พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไปเที่ยวเมืองนรกถึง ๑๕ วัน ตอนที่ ๔-๕-๖ ท่องแดนนรกขุมต่างๆ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ชนะ สิริไพโรจน์, 24 ธันวาคม 2008.

  1. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไปเที่ยวเมืองนรกถึง ๑๕ วัน ตอนที่ ๔-๕-๖ ท่องแดนน

    [​IMG]

    เหตุการณ์สำคัญในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ทรงเล่าเป็นบันทึกไว้ด้วยพระองค์เอง โดยใช้นามปากกา "พระขรรค์เพชร"
    เป็นเรื่องจริงที่แปลกประหลาด มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
    ที่พระองค์ทรงไปเที่ยวเมืองนรกเป็นเวลาถึง ๑๕ วัน

    เที่ยวเมืองนรก ตอนที่ ๔ ท่องแดนนรกขุมต่างๆ ๑

    นายยมพาข้าพเจ้าขึ้นรถแล้วขับไปทางเมืองอบายภูมิ ขับไปก็มีเขา
    อยู่ลูกหนึ่ง เป็นลูกยาวและอยู่ข้างจะชันมาก แต่ก็พอจะเดินขึ้นได้
    เขาลูกนี้เป็นที่ลงโทษอย่างน่าดูอันหนึ่ง คือมีคนถูกบังคับให้กลิ้ง
    ลูกโลหะใหญ่ๆ ขึ้นเขานี้ เมื่อแรกเริ่มก็ไม่ยาก เพราะที่เชิงเขาไม่สู้
    ชันนัก แต่ยิ่งขึ้นไปยิ่งชันขึ้นทุกที จนที่จะถึงยอดนั้นชันเกือบเป็น
    กำแพง เพราะฉะนั้นพอกลิ้งลูกโลหะขึ้นไปสูงจวนถึงยอดเขา
    ลูกโลหะนั้นมักจะกลับกลิ้งลงมาตีนเขาอีก คนที่เป็นผู้กลิ้งลูกโลหะ
    นั้น ถ้าหลีกทันก็ดีไป ถ้าหลีกไม่ทัน ถูกลูกโลหะทับก็เจ็บพอใช้
    ข้าพเจ้ายืนดูอยู่อดหัวเราะไม่ได้ แต่ก็มีใจเต้นอยู่เหมือนกัน เมื่อเวลา
    กลิ้งขึ้นไปจะถึงมิถึงแหล่นั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่ากลั้นใจคอยดู พอลูก
    โลหะกลิ้งปรู๊ดกลับลงมา รู้สึกตัวว่าร้องเฮ้อออกมาดังๆ จนนายยม
    หัวเราะ ข้าพเจ้าก็พลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย ยิ่งดียิ่งน่าขัน
    รู้สึกเหมือนไปยืนดูการกรีฑาอะไรอันหนึ่ง
    ลูกโลหะนั้นไม่เท่ากัน มีใหญ่บ้างเล็กบ้าง เมื่อแรกเห็นข้าพเจ้าเข้าใจ
    ว่าคงจะเลือกให้กลิ้งลูกใหญ่ฤาลูกเล็กตามกำลังและรูปร่างของผู้กลิ้ง
    แต่ครั้งดูต่อไปก็แลเห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้น เพราะคนรูปร่างใหญ่โตล่ำสัน
    บางคนก็กลิ้งลูกย่อม และคนรูปร่างบางๆ ก็กลิ้งลูกใหญ่
    ดูน่าประหลาดจริงๆ ข้าพเจ้าจึงพูดกับนายยมว่า
    "พวกเจ้าพนักงานของคุณ เห็นจะออกสะเพร่าเสียแล้ว"
    นายยมแลดูตาข้าพเจ้าด้วยความประหลาดใจ แล้วจึงถามว่า
    "ทำไม่คุณจึงเห็นเช่นนั้น"
    ข้าพเจ้าตอบว่า "ก็ดูเอาซิ แจกลูกโลหะให้ไม่สมกับคนกลิ้งเลย
    ดูเถอะขอรับ ตาสูงใหญ่ล่ำสันนั้นกลิ้งลูกเล็กนิดเดียว ที่ตาเตี้ย
    ผอมบางคนนั้นกลิ้งลูกใหญ่ออกเหลือเกิน เอ้าแล้วก็ขอให้ดูนั่นหน่อย
    ผู้หญิงคนนั้นนั่นแน่ะขอรับ ให้กลิ้งลูกออกโตหนักเหลือเกิน โตเกิน
    กว่าผู้ชายบางคนไปอีก"
    นายยมรับว่า "จริงอย่างคุณว่า แต่ผมต้องอธิบายว่า เจ้าพนักงาน
    มิได้กำหนดลูกโลหะให้กลิ้งได้ตามอำเภอใจ เขากำหนดตามข้อ
    บังคับ" ข้าพเจ้าถามว่า "คืออย่างไร"
    นายยมตอบว่า "คืออย่างนี้ พวกที่กลิ้งลูกโลหะเหล่านี้ คือเป็นคน
    พวกที่ทำให้คนได้รับความเดือดร้อน เพราะความโลภ คือทะเยอ
    ทะยาน ตะเกียกตะกายหาแต่เงินเท่านั้น ถึงจะทำให้คนอื่นได้รับ
    ความเดือดร้อนปานใดก็ช่าง ลูกที่กลิ้งนี้นคิดตามส่วนแห่งความโลภ"
    ข้าพเจ้าถามว่า "ถ้าเช่นนั้น เศรษฐีทั้งปวงมิตกอยู่ในจำพวกนี้ทั้งนั้น
    ฤา" นายยมตอบว่า "ไม่ทั้งนั้น เศรษฐีไม่ได้โลภทั้งสิ้น ไม่ได้มีแต่
    ที่โลภจนหน้ามืด ที่เขามีเงินแล้วได้ทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมือง
    และเพื่อนมนุษย์ก็มีอยู่มาก พวกที่มากลิ้งลูกโลหะอยู่ที่นี้คือพวกที่
    โลภจนหน้ามืด และคนที่เอาเปรียบคนอื่นอยู่เสมอๆ เป็นธรรมดา"
    ข้าพเจ้าถามว่า "ทำไมจึงให้กลิ้งลูกโลหะ"
    นายยมตอบว่า "เพราะเมื่อเขาอยู่ในเมืองมนุษย์เขารักเงินรักทอง
    ยิ่งกว่าสิ่งไรๆ ในโลก ก็ต้องให้เขาคลุกคลีตีโมงอยู่กับโลหะให้พอใจ
    พอสิ้นความโลภและเห็นแก่ตัวเมื่อไร ก็จะกลิ้งได้ถึงยอดเขา"

    ข้าพเจ้าได้ฟังคำอธิบายของเขาแล้ว ก็ยอมรับว่าแยบคายดีอยู่
    แล้วข้าพเจ้าก็เลยขออนุญาตเข้าไปดูพวกกลิ้งโลหะนั้นใกล้ๆ
    เผื่อจะพบคนที่ข้าพเจ้ารู้จักบ้าง พอข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้ผู้หญิง
    ผู้หนึ่งก็จำได้ว่า คือท่านสุ่นเศรษฐีนี ซึ่งข้าพเจ้าได้เคยรู้จัก
    คุ้นเคยดีอยู่ ฝ่ายท่านสุ่นพอเห็นข้าพเจ้าเดินผ่านไปก็ร้องเรียก
    ข้าพเจ้า ๆ ก็เข้าไปหาและได้ขออนุญาตนายยมเพื่อจะสนทนา
    กับท่านสุ่นบ้างเล็กน้อย ท่านสุ่นนั้นดูท่าทางอยู่ข้างจะเหนื่อยมาก
    เพราะแกถูกให้กลิ้งลูกโลหะเขื่องมากอยู่ ข้าพเจ้าเคยได้ทราบ
    อยู่แล้วว่า ท่านสุ่นนั้นเป็นแกเป็นคนอยู่ข้างจะฉมังกอบโกยเงินทอง
    ทรัพย์สินต่างๆ มากอยู่ แต่เดาไม่ถูกเลยว่า ความโลภของแกนั้น
    จะมากมายปานใด จนได้ไปเห็นลูกโลหะที่แกต้องกลิ้งอยู่นั้น
    จึงได้ทราบ

    ข้อความที่ท่านสุ่นพูดกับข้าพเจ้านั้น ก็ไม่มีอะไรสลักสำคัญนัก
    ชะรอยแกจะชวนพูดพอเป็นเหตุให้ได้มีเวลาพักหายเหนื่อยเท่านั้น
    ถ้อยคำที่แกรำพันบ่น ถึงความยากลำบากของแกนั้น ถ้าคนที่ไม่รู้จัก
    แกอยู่แต่ก่อนแล้ว ก็ออกจะน่าสังเวชจับใจมาก คือแกบ่นว่าโทษที่
    แกต้องรับอยู่นั้น ดูมากเกินกว่าความผิดของแก ตัวแกได้ตั้งใจ
    พยายามที่จะกระทำหน้าที่แห่งมารดาอย่างดีที่สุด แกอ้างข้าพเจ้า
    เป็นพยานว่า ก่อนแกตาย แกได้ตบแต่งลูกทั้งชายหญิงให้มีเหย้า
    มีเรือนไปทุกๆ คน เป็นหลักเป็นฐานดีแล้ว ข้อนี้ก็จริงอยู่ แต่ที่แก
    จัดแต่งไปทุกๆ ราย แกไม่ได้ให้ทุนรอนอะไรเลย ฤาจะออกให้บ้าง
    ก็เพียงเล็กน้อย ลูกแกแต่ละคน ล้วนได้เป็นลูกเขยฤาลูกสะใภ้
    ผู้มีเงินทั้งนั้น เมื่อจัดการแต่ง แกไม่ต้องสืบสวนเรื่องอื่น นอกจากว่า
    เขามีเงินฤาไม่ ส่วนตัวลูกแกนั้น แกไม่ต้องถามว่าเขาจะสมัครฤามิ
    สมัคร แกก็ข่มขืนน้ำใจให้เขาแต่งตามใจแกจนได้ เพราะฉะนั้น
    ในเวลานี้ข้าพเจ้ารู้ดีว่า ลูกแกโดยมากรู้สึกเดือนร้อนอย่างยิ่ง
    ในส่วนลูกชายนั้นแกได้ว่ากับเขา เมื่อก่อนจะจัดการแต่งงานนั้นว่า
    "จะเป็นอะไรไปเล่าลูกเอ๋ย เมื่อเราตบแต่งกับเขาเรียบร้อยแล้ว
    เมื่อเราไม่พอใจในตัวเขา เราก็หาเมียน้อยเล่นหลายๆ คนก็แล้วกัน"
    ดังนั้นก็จริงอยู่ ที่ทำได้เช่นนั้นไม่มีบทกฏหมายห้าม และถ้าแม้เป็น
    ชายจะเป็นอะไรไป แต่ส่วนลูกหญิงแกจะพูดอย่างเช่นกับลูกชาย
    แกบ้างก็ไม่ได้ ตกลงใช้อำนาจกดขี่บังคับเอาเฉยๆ จึงพากันนั่ง
    น้ำตาเช็ดหัวเข่าตามกัน

    นี่แหละเป็นวิธีที่แกได้ใช้มาแล้วแก่ลูกแกทุกๆ ราย ใครจะว่าแกว่า
    ไม่ได้จัดการให้เป็นหลักเป็นฐานแล้วนั้นไม่ได้ แต่แกเล่นลูกของแก
    เสียเหมือนหมากรุก เหมือนเขาไม่มีวิญญาณ แกนึกจะจับเดินทางไหน
    ก็ตามใจแก สุดแต่พอจะให้ชนะกระดานหนึ่งๆ เท่านั้น
    ใครจะเดือนร้อนใจก็ช่าง
    เมื่อข้าพเจ้ามาตรองดูเช่นนั้นแล้ว ก็ต้องนึกยอมในใจว่า
    การที่ท่านสุ่นมาถูกลงโทษอยู่ในอบายภูมินี้ ก็ดูมีมูลอยู่บ้าง
    พอพูดกันพอควรแล้ว ข้าพเจ้าก็ขยับจะเดินต่อไป ท่านสุ่นจึงพูดว่า
    "พ่อคุณเถอะ วานกลิ้งอีลูกนี้ขึ้นไปให้ฉันทีเถอะ"
    ฝ่ายนายยมก็ชิงพูดขึ้นเสียว่า "ข้อบังคับห้ามมิให้ทำการแทนกัน"
    แล้วนายยมก็รีบพาข้าพเจ้าเดินต่อไป ข้าพเจ้าอยากทราบจริงๆว่า
    อีกกี่ร้อยปีท่านสุ่นจึงจะกลิ้งลูกโลหะถึงยอด

    เชิญติดตามอ่าน เที่ยวมืองนรกตอนที่ ๕ ท่องแดนนรกขุมต่างๆ ๒

    (จากหนังสือ ล้นเกล้า เลิศคำ ล้ำค่า)

    ขอเชิญทุกท่านได้โมทนาบุญผ้าป่า ๓ กองบุญร่วมกันครับ
    http://palungjit.org/showthrea...=158315&page=3

    ศูนย์พุทธศรัทธา
    สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง
    เพียงท่านแวะชมและโมทนาท่านก็จะได้บุญได้กุศลตามกำลังใจของแต่ละท่าน

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2008
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    เหตุการณ์สำคัญในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ทรงเล่าเป็นบันทึกไว้ด้วยพระองค์เอง โดยใช้นามปากกา "พระขรรค์เพชร"
    เป็นเรื่องจริงที่แปลกประหลาด มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
    ที่พระองค์ทรงไปเที่ยวเมืองนรกเป็นเวลาถึง ๑๕ วัน

    เที่ยวเมืองนรก ตอนที่ ๕ ท่องแดนนรกขุมต่างๆ ๒

    ขออย่าให้ใครเข้าใจเลยว่า ข้าพเจ้านี้เป็นคนใจเหี้ยมโหด ข้าพเจ้าไม่เป็นผู้ชอบ
    ดูการลงโทษ ฤาดูคนได้รับความเจ็บปวดอย่างหนึ่งอย่างใดเลย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่
    ใช่คนที่ใจอ่อนเหลือเกิน เมื่อผู้ใดกระทำผิดไปแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นว่าควรจะต้อง
    รับผิดตามโทษานุโทษ
    คนที่กระทำผิดก็มีอยู่หลายชนิด บางคนทำผิดเพราะความโง่เขลา จึงพลาดพลั้ง
    คนชนิดนี้บางทีข้าพเจ้าก็ออกจะสงสารบ้าง บางคนทำผิดเพราะคบหาสมาคมกับเพื่อนอันไม่ดี
    ชักจูงไปในทางมิชอบ คนชนิดนี้ก็มีที่น่าสงสารบ้างแต่ค่อนข้างจะน้อย
    บางคนทำผิดเพราะไม่ได้รับอบรมอันดีมาแต่เดิม เช่นนี้ก็มีทางที่น่าสงสารอีก
    เพราะมีทางแก้ให้ได้ว่า ถ้าแม้ได้รับการอบรมแล้ว บางทีก็อาจจะเป็นคนดีได้
    และมีทางที่จะซัดได้ว่า เพราะผู้ใหญ่เลี้ยงไม่ดี ถ้าจะว่าไปถึงเจตนาก็มีต่างๆ กัน
    บ้างก็ทำผิดเพื่อหาความสุขใส่ตัว แต่หาได้คิดหน้าคิดหลังให้ตลอดไม่ คือมิได้คิดเลย
    ว่าการที่ตนจะกระทำไปนั้นจะให้ผลดี ฤาผลร้ายแก่ผู้ใด นอกจากตัวเองบ้างฤาไม่
    ผู้ประพฤติผิดเช่นนี้ต้องนับว่ากระทำที่ให้ผลร้ายแก่ผู้อื่นเพราะปราศจากสติ

    ยังมีคนอีกจำพวกหนึ่งที่กระทำชั่วในขณะที่สติบริบูรณ์ กล่าวคือได้ตริตรองตลอดแล้ว
    คะเนไว้แน่แล้วว่า ถ้าตนทำเช่นนั้นๆ ผลดีจะมาตกอยู่ที่ตัว ผลชั่วจะไปตกอยู่ที่ผู้อื่น
    ฤาอย่างน้อย ถ้าแม้จะต้องรับผลร้าย ด้วยกันทั้งตัวและทั้งผู้อื่น ก็คงคิดให้ส่วนของผู้อื่น
    มากกว่าส่วนของตนเองไว้จงได้ คนชนิดนี้ต้องนับว่าเป็นคนที่ให้ทุกข์แก่เพื่อนมนุษย์
    โดยความตั้งใจมุ่งหมายแท้ ไม่ใช่เพราะพลาดพลั้งฤาปราศจากสติเลย คนชนิดนี้ข้าพเจ้า
    เคยชังมาช้านานแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อไปเที่ยวในเมืองนรก ได้เห็นคนชนิดนี้ต้องทัณฑกรรม
    อย่างสาหัส ข้าพเจ้าจึงต้องรับสารภาพว่าออกจะไม่ใคร่รู้สึกสงสารเลย
    การที่ข้าพเจ้าได้คิดเช่นนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกอยู่ดีว่าเป็นสิ่งไม่สมควร เป็นมโนทุจริตอย่างหนึ่ง
    ซึ่งอาจจะนำให้ชื่อของข้าพเจ้าต้องไปเขียนลงอยู่ในทะเบียนของอบายภูมิ ได้สักคราวหนึ่งก็เป็นได้

    ข้าพเจ้าได้เล่าไว้ข้างบนนี้ว่า ในเมืองอบายภูมิตอนที่เรียกว่าเมืองเก่านั้น ตามความจริงเก่าแต่นาม
    พื้นที่ก็ดูเรียบร้อยดี ไม่ผิดกับเมืองใหม่เลย ยังมีเก่าอยู่อีกก็คือวิธีลงโทษ แต่ถึงในข้อนี้ก็เหมือนกัน
    จะว่าเก่าก็ได้ จะว่าใหม่ก็ได้ ถ้าจะพูดให้ตรงแท้ เห็นจะต้องว่าหันของเก่าลงให้ตรงตามสมัย
    อย่างเช่นต้นงิ้ว ซึ่งมีหนามทำด้วยเหล็ก ที่เรียกว่าต้นงิ้วนั้นก็เรียกติดมาจากของเดิมเท่านั้น
    ความจริงไม่ใช่ต้นงิ้ว และไม่ได้ตั้งใจทำให้เหมือนต้นงิ้วเลย คือทำเป็นเสาตรงๆ ขึ้นไป
    ขนาดเสาหลักแพเขื่องๆ มีเหล็กคล้ายๆ คมมีดฝังเป็นหนามรอบตัว ตั้งแต่โคนถึงยอดเสา
    การที่จะปีนเสานี้ไม่ให้ถูกคมมีดเลยนั้นเป็นอันไม่ได้ เพราะฉนั้นผู้ที่ถูกปีนนั้น กว่าจะขึ้นถึงยอด
    ก็เป็นแผลไปทั้งตัว ข้าพเจ้าไปยืนดูอยู่ รู้สึกเหมือนไปดูเจ้าเซ็นวันขวั้นศรีษะ ดูอยู่นานไม่ได้
    ต้องหลีกไปเสียให้พ้น

    ส่วนกระทะทองแดง ที่ใช้ต้มคนเป็นการลงโทษนั้น รูปก็ไม่เป็นกระทะแท้ เป็นหม้อมากกว่า
    และทำไว้เฉพาะพอจุคนๆ หนึ่ง ต่อหม้อหนึ่งเท่านั้น แลพอคนนั้นขึ้นแล้ว เขาก็เทน้ำเปลี่ยนน้ำใหม่ทุกครั้ง
    สังเกตว่าเขาระวังรักษาความสะอาดอย่างกวดขันยิ่งนัก ส่วนการหมกในไฟนั้นก็ยังคงใช้อยู่เหมือนกัน
    แต่ได้ความว่าต้องโทษหนักมากจึงจะใช้
    การหมกไฟนั้น ใม่ใช่จับโยนทิ้งลงไปในหลุมไฟใหญ่ๆ หลุมเดียว เขาจัดทำเหมือนเตาเผาอิฐ
    ข้างบนมีช่องเป็นแถวไป มีฝาปิดทุกช่อง ในช่องหนึ่งๆ มีคนถูกเผาอยู่คนหนึ่ง เพราะฉะนั้นเมื่อจะต้องการ
    เรียกคนไหนขึ้น ก็ร้องเรียกตามเลขประจำช่อง พวกสัตว์นรกก็จะเปิดเฉพาะช่องนั้นช่องเดียว
    อยู่ข้างจะเรียบร้อยดีมาก ตัวข้าพเจ้าผู้ไปดูอดชมความคิดเขาไม่ได้ แต่ส่วนพวกที่ถูกลงไปอยู่ในหลุม
    เหล่านั้น คงจะไม่เห็นตรงกับข้าพเจ้าเป็นแน่ อย่างไรๆ ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงมีผู้นึกให้ศีลให้พรข้าพเจ้าหลายคน
    เพราะข้าพเจ้าได้ไปขอให้เขาเปิดปล่องดูหลายปล่อง พอเปิดขึ้นศรีษะของคนที่อยู่ในปล่องนั้นก็โผล่ผลุบ
    ขึ้นมาทันที เห็นแต่อ้าปากกว้างๆ ขึ้นมาทุกคน ได้ความว่า หายใจไม่ใคร่ออก พอได้โผล่ขึ้นมาจึงอ้าปาก
    เพื่อให้ลมเข้าไปให้มากๆ ถ้าแม้นท่านจะถามข้าพเจ้าว่า หน้าตาคนเหล่านั้นเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าก็เห็น
    จะตอบท่านได้โดยยาก ผิวหน้านั้นแดงเกรียมไปทั้งนั้น ผมนั้นไม่ต้องถามเป็นไม่มีเหลือเลยจนเส้นเดียว
    ศรีษะเกลี้ยงๆ เหมือนโกนทุกคน (มีต่อ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2008
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    เหตุการณ์สำคัญในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ทรงเล่าเป็นบันทึกไว้ด้วยพระองค์เอง โดยใช้นามปากกา "พระขรรค์เพชร"
    เป็นเรื่องจริงที่แปลกประหลาด มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
    ที่พระองค์ทรงไปเที่ยวเมืองนรกเป็นเวลาถึง ๑๕ วัน

    เที่ยวเมืองนรก ตอนที่ ๖ ท่องแดนนรกขุมต่างๆ ๓ (ตอนจบ)

    เมื่อข้าพเจ้าไปยืนดูอยู่นั้น นึกออกประหลาดใจอยู่ว่า ทำไมไฟจึงไม่ไหม้
    พวกเขาเหล่านี้เป็นผงไปหมด ถามเขาจึงได้ความว่า เขามียาอะไรชนิดหนึ่งให้ทา
    ก่อนที่จะลงไปในหลุมไฟ ยานี้เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ ฤาอย่างไร ๆ ก็ไหม้ยากเข้าหน่อย
    ยานี้พอกันไฟไหม้ไปได้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง พอครบกำหนดก็ต้องให้คนนั้นขึ้นมาชะโลมใหม่
    ข้าพเจ้าถามเขาว่า ถ้าใช้พรมบ้านเรือนจะกันไฟไหม้ได้ฤา เขาตอบว่าได้แต่ต้องทาสดๆ
    ถ้าทาทิ้งค้างไว้เขาเกรงว่าจะไม่ใคร่เป็นประโยชน์นัก

    นอกจากการลงโทษต่างๆ ที่ได้เล่ามาแล้วนี้ ยังมีอีกหลายอย่างหลายประการ
    จนข้าพเจ้าแทบจะจำไม่ได้ แต่มีบางอย่างที่ข้าพเจ้าได้งดเสียไม่กล่าวถึงในที่นี้
    การลงโทษที่ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวถึงมีอยู่ ๒ จำพวก จำพวกหนึ่งเป็นวิธีอย่างโบราณ
    ไม่แปลกอะไรยิ่งไปกว่าที่ท่านทั้งหลายได้เคยได้ยินได้ฟังอยู่แล้ว
    อีกจำพวกหนึ่งนั้น ข้าพเจ้าเว้นเสียไม่กล่าวถึง เพราะไม่อยากให้ท่านผู้อ่าน
    ต้องรับความรำคาญเช่นข้าพเจ้า การลงโทษพวกนี้ เมื่อข้าพเจ้าได้ไปดูแล้ว
    ให้รู้สึกวิงเวียนเหมือนเป็นลมและยังเก็บมาแลเห็นติดตาอยู่อีกนาน
    เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่อยากเล่าฤาเอ่ยถึงอีกเลย

    พอข้าพเจ้าได้พลิกปฏิทินดู รู้สึกว่าข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวอยู่ในเมืองนรกถึง ๑๕ วันแล้ว
    เห็นว่าถึงเวลาอันสมควรที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านเสียสักคราวหนึ่ง แล้วแลถ้าแม้ยังรู้สึก
    ไม่สบายอยู่อย่างเดิม จึงจะไปเที่ยวที่อื่นต่อไป การเดินทางขากลับนี้ ข้าพเจ้ามีความ
    เสียใจที่จะเล่าให้ท่านฟังละเอียดอย่างขาไปไม่ได้ เพราะตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้สึกว่า
    กลับมาอย่างไร รู้สึกแต่ว่าตัวลอยหวิวมาเฉยๆ อย่างนั้นเอง แลความที่ลอยมาเร็ว
    จนออกเวียนศรีษะ ข้าพเจ้าจึงหลับตาเสีย ต่อเมื่อรู้สึกว่าตนหยุดลอยแล้ว จึงได้ลืมตาขึ้น
    เอ๊ะประหลาดจริง ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ตัวข้าพเจ้านอนอยู่บนเตียง แต่ไม่ใช่ที่บ้านข้าพเจ้าเอง
    เหลียวไปแลมา พบหน้าท่านหมอฝรั่งผู้หนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าจำได้อยู่ว่าเป็นแพทย์ประจำ
    โรงพยาบาลเซนต์หลุย ออกจะประหลาดใจมาก ท่านพอแลเจอะตาข้าพเจ้าก็ยิ้ม
    แล้วพยักหน้ากับคนพยาบาล เจ้าคนนั้นก็ถือถ้วยตรงเข้ามา จะเอาน้ำอะไรในถ้วย
    กรอกในปากข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายกมือขึ้นโบก แล้วถามว่า "เอ๊ะ นี่จะเล่นอะไรกัน"
    ผู้พยาบาลตอบว่า "หมอสั่งให้กินยานี่"
    ข้าพเจ้าจึงว่า "เอ๊ะ จะกินทำไม่ฉันไม่ได้เจ็บอะไร"
    หมอหัวเราะแล้วพูดว่า "กินยาเสียก่อน แล้วถึงค่อยพูดกัน กินหน่อยเถิด"
    ข้าพเจ้าก็ตกลงกินยานั้น แล้วก็คิดจะลุกขึ้น จึงรู้สึกว่าอ่อนเพลียชอบกล
    ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ข้าพเจ้านิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฤาจะเป็นเพราะเปลี่ยนอากาศเร็วนัก
    อากาศนรกกับอากาศเมืองเราคงจะผิดกันมาก จึงได้อ่อนเพลียถึงเพียงนี้
    ข้าพเจ้านอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็อดอยากรู้ไม่ได้จึงถามขึ้นว่า
    "นี่แนะหมอ ฉันอยากถามอะไรสักหน่อย ตัวฉันน่ะมาที่นี่ยังไง"
    หมอตอบว่า "มารถ"
    ข้าพเจ้ามีความประหลาดใจมาก จึงถามต่อไปว่า "ทำไมฉันไม่รู้สึกตัวเลยว่ามา"
    หมอตอบว่า "จะรู้สึกยังไงได้ เมื่อมาก็ไม่มีสติ"
    "เอ๊ะ ไม่มีสติ ก็ยังงั้นใครพาฉันมาล่ะ"
    "น้องชายท่าน พาท่านมา เมื่อเขาพามาเขาตกใจมาก"
    "ฉันเจ็บเป็นอะไรไป"
    "เป็นไข้พิษอย่างแรง ปรอทขึ้นสูง เพ้อมากทีเดียว"
    "อือ ยังงั้นฤาหมอ นี่ฉันเจ็บมากี่เวลาแล้ว"
    "เกือบสองอาทิตย์แล้ว แต่อย่าพูดมากนักเลยกำลังยังน้อย"
    ว่าดังนั้นแล้วหมอก็ไป ข้าพเจ้านอนนิ่งตรองต่อไป ช่างน่าประหลาดจริงๆ
    ในระหว่างที่เขาว่าข้าพเจ้าเจ็บอยู่นั้น ข้าพเจ้าเชื่ออยู่แน่นอนว่าเที่ยวอยู่ในเมืองนรก
    คนๆ เดียว จะอยู่สองแห่งได้ฤา ถ้าจะฝันไปว่าไปเที่ยวเมืองนรก ดูก็เกินฝันนัก
    เพราะอะไรที่ได้ดู ได้เห็น จำได้ถนัดดี ไม่เลือนๆ ลางๆ ฤายุ่งเหมือนฝันเลย

    ข้าพเจ้าเกือบจะรับสาบานได้ว่า เรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้เล่ามาแล้วข้างบนนี้
    ได้เล่าไปตามที่ได้เห็นประจักษ์แก่ตาแท้ ๆ ท่านผู้อ่านคงจะได้ยินเขาเล่ากันอยู่บ้างว่า
    มีคนบางคนที่แน่นิ่งไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมา เล่าความว่ามีผีมาพาไปเมืองนรก
    แต่ไปได้ความว่าพาไปผิด ก็พากลับขึ้นมาอย่างเดิม ซึ่งเห็นได้ว่า การไปนรกนั้น
    ไปแต่วิญญาณ กายหาได้ไปด้วยไม่ ในส่วนข้าพเจ้าก็จะเป็นเช่นนั้นกระมัง.....(จบ)

    ผมมีเรื่องการไปเที่ยวเมืองนรกที่แปลกประหลาด คล้ายกับเรื่อง
    การไปท่องนรกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไปนรกโดยรถ ๑๕ วัน
    คือเรื่อง ตาเคลิ้มท่องนรก โดยหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
    สำหรับตาเคลิ้มท่องนรก โดยเรือ ๗ วัน
    หลายท่านอาจจะเคยอ่านแล้ว แต่อีกหลายท่านอาจจะยังไม่ได้อ่าน
    จะนำเรื่องนี้มานำเสนอในโอกาสต่อไปครับ

    ตาเคลิ้ม พายเรือไปเที่ยวเมืองนรกนานถึง ๗ วัด โดย หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
    http://palungjit.org/showthread.php?t=166398

    ขอเชิญทุกท่านได้โมทนาบุญผ้าป่า ๓ กองบุญร่วมกันครับ
    http://palungjit.org/showthrea...=158315&page=3

    ศูนย์พุทธศรัทธา
    สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง
    เพียงท่านแวะชมและโมทนาท่านก็จะได้บุญได้กุศลตามกำลังใจของแต่ละท่าน

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2008
  4. dokapon

    dokapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2005
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +720
    สู้ๆค่ะ รออ่านอยู่
     
  5. ศิษย์โลกอุดร

    ศิษย์โลกอุดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +2,541
    รออ่านอยู่เช่นกันครับ
     
  6. Markdaddy

    Markdaddy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +171
    รออ่านอยู่เช่นกันครับ ขอบคุณครับ
     
  7. pangbood

    pangbood Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +69
    เรื่องแบบนี้ใครที่ไม่เคยไปก็ชอบกันทั้งนั้น ก็รออ่านอยู่อีกคนนะค้า;aa36
     
  8. red1477

    red1477 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +56
    รอเช่นเดียวกัน
     
  9. nopporun

    nopporun สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    รออ่านอยู่ค่ะ<!-- / message -->
     
  10. หนูแว่น

    หนูแว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,188
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ขอบคุณมากเลยนะค่ะที่เอาเรื่องดีๆมาให้อ่าน สนุกดีให้ความรู้แปลกๆดีค่ะ
     
  11. พระยงยุทธ วิสุทฺโธ

    พระยงยุทธ วิสุทฺโธ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +68
    ขอบคุณครับ ที่นำเรื่องราวดีๆ อย่างนี้มาให้อ่าน อย่างน้อยก็ให้เราได้รู้ว่าอีกมุมหนึ่ง ของพระมหากษัตริย์กับธรรมะ เพราะหาอ่านได้ยากมาก และจะมีคนนำมาเสนอก็หาอยาก อนุโมทนาสาธุครับ
     
  12. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    อนุโมทนาสาธุ รออ่านอยู่ค่ะ
    และขอเซฟข้อมูลไว้เพื่ออ่านให้เด็กๆฟังค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...