แสงออร่า.....มันยังไงกัน?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย มันตรัย, 5 พฤศจิกายน 2008.

  1. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    พยายามหาข้อมูล จากเวปต่างๆเกี่ยวกับแสงออร่า เคยดูสารคดีทางโทรทัศน์ ฮือฮาแล้วก็เงียบไป จะหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ก็หาอ่านได้ยาก มีแต่ข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อ นึกคิดเองมากกว่า ไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มายืนยันสักอย่าง และถูกเชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องไร้เหตุผลอีก กลัวคนจะสับสนอยากให้คนที่มีความรู้จริงๆมาอธิบายให้ฟังบ้าง เอาแบบทางวิทยาศาสตร์นะครับ ทางจิตวิญญานความเชื่อแบบคิดไปเองไม่เอา จะได้เป็นวิทยาทานกับท่านอื่นๆด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 286427daed.jpg
      286427daed.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.4 KB
      เปิดดู:
      691
  2. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    ไม่มีความรู้แท้จริง แต่อยากแจมครับ ขอแสดงความคิดเห็น ผู้รู้จริงจะหัวเราะก็ได้นะครับ แต่ขอความรู้ด้วย

    ประจุไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก ความร้อน ล้วนมีผลต่อการเกิดแสงหรือการหักเหของแสงครับ

    แสงบางประเภท ไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า แต่บันทึกภาพได้ด้วยเทคโนโลยี

    ในร่างกายมนุษย์ มีทั้งประจุไฟฟ้า และสนามแม่เหล็กอ่อนๆ รวมทั้งอุณหภูมิ ยกตัวอย่างของการควบคุมอุณหภูมิ เวลาที่เราปัสสวะ บางครั้งเราจะสั่นขึ้นมา สาเหตุเกิดจากร่างกายเสียความร้อนอย่างรวดเร็ว ร่างกายจึงสั่งให้มีการสั่นตัวอย่างเร็วเพื่อสร้างความอบอุ่นทดแทน

    การสั่งการจากสมอง จะปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ การควบคุมการเผาไหม้ในร่ายกายด้วยการควบคุมการหายใจ ย่อมมีผลต่ออุณหภูมิของร่างกาย ดังนั้นการทำสมาธิ ย่อมมีผลต่อระบบทั้งหมด รวมทั้งการเกิดแสงออร่าที่แตกต่างกันด้วย

    ผมจึงไม่เห็นถึงความแปลกประหลาดของการเกิดแสงออร่าในร่างกายมนุษย์ครับ
     
  3. BlueBlur

    BlueBlur เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,664
    ค่าพลัง:
    +1,568
    ** ไปอ่านเจอมา น่าสนใจ เลยก๊อบมาให้อ่านครับ **
    Credit:: http://www.dtam.moph.go.th/alternative/viewstory.php?id=112


    สรุปการบรรยายสัมมนาวิชาการด้านการแพทย์ทางเลือก
    เรื่อง "สมาธิบำบัด"
    โดย อ.สถิตธรรม เพ็ญสุข
    วันที่ 16-17 มีนาคม 2548
    เวลา 09.00-16.00 น.
    ณ อาคาร DMS 6 ชั้น 1 กองการแพทย์ทางเลือก
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="98%"><tbody><tr><td><dd>“แสงออร่า”ของคน เป็นแสงรัศมีที่ล้อมรอบกายหยาบอยู่ทุกทิศทาง แสงออร่ามี 3 มิติ คนที่มีสุขภาพแข็งแรง แสงออร่าจะเป็นรูปกลมรี หรือรูปไข่ล้อมรอบกายหยาบ ซึ่งคนทั่วไปมีแสงออร่าล้อมรอบประมาณ 8-10 ฟุต ผู้นำศาสนาโบราณสามารถแผ่รัศมีได้หลายไมล์ เป็นเหตุให้เขาสามารถชังจูงสานุศิษย์ชุมนุมในบริเวณที่เขาเดินทางไป </dd><dd>- ยิ่งสุขภาพกาย สุขภาพใจดีเท่าไหร่ แสงออร่าก็ยิ่งมีความสั่นสะเทือนมาก และแผ่รัศมีได้ไกลขึ้น แสงออร่ายิ่งสั่นสะเทือนมาก เราจะยิ่งมีพลังทำสิ่งที่ต้องทำและอยากทำมากขึ้น และยิ่งได้รับผลกระทบจากพลังภายนอกน้อยลง
    </dd><dd>- แสงออร่ายิ่งอ่อน ก็ยิ่งทำให้พลังภายนอกเข้ามาก่อกวนง่ายขึ้น ทำให้เราถูกครอบงำและเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น แสงออร่าที่อ่อนแออาจส่งผลให้เราล้มเหลว เจ็บป่วย และไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต </dd><dd>“แสงออร่า” หรือแสงรัศมีของคนมี 2 ลักษณะ แสงนั้นรวมถึงพลังจากกายทิพย์ด้วย กายทิพย์เป็นแนวพลังที่มีความเข้มแตกต่างกัน ล้อมรอบและแทรกซึมอยู่ในกายหยาบ มีหน้าที่สำคัญในการช่วยประสานและดูแลกิจกรรมกายวิญญาณในกายหยาบ กายทิพย์เป็นเพยงส่วนหนึ่งของแสงออร่าเท่านั้น ลักษณะของแสงออร่า

    </dd><dd>1. แสงออร่าของแต่ละคนมีความถี่ไม่เหมือนกัน </dd><dd>2. แสงออร่าของเราจะสัมพันธ์กับแสงออร่าของคนอื่น </dd><dd>3. แสงรัศมีของคนสัมพันธ์กับแสงรัศมีของสัตว์ พืช แร่ธาตุ และสิ่งอื่นๆ ด้วย </dd><dd>4. ยิ่งติดต่อกันใกล้ชิดและยาวนาน จะยิ่งมีการแลกเปลี่ยนพลังกันมากขึ้น </dd><dd>5. แสงออร่าและการเปลี่ยนแปลง มีผลต่อร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และวิญญาณของบุคคล การอ่านแสงออร่า

    </dd><dd>1. สีที่อยู่ใกล้ร่างกายมากที่สุดมักบ่งบอกถึงสภาพและพลังของร่างกาย สีที่อยู่ห่างออกไปบ่งบอกถึงอารมณ์ จิตใจ และจิตวิญญาณที่ส่งผลกระทบต่อสีของร่างกายได้ </dd><dd>2. สียิ่งสดใสและเย็นตาก็ยิ่งดี สียิ่งหนาทึบและขุ่นมัวก็ยิ่งแสดงถึงความไม่สมดุล การทำงานมากเกินไป และปัญหาที่เป็นไปได้อื่นๆ ตรงตำแหน่งที่สีนั้นปรากฏอยู่ </dd><dd>3. สีเข้มๆ แต่สดใสก็บ่งบอกถึงระดับพลังที่สูงได้เช่นกัน การมีสีเข้มไม่จำเป็นต้องไม่ดีเสมอไป </dd><dd>4. แสงออร่ามักมีมากกว่าหนึ่งสี โดยแต่ละสีจะบอกถึงเรื่องที่แตกต่างกันไป เราต้องเรียนรู้ว่าสีที่ต่างกันนี้ส่งผลอย่างไร และผลของสีที่ผสมกันเป็นอย่างไร </dd><dd>5. เมื่อเรามองเห็นออร่าผู้อื่น ให้จำไว้ว่า เรากำลังมองผ่านแสงออร่าของเราเอง และการอ่านออร่าคนอื่น จำเป็นต้องรู้จักออร่าตนเองก่อน ถ้าแสงออร่าเรามีเหลืองเป็นส่วนใหญ่ คนอื่นสีน้ำเงินเราอาจเห็นเป็นสีเขียว ปรับเปลี่ยนไปตามจิตใต้สำนึก จึงอย่างด่วนสรุป </dd><dd>6. อย่าตัดสินใจคนด้วยสิ่งที่เห็นจากแสงออร่า </dd><dd>7. เรียนรู้การใช้จิตในการอ่านแสงออร่า สีและความชัดเจนบ่งบอกถึงสิ่งที่แตกต่างกันทั้งสิ้น </dd><dd>8. แสงออร่าเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง อารมณ์ การใช้ร่างกายและจิตอย่างหนัก ส่งผลต่อแรงสั่นสะเทือนของสีและแสงออร่า แสงออร่าเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเราอายุมากขึ้น เมื่อเราพัฒนาความสามารถในการมองแสงออร่า เราจะพบว่า แต่ละคนจะมีสีเด่นเพียงสีเดียวหรือหลายสี (แม้โทนสีอาจเปลี่ยนไป) ที่ปรากฏอย่างต่อเนื่อง สีที่รองลงมาและความเกี่ยวข้องกันของสีหนักและสีรอง </dd><dd>9. สีและโทนสีที่เราเห็นมักจะเป็นสีเทาหรือน้ำเงินอ่อน ฝึกไปเรื่อยๆ ก็จะมองเห็นเอง อย่ากำหนดเวลาให้ตนเอง แต่ควรฝึกทุกวัน จะเห็นความเปลี่ยนแปลงภายใน 4-6 สัปดาห์ อย่างน้อยที่สุดเราจะเริ่มมองเห็นแสงออร่า แม้ว่าจะยังไม่เห็นสี </dd><dd>10. เมื่อเราพัฒนาความสามารถในการมองออร่า จำไว้ว่า เราไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งกับพลังของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เราต้องใช้ความสามารถในการมองออร่าอย่างมความรับผิดชอบ แบบฝึกหัดให้เห็นแสงออร่า
    </dd><dd>1. การมองยอดขอบไม้ตัดกับท้องฟ้า </dd><dd>
    </dd><dd>1.1 นอนหงายบนสนามหญ้าที่ไร้เมฆหมอก </dd><dd>
    </dd><dd>1.2 มองต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไป ไล่จากโคนไปยังยอดไม้ </dd><dd>
    </dd><dd>1.3 เพ่งเส้นขอบยอดไม้ที่ตัดกับท้องฟ้า อย่าเพ่งให้มากนัก ให้ทำสบายๆ พยายามดูรายละเอียดท้องฟ้าให้มากที่สุด แล้วเปลี่ยนเป็นมองผ่านๆ </dd><dd>
    </dd><dd>1.4 เราเริ่มรู้สึกถึงความสลัวลางๆ ตรงเส้นขอบยอดไม้ ให้สังเกตเฉยๆ จะเห็นสีที่อ่อนใสกว่าสีท้องฟ้าไกลโพ้น ล้อมเป็นกรอบ เห็นได้ชัดในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อพลังชีวิตของต้นไม้ได้รับการกระตุ้น โดยมีพลังและการเติบโตจากรากถึงยอดไม้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแสงออร่าของต้นไม้ </dd><dd>2. การมองแสงออร่าของผู้อื่น </dd><dd>
    </dd><dd>2.1 ให้เพื่อนยืนพิงพนังโล่งสีขาวๆ หากเริ่มฝึก ให้ใช้ห้องที่มีแสงสลัว จะเห็นผลมากกว่า เรายืนหรือนั่งห่างออกไป 8-10 ฟุต แต่ต้องเห็นเพื่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมทั้งบริเวณรอบๆ ตัวเขาด้วย </dd><dd>
    </dd><dd>2.2 เพ่งสายตาอยู่ที่หน้าผากของเพื่อน จากจุดนี้ให้มองรอบตัวเพื่อตามเข็มนาฬิกา ทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หลายๆ ครั้ง เพื่อเป็นการกระตุ้นโคนและรอดในดวงตา </dd><dd>
    </dd><dd>2.3 กลับมาเพ่งที่หน้าผาก หรือที่จุดที่สูงที่สุดนานอีกประมาณ 15-30 วินาที </dd><dd>
    </dd><dd>2.4 เปลี่ยนการเพ่งมองมาเป็นการมองรอบตัวเพื่อน แล้วสังเกตนิ่งๆ แสงออร่าที่ศีรษะและที่หัวไหล่มักปรากฏชัดกว่าที่อื่น ให้ทำซ้ำๆ เท่าที่จำเป็น เราจะเริ่มมองเห็นแสงออร่าของผู้อื่น การเสริมพลังออร่า

    </dd><dd>1. แสงแดด </dd><dd>2. การออกกำลังกาย </dd><dd>3. อากาศบริสุทธิ์ </dd><dd>4. การรับประทานอาหารน้อยๆ แต่บ่อยๆ การรักษาลำไส้ให้สะอาด </dd><dd>5. การทำสมาธิ </dd><dd>6. ดนตรี / การร้องเพลง </dd><dd>7. กลิ่นหอม – เครื่องหอม / น้ำมันหอม / หญ้าหางหนูผสมกับหญ้าหวาน / กำยาน / กลิ่นการ์ดิเนีย </dd><dd>8. คริสตัล และหิน การปกป้องแสงออร่า

    </dd><dd>เทคนิคที่ 1 การป้องกันไม่ให้สูญเสียพลัง
    </dd><dd>ปิดวงจรพลังของเรา ด้วยการนั่งไขว้ข้อเท้าและแตะนิ้วมือเข้าหากัน (เพียงแตะนิ้วโป้งและนิ้วชี้ก็ได้) วงจรพลังของเราก็จะปิดลง พลังก็ไม่ออกนอกตัวเรา </dd><dd>เทคนิคที่ 2 การหายใจเพื่อพลัง
    </dd><dd>- อากาศบริสุทธิ์และการหายใจอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ </dd><dd>- ฝึกหายใจ ที่เรียกว่า “ไอดา-พิงกาละ” และความสมดุลของการหายใจ เรียกว่า “สุสุมนา” ช่วยเพิ่มพลังให้แสงออร่าอย่างรวดเร็ว ทำขั้วแม่เหล็กร่างกายสมดุล เพิ่มความจดจำข่าวสาร ทำให้สมองสองซีกสมดุล และกระตุ้นพลังระหว่างกัน เป็นการหายใจเข้าด้วยจมูกข้างหนึ่งกลั้นไว้ หายใจออกทางรูจมูกอีกข้าง ทำอย่างน้อยข้างละ 4-5 ครั้ง การทำเช่นนี้จะทำให้พลังแทรกซึมไปทั่วร่างกายและแสงออร่าได้เร็วขึ้น </dd><dd>เทคนิคที่ 3 กระแสวนเพื่อการชำระล้าง
    </dd><dd>ช่วยขจัดเศษซากพลังออกไป ทำให้ไม่มีการสะสมและสร้างความสมดุลขึ้นภายในแสงออร่า ใช้เวลาเพียง 5 นาที
    </dd><dd>1. นั่งลงและผ่อนคลายร่างกาย หายใจตามเทคนิคที่ 2 จะสวดมนต์ก่อนก็ได้ </dd><dd>2. นึกถึงภาพดวงไฟเล็กๆ สีขาวใสหมุนวนเริ่มก่อตัวขึ้น เหมือนพายุทอนาโดลูกเล็กๆ ขณะที่เริ่มเป็นรูปกรวย ขยายดวงไฟให้ใหญ่ขึ้นพอที่จะล้อมรอบแสงออร่าของเราได้ ปลายกรวยเคลื่อนลงมาที่กระหม่อมไปตามฐานกลางของร่างกาย </dd><dd>3. ต้องหมุนตามเข็มนาฬิกา เมื่อสัมผัสกับแสงออร่าของเรา ให้นึกว่ากระแสนั้นดูดซับและเผาไหม้เศษซากพลังที่สะสมอยู่ </dd><dd>4. ให้มอง รู้สึกและจินตนาการว่า กระแสนี้ได้เคลื่อนลงมาผ่านแสงออร่าและตัวเราทั้งหมด เป็นการชำระล้างพลังจากภายนอกที่พอกพูนอยู่ตลอดวันให้หมดสิ้นไป </dd><dd>5. เมื่อกระแสวนนี้เคลื่อนผ่านตัวเรา ให้ปล่อยให้พลังนี้ออกไปจากตัวเราทางเท้าลงไปยังใจกลางโลก มองตามกระแสวนที่นำเศษซากพลังลงไปยังภพที่อยู่ต่ำลงไป เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์ในการชีวิตเบื้องล่างในโลกนี้ </dd><dd>
    ออราลิน (Auralin Therapy)
    </dd><dd>เป็นการวมกันของ 2 ศาสตร์ ของวิถีตะวันออกและวิถีตะวันตก ศาสตร์แรกก็คือ ออร่า (Aura) ออร่า คือ การรักษาโรคด้วยการใช้แสง ใช้สมาธิ ใช้มือในการบำบัดคนด้วยรัศมีรอบๆ ที่เรียกว่า รักษาคลื่นแม่เหล็ก เพื่อให้เกิดความสมดุลของประจุบวก/ลบ ซึ่งมนุษย์เรามีรังสีแม่เหล็กอยู่ในตัวเอง แต่เราจะมองไม่เห็นแสงออร่าที่ว่านี้ หรือบางคนเขาเรียกว่า “กายทิพย์” นั่นเอง รักษากายทิพย์โดยการใช้มือ ซึ่งศาสตร์นี้ทำในยุโรป ในอเมริกา นิยมรักษากันมากเพื่อปรับความสมดุลของคลื่นแม่เหล็กและออร่า พอรวมอีกแบบหนึ่งที่เห็นพวกในอะบอริจินที่ออสเตรเลีย เห็นพวกทิเบต เห็นพวกลามะรักษาโรค คือ ใช้ดนตรี ก็เห็นว่าออราลิน หรือออร่า มารวมกับสิ่งที่เป็นเครื่องดนตรี คือ ไวโอลิน ทำให้เกิดศาสตร์ใหม่ขึ้นมา วิธีการแสดงกลไกของออราลิน เธอราปี

    </dd><dd>โดยการใช้ดนตรีไวโอลิน บรรเลงกันสดๆ ในการรักษา ซึ่งไม่มีโน้ตเพลงเลย เล่นตามอารมณ์ ตามความรู้สึก แล้วก็รักษาคนด้วยการรวมวิธีของออร่าด้วย มีการรวมกันของพลัง 3 ส่วน คือ ส่วนแรก ส่วนของผู้รักษา คือนักออร่า เธอราปี ส่วนที่สองคือนักไวโอลินบำบัด ส่วนที่สามคือผู้ถูกรักษา เอาพลัง 3 ส่วนมารวมกัน ซึ่งจะมีการรับ/ส่ง คลื่นพลังเสียงดนตรีของนักออร่าบำบัดกับนักไวโอลิน และพลังสัญญาณมือของนักออร่าบำบัด มาถ่ายทอดเป็นเสยงอีกทีหนึ่ง เพราะว่าในขณะที่ทำการรักษา ผู้ที่ถูกบำบัดหลับตาอยู่ ไม่สามารถเห็นมือที่เคลื่อนไหวลูบไล้ไปรอบๆ ตัว เสียงดนตรีก็จะต้องเล่นสัมพันธ์กัน แต่จะรู้สึกเหมือนกับว่าเราได้รับการรักษาโดยตรง ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยนอกจากเสียงดนตรีกับตัวเรา และในขณะนั้นจิตวิญญาณของนักดนตรี นักออร่าบำบัด และผู้ถูกบำบัด จะรู้สึกว่ารวมเป็นพลังเดียวกัน และยังต้องใช้ความรัก ความเมตตา ใช้สมาธิส่งผ่านมายังผู้ที่ถูกรักษาพร้อมๆ กัน ทำให้เกิดการรักษาที่สมบูรณ์ขึ้น ใช้รักษาโรคอะไรบ้าง

    </dd><dd>โรคพื้นฐานเกี่ยวกับประสาทอัตโนมัติ ความเครียด นอนไม่หลับ ความวิตกกังวล ภูมิแพ้ต่างๆ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ย้ำคิดย้ำทำ หงุดหงิดง่าย และอื่นๆ
    เรียบเรียงโดย
    งานถ่ายทอดเทคโนโลยี
    กองการแพทย์ทางเลือก
    </dd></td></tr></tbody></table>
     
  4. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    แต่ที่แปลกคือไปเกี่ยวข้องอะไรกับพระเครื่องได้ก็ไม่รู้
     
  5. อัสดงส์

    อัสดงส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,319
    ค่าพลัง:
    +3,697
    เป็นอีกความเห็นนะครับ เรื่องบางอย่างต้องทําเองถึงจะรู้ครับ บางอย่างทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถพิสูฐได้ อย่างเช่นนิพพาน ชาวพุทธทุกคนเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่ไม่สามารถใช้เครื่องทันสมัยที่ฝรั่งคิดขึ้นหาคําตอบได้ ( ถ้าทําได้หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลาย คงไม่ต้องโกนหัวออกบวช ) เรื่องออร่าถึงจะมีเครื่องพิสูฐได้แต่ก็คงเถียงกันไม่จบไม่สิ้น ของอย่างนี้ต้องรู้เองเห็นเองจึงจะจบจะสิ้น สําหรับผู้ที่อยากรู้จริงก็คงปฏิบัติดูลมตัวเองให้เห็นก่อน เมื่อเห็นแล้วแสงคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ขอให้ทําจริง ไม่ใช่ 3 วันเลิก
     
  6. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    ครับที่ผมสงสัยมันก็เนื่องมาจาก มีการนำเอาแสงออร่าไปเกี่ยวข้องกับวัตถุมงคลแล้วให้คนหลงเชื่อสนใจ ผมเลยรู้สึกแปลกๆว่าทำไมถึงมารวมกันได้ เหมือนเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ถ้ารู้เองเห้นเอง ก็ไม่มีใครว่า แต่ลักษณะที่เห็นคือมีการโน้มน้าวและพูดเกินจริง ส่อไปในทางทุจริตครับ ผมก็เลยเก็บงำความสงสัยไว้ไม่อยุ๋ คือถ้ามีคนพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง มันก็น่าเชื่อถืออยุ่ครับ
     
  7. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,632
    ที่เกี่ยวกับพระเครื่องเพราะ เขาเชื่อว่าเป็นพลังงานทางจิตที่ประจุเข้าไปในพระเครื่องครับ

    หากเป็นความเชื่อทางศาสนาก็คือรังสีแห่งจิต ดังจะเห็นได้จากภาพเขียนตามผนังโบสถ์ว่ามีรัศมีล้อมรอบพระเศียรของเทวดา พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า โดยเฉพาะพระพุทธเจ้ามีถึงหกสี ที่เรียกว่า ฉัพพรรณรังสี

    ในต่างศาสนาก็มีปรากฏตามภาพของนักบุญ หรือเทพเจ้าต่างๆ แสดงว่ามีคนเคยเห็นจริงจึงเขียนเอาไว้

    ทางฝ่ายจีนเรียกว่า แสงเฮ้ากวง ครับ
     
  8. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143

    เจตนาเป็นเครื่องชี้กรรมครับ ผมเองก็เคยเห็นคล้ายๆกันแบบนี้ เพียงแต่ไม่ใช่จริตของเรา ก็เลยไม่สนใจ

    ลองเอาวัตถุคล้ายๆกัน มาฝนกับแท่งแม่เหล็ก เป่าลมร้อน แล้วถ่ายรูปใหม่ดูครับ (ประโยคนี้ใช้ได้กับคนใจกว้างนะครับ ใช่ผิดคนจะโดนด่ากลับมาครับ...)

    โดยส่วนตัว ออร่าในร่างมนุษย์ เกิดแตกต่างกันได้ ตั้งแต่การสันดาปในแต่ละคน พฤติกรรมการขับถ่าย การดื่มกิน การหายใจ ล้วนมีผลต่อการแสดงลักษณะของสีทั้งนั้น
    อย่างแสง เฮ้ากวง ของคนจีนนั้น เค้าเห็นกันมานานแล้วครับ แต่จะเกิดกับคนที่เค้าเรียกว่า "เซียน" คือคนที่มีพลังจิตหรือฝึกฝนจิต หรือที่เรียกว่า "บรรลุธรรม" รัศมีที่เห็นได้ขนานนี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือเห็นได้ง่ายๆครับ คนที่มีรัศมีขนาดนี้ ต้องมีความแตกต่างจากคนเดินดินโดยทั่วไปอยู่แล้วครับ

    ส่วนวัตถุมงคล ก็...อย่างที่บอกครับ
     
  9. brushed

    brushed เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    497
    ค่าพลัง:
    +648
    <img src="http://img396.imageshack.us/img396/9243/safdq0.jpg"
     
  10. visnu

    visnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +23,778
    ออร่า (Aura) ..คือคลื่นแสงสีที่เกิดจากเซลล์ต่างๆ และอวัยวะส่วนสมองของเราบ่งบอกถึงสภาวะจิต ความรู้สึกนึกคิด สุขภาพร่างกายของเราว่าเป็นอย่างไร
    - ใครมีความคิดดี มีสมาธิดี มีสติปัญญา ความขยันหมั่นเพียร มีความสดชื่น สดใส แสงออร่าก็จะแผ่กว้างออก ยิ่งมีพลังมากก็จะแผ่กว้างมาก
    - ใครที่ไม่มีสมาธิ ขาดสติปัญญา แสงออร่าก็จะน้อยไม่มีพลัง
    - ในทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ว่า สมองของคนเรานั้นจะมีคลื่นพลังไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่เปล่งรัศมีเป็นพลังอำนาจออก มา ขนาดความกว้างและความสว่างของแสงนั้นขึ้นอยู่กับคลื่นพลังสมองของผู้นั้น
    ร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วยเซลล์ต่างๆเป็นพันล้านเซลล์ กลุ่มเซลล์จะจับหลุ่มประกอบกันเป็นอวัยวะต่างๆ เช่น ปอด ตับ ม้าม หัวใจ ฯลฯ ซึ่งจะทำงานสัมพันธ์กันเป็นระบบร่งากายที่สมบูรณ์ดี มีพลังชีวิต เพื่อความเป็นอยู่ที่ปรกติ แต่เมื่อใดที่เซลล์เกิดบกพร่องเสื่อมเสีย บิดเบี้ยวผิดปกติ อวัยวะนั้นก็จะทำงานไม่สมบูรณ์ ไม่ดี ทำให้ร่างกายเจ็บป่วย ไม่สบาย ซึ่งจะสะท้อนออกมาเป็นสีและแสงของ "กายทิพย์" ปรากฏให้เห็นเมื่อถ่ายด้วยกล้องถ่ายภาพพิเศษ

    การที่พระเครื่อมาเกี่ยวข้องกับออร่าเนื่อจากนักวิทยาศาสตร์ในโลกตะวันตกได้มีการถ่ายรูปสถานที่ศักสิทธ์ รวมทั้งครืองรางต่างๆด้วยกล้องถ่ายออร่าแล้วปรากฏผลของภาพสีต่างๆ บ่งบอกถึงการที่เครื่องรางนั้นช่วยเพื่อประสงค์ใด คนไทยก็เลยลองเอามาถ่ายบ้าง ปรากฏว่าภาพที่ได้คือถ้าเป็นพระที่ปลุกเสกจากอาจารย์หรือหลวงพ่อเดียวกันรัศมีและแสงสีของภาพจะออกมาในรูปแบบเดียวกัน คนไทยที่ดูพระดูพิมพ์ไม่เป็นเลยใช้เป็นวิธีดูตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าถ้ามีการปลุกเสกมาแล้วต้องถายออร่าติดถ้าถายไม่ติดหรือถ่ายออกมารัศมีน้อยแสดงว่าของปลอมครับ

     
  11. นักรบโบราณ

    นักรบโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +973
    ครับ....วิทยาศาสตร์ทางจิต ย่อมเหนือกว่าวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ

    แต่ต้องลงมือปฏิบัติเอง จึ่งจะรู้เอง จึ่งจะเชื่อเอง เป็นปัจจัตตัง

    มิฉะนั้น......ก็จะลังเลสงสัยอยู่ร่ำไป
     
  12. หล่อลากดิน

    หล่อลากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,202
    ค่าพลัง:
    +235
    แสงออรง เออเรอร์ ... ติงส์ต๊อง นี่

    ไม่ได้แตกต่างจากแสงแห่งพลังชีวิต หรือ ที่รู้จักกันในนามของ "ภาพถ่ายเคอร์เลี่ยน" สักเท่าไหร่หรอก

    ถามจริงๆ เหอะว่า ท่านถ่ายภาพเคอร์เลี่ยน ที่มีสายใยแห่งชีวิต ได้หรือยัง?

    ถ้าท่านยังทำไม่ได้ ก็แค่นั้น ... จะมาโม้ๆ กันทำมั๊ย ... ระดับด๊อกฯ บ้านเราก็มีเยอะแยะ ทำไมไม่ทำวิจง วิจัยให้มันเป็นเรื่องเป็นราวมั่ง

    ไม่ใช่วันๆ นั่งหลีแต่ นศ.สาว นุ่งสั้นไปวันๆ ..... จริงมั๊ย?

    ยิ่งสั้นเท่าไหร่ เกรด A ลอยมา เห็นๆ ... ว่างัย ท่านด๊อก




    ว๊ะ ฮ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2008
  13. มีน

    มีน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +72
    แสงออร่า

    ส่งภาพออร่าของตัวเองมาให้ชมกันค่ะ ถ่ายวันเดียวกัน ของโลกทิพย์ และ สถาบันออร่า ถ่ายเมื่อ ปี 2549 ค่ะ
    โดยไปถ่ายภาพที่โลกทิพย์ก่อน( ภาพที่ 2 )ตรงที่เป็นเหมือนสีน้ำเงินคือบริเวณศรีษะ เพราะเป็นภาพในท่านั่ง และเจ้าหน้าที่บอกว่าให้นั่งนิ่งๆค่ะ แล้วอธิบายว่าหากสวดมนตร์นั่งสมาธิเป็นประจำส่วนที่เป็นสีเหลืองจะใสขึ้นค่ะ
    ส่วนภาพบนเป็นของสถาบันออร่า ตอนที่พิมพ์ภาพเจ้าหน้าที่บอกว่าออร่าโตมากๆ เวลา อ.ฉาดฉานอธิบาย เธอบอกกว่าน่าจะกล้องเสียค่ะ แต่พอเอาภาพจากชมรมโลกทิพย์ให้ดูเธอก็ไม่อธิบายต่อค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Aura.jpg
      Aura.jpg
      ขนาดไฟล์:
      105 KB
      เปิดดู:
      465
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...