เหตุเกิด ณ ตลาดห้วยขวาง..(มันเกิดอะไรขึ้น T_T )

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ภัทรวรรัฏฐ์, 9 พฤศจิกายน 2008.

  1. ภัทรวรรัฏฐ์

    ภัทรวรรัฏฐ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +18
    ด้วยความที่เมื่อวานป่วย นอนซมทั้งวัน กลางคืนเลยนอนไม่หลับ

    หันไปดูนาฬิกา อ้าว ตี 4กว่าละนี่นา ไปตักบาตรดีกว่า

    เลยเดินทางไปที่ตลาดห้วยขวาง บริเวณหน้าร้านทองตรงข้ามตลาดสด

    จะมีแผงขายอาหารสำหรับใส่บาตร จัดเป็นชุดๆ

    ด้วยความที่ตั้งใจจะใส่บาตร พระ 4 รูป ก็เลยนั่งรออยู่แถวนั้น

    เวลาผ่านไปสักแป๊บ มีพระเดินมารูปนึง แล้วก็มาหยุดอยู่หน้าร้านทอง (ในเวลานั้นมีคนไปใส่บาตรแค่เราคนเดียว มันคงจะยังเช้ามาก)

    พระอีกรูปนึงเดินผ่านมา เราก็ใส่บาตร

    เวลาผ่านไป ... คนก็เริ่มทยอยมาใส่บาตร โดยที่มีพระรูปนึงยืนรับบิณฑบาตรอยู่ที่จุดนั้น เวลานั้นคนกำลังเยอะมากๆ

    แล้วก็เกิดเรื่องขึ้น .....

    ในขณะที่เรานั่งรอพระรูปอื่นๆมา เพื่อที่จะได้ใส่บาตรให้ครบ 4 รูป

    ก็มีพระนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างมา.... แล้วถือเป็นซองเอกสารสีขาวขุ่นๆ ชี้ลงมาที่พระที่กำลังรับบิณฑบาตรอยู่..
     
  2. ภัทรวรรัฏฐ์

    ภัทรวรรัฏฐ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +18
    ในขณะเดียวกัน เราก็กำลังจะลุกขึ้น เพราะคิดว่าจะได้ใส่บาตรพระแล้ว แต่ขณะเดียวกัน คิดในใจว่า เอ.. ทำไม หลวงพี่ไม่เอาบาตรพระมาด้วย จะใส่ยังไงนะ

    ภาพที่เกิดขึ้น เกิดในเวลาอันรวดเร็วมาก ผู้คนแตกฮือ.. ออกไปคนละทาง

    มีผู้ชายใส่เสื้อแจ๊กเกตสีดำ คล้ายเสื้ออาสาสมัครอะไรสักอย่าง เข้าล๊อคตัวพระ

    ทุกอย่างฟังไม่ได้สรรพ .. เพราะตั้งเสียงตะโกนตกใจ ของคนแถวนั้น รวมไปถึงเสียงรถตุ๊กๆ แถวตลาด

    พระที่รับบิณฑบาตรที่ยืนอยู่ก่อนหน้านั้น ในตอนนี้ โดนคนใส่เสื้อแจ๊กเกตสีดำล๊อกที่คอ อีกข้างมีคนใส่เสื้อวินมอเตอร์ไซค์สีส้มๆ ล๊อกแขนอยู่

    แล้วเกิดชุลมุนลากๆ ถูๆ พระรูปนั้น พระรูปนั้นก็บอกว่า "เราไม่ไป เราไม่สึก"

    ในใจเราเองคิดว่า เฮ้ย .. พระปลอมหรือเปล่า ทำไมเกิดเหตุการณ์กันแบบนี้นะ

    คนที่ใส่เสื้อแจ๊กเกตสีดำที่ล๊อคคอพระอยู่ก็พูดว่า "กรูบอกให้หยุด มึ-งต้องไปเดี๋ยวนี้"

    พระรูปนั้นก็พูดเหมือนเดิมว่า เราไม่ไป เราไม่ไป แล้วพระที่นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็เรียกตุ๊กๆ

    ส่วนพระที่โดนล๊อคคออยู่นั้นก็โดนลากขึ้นตุ๊กๆไป

    คนที่เพิ่งใส่บาตรเสร็จ ยืนงงกันเป็นแถว ต่างพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    บ้างก็ว่าพระปลอมหรือเปล่า บางคนก็คุยกับเพื่อนว่า เฮ้ย ใส่บาตรพระปลอม ทำไงดี

    พอหลังจากที่ คนที่อยู่บริเวณนั้นแยกย้ายไปแล้ว

    เราก็ได้เดินไปคุยกับแม่ค้าเจ้าของแผงที่ขายกับข้าวนี้ (เพราะเรายังเหลือกับข้าวอีก 2ชุด เลยต้องรอใส่บาตรต่อไป)

     
  3. ภัทรวรรัฏฐ์

    ภัทรวรรัฏฐ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +18
    ซึ่งก่อนหน้านั้น ก็มีแม่ค้าแถวนั้นเดินผ่านมาพูดว่า เดี๋ยวนี้เค้าห้ามพระยืนรับบิณฑบาตรอยู่ที่เดียว พระที่มายืนรับเนี่ย โดนเตือนมารอบแล้ว ว่าเจออีกรอบจะโดนจับสึก

    เราก็ได้แต่ยืนอึ้งๆ ...ไม่รู้เรื่องจริงๆว่าสมัยนี้มีแบบนี้ด้วย

    แต่แม่ค้าเจ้าของแผงนั้น พูดให้ฟังว่า เนี่ยไม่ใช่พระปลอมหรอก

    ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เพราะว่า บริเวณตลาดห้วยขวางนั้นน่ะ

    จะมีพระแค่ 2 วัดเท่านั้นที่มาบิณฑบาตรเส้นนี้

    แล้วกรณีเกิดจากว่า พระที่โดนจับไปนั้น ไม่ใช่พระ 2 วัดนี้ มาบิณฑบาตรทับเส้นทางกัน

    เราก็ รู้สึก !!!!!!!!! ตกใจจริงๆ เฮ้ย มีแบบนี้ด้วยหรอ รู้สึกว่า บิณฑบาตรนะ ทำไม ทำเหมือนวินรถตู้เลย ทำไมต้องมีเส้นทาง -*- (บาปมั้ยเนี่ยเรา)

    คุณป้าแม่ค้าเค้าก็พูดต่อว่า เนี่ย พระวัดนึง(แถวตลาด)ได้มาเตือนพระรูปนี้แล้ว รอบนึง

    แต่ในช่วงนั้นเป็นเวลาเข้าพรรษาอยู่ แต่นี่ออกพรรษาแล้ว พระรูปนั้นน่าจะไปไหนก็ได้นี่

    (เราเองไม่ค่อยรู้เรื่องธรรมเนียมของสงฆ์อะไรหรอกนะ ได้แต่ยืนฟังคุณป้าแม่ค้าพูด)

    คุณป้าเล่าต่อว่า โอ้ย เดี๋ยวนี้นะ พระอิจฉากันเยอะแยะ มาตีกันตรงตลาด แล้วชี้ไปที่ทางเข้าตลาด บอกว่า เนี่ย มาตีกันตรงนี้

    เราได้แต่ถอนหายใจ ... ก็เลยพูดกับคุณป้าว่า คงแบบนี้ละมั้งคะ พระปฏิบัติถึงหนีไปอยู่ชนบทหมด

    จริงๆแล้ว คนที่ใส่เสื้อแจ๊กเกตสีดำน่ะ พูดด่าพระรูปนั้นหลายคำ แต่เราจำได้ไม่หมด เลยไม่กล้าจะพิมพ์ .. แต่ด่าเยอะล่ะ

    ในใจเราคิดว่า ทำไมไม่พูดกันดีๆ ทำไมต้องทำฉุดกระฉากลากถูก ทำเหมือนพระรูปนั้นเป็นผู้ร้ายฆ่าคน

    เรารู้สึกว่า คนที่มาจับพระรูปนั้นทำรุนแรง .. เอาแค่ที่เราเห็นนะ แต่ต้นสายปลายเหตุเป็นยังไงเราไม่รู้หรอก

    แต่ถ้าเป็นจริงอย่างคุณป้าว่า ... ที่มีพระอิจฉากัน มาตีกันที่ตลาด .. เราไม่รู้จะรู้สึกยังไงดี -*-

    แต่สุดท้าย เช้าวันนี้เราก็อยู่รอ จนได้ตักบาตรพระ ครบตามที่ต้องการ

    แต่ใจรู้สึกไม่สบายอย่างบอกไม่ถูก ภาพที่เห็น เรื่องที่เจอ มันทำให้เรารู้สึกสับสน

    เราไม่กล้าไปไหว้พระที่วัดใกล้ๆบ้านเราวัดนั้นอีก ... แต่ในใจรู้สึก เราอคติมากเกินไปหรือเปล่า



    เฮ้อ.... มาบ่นๆยามเช้า เล่าเรื่องที่เจอมา ใครมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้

    หรือมีข้อแนะนำรบกวนด้วยนะคะ ...

    ป.ล. พิมพ์ผิดตกหล่นประการใดขออภัยจริงๆค่ะ ตาเริ่มไม่สู้แสงแล้ว T_T

     
  4. เกสรช์

    เกสรช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +1,401
    ก็คงต้องวางอุเบกขา ไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องราวนี้ ทุกอย่างไม่ได้เกิดโดยบังเอิญ

    แต่เหตุและผลเกิดจากกรรมเก่า จากคำบอกเล่าของแม่ค้า ข้อมูลไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อซะทีเดียว

    คนเราสามารถปรุงแต่งได้คะ

    วางอุเบกขา วางเฉยไป ผ่านแล้วผ่านไป

    หน้าที่ของเราคือสร้างความดี ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ เราทำบุญที่ไหนก็ได้ อย่าเหมาว่าพระไม่ดี ท่านเป็นตัวแทนของสงฆ์ในการรับบุญของเรา

    เราถือว่าบุญเราที่ทำนี้ เราน้อมถวายบูชาแด่พระรัตนตรัย อันได้แก่ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริสงฆ์เจ้าทั้งหลาย แค่นึกแค่นี้ใจเราก็สุข ปลื้มปีติกับบุญที่เราทำนี้แล้ว

    เราก็ทำหน้าที่พุทธมามกะที่ดี ดำรงพระพุทธศาสนาในยืนยาวแค่นั้นพอ ใครจะเป็นเช่นไรช่างเขา

    เราหันมาดูตัวเราเอง ว่าเรายังเลวอยู่ไหม

    ถ้ามีโกรธ โลภ หลง ลดน้อยลงก็ถือว่า เราเริ่มจะไหลขึ้นที่สูงขึ้นทีละนิดๆแล้ว

    ถ้ามานั่งคิดโดยที่เราไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง ก็จะทำให้เราฟุ้งซ่าน ต่อภพต่อชาติไปอีก

    มีเรื่องราวในสมัยพุทธกาล จำได้คร่าวๆนะคะ

    มีพระมหากษัตริย์เห็นพระเดินผ่านพระราชวัง เห็นกิริยาน่าเลื่อมใส เลยสั่งให้มหาดเล็กนำอาหารไปถวาย พระกษัตริย์องค์นี้ก็รู้สึกปลื้มปีติอิ่มบุญในการทำบุญในครั้งนี้มาก แต่มหาดเล็กก็สงสัย เลยสะกดรอยตามพระรูปนี้ไปในป่า พอเข้าไปในป่าพระนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นคนธรรมดา เขาก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่พระจริง


    ต่อมามหาดเล็กคนนี้ได้ขึ้นสืบราชสมบัติเป็นกษัตริย์ เขาก็ได้เห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง เดินผ่านพระราชวัง เขาก็ได้คิดกังวลว่าจะเป็นพระจริงหรือพระปลอมหนอ ได้ให้คนในวัง สะกดรอยตาม สืบประวัติ สรุปแล้วว่าเป็นพระจริงแล้วแถมยังเป็นพระอรหันต์ด้วย

    ทำให้บุญของสองท่านนี้ ต่างกันลิบ พระกษัตริย์องค์แรกด้วยความปลื้มปีติของบุญที่ได้ทำกับพระที่เป็นพระปลอม ได้ขึ้นบนสวรรค์ เพราะใจปลื้มปีติในการทำบุญครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง สรุปแล้วใจเป็นใหญ่ ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ใจเราเป็นสำคัญ


    กษัตริย์ที่สองซึ่งเคยเป็นมหาดเล็ก ก็ลงนรกเพราะคิดปรามาสพระอรหันต์


    (เรื่องราวนี้ถ้าผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้าขอขมากรรม อโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด.... เท่าที่จำได้คร่าวๆก็ประมาณนี้นะคะ)

    ขอนำบทความธรรมะจากสมเด็จองค์ปฐม ให้พิจารณากันอีกนะคะ
    ---------------------------------------------------------------
    อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น
    (โดยสมเด็จองค์ปฐม)
    [​IMG]



    ทรงเมตตาสอนไว้เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๕ พิจารณาแล้วเห็นว่าจะมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่อ่าน แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผล มีความสำคัญโดยย่อ
    ดังนี้​

    ในวันนี้ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม มองเห็นชายคนหนึ่งที่แพเลี้ยงปลาของวัด​


    [​IMG]



    จับปลาสวายตัวใหญ่ (ปลาของวัดเชื่องมาก) ขึ้นมาจากน้ำ ปลาก็ดิ้นจนหลุด​

    จากมือตกน้ำไป เขาก็จับปลาขึ้นมาใหม่ด้วยความสนุกสนาน ในครั้งนี้ปลาดิ้น​

    แล้วตกลงที่พื้นกระดานของแพปลา แล้วจึงตกลงไปในน้ำ เมื่อพวกเราเห็นการกระทำ (กรรม) ของเขา​

    ก็เกิดอารมณ์ปฏิฆะ (ไม่พอใจ) พูดขึ้นว่า ''บ้า'' อีก​

    ท่าน หนึ่งพูดว่า ''ทะลึ่ง'' ซึ่งเป็นการคิดชั่ว พูดชั่ว (สอบตกในมโนกรรม และวจีกรรม ทั้งคู่)​


    สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาตรัสสอนว่า (เพื่อสะดวกในการจดจำ แล้วนำไปปฏิบัติต่อ ขอเขียนเป็นข้อ ๆ) ดังนี้​


    ๑. ''เหตุที่จิตมีอุปทาน ยึดเอากรรมของผู้อื่นมาใส่จิตของเรา จึงกล่าว

    เป็นวจีกรรมหลุดออกไป เพราะเหตุไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของจิตที่ยึดเอาอุปทานนั้น ๆ (บุรุษผู้สร้างกรรมกับปลา)

    ถ้าไม่ใช่อดีตกรรมส่งผลให้เขาทำกับปลา กล่าวคือ ถ้าไม่ใช่ปลาเคยเป็นคน

    มาแล้วจับคนที่เป็นปลาอยู่อย่างนี้แล้ว กรรมนี้ก็เป็นกรรมปัจจุบัน คือ มี​

    อารมณ์ฟุ้งซ่านเหลวไหล เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ​

    มีอารมณ์พอใจสนุกไปกับการเบียดเบียนปลา จึงสร้างกรรมนี้ให้เกิดขึ้น

    ซึ่งกรรมนี้เมื่อลุล่วงไปแล้ว ก็เป็นกายกรรม อันส่งผลให้เกิดกรรมในอนาคตได้

    กล่าวคือ จะต้องมีชาติหนึ่งในต่อไปข้างหน้า บุรุษนี้ก็จะเกิดมาเป็นปลาสวาย


    และปลานั้น กลับชาติมาเกิดเป็นคนจับเงี่ยงปลาชูให้ดิ้นรน จนกระทั่งตกลงกระแทกแพอีก ​

    นี่คือกรรมภายนอก แต่เจ้าทั้งสองเอามาเป็นกรรมภายใน สร้างวจีกรรมให้เกิด


    เท่ากับเห็นคนผิด เห็นปลาถูก จึงไปตำหนิกรรมอยู่อย่างนั้น​


    ''วจีกรรมคือนินทากับสรรเสริญนั่นเอง''




    <!-- / message --><!-- edit note --><HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2008
  5. เกสรช์

    เกสรช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +1,401
    [​IMG]




    ๒. ถ้าจิตยังละการตำหนิกรรมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมโนกรรม หรือ วจีกรรม

    ก็เท่ากับสร้างผลกรรมให้ต่อเนื่องกันไป ในการตำหนิกรรมไม่รู้จักสิ้นสุด

    ในโลกนี้มัน เป็นวัฎจักรอยู่อย่างนี้ ผิดถูกในโลกนี้ไม่มี มันมีแต่กรรมล้วน ๆ''




    ๓. '' ในเมื่อเจ้าทั้งสองตำหนิกรรมนี้แล้ว พอไปชาติหน้าก็ประสบมาเป็นคน

    จากคนที่เป็นปลาก็ต้องตำหนิกรรมอีก เมื่อมัวแต่ตำหนิธรรม หรือ กรรมของผู้อื่น

    อันสืบเนื่องเป็นสันตติ ประดุจกงกำกงเกวียน หมุนเวียนต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    แล้วพวกเจ้าจักเอาชาติไหนมาตัดสินว่า ใครผิด-ใครถูก โลกทั้งโลกมันเป็นอยู่อย่างนี้

    เพราะกิเลส-ตัญหา-อุปทาน-อกุศลกรรมเป็นเหตุ

    ทำให้จิตของคนกระทำกรรม ให้เกิดแก่มโน-วจี และกายได้อยู่เป็นอาจิณ''




    [​IMG]

    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  6. เกสรช์

    เกสรช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +1,401
    [​IMG]




    ๔. ''เจ้าต้องการพ้นกรรม ก็จงหมั่นปล่อยวาง มองเห็นเหตุแห่งกรรม อะไรจักเกิด

    ก็ต้องคิดว่า กรรมใครกรรมมัน รู้สันตติของกฎแห่งกรรมว่ามันเป็นอย่างนี้

    ถ้าเขาไม่ทำกรรมกันมาก่อน กรรมนี้ก็จักไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาได้ ตถาคตจึงได้

    ตรัสยืนยันว่า กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เมื่อเรารู้เหตุก็จงดับที่เหตุแห่งกรรมนั้น

    จงอย่ามองว่าใครผิดใครถูก กรรมถ้าไม่ใช่ก่อขึ้นเอง มันก็เกิดขึ้นไม่ได้เองหรอก''




    [​IMG]



    ๕. '' เมื่อพวกเจ้าเข้าใจดีแล้ว ก็จงหมั่นทำจิตให้พ้นจากการตำหนิธรรมเถิด

    .............

    .................................
     
  7. เกสรช์

    เกสรช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +1,401
    หนูเด็กดอย เข้ามาเม้น คนแรกเชียว



    [​IMG]



    ๕. '' เมื่อพวกเจ้าเข้าใจดีแล้ว ก็จงหมั่นทำจิตให้พ้นจากการตำหนิธรรมเถิด

    ค่อยๆวาง ค่อยๆทำ กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ก็จะละเอียดขึ้นตามลำดับ

    กำหนดจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในวิมุติธรรม ทำอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ยอมรับนับถือ

    กฎของกรรมให้เกิดขึ้นในจิต ทำบ่อยๆ เข้ามรรคผล ก็จะปรากฎขึ้นเอง

    อย่าละความเพียรเสีย กระทบเท่าไหร่-เมื่อไหร่-ที่ไหนก็ต้องรู้ อย่าตำหนิธรรม

    ให้เกิดขึ้นกับจิต เห็นกรรมที่เป็นสภาวะอย่างนี้อยู่ให้ชัดเจนตลอดเวลาอยู่กับจิต

    ผู้ไม่รู้ย่อมกอปรกรรมให้เกิดด้วยจิตอุปาทานในกรรมนั้นๆ กรรมใดกรรมมัน

    พวกเจ้าอย่าไปเกาะยึดเอากรรมนั้นๆ มาตำหนิเลว เพราะเท่ากับมีอุปาทานเห็น

    กรรมนั้นๆ ว่าดี-เลว เมื่อจิตมีอุปาทานตำหนิดี-เลวจนเป็นมโนกรรม แล้วยับยั้ง

    ไม่อยู่ ก็ออกปากตำหนิดี-เลว จนเป็นวจีกรรมอีก ''




    ๖. " ถ้าบุคคลที่ไม่รู้อุปาทานนี้ ทำกรรมโดยลงแพไปต่อว่า ต่อขานคนที่จับ

    ปลาเข้า ถ้ายังอารมณ์ปฏิฆะให้เกิด ก็จะทะเลาะกัน ดีไม่ดีก็จักทำร้ายร่างกายกัน

    จนเป็นกายกรรมสืบเนื่องต่อกันเข้าไปได้ ดังมีตัวอย่างมามากมาย คนอื่นเขาทะเลาะกัน

    สร้างกรรมกัน คนนอกเข้าไปสอดแทรก ลงมือทำร้ายกรรมการเสียจนตายไป

    ด้วยความหมั่นไส้เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเจ้าปรารถนามรรคผลนิพพาน

    ก็ไม่ควรต่อกรรมกันไปอีก

    ยุติการตำหนิกรรมลงเสียให้ได้ ไม่ว่าจักเป็นกายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม

    ก็ต้องยุติลง ใช้ ศีล-สมาธิ-ปัญญา อันเกิดแก่จิต พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงใน

    สันตติวงล้อวัฏจักรกรรมว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้เอง พยายามทำจิตให้ยอมรับกฏของกรรม

    โทษของกรรมไม่ว่าดีหรือเลวนั้นไม่มี เห็นแต่กงกำกงเกวียนหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

    จงยอมรับกฎของกรรมซึ่งยุติธรรมที่สุด ใครทำใครได้ อย่าเข้าไปมีหุ้นส่วน

    กรรมกับใครๆเขาโดยการตำหนิกรรม เป็นอันขาด จำไว้นะ ''




    [​IMG]







    ขอยกตัวอย่างอารมณ์ที่สอบตกสัก ๒ เรื่อง

    เรื่องแรก...มีความโดยย่อว่า มีคนมาเล่าให้ฟังว่า หญิงแก่ผู้หนึ่งว่าจ้างรถจากในเมืองให้มาส่งที่วัดท่าซุง

    ในราคา ๕๐ บาท พอรถมาส่งที่วัด หญิงแก่กลับให้ค่ารถเพียง ๑๐ บาท

    บอกว่า ฉันมีแค่นี้จะเอาหรือไม่เอา คนรถก็ตำหนิหญิงนั้นว่า อะไรกัน คนมา

    ปฏิบัติธรรมที่วัดใหญ่โต แต่ไม่มีสัจจะ พอได้ยินเขาเล่าเพียงแค่นี้ จิตก็ปรุงแต่ง

    ตำหนิหญิงแก่นั้นเสียยืดยาว คือ ร่วมวงนินทาปสังสากับผู้เล่าเสียเพลิน

    กว่าจะรู้ตัวว่าสอบตก ผิดทั้งมโนกรรมและ วจีกรรม ก็ว่าไปครบสูตรแล้ว จึงต้องขอขมาพระรัตนตรัย




    [​IMG]





    <TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>04 - ขอขมาพระรัตนตรัยและสมาทานพระกรรมฐาน.mp3</TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  8. เกสรช์

    เกสรช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +1,401
    [​IMG]



    เรื่องที่ ๒ คือ ตัวข้าพเจ้าเอง พอขอขมาพระรัตนตรัย เรื่องการตำหนิกรรมของบุรุษผู้สร้างกรรมกับปลาแล้ว

    ตาก็เห็นหนังสือพิมพ์พาดหัวโตๆว่า ''เมืองไทยมีคดีฆ่าคนตายมากเป็นอันดับที่ ๒ ของโลก "

    จิตก็ตำหนิกรรมทันทีว่า ''ไม่จริง'' เป็นอุปาทานของนักข่าวเอง

    เพราะประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศที่มีคดีฆ่าคนมากกว่าเรา

    แต่หนังสือพิมพ์ของเขาไม่ประโคมข่าวในหนังสือพิมพ์ หน้าแรกแบบเมืองไทย

    เมืองไทยชอบประโคมข่าวชั่วร้ายข่าวไม่ดี ในหน้าแรกตัวโตๆ ชอบขายข่าวบนความทุกข์ของชาวบ้าน

    ว่าเสียยาวกว่าจะรู้ตัวว่าสอบตก ผลก็คือขอขมาพระรัตนตรัยอีกครั้ง

    : หมายเหตุ

    นี่คือตัวอย่างเมือ ๑๕ ปีที่แล้ว ผู้อ่านพระธรรมบทนี้แล้ว หากก้าวหน้าในการ

    ปฏิบัติธรรม เมื่อรู้ตัวเองว่าผิด ก็ควรจะละอายแก่ใจ (มีเทวธรรมหรือ หิริ-โอตัปปะ)

    ให้ขอขมาพระรัตนตรัยทุกครั้งจนเป็นนิสัย

    ผมขออาราธนาบารมีคุณของพระศรีรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง ขอให้ผู้อ่านด้วยความ

    ศรัทธาทุกท่าน จงโชคดีในธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ในชาติปัจจุบันนี้



    [​IMG]



    : อารมณคือกระแสของจิต (คลื่นอารมณ์)

    [​IMG]

    ในวันเดียวกันนี้ หลวงพ่อฤาษีท่านเมตตามาช่วยสอนต่อ มีความสำคัญดังนี้

    ๑. " อารมณ์ก็คือกระแสของจิต พวกเจ้าต้องหมั่นศึกษาไว้ อารมณ์ราคะกับ

    ปฏิฆะ มีแยกไว้ละเอียดโดยพระพุทธเจ้าในจริต ๖ อารมณ์ใดๆ ที่เกิดแก่จิต

    ย่อมหนีจริต ๖ ไม่พ้น เพราะมันคือ ธรรมารมณ์ ซึ่งนักปฏิบัติกรรมฐานต้องรอบรู้

    หมดทุกๆ อารมณ์ และ สามารถแยกได้ว่า อารมณ์ที่กำลังทรงอยู่นี้ เป็นจริตใด

    ในจริต ๖ เป็นราคะ หรือ ปฏิฆะ ซึ่งมีกรรมฐานแก้จริตอยู่ ก็ให้ใช้ตามนั้น

    แก้จริตที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เอะอะจะใช้ อารมณ์สังขารุเบกขาญาณลูกเดียว "



    ๒. พวกเจ้ายังเข้าใจผิด ยังไม่ถึงเวลา เพราะจิตมันยังไม่ยอมเฉยจริง

    ยังมีอารมณ์อยู่ จึงยังใช้อารมณ์สังขารุเบกขาญาณไม่ได้ ตัองใช้จริต

    ๖ รบกันไปก่อน จนกระทั่งจิตทรงตัวดีแล้วจึงค่อยซ้อมอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ "



    ๓. " ตราบใดที่อารมณ์ยังไม่หมด จริต ๖ ยังเล่นงานอยู่ในจิต อาการตำหนิอารมณ์ก็ต้องเกิด เพราะไม่รู้เท่าทันจริตว่า พอใจหรือไม่พอใจ อย่าให้ความหลงของจิตเข้ามา

    ครอบงำ การกระโดดเข้าสู่อารมณ์สังขารุเบกขาญาณลูกเดียว ก็มีหวังตกม้าตายลูกเดียว เพราะว่ามันวางเฉยไม่จริง จิตไม่มีกำลังที่จะวางเฉยตลอดไปได้ "



    ๔. " ระวัง...อย่าเพิ่งไปคิดว่าจะต้องทำได้ ทุกอย่างมันไม่มีขั้นตอน

    อารมณ์ของจิตเรา ถ้าเราไม่รู้แล้วใครจะมารู้ได้ แยกจริต ๖ ให้ออก

    ดูราคะและปฏิฆะให้ออก จึงจะรบกับมันได้ รบกับมันถูก

    ข้าศึกรูปร่างหน้าตาอย่างไร ต้องรู้ รู้แม้กระทั่งการโจมตีวิธีรบของ ข้าศึกที่เข้า

    มาสิงใจเราอยู่นั้นเป็นอย่างไร ถ้ารู้ไม่จริงมีหวังถูกมันฆ่าตายทุกที

    ถ้าอยากชนะก็ต้องชนะอย่างรู้เท่าทัน ไม่ใช่รู้กรรมฐานแก้จริต แต่ไม่รู้จักรูปร่าง

    หน้าตาของจริต ๖ มีอย่างนี้ ราคะ-ปฏิฆะ มีอย่างนี้ รู้กรรมฐานแก้จริต

    แต่ไม่รู้รูปร่างหน้าตาของจริต ๖ ที่แท้จริงก็ป่วยการ

    เปรียบเหมือนมีอาวุธอยู่ในมือ แต่ไม่รู้หน้าตารูปร่างของข้าศึกเป็นอย่างไร

    มัวยืนเซ่ออยู่ ข้าศึกมาข้างหลังใช้ไม้ตีหัวก็อยู่หมัดแล้ว งงเห็นดาว ไม่รู้ว่า

    ถูกตีได้อย่างไร ดังนั้นจึงต้องศึกษาจริต ๖ ให้ดีๆ เอากับมันจริงๆ ให้รู้จริงจึง

    จะวิมุติได้ "


    <TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>04 - ขอขมาพระรัตนตรัยและสมาทานพระกรรมฐาน.mp3</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- / message --><!-- edit note --><HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
  9. เกสรช์

    เกสรช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +1,401
    เรื่องจริต ๖ โดย หลวงปู่ตื้อ

    [​IMG]



    หลวงปู่ตื้อท่านเมตตามาสอนต่อ เรื่องจริต ๖ มีความสำคัญดังนี้


    ๑. การโมโหจนลืมตัวนั้นโง่หรือฉลาด

    เบียดเบียนตนเอง ทำร้ายตนเองหรือเปล่า เมื่อรู้ว่าโง่แล้ว ทีหลังอย่าทำ

    ให้คิดไว้เสมอว่า กรรมใครกรรมมัน กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ

    หากเราไม่เคยทำกรรมนี้ไว้ก่อนในอดีต วิบากกรรมนี้ก็ไม่เกิดขึ้นกับเราในปัจจุบัน

    หากพวกเจ้าเข้าใจ กฎของกรรมอันเป็นอริยสัจขั้นสูง ซึ่งเที่ยงเสมอ

    และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย ก็จงหยุดต่อกรรมลงแค่นี้

    ยอมรับนับถือกฎของกรรม สร้างอโหสิกรรมให้เกิดขึ้นในจิต สร้างอภัยทานให้เกิดในจิต "



    ๒. " อยากไปพระนิพพาน ก็ต้องไม่ติดอะไรทั้งนั้น ดี-เลว, ติดสี, ติดรส,

    ติดสถานที่, ติดร่างกายของครูบาอาจารย์ ซึ่งไม่เที่ยงทั้งสิ้น

    อะไรที่เข้ามากระทบทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะ ๖ ต้องวางให้ได้ รู้อารมณ์ตามจริต

    ที่เกิดให้ได้ ศึกษากรรมฐาน แก้ให้ดีๆ ต้องคล่องจริงๆ จึงจะชนะอารมณ์ตามจริตได้ "



    ๓. '' ขี้เกียจเป็นอารมณ์หลง เมื่อรู้แล้วว่ามันไม่ดี ก็จงอย่าทำจิตให้อยู่ในอารมณ์ขี้เกียจซิ

    การตำหนิกรรมผู้อื่น เท่ากับเราไปยึด เอากรรมของเขามาไว้ที่ใจเราแทน

    เราว่าเขาขี้เกียจ ก็หมายความว่าเราไปยึดเอาตัวขี้เกียจของเขามาไว้ที่จิตของเรา

    หรือเอาอุปาทานของเขามาเป็นอุปทานของเรา เหมือนในกรณีเรื่องคนจับปลาสวาย

    เราไปว่าเขาบ้า เราเลยไปเอาความบ้าจากเขามาไว้ที่ใจเรา

    เราไปว่าเขาทะลึ่ง เราก็ไปเอาความทะลึ่งของเขามาไว้ที่ใจเรา การตำหนิกรรมให้ผลอย่างนี้''




    ๔. '' คนขี้เกียจ ทำงานใดๆ ก็ไม่สำเร็จ ปฏิบัติธรรมใดๆ ก็ไม่สำเร็จ

    คนจะไปนิพพานนั้นขี้เกียจไม่ได้ แม้เห็นคนอื่นเขาขี้เกียจ แล้วนึกตำหนิกรรม
    ของเขา

    ก็เท่ากับไปยกเอาความขี้เกียจเขามาไว้ในจิตของเรา เพราะเห็นอารมณ์หลง (โมหะ) เป็นของดี

    ยกตัวอย่าง เช่น เห็นถังขยะเต็ม แต่ผู้มีหน้าที่ไม่ยกไปเททิ้ง เดินผ่านครั้งใด

    พอเห็นจิตก็นึกตำหนิกรรมของเขาว่าขี้เกียจ (แม้พระวินัย หากพระเห็นของสงฆ์

    ชำรุด หรือใช้ของสงฆ์ แล้วทิ้ง ไม่เก็บเข้าที่ เดินผ่าน ๑ ครั้ง เห็นแล้วไม่ซ่อมแซม

    หรือบอกให้ผู้อื่นที่มีหน้าที่มาซ่อม เดินผ่านทุกครั้งหากยังวางเฉย จะถูกปรับ

    อาบัติทุกครั้งที่เดินผ่านแล้วเห็น ยิ่งไปตำหนิกรรมเข้าด้วย ก็จะมีผลเหมือนกับ

    พวกเจ้านี่แหละ) เหตุผลเพราะเดินผ่านครั้งใด อารมณ์ปฏิฆะก็เกิดเมื่อนั้น

    เป็นขี้เกียจบวกขี้เกียจ อารมณ์ก็ยิ่งเกิด จิตก็ยิ่งเศร้าหมอง แล้วขาดทุนหรือ
    ได้กำไรล่ะ "



    ๕. " การเลิกคิดเลิกทำอีก ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องยกกรรมฐานแก้จริตขี้นมา

    แก้ จึงจะแก้ปัญหาได้ ถ้าไม่คล่องก็เห็นจะแก้ไม่ได้ จริต ๖ ก็กินจิตไปจนตาย

    พระนิพพานก็หวังไม่ได้ "​



    [​IMG]


    <TABLE id=AutoNumber1 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 height="100%" cellSpacing=3 cellPadding=3 width=250 border=0><TBODY><TR><!-- BEGIN DYN: tdcol --><TD vAlign=top bgColor=#f6f6f6></TD><!-- END DYN: tdcol --></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top>
    <CENTER><TABLE id=AutoNumber2 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">
    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE width="75%" border=1><TBODY><TR><TD>
    คำขอขมาพระรัตนตรัย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ
    (ถ้าหลายคนว่า.....ขะมะตุ โน ภันเต, ฯลฯ....
    ขะมะตุ โน ภันเต , อุกาสะ ขะมามะ ภันเต ฯ
    )

    หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ
    พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้
    ก็ดี ด้วยทางกายหรือวาจาก็ดี และด้วยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จ-
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ ฯ
    จากหนังสือสวดมนต์แปล
    วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  10. ปิยธรรมโม

    ปิยธรรมโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +349
    อนุโมทนาในกุศลเจตนาครับท่านเจ้าของกระทู้..สาธุ[​IMG]
    เห็นด้วยกับคุณเกสรช์ ครับ "วางอุเบกขา ไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องราวนี้ ทุกอย่างไม่ได้เกิดโดยบังเอิญ "หากเจตนาเราบริสุทธิ์แล้วไซร้..มิต้องกังวลสิ่งใด กุศลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เจตนาในการทำทานบริสุทธิ์จะต้องพร้อมด้วยกัน 3 ระยะคือ..
    1.ระยะก่อนที่จะให้ทาน มีจิตโสมนัส ร่าเริงเบิกบาน ยินดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุข เพราะทรัพย์สินสิ่งของของตน
    2.ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ก็ทำด้วยจิตโสมนัส ร่าเริงยินดี และเบิกบานในทานที่ตนกำลังให้ผู้อื่น
    3.ระยะจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว เสร็จจากนั้นก็ดี นานมาก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตโสมนัส ร่าเริงเบิกบาน ยินดีในทานนั้นๆ
    ;welcome2 ;welcome2 ;welcome2
    สาธุครับ[​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0001.gif
      0001.gif
      ขนาดไฟล์:
      22 KB
      เปิดดู:
      104
    • 3285039_1.jpg
      3285039_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.3 KB
      เปิดดู:
      144
    • 2666_2.jpg
      2666_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.4 KB
      เปิดดู:
      117
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2008
  11. bb.boy

    bb.boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +381
    <EMBED src=http://media.imeem.com/m/GEiOdPWEme width=300 height=110 type=application/x-shockwave-flash wmode="transparent"></EMBED>อัปปมัญญาภาวนา. - BB

    มาแผ่เมตตากันนะครับ

    ^ ^
     
  12. ภัทรวรรัฏฐ์

    ภัทรวรรัฏฐ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +18
    ขอบคุณนะคะ สำหรับคำแนะนำ

    มันรู้สึกไม่สบายใจ และสงสารพระรูปนั้นที่โดนล๊อคตัวไป T_T

    แต่เราก็ไม่รู้เนอะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ^^
     
  13. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,458
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,011
    เข้ามา่อ่านเฉยๆครับ ไม่กล้าเเสดงความคิดเห็นครับ เเต่ถ้าท่านเป็นพระจริงๆ ผู้ชายคนนั้นที่ลากตัวท่านไปนี่บาปมหันต์เลยนะครับ บรื๋อออ ไม่อยากคิดครับ
     
  14. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,239
    สาธุๆๆเเละได้ฟังการเเผ่เมตตาอิ่มเอิบไปด้วยขอบคุณค่ะ
     
  15. GARU

    GARU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +1,283
    กิเลสอยู่กะคนทุกผู้ทุกนามไม่มีใครจะรอดพ้นไปได้ ถ้าไม่ละกิเลสอยู่ที่ไหนยากจะรอดจากทุกข์ไปได้
     
  16. kacher

    kacher เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +235
    ขอบคุณเจ้าของกระทู้และพี่เกสรซ์ค่ะ
     
  17. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    ผมใช้วิธีอธิษฐานจิตถวายเงินเป็นพุทธ ธรรมบูชา สั.ฆบูชา ครั้งละ 20,50,100 บาทแล้วใส่ถุงเก็บเอาไทบุญตามสถานที่ต่างๆที่เราไปในวันอื่นๆ เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างพระ
     
  18. กระติ๊บ

    กระติ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    672
    ค่าพลัง:
    +939
    ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้กับตัวเอง ยอมรับว่าจิตคงเศร้าหมองไปเหมือนกัน และคงไม่อยากไปไหว้พระที่วัดใกล้ๆบ้านอีก เคยเจอพระท่านเดินบิณฑบาต และใส่สมอลทอร์คไปด้วย เห็นแค่นี้ ก็ไม่อยากไปทำบุญวัดที่ท่านอยู่อีกเลย เข้าใจนะคะ ว่าทำไม่ถูกต้อง ถึงตอนนี้ก็พยายามทำใจไม่ให้คิดไม่ดีกับท่าน เพราะเจอท่านเป็นประจำ บางวันก็ใส่สมอลทอร์ค บางวันก็ไม่ใส่

    จะพยายามวางเฉย เหมือนที่คุณเกสรซ์บอกค่ะ
     
  19. ประทีปแก้ว

    ประทีปแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    3,506
    ค่าพลัง:
    +8,328
    [​IMG]

    จงมีความสุขเถิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...