รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    ตอนที่เป็นนั้น เป็นตอนหลังจากสวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิแป๊บนึง

    บริกรรมแค่ไม่กี่ครั้งก็ ได้ยินเสียงในกระโหลก อยู่ต่างประเทศนะคะ แต่ได้ยินเสียง

    ผู้หญิงร้องเพลงไทยโบราณ คนที่บ้านก็เปิดทีวี ดูหนังฝรั่ง แต่มาได้ยินเสียงภาษาไทยได้

    ยังไงไม่ทราบ ตอนนั้นคงเพราะเพิ่งสวดมนต์เสร็จเลยนิ่งมาก แป๊บเดียวก็ได้ยินเลย

    ตัวเบาหรือเปล่าไม่ได้สังเกตุ

    วันพระที่แล้วก็ฝันเห็นหลวงพ่อฤาษีลิงดำค่ะ ในฝันก็บริกรรมรู้หนอด้วยค่ะ เลยไม่ทราบว่าฝันหรือนิมิตกันแน่

    ขอบคุณ คุณ Xorce ค่ะ
     
  2. radian235

    radian235 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +17
    1.ช่วยอธิบายลักษณะอุปจารสมาธิละเอียดก่อนเข้าปฐมฌานให้ฟังหน่อยครับ หมายถึง รอยต่อระหว่างอุปจารสมาธิก่อนเข้าจับปฐมฌาน อาการทางกาย ทางใจที่ปรากฎ ผมจะเอาไปเทียบเคียงครับ
    2. ปิติ ในอุปจารสมาธิ กับปิติใน ฌานที่ 2 มันมีความแตกต่างกันอย่างไร
    3. วิตกวิจาร ที่ละไปเมื่อเข้าฌานที่ 2 คือ ปิติจะเด่น เราจับตัวปิติอยู่ ระลึกอยู่ ไม่ใช่ตัววิตกวิจารหรือครับ งง
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณแว๊ด<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1707258", true); </SCRIPT> เสียงร้องเพลงเป็นเสียงทิพย์ครับ
    ส่วนฝันเห็นหลวงพ่อฤาษี
    ผมขอเรียกว่าฝันแบบมีสติก็แล้วกันครับ
    ถ้าเกิดว่าเราเจริญสติ หรือฝึกสมาธิมาระยะหนึ่ง
    บางครั้งจะมีสติถึงแม้ว่าอยู่ในความฝัน
    หลวงพ่อท่านคงมาให้กำลังใจน่ะครับ
    ท่านคอยเฝ้าดูลูกๆหลานๆอยู่ตลอดครับ
     
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณradian235<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1707278", true); </SCRIPT>
    จริงๆแล้ว เราอยู่ในฌาณอะไร ก็ไม่ควรไปสนใจครับ
    เพราะบางครั้งเราไปพะวงมากเกินไป
    ทำให้จิตไม่สงบมากกว่านั้น
    เพราะพอเอาเข้าจริง แล้วบางคนก็ทะลุเข้าฌาณ4ไปเลยก็มี
    แล้วเป็นจำนวนมากด้วยครับ
    ที่จะผ่านตั้งแต่อุปจารสมาธิ ไล่1 2 3 จนถึง4 ยังถือว่ามีจำนวนน้อยครับ
    เนื่องจากคุณเป็นคนที่นั่งสมาธิแล้ว มีความจริงจัง ประมาณว่าจะต้องทำให้ได้
    ทำให้อารมณ์มีความหนักเกินไป เครียดเกินไป พอนั่งสมาธิเสร็จแล้ว
    ผมขอเดาว่า ปวดหัวแน่นอน เครียดแน่นอน มึนแน่นอน เหนื่อยแน่นอน
    ซึ่งตอนแรกๆผมก็เป็นครับ ก่อนที่ผมจะตอบคำถาม ผมจึงมีวิธีที่ตัวผมเองใช้แก้ปัญหาดังกล่าว
    คือ จับลมหายใจด้วยอารมณ์สบายๆครับ
    1.สำหรับคุณradian235<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1707278", true); </SCRIPT> นั้น ก่อนอื่นให้เราหายใจเข้าลึกๆ แรงๆจนเต็มทั้งปอด
    จากนั้นกลั้นลมหายใจเอาไว้ ประมาณ10วินาที ไม่ต้องเป้ะครับ ประมาณ10-15ครับ
    แล้วให้ภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปที่ท้องเรื่อยๆ ตลอดทั้ง10วินาที
    จากนั้นให้เราหายใจออกให้หมด
    แล้วทำซ้ำประมาณ10ครั้งครับ
    เป็นเทคนิคที่ใช้ในการล้างลมหยาบ เพื่อให้เราสามารถจับลมหายใจได้ครับ
    ไม่งั้นลมมันหยาบไปแล้วจับลมหายใจไม่ค่อยได้ แบบที่คุณเป็นอยู่
    2.พอล้างลมหายใจแล้ว ให้เราปล่อยให้ร่างกายหายใจไปเรื่อยๆ ตามที่มันต้องการ
    จะแรงจะเบา จะช้า จะยาว ปล่อยมันไปครับ เราคอยดูลมหายใจเฉยๆ ไม่ต้องไปบังคับมัน
    3.ซักพักลมหายใจจะค่อยๆ ช้าลงๆ ช้าลงๆ เบาลงๆ เบาลงเรื่อยๆ จนเหมือนกับหยุดนิ่ง จนเหมือนกับไม่มีลมหายใจ
    แล้วให้เราประคองความนิ่งเอาไว้ให้ได้ซักระยะหนึ่งครับ จนลมหายใจมันกลับมาอีกครั้ง
    เราก็รู้ลมหายใจไปเรื่อยๆสบายๆครับ
    4.หลังจากนั้นเราจะรู้อารมณ์ใจว่า การจับลมหายใจที่ถูกต้องเป็นยังไง
    ต้องจับด้วยอารมณ์สบายๆอย่างไร เราจะเข้าใจเองครับ
    5.พอทำได้แล้วให้เราอธิษฐานว่าขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งลมสบาย จนลมหายใจหยุดไปได้นี้
    ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    เพื่อให้เราสามารถจดจำอารมณ์ใจและเข้าได้ทุกครั้งที่เราต้องการ
    ถ้าชาตินี้ยังไม่ไปพระนิพพาน ไม่ว่าด้วยเหตุใด
    ชาติหน้าเราจะได้กลับมาต่อจากจุดนี้ได้เลยครับ ดีกว่าไล่กันใหม่

    คราวนี้มาถึงคำตอบ
    1.ถ้าเป็นแบบฌาณละเอียด ช่วงนั้นก็จะมีอาการของปีติทั้ง5 เด่น จะมีคล้ายเห็นแสงสว่างแต่ไม่เสมอไป อาจจะไม่มีเลยก็ได้
    ลมหายใจก็จะเบาลง ละเอียดขึ้น จนจิตเลื่อนเข้าฌาณ1
    ถ้าฌาณหยาบฏ็ดูง่ายๆว่า เราจับลมหายได้2จุด เป็นอุปจารสมาธิ
    ถ้าจับครบ3 คือ จมูก อก ท้อง ก็เป็นฌาณ
    2.ปีติในอุปจารสมาธิ จะเป็นอาการของปีติ5
    ถ้าเป็นในฌาณ2จะเป็นแบบอิ่มอกอิ่มใจ เย็นๆ
    3.วิตกวิจารนี่หมายถึง การจับคำภาวนา เช่นพุทโธๆๆๆ
    พอไม่มีวิตกวิจาร หมายถึง ไม่จับคำภาวนาแล้ว
    เหลือแค่รู้ลมหายใจเข้าออกแทน หรือไม่ก็จับอารมณ์ของความนิ่ง เย็นสงบ แต่จะไม่ภาวนาแล้ว
    จะรู้สึกเหมือนเหนื่อยที่จะภาวนา ไม่อยากจะภาวนา พุทโธๆ

    ผมขอแนะนำว่า
    เวลาทำสมาธินั้นให้เราคิดว่า
    เรามานั่งสมาธิเพื่อให้ใจรู้สึกสบาย แล้วมันจะไม่เครียด
    ถ้าคิดว่าฉันอยากจะสงบ หรืออยากจะได้ฌาณ4 เพื่อเอาไปจับอย่างอื่นต่อก็ดี
    หรืออยากถอดกายทิพย์ออกมาได้ก็ดี
    แบบนี้มันจะเครียด
    พอนั่งเสร็จจะปวดหัว หัวใจเต้นแรง เครียด ซึ่งไม่ถูกครับ
    เราเน้นใจสบายดีกว่าครับ นั่งไปยิ้มไป ถึงฌาณไหนไม่รู้ รู้แค่ใจสบาย
    เพราะอารมณ์สบายคืออารมณ์ฌาณ ถ้าใจสบายเมื่อไหร่ตอนนั้นน่ะ
    จิตเราเป็นฌาณ
    บางคนนั่งแล้วเครียด ก็เลยเข้าไม่ถึงฌาณซะที
    ผมน่ะเข้าใจความรู้สึกของคุณดีเพราะตอนแรกๆ ผมก็จับลมหายใจไม่ได้ หาลมหายใจไม่เจอ
    สรุปแล้ว ทำใจให้สบายดีที่สุดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2010
  5. radian235

    radian235 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +17
    ขอบพระคุณมากครับสำหรับคำแนะนำ และเทคนิคการล้างลม จะเอาไปปรับใช้ครับ
     
  6. นายเธียรัท

    นายเธียรัท Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +32
    แนะนำด้วยครับ


    พอผมนั่งสมาธิภาวนา พุท โธ ไปได้สัพักหนึ่ง รุสึกว่ามีแสงสีขาวสว่างวาบอ่ะครับ
    จากนั้นก้รู้สึกหัวโล่งๆ พอนั่งต่ออีกสักแป้ป รู้สึกว่ามือผมเริ่มหนักแต่ความรู้สึกที่หัวเบามาก จากนั่นก็เบาหวิวไปหมดเลย ทั้งมือทั้งตัวตั้งแต่หัวลงมานี่ไม่รู้สึกอะไรเลยครับเหมือนกับไม่มีอ่ะ รู้สึกแค่ว่าหัวโล่งๆ จากนั้นก็เหมือนตัวผมมันขยายอ่ะครับ ทั้งด้านบนท้างด้านข้าง
    แล้วก็รู้สึกเหมือนเรากำลังมองจากบนท้องฟ้าอ่ะครับ เพราะตัวใหญ่มาก สักพักก้เริ่มนิ่งครับ เหลือแต่ความว่างเปล่า ก้นั่งไปอีกสักพักกับความว่างเปล่าอ่ะครับ แล้วก้เริ่มรู้สึกว่าไม่มีสมาธิก้เลยเลิกทำ

    ผมต้องทำยังไงต่ออ่ะครับ ผมเพิ่งจะเริ่มหัดเองครับ ช่วยแนะนำหน่อย

    หรือถ้าผมผิดพลาดตรงไหนช่วยแนะนำด้วยครับ




    ขอบคุณมากๆครับ
     
  7. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงนายเธียรัท<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1711236", true); </SCRIPT>
    ที่ฟังแล้วเป็นอาการที่จิตค่อยๆ ไล่อารมณ์สู่ฌาณขั้นละเอียดขึ้นเรื่อยๆนะครับ
    คืออาการตัวขยายน่ะ เป็นปีติครับ แล้วไปเรื่อยๆ อารมณ์ที่ตัวขยายค่อยๆหายไป
    จนตัวหายไปน่ะ ถูกแล้วนะครับ
    แต่ช่วยอธิบายอาการที่รู้สึกว่าไม่ค่อยมีสมาธิหน่อยครับ ว่าไม่ค่อยมีสมาธินี่รู้สึกอย่างไร
    แล้วพอตัวหายไปแล้ว ยังจับพุทโธ อยู่ไหมครับ หรือว่าเลิกพุทโธแล้ว
    ถ้ายังไม่เลิกพุทโธนะครับจุดนั้นเราควรจะทิ้งพุทโธได้แล้วครับ
    คือพอตัวหายแล้ว คราวหน้าให้จับอารมณ์ว่าง นิ่งอย่างเดียว พุทโธไม่ต้องแล้วครับ
    เพราะพอไปถึงจุดหนึ่ง จะต้องหยุดภาวนาแล้วจับอารมณ์นิ่งแทนครับ
    ถ้ายังภาวนาอยู่มันจะยั้งไม่ให้อารมณ์สงบกว่านี้

    แนะนำว่าที่ทำนั้นทำได้ถูกแล้วครับ
    แต่เพิ่มว่าเวลาออกจากสมาธิจะต้องออกช้าๆ ห้ามออกอย่างรวดเร็ว
    วิธีออกจากสมาธิให้หายใจเข้าลึกๆ ออกช้าๆ ซัก3ทีก่อน
    เพื่อเป็นการค่อยๆถอนอารมณ์ช้าๆ เพื่อให้จิตไม่สะเทือนจะได้กลับเข้าอารมณ์เดิมง่ายๆครับ
    แล้วก็ก่อนออกจากสมาธิให้เราอธิษฐานด้วยว่า ขอให้เราสามารถเข้าสู่อารมณ์นี้ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ที่เราต้องการ
    พึ่งเริ่มหัดได้ขนาดนี้ก็ดีแล้วครับ
    ให้เราหมั่นเข้าๆออกๆอารมณ์ให้คล่อง เข้าออกให้ได้ดั่งใจ อยากจะทรงให้นิ่งนานแค่ไหนก็ได้ที่เราต้องการครับ
    พอได้ฐานตรงนี้มั่นคงแล้ว จะไปจับอย่างอื่นก็ไม่ยากครับ
    แต่ก็ช่วยอธิบายที่บอกว่า รู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิด้วยครับ ว่าประมาณไหน จะได้แนะนำถูก
    แต่อารมณ์ที่ว่าเหลือแต่ความว่างเปล่า ตัวเราหายไป
    จริงๆนี่ก็อารมณ์ประมาณฌาณ4แล้วนะครับ
    ขอให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  8. นายเธียรัท

    นายเธียรัท Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +32
    ขอบคุณมากครับ



    ที่ไม่มีสมาธิคือ พอมันว่างตอนแรกๆก็ยังโล่งๆอยู่น่ะครับ

    แต่พอไปได้อีกซักพักเริ่มรู้สึกมึนๆ งงๆ เหมือนเราทำโจทย์คณิตไม่ได้อ่ะครับ
    (ถึงตอนนี้ผมก็ยังจับ พุทโธ อยู่นะครับ )

    มันเกิดจากอะไรครับ

    จะแก้ไขยังไงดีครับ

    ขอบคุณอีกครั้งครับ คุณ Xorce
     
  9. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    มันก็เกิดได้หลายอย่างครับ
    1.คือเราวางอารมณ์หนักไปหรือเครียดไปครับ เลยรู้สึกมึนๆ ต้องทำใจให้สบายขึ้นครับ
    2.เกิดจากการที่เรายังจับพุทโธอยู่ครับ เพราะถ้าถึงจุดนั้นควรจะทิ้งพุทโธ แล้วจับอารมณ์นิ่งๆแทนครับ ถ้าจิตยังไม่ปล่อยคำภาวนา จิตก็จะไม่สงบขึ้นครับ
    แล้วบางครั้งเหมือนเราไปรั้งอารมณ์เอาไว้ทำให้มันมึนๆครับ
    3.ก็คือเป็นอาการที่เราอาจจะยังไม่สามารถทรงสมาธิเอาไว้ได้นาน
    อันนี้ไม่เป็นไรครับ เพราะเป็นเรื่องของระยะเวลาในการฝึก ยิ่งเข้าสมาธิที่จุดเดิมได้บ่อยๆ เดี้ยวมันก็ชิน ก็คล่องเองครับ
    4.เราอาจจะไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป หรือว่าจะเป็นยังไงต่อไป หรืออาจจะเกิดความกลัว ความลังเลใจ อาจจะครุ่นคิดว่าต้องทำยังไงต่อไป ทำให้ไม่สงบครับ ทำให้จิตเริ่มซัดส่าย
    ที่ต้องทำต่อไปจากจุดนั้นคือทิ้งพุทโธ แล้วจับอารมณ์นิ่ง ว่างแทนครับ
    แล้วอารมณ์จะยิ่งนิ่ง ดิ่ง ลึก กว่านั้นอีก

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
    ถ้ายังตอบไม่ถูกใจส่งpm มาก็ได้ครับ เผื่อจะอธิบายได้ละเอียดขึ้น
     
  10. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    สวัสดีค่ะ

    เมื่อคืนหลังจากสวดมนต์แล้ว นั่งสมาธิตามเดิม

    แต่เมื่อคืนเพิ่มการจับรูปพระเข้ามาด้วย บริกรรม นะมะ พะธะ แต่ปักจิตที่ลิ้นปี่ เพราะมันชินอย่างนั้น

    แรก ๆ ก็ตัวเบาเลย แต่บางครั้งก็บริกรรมผิดบ้าง ไม่ตรงกับลมหายใจ ก็เอาใหม่ ทำแบบ ไม่ซีเรียส ได้ก็ได้

    จากนั้นรู้สึกเหมือนวื๊ด เข้าไปนิดนึง แล้วก็เข้าไปอีก แต่ตัวเบา เห็นแต่สีขาวทอง บอกไม่ถูกค่ะ คือถ้าจับรูปพระไม่ชัด เหมือนสีตก ๆ หล่น ๆ เพราะพระที่จับภาพ ออกสีทองค่ะ คือจับทั้งสีทอง จับทั้งพระพุทธรูป ถ้านึกไม่ออกก็จับพระหัตถ์ สติดีอีกหน่อยก็จับพระพักตร์ แรก ๆ มันก็วน ๆ ไปอย่างนี้ค่ะ

    พอหลังจากนั้นมันนิ่งเอง นิ่งแล้วตัวซู่ซ่า ซ่าน ๆ วาบ ๆ ตามร่างกาย ตัวเบา เหมือนไม่มีร่างกาย เหมือนอยู่แต่ข้างใน สว่าง ๆ ทอง ๆ จากนั้นก็จับพิจารณา ปกติ จะไม่เข้าสมาธิก่อนแล้วค่อยพิจารณา วันนี้ลองทำดูแปลก ๆ หน่อย ๆ ค่ะ

    ผลจากการปฏิบัติ คือทำได้ทั้งสองอย่าง เพราะปกติ จะจับดูการเกิดดับจน ละเอียดเข้าไปเป็นสมาธิ แต่เมื่อคืนเข้าสมาธิก่อนแล้วค่อยพิจารณา น่ะค่ะ
     
  11. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    แต่พอจะเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ
    ว่าจับลมหายใจต้องทำแบบสบายๆ ถ้าเอาจริงเกินไปจะไม่ดี
    ส่วนภาพพระพุทธรูปก็ดีแล้วครับ ต้องนึกถึงท่านแบบสบายๆ
    แต่ว่ายังมีอารมณ์หนักอยู่นิดหน่อย ต้องค่อยๆผ่อนอารมณ์
    ให้ลองผ่อนอารมณ์ให้สบายๆขึ้นเรื่อยๆครับ

    พอเข้าสมาธิแล้ว หากต้องการจะพิจารณาบางครั้ง
    ถ้าลึกเกินไปจะต้องถอนอารมณ์ออกมาหน่อยครับ
    ไม่งั้นมันจะนิ่งดิ่งลึกไป จะพิจารณาไม่ได้
    แต่ว่าเราก็ฝึกเข้าๆออกๆอารมณ์ให้ชินก่อนครับ แล้วค่อยพิจารณาก็ได้ครับ
    ทำช้าๆ สบายๆครับ
    อนุโมทนาด้วยครับ

    คราวนี้ผมขออนุญาติให้การบ้านลองไปทำดูนะครับ
    ให้ลองดูว่าระหว่างเราพิจารณาก่อนเข้าสมาธิ กับเข้าสมาธิก่อนค่อยพิจารณา แบบไหนจะพิจารณาได้ละเอียด ลึกซึ้งกว่ากันครับ
    แล้วแบบไหนได้ผลดีกว่ากันครับ
    ให้ไปลองทำดูนะครับ คิดว่าเป็นเรื่องสนุกครับ แล้วจะสบายใจ
     
  12. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    จากที่ได้ทดลองทำเมื่อวาน

    คือจริตไปทางพิจารณา ดูรูปนามที่จะอยู่แค่ระดับขณิกสมาธิ หรือต้น ๆ อุปจารสมาธิ แล้วก็ละเอียดเข้าไปสมาธิ ซึ่งตรงนั้นจะไม่ทราบว่าเข้าไปในสมาธิรึเปล่า เพราะรู้อยู่แต่ข้างในเหมือนกัน แต่สติมันตามตลอด พิจารณาอยู่อย่างเดียว คงเป็นแนวสุขวิปัสสโกมั้งค่ะ บางครั้งก็จับ ๆ พองยุบ อยู่ ก็เข้า ไปแบบที่ว่า กายสั่น ข้างในมีแต่แสงจ้าสีขาว เสียงดัง คือเขาเข้าวื๊ดไปเลย ไม่เห็นขั้นที่ หนึ่ง สอง สาม น่ะค่ะ

    ...............................................................................

    พอมาเข้าสมาธิแล้วค่อยพิจารณา (อันนี้ส่วนตัวนะคะ) รู้สึกว่าเข้าไปแล้วมันสบาย อยากอยู่แต่ตรงนั้นเหมือนติดสุข ถ้าไม่มีสติตามนี่ มันจะเผลอ เพลิน อยู่แต่อย่างนั้น

    ถ้าถามว่าอย่างไหนพิจารณาได้ละเอียดกว่ากันนั้น สำหรับตัวเองแล้วคิดว่าแล้วแต่บุคคลนั้น ๆ ถนัดอย่างไหน ค่ะ
     
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    สวัสดีครับ
    พอเข้าฌาณจริงๆ ส่วนมากก็จะไม่ผ่านทีละขั้นหรอกครับ
    จะมีส่วนน้อยเท่านั้นที่จะผ่านไปทีละขั้น
    ทีนี้คนส่วนมากจะเข้าใจว่าจะต้องไล่อารมณ์ไปทีละฌาณ ซึ่งไม่เสมอไปนะครับ
    ความคิดที่ว่าจะต้องไล่อารมณ์ไปทีละขั้นเนี่ย บางครั้งเนี่ยจะทำให้เราสร้างกำแพงให้กับตัวเองครับ
    อันนี้เพื่ออธิบายให้คนอื่นๆทราบนะครับ แต่คุณแว๊ดคงเข้าใจแล้วนะครับ

    ทีนี้เรื่องความถนัดนั้นจริงๆแล้ว ผมคิดว่าคุณแว๊ดไม่น่าจะใช่สุกขวิปัสสโก
    เพราะการภาวนานะ มะ พะ ธะ หรือว่าจับภาพพระพุทธรูปเนี่ย
    จริงๆมันเป็นวิสัยตั้งแต่เตวิชโชขึ้นไป แต่ก็อย่าพึ่งเชื่อผมซะทีเดียว
    ต้องดูว่าเราชอบแบบไหนมากกว่า

    ทีนี้ถ้าตามที่พระอาจารย์หลายๆท่าน ได้แนะนำมานะครับ
    ไม่ว่าจะเป็นสายหลวงปู่มั่น สายหลวงพ่อฤาษี
    ท่านจะแนะนำ เหมือนๆกันว่า
    ถ้าจะให้ดีที่สุด จะต้องเข้าฌาณให้อารมณ์เป็นสุขที่สุดเสียก่อน
    แล้วจึงค่อยพิจารณา เพราะว่ายิ่งอามณ์เป็นสุขมาก ยิ่งพิจารณาได้ละเอียด

    ทีนี้อารมณ์ที่เราเรียกว่าติดสุขในฌาณจริงๆเนี่ย
    คือในลักษณะที่เราคิดว่าฌาณนี้เป็นสุขที่สุด แล้วก็เข้าฌาณแบบไม่ปล่อย คือไม่คิดจะพิจารณาเลย จะเข้าแต่ฌาณอย่างเดียวทั้งวันทั้งคืน อันนี้เป็นติดสุขในฌาณครับ

    ทีนี้หากเราคิดว่าเราเข้าฌาณให้ใจเป็นสุขก่อน แล้วจึงใช้กำลังของฌาณเพื่อตัดกิเลส
    แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการติดสุขในฌาณครับ คือไม่ได้ยึดว่าฌาณนี่ดีที่สุด
    แต่ใช้เพียงเพื่อเป็นบรรไดเพื่อก้าวขึ้นไปสู่สภาวะที่สูงกว่า อันได้แก่ความเป็นพระอริยเจ้า

    ดังนั้นถ้าเรารู้สึกว่าเข้าฌาณแล้วสุขน่ะ ดีแล้วครับ อย่าคิดว่าไม่ดี ให้เสวยสุขอยู่ซักระยะหนึ่ง
    แต่จะต้องไม่พอใจอยู่แค่นั้นนะครับ จะต้องก้าวต่อไป
    ติดสุขในฌาณก็คือพอใจอยู่แค่ฌาณ ไม่พิจารณาต่อ
    ถ้าเราเข้าฌาณจนเป็นสุข แล้วพิจารณาต่อก็ไม่ถือว่าผิดครับ
    แต่ถ้าคุณแว๊ดถนัดแบบไหนก็เอาตามแบบนั้นเถอะครับ เราทำแล้วสบายใจดีที่สุดครับ
     
  14. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    จริง ๆ แล้ว แว๊ด จะปฏิบัติตอนกลางวัน ที่ปฏิบัติจริง ๆ คือเดินจงกรม กับนั่งจับพองยุบ อย่างละเกือบชั่วโมง ซึ่งจะ ไม่จับอย่างอื่นเลย ไม่ว่า พุท โธ หรือ นะมะ พะธะ และภาพพระพุทธรูป

    แต่ตอนกลางคืนหลังจาก สวดมนต์แล้ว ถึงจะมาลองจับสมถะดู คือ บริกรรม นะมะ พะธะ และลองจับภาพพระพุทธรูปดูนะคะ เหมือนเรียนรู้วิชาเพิ่มน่ะค่ะ

    ขอบคุณนะคะ ที่แนะนำอะไร ๆ ตั้งหลายอย่าง อนุโมทนาค่ะ
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ก็ลองหลายๆแบบดูก็ได้ครับ
    เผื่อจะเจออันที่เราถูกใจ
    แต่แนะนำว่า ถ้าสนใจมโนมยิทธิต้องลองไปฝึกที่ซอยสายลม หรือที่วัดท่าซุงครับ
    ไม่งั้นมันช้าครับ ถ้าไม่มีคนคอยแนะนำ
    แต่ก็พยายามประคองจิตให้เป็นกุศลเอาไว้ตลอดเวลาแหละครับ
    จะจับอะไรก็ได้ ถ้าจิตเราสบายแล้วก็ โอเคหมดทุกอันแหละครับ
    แต่ถ้าเราไม่สบายใจหรือเครียดไป จับอะไรก็ไม่โอเคครับ
    ต้องรักษาใจให้สบายๆเอาไว้ตลอดครับ แล้วทุกอย่างจะก้าวหน้าเร็วครับ
     
  16. ธนานุวัตร

    ธนานุวัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +968
    สาธุ.........._/l\_ ครับ
    อนุโมทนาทั้งผู้ตอบและผู้ถามครับ ดีมากๆเลยครับกระทู้นี้ ผมฝึกด้วยตัวเองอ่านและฟังจากคำสอนก็หลายครั้งแต่ยังปฏิบัติไม่ไปถึงไหน ซึ่งตอนนี้ผมได้เข้าใจอะไรๆมากขึ้นจากกระทู้นี้ ซึ่งจะเป็นแนวทางการฏิบัติของผมต่อไป และขอถามดังนี้นะครับว่า ช่วงเวลาที่จะให้ทิ้งคำภาวนานี่นะคับ เราจะภาวนาจนมันหายไปเอง แต่ว่าผมนี่จะติดคำภาวนามากแต่บางทีอาจจะลืมคำภาวนาพอรู้ตัวอีกทีก็ภาวนาต่อ ในจุดที่รู้ตัวอีกทีว่าลืมภาวนาแล้วภาวนาต่อนี่เราควรภาวนาต่อหรือว่าปล่อยไปเลยดีครับ
     
  17. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ธนานุวัตร
    ต้องปล่อยครับ
    นั่นแหละอารมณ์ที่เราเหมือนกับลืมภาวนานั่นแหละครับ
    คืออารมณ์ที่จิตเลื่อนสูงขึ้น แต่ว่าเราไปรั้งเอาไว้ด้วยคำภาวนา ทำให้จิตไม่สงบเพิ่ม
    คราวนี้ถ้าเราเกิดอารมณ์นั้นอีกให้ปล่อยคำภาวนาครับ
    พอปล่อยแล้วให้เราจับลมหายใจแทนครับ
    หรือไม่ก็จับความรู้สึกที่สงบ นิ่งแทนครับ

    มันจะเปลี่ยนจากการจับคำภาวนา ไปจับที่สมาธิ ไปจับที่อารมณ์ใจแทนครับ
    แล้วจากจุดนั้นมันจะสงบขึ้นเรื่อยๆเอง
    ถ้าเราเลือกที่จะจับลมหายใจ ลมหายใจของเราก็จะค่อยๆช้าลงๆ จนหยุด พอลมหายใจหยุดคราวนี้จิตจะนิ่งครับ

    แต่ต้องอย่าลืมว่าอารมณ์ใจที่สำคัญที่สุดคืออารมณ์สบายครับ
    ถ้าใจสบายเมื่อไหร่ จิตเป็นฌาณเมื่อนั้นครับ
    ถ้าเราเครียดไป เอาจริงไป หรือพยายามมากไป จนใจไม่สบาย
    จิตก็จะไม่สงบครับ เพราะฉะนั้นถ้าให้ง่ายที่สุดก็ทำใจสบายๆครับ แล้วจะสงบเอง

    ขอให้เจริญในธรรมและมีอารมณ์ใจที่เบาสบายครับ
     
  18. ราชแสง

    ราชแสง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +85
    ขออนุโมทนา สาธุครับ
    มีเรื่องสงสัยอยู่อย่างครับ การฝึกมโนมยิทธิ สามารถฝึกได้ด้วยตัวเองหรือเปล่าครับ โดยไม่ต้องอาศัยครูผู้ช่วย จะเกิดผลไหมครับ และการฝึกแบบครึ่งกำลัง กับแบบเต็มกำลัง ต่างกันอย่างไรครับ คือผมทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดเลยครับ ในช่วงนี้จึงอยากจะลองฝึกด้วยตัวเองน่ะครับ ยังไงช่วยแนะนำให้ทีนะครับ
    ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    การฝึกมโนมยิทธิสามารถฝึกด้วยตัวเองได้ครับ
    แต่ว่าการฝึกในครั้งแรกนั้นจะลำบากมาก และเกิดผลน้อย
    เพราะไม่มีอาจารย์ที่คอยแนะนำการวางอารมณ์และไม่มีกำลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย
    แต่ถ้าเคยได้แล้วครั้งนึงก็สามารถฝึกเองได้ตลอดเลยครับ

    แบบครึ่งกำลังก็คือ เราจะทำอะไรอยู่ก็ดี ก็สามารถที่จะเห็นพระพุทธเจ้า สนทนากับท่าน หรือจะไปที่ไหนก็ได้ เราจะกินข้าวอยู่ ทำงานอยู่ก็สามารถทำได้
    ส่วนแบบเต็มกำลังคือการทิ้งร่างกายเราเอาไว้ตรงนี้
    แล้วถอดเอาจิตออกไปอย่างเต็มที่
    มันจะคล้ายๆเวลาเราฝันน่ะครับ คือร่างเราก็ทิ้งไว้ แล้วจิตเราก็ไปที่อื่น
    ถ้าไม่ว่างไปฝึกที่ซอยสายลมเนี่ย ก็แอดเอ็มเอสเอ็นผมมาก็ได้ครับ
    พอจะแนะนำได้อยู่ แต่ไม่ดีเท่าไปฝึกที่ซอยสายลมหรือวัดท่าซุง เพราะมีกำลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยมากกว่า

    ทำงานทุกวันนี่ เสาร์อาทิตย์ก็ทำงานด้วยไหมครับหรือว่าหยุด
    เพราะปกติที่ซอยสายลมจะมีฝึกทุกเสาร์อาทิตย์ต้นเดือน ก็คงจะเป็นช่วงปีใหม่
    ลองไปดูก็น่าจะดีครับ ตอนปีใหม่
     
  20. เรืองรักข์

    เรืองรักข์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +174
    มีทำสมาธิช่วงหนึ่ง ใช้ภาวนาพุท โธ ค่ะ และจิตก็นิ่งสงบเร็วมาก ไม่ได้ภาวนาอะไรอีก รู้สึกเป็นสุข ปิติ หลังจากนั้นสักพัก ก็รู้สึกเหมือนตัวชา โดยเริ่มจากที่ศีรษะก่อนค่ะ เหมือนจะมีอะไรมาทับ มันหวิววๆ อธิบายไม่ถูก เลยกระเจิง จึงเริ่มภาวนาไหมอีกครั้ง ก็เป็นอีก จึงเลิกทำ หลังจากนั้นก็จะทำสมาธิใหม่ แต่กลัวฟุ้งซ่าน ไม่เกิน 10 นาทีเลยค่ะ ข้อถามเป็นข้อ ๆ ค่ะ
    1. อาการที่เกิดนี้เพราะอะไรค่ะ
    2. การพิจารณาลม หายใจ แล้วภาวนา พุท โธ โดยจับลมหายใจ เข้า- ออก แต่ปัญหาคือ ลม หายใจ เข้าออกมันไม่เป็นจังหวะ สั้น ยาวไม่เท่ากัน เมื่อเป็นเช่นนี้ จะใช้หลักการพุท โธ เรื่อยๆ จะได้อยู่ไหมค่ะ
    3. การฝึกเองที่บ้าน โดยไม่มีครูอาจารย์กำกับดูแล นี้ เคยอ่านเจอ เค้าว่ากันว่า จะทำให้เป็นบ้าได้ นี้จะต้องทำไงค่ะ ถึงจะพิจารณา รู้เท่าทัน คุมสติไว้อยู่
    4.เมื่อจะออกจากสมาธิ ก็มักจะทำกระทันหันเลยค่ะ (ลืมตา) แต่อยากจะทราบว่า ค่อย ๆ ออกจากสมาธินี้คือทำยังไงค่ะ
    กำลังฝึกเบื้องต้น หากผิดผลาดยังไงก็คำชี้แนะด้วยนะคะ
    ขอบคุณค่ะ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...