เชื่อหรือไม่?!? มนุษย์เราเกือบจะหายตัวกันได้แล้ว!

​

​

ข้อมูลทั้งหมดอาจจะผิดพลาดไปเล็กน้อย*​

โปรดใช้วิจารณาญาณในการอ่าน**

​

มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า

ครั้งหนึ่งที่ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)" นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวเยอรมันที่มีสัญชาติสวิสและอเมริกัน ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นยอดอัจฉริยะบรรลือโลกยังมีชีวิตอยู่นั้น
เขาได้คิดค้น "การหายตัว" ขึ้นมาจนได้

โดยเรื่องนี้ได้เล่าสืบต่อกันมาอีกทีจนกลายเป็นตำนาน ว่า "ไอน์สไตน์สามารถนำเรือลำใหญ่จากมหาสมุทรอเมริกาใต้ หายวับไปปรากฎอยู่ ณ เกาะญี่ปุ่นได้เพียงเสี้ยววินาที"

แต่เรื่องที่แปลกก็คือ "มนุษย์ทุกคนที่อยู่บนเรือลำนั้นกลับหายไป เชื่อว่าพวกเขากลายเป็นน้ำไปจนหมด"
แต่ด้วยอายุไขที่มากแล้วของไอน์สไตน์ เขาจึงคิดหลักการอันยากแสนยากที่ว่านี้ต่อไปไม่ไหว
ไอน์สไตน์เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจวายเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ.1955
ตามความเห็นของผม ผมว่าโลกเรามีอะไรที่เหลือเชื่ออยู่มากมาย

ง่ายๆ เลย อย่างเช่น "โทรศัพท์มือถือ"
สมัยก่อนก็คงไม่มีใครคิดหรอกครับ ว่า คนเราจะสามารถคุยกันผ่านกระบอกอะไรสักอย่างง่ายดายเช่นนี้ ทั้งๆ ที่อยู่ห่างไกลกันมากขนาดนั้น
แค่โทรศัพท์ก็เป็นอะไรที่เหลือเชื่อสุดๆ แล้ว และเป็นไปได้เหรอที่เราจะส่งสามารถสัญญาณผ่านดาวเทียม และดาวเทียมก็จะสามารถส่งสัญญาณตรงมายังจอภาพที่บ้านเรา

แต่ด้วยยุคด้วยสมัยที่เปลี่ยนไป พิสูทธิ์ออกมาแล้วว่าทุกอย่างย่อมเป็นไปได้!
เพราะโลกของเรามีโมเลกุลทางอากาศที่ละเอียดถี่ยิบ สามารถเปิดทางเป็นเส้นตรงให้สัญญาณอินฟาเรดวิ่งผ่านได้
สามารถเปิดทางบูทูธสัญญาณต่อกันได้

ที่สุดของที่สุดในยุคสมัยนี้ไม่ใช่อะไรอื่นไกล แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนกำลังจ้องมองมันตาไม่กระพริบอยู่ในขณะนี้นั่นแหละครับ
"คอมพิวเตอร์... อินเตอร์เน็ท..."

คุณลองสำรวจความละเอียดถี่ยิบของภาพเบื้องหน้าคุณดูสิ? แล้วคุณจะต้องฉงนเหมือนผม (ฮ่ะๆๆ)
ย้อนไปถึงเมื่อสมัย 100 หรือ 1000 ปีก่อน
มนุษย์ต่างคิดว่า "มันจะมีทางเป็นไปได้เหรอ?" เหมือนกับตอนนี้
ผมเชื่อว่า "การหายตัว" สักวันก็ต้องมีนักวิทยาศาสตร์คนอื่นคิดออกแหละน่า
เข้าสู้เรื่องของนักวิทยาศาสตร์ในดวงใจของผมกและในดวงใจของใครหลายๆ คนกันต่อดีกว่าครับ...
ผลงานอันโด่งดังของ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" ได้แก่

1. ทฤษฎีการแผ่รังสี (Photoelectric Effect Theory)
จากผลงานชิ้นนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ และรางวัลจากอีกหลายสถาบัน
ได้แก่ ค.ศ.1925 ได้รับเหรียญคอพเลย์ จากราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอน ค.ศ.1926
ได้รับเหรียญทองราชดาราศาสตร์ ค.ศ.1931

ดำรงตำแหน่งนักค้นคว้าของวิทยาลัย ไครสต์เชิร์ช แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ค.ศ.1933
เขาได้รับเชิญจากประเทศสหรัฐอเมริกาให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของ สถาบันบัณฑิตวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยพรินส์ตัน ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ (Institute for Advance Study at Princeton, New Jersey)
นอกจากนี้ทฤษฎีของเขายังสามารถล้มล้างทฤษฎีของจอห์น ดาลตัน (John Dalton) นักฟิสิกส์และเคมีชาวอังกฤษที่ว่า "สสารย่อมไม่สูญไปจากโลกเพราะอะตอมเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของสสาร ซึ่งไม่สามารถจะแยกออกไปได้อีก" แต่ไอน์สไตน์ได้กล่าวว่า สสารย่อมมีการสูญสลาย นอกจากพลังงานเท่านั้นที่จะไม่สูญหาย เพราะพลังงานเกิดขึ้นจากสสารที่หายไป และอะตอมไม่ใช่ส่วนที่ เล็กที่สุดของสสาร เพราะฉะนั้นจึงสามารถแยกออกได้อีก

2. ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General Theory of Relativity)
ปี ค.ศ.1915 เขาได้รวมเล่มตีพิมพ์หนังสือเรื่องนี้ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่หลายต่างก็ไม่เข้าใจในทฤษฎีข้อนี้
แต่ด้วยความที่ไอน์สไตน์เป็นคนสุขุมเยือกเย็น เขาได้อธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีในหลายลักษณะเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า มีรถไฟ 2 ขบวน ขบวนหนึ่งจอดอยู่กับที่ อีกขบวนหนึ่งกำลังวิ่งสวน ทางไป ผู้โดยสารที่อยู่บนรถไฟที่จอดอยู่อาจจะรู้สึกว่ารถไฟกำลังวิ่งอยู่ เพราะฉะนั้น อัตราเร็ว ทิศทาง จึงมีความเกี่ยวข้องกัน
และ 3. เป็นผู้คิดค้นระเบิดปรมาณู!

ส่วนปรมาณูคืออะไรนั้น ผมคิดว่า ถ้าจะไม่อธิบายทุกคนก็คงจะเข้าใจ (555+)
คุณคงเคยสงสัยใช่ไหมว่า ทำไมอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ถึงได้ฉลาดกว่าคนธรรมดา

ข้อสงสัยนี้มีคำตอบแล้วระดับหนึ่ง

เมื่อคณะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์ (McMaster Universtity) เมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ได้เสนอรายงานผลการวิจัยสมองของไอน์สไตน์ ในวารสาร ทางการแพทย์ The Lancet เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า จากการศึกษาเปรียบเทียบสมองของไอน์สไตน์กับสมองคนฉลาดปกติทั่วไป เป็นชาย 35 คน หญิง 56 คน พบว่า บริเวณส่วนล่าง ของสมองด้านข้าง (inferior parietal region) ของไอน์สไตน์ ใหญ่กว่าของคนปกติธรรมดาถึง 15 เปอร์เซ็นต์ สมองบริเวณดังกล่าว อยู่ในระดับเดียวกับหู มีหน้าที่เกี่ยวกับการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์

นอกจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกด้วยว่า ร่องสมองของไอน์สไตน์ หายไปบางส่วนโดยที่สมองของคนทั่วไปจะมีร่องสมองจากส่วนหน้า ต่อเนื่องไปยังสมองส่วนหลังซึ่งร่องที่หายไปบางส่วนนี้ อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่แสดงความเป็นอัจฉริยะของไอน์สไตน์ เนื่องจากทำให้เส้นประสาทและเซลล์สมองบริเวณนั้น สามารถเชื่อมโยงเข้าหากันและทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น
ผลของการศึกษาวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า อัจฉริยภาพ ของนักทฤษฎีทางฟิสิกซ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกผู้นี้ มีมาตั้งแต่กำเนิด


ขอขอบคุณข้อมูล จากเด็กดีดอมคอม

 

หายตัว แต่หัวยังอยู่ ทำยังไงดีหล่ะ ...

เหอๆๆๆๆ

 

สนุก....555+

 

เห็นด้วยกับคุณใบไม้นอกกำมือครับ

ดินแดนใต้ท้องทะเลลึก ภายใต้ชื่อว่า "สามเหลี่ยมอาถรรพ์" ไม่ใช่ "สามเหลี่ยมทองคำ" นั้นมีอยู่จริง แต่ทว่าเป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับเราชาวมนุษย์โลก

เล่ากันว่า ที่แห่งนั้นเดิมทีคืออาณาจักร(...แอตแลนติส...) ที่ต้องคำสาป จมสู่ก้นสมุทร เนื่องด้วยความโลภ และใช้แท่งแก้วคริสตัลแบบผิดวิธี จนทำให้พลังงานที่เกิดจากแท่งแก้วนั้นเกิดการโอเวอร์โหลด จนทำให้หายนะเกิดขึ้น ณ. เวลานั้น.

 

หรอฮะ

 

เคยสังเกตมานานแล้วว่า ยุคหลังๆบ.squareผลิตffแต่ละภาค
มีความสมจริงด้านเนื้อหาในระดับลึกๆอยู่
ถ้าจะนึกถึงว่าสภาพแอตแลนติสเป็นอยู่อย่างไรก่อนล่มสลาย
ff12ก็พอจะช่วยให้จินตนาการชัดเจนมากยิ่งขึ้น

 

ดีเนอะถ้าหายตัวได้ก็คงได้เข้าห้องสาวง่ายดีอ่ะครับ

 

^
^
^
บร๊าาาา


อยากเหาะได้มากกว่าอ่ะ

 

ทุกอย่างเป็นไปได้ครับ ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยครับ ไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไมตัวเราถึงเป็นตัวเราเอง อนุโมทนาบุญด้วยครับ กับข้อมูลดี ๆ เช่นนี้

 

อะไรก็เป็นไปได้ ยกตัวอย่าง ตอนเด็กๆยังสงสัยว่าคนโบราณหรือพระบางรูปที่เก่งๆ ท่านเหล่านั้นคุยกันทางจิตได้อย่างไร
ตอนนั้นยังไม่มีโทรศัพท์ใช้เลย แต่เค้าก็คุยกันทางจิตได้ พอมาถึงปัจจุบัน โทรศัพท์แค่เครื่องเล็กๆ สามารถทำให้คนติดต่อพูดคุยกันได้
และกับเรื่องหายตัว เมื่อก่อนพระเก่งๆอาจารย์เก่งๆ เค้าก็หายตัวกันเยอะแยะครับ แล้วคิดดูคงไม่นานหรอกที่การเคลื่อนย้ายวัตถุภายในเสี้ยววินาทีก็คงเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเรา ตอนนี้คงจินตนาการถึงหลักการกันไปก่อน เพราะว่าต้องรวดเร็วมาก
อย่างคนที่นิ้วขาด ถ้าเกิดนำไปให้หมอได้เร็ว หมอก็อาจจะต่อนิ้วได้ทัน ขนาดนิ้วกับตัวอยู่ห่างกันยังต่อได้เลย จริงไหมครับ
ถ้าเกิดอนาคตมีเครื่องที่สามารถเคลื่อนย้ายมวลสาร หรือวัตถุได้อย่างรวดเร็วมากๆ มันก็จะสามารถเคลื่อนย้ายอะตอมหรือทุกส่วนของเราไปได้อย่างรวดเร็ว ถามว่าจะเจ็บหรือเปล่า ผมว่าคงไม่เจ็บนะครับ แต่อาจจะอ้วกได้ อิอิ
กว่าข้อมูลการรับรู้หรือประสาทของเราจะส่งไปถึงสมอง เราก็คงไปถึงที่หมายก่อนแล้วครับ ประสาทการรับรู้ของเรายังเร็วไม่เท่าแมลงวันเลย ผมว่าคงไม่นานหรอกครับ อีกไม่นานอาจจะมีคนค้นพบแร่บางอย่างที่ให้พลังงานมหาศาลมากกว่าแร่กัมมันตภาพรังสีในปัจจุบันเป็นแน่ และคงนำเอาแร่นั้นมาพัฒนาต่อยอดให้กับเครื่องมือสมัยใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน
คุยกันเล่นๆนะครับ อย่าเครียดๆ

 

หายตัวได้แล้วนิครับ แต่ใช้ผ้าคลุมล่องหนแบบเรื่องแฮรี่ เมื่อก่อนผมอ่านข่าวมา แต่เสียดายนานมากแล้วเลยจำชื่อประเทศที่ทดลองไม่ได้ แต่เขาไม่เอาออกมาจำหน่ายใช้แค่ในการทดลองเท่านั้น ก็คือว่าใช้การหักแหของแสงกับผ้าคลุมสะท้อนออกไปทำให้มองไม่เห็นจุด ๆ นั้น ซึ่งมีผ้าคลุม คลุมอยู่นั้นเอง

 

ครับ ผมก็เคยได้ยินข่าวเหมือนกัน เรื่องผ้าคลุมล่องหน แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ที่มีผีเสื้อด้วย แต่จำรายละเอียดไม่ได้
ซึ่งใช้นาโนเทคโนโลยี แต่ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงแค่การอำพรางครับ ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าหายตัวไปแบบจับต้องไม่ได้ครับ
ในปัจจุบันผมก็คิดว่ามีคนที่เค้าหายตัวได้จริง เพียงแต่ในตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาบอกกันเท่านั้นเอง
จิตของมนุษย์เราถ้าฝึกฝนดีๆนี่ วิทยาศาสตร์ยังห่างไกลกับเรามากเลยทีเดียว

 

ความคิดที่ไม่หยุดนิ่งของมนุษย์ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ให้เป็นไปได้เสมอ อนุโมทนาค่ะ

 

จิตมนุษย์สุดลึกล้ำเหลือกำหนด อันเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

 

งั้นเครื่องย้อนกาลเวลาอาจมีให้เห็นแน่เลยคงอีกหลายรุ่นแต่อาจมีบางท่านย้อนกาลเวลาโดยใช้จิต หายตัวก็ด้วยการใช้จิตไปแต่กายอยู่ เรื่องนี้วิทยาศาตร์ยังเข้าไม่ถึงอีกไม่นานคงมีคนสามารถทำให้โลกแห่งจิตสามารถอธิบายทางวิทยาศาตร์ได้อย่างครบถ้วน อนุโมทนาค่ะ ^___^

 

น่าคิด

 

คุณพอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเบอร์มิวด้าไหมค่ะ พอดีศึกษาอยู่ค่ะ

 

บ้า

 

ยังมีอีกเยอะ ที่มนุษย์ในโลกนี้ต้องเรียนรู้ (ที่สุดคือพุทธศาสตร์)