เจริญพุทโธก็ไม่สงบ อานาปานสติก็ไม่สงบ... หมดปัญญา!

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย น้ำมนต์, 18 มกราคม 2006.

  1. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    [​IMG]
    พระ ก.: หลวงพ่อครับ อารมณ์กรรมฐานที่ถูกจริต ผมเคยเจริญพุทโธกับอานาปาฯนาน จิตก็ไม่เคยสงบระลึกความตายก็ไม่สงบ ระลึกขันธ์ ๕ ไม่สงบ หมดปัญญา!
    หลวงพ่อ: วางมัน! หมดปัญญา วางมัน!
    พระ ก.: เวลานั่งสมาธิ ถ้าได้สงบนิดหน่อย สัญญา เยอะแยะไปหมด จะรบกวน
    หลวงพ่อ: นั่นแหละ มันไม่เที่ยง ไม่แน่ ไม่แน่ บอกมันเลย ไม่แน่ ทำไว้ในใจ ทั้งหมดอารมณ์มันไม่แน่ทั้งนั้น ไว้ในใจเลยนะ ทำสมาธิแล้วจิตไม่สงบ ไม่แน่เหมือนกัน จิตนี้สงบแล้วไม่แน่เหมือนกัน เอามันไม่แน่นี่ ไม่ต้องเล่นกับมันทั้งนั้นแหละ อย่าเอาปล่อยวาง สงบก็อย่าไปคิด อย่าไปเอาจริงเอาจังกับมัน.ไม่สงบก็อย่าเอาจริงเอาจังกับมัน วิญญาณัง อนิจจัง เคยอ่านไหม วิญญาณก็ไม่เที่ยง เคยได้อ่านไหม จะไปทำยังไงกับมันล่ะ ฮึ! สงบมันก็ไม่เที่ยง ไม่สงบมันก็ไม่เที่ยง เราจะมีความเห็นยังไงต่อไป เรามีความรู้อยู่อย่างนี้นะ สงบก็ไม่แน่ ไม่สงบก็ไม่แน่ เราจะอยู่ยังไงถ้าจิตเราคิดอย่างนี้ ถ้าเรามีความรู้อยู่อย่างนี้ละ ความสงบมาก็รู้ว่าอันนี้มันไม่แน่ ไม่สงบมา เราก็รู้ว่ามันไม่แน่ ความรู้สึกเราจะอยู่อย่างไร ตรงนั้น รู้ไหม
    พระ ก.: ไม่ทราบครับ
    หลวงพ่อ: ก็ดูตรงนั้นสิ มันสงบได้กี่วัน ที่ว่านั่งไม่สงบไม่แน่ หรือมันสงบดีจัง ไม่แน่เหมือนกัน เอาสิ! มันจะอยู่ตรงไหน ไล่มันสิ ไล่จี้เข้าไป อยู่ตรงนี้แหละ ไม่ต้องไปไหน เดี๋ยวก็สงบ เท่านั้นแหละ ภาวนาพุทโธก็ไม่สงบ.อานาปานสติก็ไม่สงบ ก็ไปยึด ไม่สงบนั่นแหละ ถ้าเราภาวนาพุทโธ...พุทโธไม่สงบ ไม่แน่เหมือนกัน อานาปานสติไม่สงบ ไม่แน่เหมือนกัน ไม่เล่นกับมันทั้งนั้นแหละ มันสงบก็ไม่เล่นกับมันละ มันหลอกลวงนี่ มีแต่ความ หมายมั่นทั้งนั้นแหละ เราต้องฉลาดกับมันสักนิดหนึ่งสิ ถ้ามันสงบล่ะก็ เออ! ใช่แล้ว ไม่สงบก็ ฮึ! วุ่นวาย จะไปสู้มันได้อะไร มันสงบ รู้ว่ามัน สงบแล้วนะ ไม่แน่! ไม่สงบ ดูมันแล้วไม่สงบก็อย่างนั้นแหละไม่แน่เหมือนกัน ถ้าเรามีความรู้สึกอย่างนี้ มันจะยุบลง เดี๋ยวนั้นเลยแหละ เมื่อเราทวงมัน เมื่อมันไม่สงบ นี่ก็ไม่แน่เหมือนกัน ยุบลงเดี๋ยวนั้นทีเดียวละ เอียง เรือต้องเอียงเลย ลองซิ เราไม่ทันมันนี่ เดี๋ยวเราจะเอาอย่างนั้น ไม่แน่เหมือนกัน ยุบเลย เอ้า! ลองดูซิ ทวงมันเข้าไป นี่ไม่ทวงมันนี่คลำมันไป ให้มันวิ่ง แล้วก็คลำๆมันไปเรื่อยอย่างนั้น ไม่ทวงมัน ใส่มันเข้าไปเลย อย่าให้มันอยู่ แต่เมื่อผมเทศน์ให้ฟังก็ร้อง โอ๊ย! หลวงพ่อนี่เทศน์แต่เรื่องไม่แน่ทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวก็เบื่อ ลุกหนี ไปแล้วนะ ไปฟังเทศน์ หลวงพ่อก็เทศน์แต่เรื่องไม่แน่ทั้งนั้นแหละ เบื่อแล้วก็ไปหาให้มันแน่ดูซิ เออ! เดี๋ยวก็กลับมาอีกแล้ว ลองจำไว้ในใจสิ คำผมพูด ไปเถอะไป ถ้าไม่เห็นอย่างผมว่านี่ ไม่สงบเลย ไม่สบาย ไม่มีที่จะอยู่หรอก
    ทำสมาธิให้มากน่ะผมก็เห็นด้วยเหมือนกัน เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ รู้ไหม คำพูดนี้รู้ไหม วิมุตติ แปลว่า การหลุดพ้นจากอาสวะ ๒ อย่าง เจโตวิมุตติ อำนาจของจิตมากที่สุด คือเรื่องสมาธิมาก จึงทำปัญญาเกิดได้ ปัญญาวิมุตติ ทำสมาธิพอเป็นรากฐาน เหมือนต้นไม้นี่เห็นไหม บางชนิดเอาน้ำใส่ มันบานขึ้นมานะ บางต้นเอาน้ำใส่ ตาย ต้องใส่แต่น้อยๆ พอดีๆ เห็นไหมนั่น ต้นสน ต้นฉัตรน่ะ ไปเอาน้ำใส่มากๆ ตายนะ ใส่แต่น้อยๆ ไม่รู้มันเป็นอะไร แต่อย่างต้นนี้ ดูซิ แห้งออกอย่างนี้ มันขึ้นมาได้ยังไง ลองคิดดูซิ มันจะได้น้ำมาจากไหน ใบมันจึงใหญ่จึงโตอย่างนี้ บางต้นต้องใส่น้ำให้มากๆจึงจะได้ใบใหญ่ขนาดนี้ แต่อย่างต้นนี้มันน่าจะตาย อีกอย่างหนึ่งเขาปลูกแขวนเอาไว้ รากมันห้อยลงมากินลม มันน่าจะตายนะ ถ้าเป็นไม้ธรรมดา มันคงแห้งไปหมดแล้ว นี่อีกหน่อยใบมันจะยาวขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่มีน้ำนะ น้ำไม่มี เป็นอย่างนี้เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน ธรรมชาติมันเจโตวิมุตติ วิมุตติ แปลว่าการหลุดพ้น ต้องทำกำลังใจให้เข้มแข็ง มีสมาธิมากๆอย่าง หนึ่ง ก็เหมือนกับต้นไม้บางชนิดต้องให้น้ำมากๆ มันจึงจะเจริญขึ้น แต่อีกอย่างหนึ่งไม่ต้องให้น้ำ มาก ให้น้ำมาก ตาย ต้องให้น้ำน้อยๆ เพราะมันเป็นอย่างนั้น มันเจริญของมันได้อย่างนั้น ฉะนั้นท่านจึงตรัสว่า เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ วิมุตติ การหลุดพ้น การที่จะหลุดพ้นต้องใช้ปัญญาและกำลังจิต จิตกับปัญญาต่างกันไหม
    พระ ก.: ไม่ครับ
    หลวงพ่อ: ทำไมถึงแยกล่ะ ทำไมถึงแยกเป็นเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ
    พระ ก.: เป็นเพียงคำพูดครับ
    หลวงพ่อ: นั่นแหละเห็นไหม ไม่อย่างนั้นเราก็ไปเที่ยวแยก เดี๋ยวก็เป็นบ้าเท่านั้นแหละ แต่ว่ามันอิงกันนิดหน่อยนะ จะว่าอันเดียวกันก็ไม่ใช่ คนละอันก็ไม่ใช่ ผมจะตอบอย่างนี้ถูกไหม ผมจะตอบว่าอันเดียวกันก็ไม่ใช่ คนละอย่างก็ไม่ใช่ ผมจะตอบอย่างนี้ เอาไปพิจารณาซิ พูดถึงความเท่าทันนะ ครั้งหนึ่งผมไปพักที่วัดร้างแห่งหนึ่งองค์เดียว มะไฟที่วัดร้างแห่งนั้นเยอะเลย อยากฉันเหลือเกิน ผมก็ไม่ได้ฉัน ความหวาดความกลัวว่ามันเป็นของสงฆ์ มีโยม คนหนึ่งสะพายตะกร้ามาขอ เราไปปักกลดที่นั่น เขาจะคิดว่าเราเป็นเจ้าของหรือยังไงก็ไม่รู้ เขามา ขอ ผมก็คิด เอ! จะให้เขาก็ไม่ได้นะ ครั้นจะไม่ให้เขาก็จะว่าพระหวง มีแต่โทษทั้งนั้น ผมเลยตอบ "โยม อาตมาพักที่วัดนี้ ไม่ใช่อาตมาเป็นเจ้าของนะ ที่โยมขอนี่ ก็เห็นใจอยู่เหมือนกัน อาตมาไม่ห้าม แต่ก็ไม่อนุญาต ฉะนั้น แล้วแต่โยมเถอะ" โอ๋! เขาไม่เอาแฮะ เออ! คำตอบอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ห้ามแต่ไม่อนุญาต เราหมด ภาวะเลย พูดไปอย่างนี้ก็มีประโยชน์ มันทันเขาดี! พูดแล้วก็ดี ดีจนกระทั่งทุกวันนี้แหละ บางทีคนพูดแปลกๆ มันก็ไม่กล้าเอา จริตคืออะไร?
    พระ ก.: จริต เอ้อ! ไม่ทราบจะตอบอย่างไร
    หลวงพ่อ: จิตก็อันนี้ จริตก็อันนี้ ปัญญาก็อันนี้ จะทำยังไงล่ะทีนี้ ดูซิ ว่ายังไง ลองดูซิ ราคจริต โทสจริต โมหจริต พุทธจริต จริตก็คือจิตใจของคนเรา ที่มันแอบแฝงในสภาวะอันใดอันหนึ่งมากกว่าเขา เป็นราคะบ้าง โทสะบ้าง ทุกอย่างมันก็เป็นภาษาคำพูดเท่านั้นแหละ แต่มันแยกกันออกไป ได้หกพรรษาแล้วนะ เออ! วิ่งตามมันเห็นจะพอแล้วมั้ง วิ่งมาหลายปีแล้วนี่ มีหลายคนอยากจะไปอยู่องค์เดียว ผมไม่ว่าหรอก อยู่องค์เดียวก็อยู่เถอะ อยู่หลายองค์ก็อยู่ ไม่ผิดหรอกถ้าไม่คิดผิด อยู่องค์เดียวคิดผิดมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ลักษณะที่อยู่ของผู้ปฏิบัติเป็นที่สงบหน่อยนะ แต่ว่าในเมื่อที่สงบระงับเช่นนั้นไม่มี เราก็ตายซิ มันร้อนนี่ อย่าหาทางอะไรให้มันมาก ให้มันย่อเข้ามา ให้มาอยู่ที่จิตใจเจ้าของที่ผมพูดน่ะดูไปนานๆ อย่าไปทิ้ง ให้มีความรู้ เอาไว้ ที่ผมว่า อนิจจัง อนิจจัง ต้องดูไปนานๆเถอะ เดี๋ยวจะเห็นชัดหรอก ผมเคยได้คำพูดจาก อาจารย์องค์หนึ่ง เมื่อครั้งผมภาวนาใหม่ๆ ท่านว่ากรรมฐานนี้ก็ปฏิบัติไปเถอะ อย่าสงสัยมัน อย่างเดียวเท่านั้นแหละ พอแล้ว.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2006
  2. kiwibird

    kiwibird เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +288
    ขออนุโมทนา สาธุด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...