่ขั้นที่สุดแล้วก็เข้าห้องไม่ได้ ฉะนั้น ก็ต้องปล่อยขั้นที่สุดนั้นจึงจะเข้าห้องได้ ต้องมีความยึดและมีความปล่อยดั่งนี้ ไปโดยลำดับ จนถึงปล่อยในที่สุดจึงจะเป็นนิพพานได้
    <O:p></O:p>
    อันนี้แหละจึงเรียกว่าเป็นอนัตตาไม่ใช่อัตตาตัวตน คือจะไปยึดถือไม่ได้ เพราะธรรมะนี้เป็นธรรมดา นิพพานก็เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติในทางปัญญา ใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้จักขันธ์ ๕ ให้รู้จักอนิจจะ ทุกขะ อนัตตา ดั่งนี้แล้ว จะได้ปัญญาอันเป็นเครื่องปล่อยวางไปโดยลำดับ จะได้ดวงตาเห็นธรรม ซึ่งเมื่อได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วก็เห็นพระพุทธเจ้า ดั่งพระพุทธภาษิตตรัสไว้นั้น<O:p></O:p>
    ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและทำความสงบสืบต่อไป<O:p></O:p>

    <O:p>[​IMG]</O:p>​


     
  7. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ในหมวดนี้ ซาบซึ่ง เข้าใจโดยการอ่านอย่างท่องแท้แล้ว จะนำไปปฏิบัติ




    ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  8. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ขอบคุณครับพี่เต้ อิอิอิอิ
     
  9. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ผู้มีปัญญา

    ผู้มีปัญญา ไม่ควรให้สิ่งที่ล่วงแล้วตามมา
    ผู้มีปัญญา ไม่ควรหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
    ผู้มีปัญญา คือผู้เห็นธรรมะ ซึ่งเป็นปัจจุบัน

    คติธรรมคำสอน ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงกับท่านเจ้าของกระทู้
    ที่นำธรรมะดีๆ มาให้อ่านกันครับ

    ขอเชิญทุกท่านได้โมทนาบุญผ้าป่า ๓ กองบุญร่วมกันครับ
    http://palungjit.org/showthrea...=158315&page=3

    ศูนย์พุทธศรัทธา
    สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง
    เพียงท่านแวะชมและโมทนาท่านก็จะได้บุญได้กุศลตามกำลังใจของแต่ละท่าน

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2008
  10. ราชแสง

    ราชแสง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +85
    อนุโมทนาสาธุครับ
    ทำไมส่งขอ้ความให้ไม่ได้ครับคุณ vanco
    จะบอกว่าได้รับ ซีดี แล้วนะครับ ขอบคุณมากครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...