"มองดูตนเอง" หลักธรรมะของ...พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย paang, 13 ตุลาคม 2005.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]

    ท่ามกลางบรรยากาศต้นไม้ใหญ่ ใบสีเขียวหนาทึบทั่วบริเวณภายในวัดอรัญญาวิเวก (บ้านปง) ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ล้วนแล้วมาจากการจรรโลงให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของ พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

    คำพูดที่พระอาจารย์เปลี่ยนมักใช้สนทนาธรรมกับประชาชนที่เดินทางมาปฏิบัติธรรม ณ วัดแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก หลายคนที่มาที่วัดก็เพราะขาดสติคือ "ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณาหาต้นเหตุแห่งกองทุกข์นั้นยังไม่สมบูรณ์ จึงพากันมีความทุกข์อยู่ มีความเดือดร้อนกันอยู่ทั้งบ้านทั้งเมืองในปัจจุบันนี้นั้นก็คือบุคคลนั้นไม่รู้จักความพอดีนั่นเอง"
    นอกจากนี้พระอาจารย์เปลี่ยนยังย้ำเสมอในการสอนญาติโยมเกี่ยวกับการมองตนเองว่า "เมื่อคนเราเกิดมาแล้วอยู่ร่วมกัน ทำการงานร่วมกัน พูดจากัน ในเรื่องราวต่างๆ ประชุมหารือกัน ความคิดเห็นก็ต่างกัน บางบุคคล บางหมู่คณะก็คิดถูกบ้าง บางบุคคลบางหมู่คณะก็คิดผิดบ้าง นี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ"
    พระอาจารย์เปลี่ยนได้ให้สัมภาษณ์พร้อมความกระจ่างเกี่ยวกับการมองดูตนเองแบบ "คม ชัด ลึก" ดังนี้
    - พระอาจารย์เน้นย้ำเรื่องการมองดูตนเองเพราะอะไรครับ ?
    - ก็เพราะคนเราเกิดขึ้นมานั้น ไม่ใช่พวกเราจะเสียสละ ละกิเลสให้หมดไปได้ง่ายๆ เพราะกิเลสทั้งหลายนั้นนอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานของพวกเรามาหลายภพหลายชาติแล้ว เขาครอบงำย่ำยีมาหลายภพหลายชาติแล้ว แต่พวกเราก็ไม่สามารถที่จะแกะหรือสำรอก หรือลดละปล่อยวางกิเลสออกไปได้หมด พวกเราจึงพากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารตามฐานะของตน
    เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ การที่ขัดเกลากิเลสของพวกเรามาแต่ชาติอดีตที่ผ่านมานั้น ใครจะขัดเกลาได้มากน้อยเท่าไร บุคคลใดขัดเกลาได้มาก เมื่อมาเกิดในชาตินี้กิเลสก็เบาบางจากจิตใจ บุคคลใดขัดเกลากิเลสได้น้อย กิเลสก็ยังมืดมน บุคคลใดไม่ได้ขัดเกลากิเลสเลย จึงมืดมนไม่รู้จักบุญบาป ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จิตของบุคคลเป็นคนใจดำอำมหิตทั้งหลายอยู่ในปัจจุบันนี้ มันจึงมีหลายระดับหลายขั้นหลายตอน
    - คนเราเกิดมามีหลายระดับชั้นหมายความว่าอย่างไรครับ ?
    [​IMG]

    - ใช่ ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนไว้ว่าดอกบัวสี่เหล่า เหมือนเปรียบเทียบกับดอกบัวสี่เหล่า คนเราเกิดมาอยู่ในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้น ดังนั้นเมื่อเราคิดดูอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล บางคนจิตหยาบมาก บางคนหยาบปานกลาง กิเลสของคนเราจึงแตกต่างกัน อาตมาก็อยากให้ฝึกหัดสติของพวกเรา เพื่อจะให้มีสติมากขึ้น ระลึกได้เร็วขึ้น สัมปชัญญะ หรือตัวของปัญญา ให้รอบรู้เร็วทันกับเหตุการณ์ที่จะเป็นสิ่งสำคัญที่ดีในอนาคต
    - แล้วทำไมถึงต้องทันเหตุการณ์ครับ ?
    - ทำไมต้องทันเหตุการณ์ มันก็คือ พวกเราคิดดูซิ ถ้าพวกเราขาดสติอยู่ สติยังอ่อนอยู่นั้น แม้พวกเราเห็นวัตถุต่างๆ จิตก็ย่อมรั่วไหลไปตามวัตถุนั้นได้ทันที เพราะขาดสตินั่นเอง เราไม่มีสติพอจะรู้ว่ารูป ร่างกาย ของพวกเราก็เหมือนกัน รูปร่างกายของพวกเราทำอะไร เมื่อทำลงไปมันผิดพลาดลงไปแล้ว มันผิดพลาดเพราะอะไร เพราะเราขาดสติ เราระลึกไม่ทันก็ต้องทำไปก่อน สัมปชัญญะก็รู้ไม่ทันเขาจึงทำผิดพลาดกัน
    ทุกวันนี้เราจะเห็นเขาทุบเขาตีฆ่าฟันแทนกันไม่เว้นบนหน้าหนังสือพิมพ์นั้น เป็นเพราะขาดสติสัมปชัญญะควบคุมไม่ได้ ควบคุมร่างกายไม่ได้ ก็เลยทำให้กายนี้ไปทำบาปทำชั่วได้อย่างง่ายดาย ตรงนี้แหละเราจะเห็นได้ชัด ฉะนั้นพวกเราต้องฝึกหัด ฝึกมองตนเอง เราอย่ามองแต่คนอื่น ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราก็จะมองแต่คนอื่น มองจับผิดคนอื่นได้หมด เขาทำอะไรกัน เราก็มองว่ามันผิดไปหมด
    - การมองดูตนเองควรเริ่มต้นอย่างไร ?
    - พระพุทธองค์ยังสั่งสอนเอาไว้ว่าให้ดูตนเอง ฝึกฝนตนเอง แก้ไขตนเอง ปรับปรุงตนเอง จับผิดที่ตนเอง เรียกว่ามาดูที่ตัวเราก่อน อย่าไปดูคนอื่น อย่าไปเพ่งโทษคนอื่นแต่อย่างเดียวเพราะที่ผ่านมาคนเราชอบโทษคนอื่น ดังนั้นการเพ่งโทษตนเองนี้มันยาก ก็เหมือนกับเราดูขนตา ขอบตาเรา มีลูกตาแต่เราดูขนตาไม่เห็น ว่าขนตามีกี่เส้น ขนตามันยาวแค่ไหน มันมองไม่เห็นเลย ตรงนี้มันดูตนเองไม่เห็นอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะเราขาดสติปัญญา
    มาถึงตรงนี้อาตมาอยากให้ทุกคนมองดูตนเอง ไม่ต้องมองคนอื่น เป็นเรื่องของคนอื่นไปซะก่อน ถ้าเรามีความสงสารเราก็เตือนกันได้ ถ้าหากเรายังตักเตือนตนเองไม่ได้ เราจะต้องฝึกตนเองก่อน ด้วยการตักเตือนตนเองก่อน มามองดูตนเองก่อน เพื่อจะชำระตนเองก่อน แก้ไขตนเอง เราเกิดมาไม่ใช่จะทำถูกหมด มันต้องทำผิดบ้างถูกบ้าง
    - แล้วสติสัมปชัญญะสำคัญมากน้อยแค่ไหน ?
    - ไม่ว่าคนเราจะยืน เดิน นั่ง นอน ล้วนแล้วต้องมีสติ ถ้าเราขาดสติในการยืน เช่น ถ้าเรายืนอยู่บนสะพานที่จะข้ามน้ำก็ดีหรือยืนอยู่ ณ ที่สูงที่ใดที่หนึ่ง หรือเราไปยืนที่ขอบประตูหน้าต่างก็แล้วแต่ คนที่ขึ้นต้นไม้ก็ดีหรือคนที่ก่อสร้างตึกยืนทำงานอยู่บนไม้นั่งร้าน ถ้าขาดสติก็จะทำให้คนเหล่านั้นพลัดตกลงจากสถานที่ยืนได้ ผลของมันก็จะทำให้เกิดความเสียหาย แข้งขาหัก หรืออาจล้มตายไปก็ได้ นี่เป็นตัวอย่างของคนที่ขาดสติ
    หรือบางคนนอนก็ต้องกำหนดว่าตนเองกำลังนอนอยู่ ใช้สติสัมปชัญญะประคองตนเองในขณะนอน เมื่อมีสติประคองตนเองแล้วมันจะไม่ตกเตียง คนนอนอย่างมีสติหัวมันก็ไม่ตกหมอน คนนอนอย่างมีสตินั่นแหละมันมีประโยชน์ พระพุทธองค์ทรงสอนให้พวกเราศึกษา พัฒนาตนเอง ปรับปรุงตนเอง ให้มีสติสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน จึงจะไม่มีอันตราย
    [​IMG]

    - คนเราทำบุญอย่างไรจึงได้บุญมากๆ ครับ ?
    - ทุกวันนี้เราไม่เข้าใจวิธีทำบุญที่ถูกต้องเหมาะสมในทางพระพุทธศาสนา ท่านจัดไว้ว่า การทำความดีที่ไม่ถูกต้อง ๔ ประการ เป็นเหตุทำให้วิบัติ เป็นทางเสื่อม ไม่เจริญ ได้แก่ ทำความดีไม่ถูกที่ ทำความดีไม่ถูกบุคคล ทำความดีไม่ถูกกาลเวลา และทำความดีแล้วไม่ตามความดีของตน หากว่าเป็นคนที่พอเข้าใจเรื่องการทำบุญแล้ว เขาย่อมเลือกทำบุญได้อย่างดีและถูกต้อง เพราะเขารู้เรื่องดีว่าจะทำบุญอะไรเป็นบุญ และมีประโยชน์อะไรบ้างเมื่อทำบุญ คนไม่มีปัญญาทำบุญย่อมได้บุญน้อย
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า มาสอนวิชาศิลปะแก่พระนี้ ไม่ได้บุญนะ การบริจาคทานให้พระนั้น คิดแล้วน่าจะได้บุญ แต่มันไม่ได้บุญ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ เขาก็ยังพากันบริจาคทานกันอยู่ เช่น เอาควาย วัว โค กระบือ ช้าง ม้า มาถวายให้พระ บางที่ก็นำหมู เป็ด ไก่ มาปล่อยไว้ที่วัด จัดเป็นการบริจาคทานที่ไม่ได้บุญเช่นกันเพราะเป็นการสร้างทุกข์ให้กับพระ ต้องเลี้ยงให้กินหญ้าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมหรือเดินจงกรม เป็นต้น
    - เป็นเจ้าอาวาสแล้วทำไมยังต้องกวาดลานวัดอยู่ครับ ?
    - ก็จริงนะ ทุกๆ เช้า อาตมาก็จะออกมากวาดลานวัด ร่วมกับพระลูกวัดอื่นๆ ด้วย ถามว่าอาตมาอายุเยอะแล้วทำไมยังมากวาดลานวัดอีก อาตมาไม่ทำเดี๋ยวพระรูปอื่นจะไม่ทำกัน เราทำเป็นแบบอย่าง โดยการกวาดลานวัดเป็นกิจวัตร จริงๆ มันก็เป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย สุขภาพจึงแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บให้เป็นทุกข์
    - หลายคนตั้งคำถามพระอาจารย์ว่าทำไมถึงดูไม่ชราเหมือนพระที่มีอายุเท่ากัน ?
    - อาตมาคิดว่าคงเป็นที่สภาพอากาศที่วัดด้วย ไม่มีมลภาวะใดมารบกวน สิ่งแวดล้อมภายในวัดมีแต่ต้นไม้ใบไม้เป็นป่าทึบไปทั่วบริเวณ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาล่อใจใดๆ ให้การปฏิบัติไขว่เขว สิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้การปฏิบัติธรรมของอาตมาทำได้อย่างเงียบสงบ
    - มีกิจนิมนต์เทศน์บ่อยหรือเปล่าครับ ?
    - ก็ยังเทศน์อยู่ ใครมานิมนต์ให้ไปเทศน์ที่ไหน อาตมาก็จะไปทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นต่างจังหวัด ปีนี้ก็มีคนมาปฏิบัติธรรมกันมาก ยิ่งเป็นต่างประเทศ คนส่วนใหญ่ชอบฟังธรรมะเช่น ประเทศออสเตรเลีย ไปก็ประมาณ ๒ เดือน ส่วนการเดินทางไปเทศน์ตามสถานที่ต่างๆ ที่จะไปได้ ก็ต้องมีข้อแม้ว่าจะไม่ตรงกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา แต่ส่วนใหญ่อาตมาก็จะไปตามที่เขามารับกันตลอดทั้งเดือน อาตมาจะเว้นอยู่แค่ประมาณ ๒-๓ วัน
    ใครจะว่าอย่างไรไม่ทราบ อาตมาคิดว่าใครไม่ดี ใครมันโง่ก็จะพูดภาษาธรรมะไม่ได้ คนที่ไม่รู้จักรักษาศีลปฏิบัติธรรมชีวิตนี้เขาก็จะไม่มีความสุข อาตมาคิดว่าถ้าใครได้ลองปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจังแล้ว ชีวิตพวกเขาก็จะมีความสุข ใครฉลาดหรือโง่ก็ต้องเลือกกันเอาเอง
    - พระอาจารย์มีวัตถุมงคลแจกหรือเปล่าครับ ?
    [​IMG]

    - วัตถุมงคลก็มีแจกกันบ้าง เพราะลูกศิษย์ของอาตมาเขาทำแล้วก็เอามาถวาย อาตมาก็จะแจกให้กับญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด ตอนนี้อาตมาก็บอกให้ลูกศิษย์หยุดทำวัตถุมงคลได้แล้ว อาตมาอยากให้ญาติโยมสนใจอ่านหนังสือธรรมะมากกว่า เพราะธรรมะจะมีความสำคัญกว่าวัตถุมงคล อาตมาเห็นหลายคนยังนิยมวัตถุมงคลมากกว่าธรรมะ เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่ได้ปฏิบัติกันนั่นเอง พวกเขาจึงยังเห็นว่าวัตถุมงคลสำคัญกว่าธรรมะ ถ้าใครได้ปฏิบัติธรรมแล้ว เขาก็จะไม่เอาวัตถุมงคล แต่วัตถุมงคลก็ดี เป็นส่วนหนึ่งของการให้กำลังใจ ยึดเหนี่ยวจิตใจ
    - คนที่แขวนพระเครื่องแล้วไม่ปฏิบัติธรรมจะเป็นอย่างไร ?
    - พวกโยมเห็นนักโทษที่มีอยู่มากมายในบ้านเราไหม พวกเขาแขวนพระเครื่องกันมาก แต่ไม่มีใครปฏิบัติตนให้อยู่ในธรรม เมื่อไปทำอะไรที่ไม่ดี พระท่านก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้ปฏิบัตินั่นเอง และอาตมาอยากย้ำว่า ถ้าเรารักษาตนด้วยธรรมะได้ ก็ไม่จำเป็นต้องแขวนพระ ดูสิอาตมาเองยังไม่แขวนพระสักองค์ (หัวเราะด้วยรอยยิ้ม)
    - ที่ว่าขลังและยิงไม่เข้า ตรงนี้เกิดจากอะไรครับ ?
    - ถามอาตมาแบบนี้ ไอ้ที่ว่านี่มันก็เกิดจากพลังจิต พระคาถาที่มีพระเกจิอาจารย์ทำการปลุกเสกลงไป ความขลังไม่ขลังจึงเกิดจากพระเกจิอาจารย์ได้ทำการอธิษฐานประกอบเข้าไป เขาถึงได้เรียกกันว่าสมาธิพลังจิตอย่างหนึ่ง ใครที่นำเอาวัตถุมงคลนี้ไปใช้ไม่ดีก็เป็นบาป ใครเอาไปใช้ในทางที่ดีก็เป็นประโยชน์
    - ทำอย่างไรถึงมีความสุขครับ ?
    - สุขเกิดด้วยการไม่เป็นหนี้ใคร การไม่เป็นหนี้สินใครจะทำให้อยู่เป็นสุขสบาย แต่เราต้องรู้จักจับจ่ายเงินทองได้พอดีกับฐานะของตน จึงไม่เป็นหนี้ใคร เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาหาเรา เราก็ไม่หวั่นไหวอะไร ว่าเขาจะมาทวงถามหนี้จากเรา เมื่อเราไม่เป็นหนี้ใคร เราก็อยู่อย่างมีความสุข
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=8 bgColor=#006666 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>ชาติภูมิพระอาจารย์เปลี่ยน
    [​IMG]

    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป อายุ ๗๑ ปี พรรษา ๔๕ ชื่อเดิมนายเปลี่ยน วงศาจันทร์ เกิดวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๖ (ปีระกา) ณ บ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร บิดาชื่อนายกิ่ง วงศาจันทร์ มารดาชื่อนางอรดี วงศาจันทร์ มีพี่น้องเป็นชาย ๕ คน หญิง ๑ คน พระอาจารย์เปลี่ยนเป็นบุตรคนที่ ๓ โดยตาคือขุนจุนราชภักดี และยายได้ขอไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ จนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๑ ปี มารดาจึงให้มาช่วยทำการค้าช่วยเหลือครอบครัว
    เมื่ออายุ ๑๘ ปี เริ่มสนใจวิชาแพทย์ และได้ฝึกฉีดยารักษาคนไข้กับหมอประจำอำเภอซึ่งเป็นญาติกัน ซึ่งเคยคิดจะไปเรียนต่อที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในกรุงเทพฯ แต่มารดาขอให้อยู่ช่วยคุมการค้าต่อไป พระอาจารย์เปลี่ยนคิดอยากจะบวชมาตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี แต่มาบวชจริงเมื่ออายุ ๒๕ ปี ในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๐๒ ณ วัดธาตุมีชัย บ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร โดยมีพระครูอดุลย์สังขกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูพิพิธธรรมสุนทร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และพระอาจารย์สุภาพ ธมมฺปญฺโญ เป็นผู้ฝึกหัดขานนาคให้ ต่อมาสอบนักธรรมตรีได้ในพรรษาที่ ๓ หลังออกพรรษาในปีแรกได้เริ่มออกธุดงค์ไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อแสวงหาโมกขธรรม และได้พบกับพระอาจารย์ที่ได้ยินกิตติศัพท์ ทั้งภาคอีสาน ภาคใต้ และภาคเหนือ แต่ที่พระอาจารย์เปลี่ยน อยู่ฝึกปฏิบัติธรรมด้วยนานๆ และรับใช้ใกล้ชิดอย่างสนิทสนมคือ หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ, หลวงปู่เทสก์ เทสฺรงฺสี, หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ส่วนรูปอื่นๆ ก็เช่น พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่คำดี ปภาโส, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, ครูบาอินทจักรรักษา อินฺทจกฺโก, หลวงปู่สาม อกิญฺจโน, พระอาจารย์วัน อุตฺตโม, หลวงปู่แว่น ธนปาโล, หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต ฯลฯ ซึ่งก็ต่างมีเมตตาเทศน์อบรม ทำให้ท่านมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบันพระอาจารย์เปลี่ยนได้มาอยู่จำพรรษาพร้อมกับหมู่คณะที่บ้านปงหรือสำนักสงฆ์อรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ หมายเลขโทรศัพท์ ๐-๙๘๑๖-๔๓๔๓ เพื่อปฏิบัติสมาธิธรรม มีพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน มีธรรมะเป็นข้อปฏิบัติ มีวัตรวินัยเป็นเครื่องดำเนินในศีล สมาธิ ปัญญา คือความพ้นทุกข์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา :http://www.komchadluek.net/
     
  2. Pavitta

    Pavitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +411
    ^_^ เยี่ยมๆมากๆครับ ผมอยากได้ประวัติของหลวงพ่อมาตั้งนานแล้ว หลวงพ่อท่านเคยมีบุญคุณบางอย่างกับเราหน่ะ นี่เป็นบทความชิ้นเยี่ยมสำหรับเราเลยนะ ขอบคุณคุงแป้งมากๆเลยจ้ะ จะ save เก็บไว้อย่างดีเลยจ้ะ
     
  3. Pavitta

    Pavitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +411
    ผมเข้าไปชมเว็บมาแล้วครับ มีของหลวงปู่พุทธอิสระด้วย ดีจังครับ ขอบคุณสำหรับน้ำใจไมตรีอันดีงามครับผม ^^
     
  4. ชา ใคร่รู้

    ชา ใคร่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +496
    เคยไปหาท่านครั้งหนึ่งเมื่อ 4 ปีก่อนท่านใจดีมากครับ ที่วัดสะอาดบรรยากาศร่มรื่นมาก เวลาได้สนทนากับท่านรู้สึกเหมือนใจมันฟูขึ้นเป็นกอง ตอนนั้นท่านได้เมตตาสอนธรรมมะด้วยครับ อาจารย์ของผมท่านบันทึกเทปไว้ครับ ถ้ามีโอกาสผมจะนำมาโพสต์นะครับ
     
  5. Pavitta

    Pavitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +411
    ขอให้คุณ bbms มีความเจริญมั่นคงทั้งในทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปเช่นกันครับ


    เทปบันทึกของคุณ ชา ใคร่รู้ ผมจะรอดูอยู่นะครับ ( อิอิ.. บังคับให้โพสต์อ้อมๆ ^^' )
     
  6. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    อนุโมทนา
     
  7. UFO99

    UFO99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2005
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +983
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ หวังผู้ที่ได้เข้ามาอ่านจะมีกำลังใจปฏิบัติมากขึ้นน๊ะครับ
     
  8. veenon

    veenon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +13
    ดีมากๆเลย คุณแป้ง

    อนุโมทนาที่นี่ อีกครั้ง
     
  9. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    อนุโมทนา สาธุ
     
  10. ชา ใคร่รู้

    ชา ใคร่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +496
    ก่อนอื่นต้องขออภัยทุกท่านด้วยครับที่ผมมาโพสต์ช้าไปหน่อย เพราะต้องเดินทางไปยืมม้วนเทปจากอาจารย์ของผมซึ่งอยู่คนละจังหวัด ผมจะไม่สรุปให้นะครับจะถอดคำพูดของท่านให้ได้มากที่สุด อาจมีข้อผิดพลาดบ้างเพราะเป็นม้วนเก่าตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2541 ส่วนเทปเมื่อปี 2544 ผมหาไม่เจอครับ เข้าเนื้อหาที่ท่านเมตตาสอนเกี่ยวกับสมาธิเลยนะครับ
    ถาม : อยากขอความเมตตาหลวงพ่อสักเล็กน้อยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมครับ
    พระอาจารย์เปลี่ยน : มันจะยืดยาวเน้อ เอาเป็นว่าเบื้องต้นให้เรารู้จักอานิสงฆ์ของการทำสมาธิก่อนว่ามีประโยชน์อะไร จึงได้มาทำสมาธิ เมื่อเห็นประโยชน์ก็ทำให้อยากทำสมาธิ บางคนก็ว่าการนั่งสมาธินี่เป็นการเสียเวลา นั่งไปก็เจ็บหลังเจ็บเอว คิดไปต่างๆนาๆ นี่คือคนที่ไม่รู้ประโยชน์ของการทำสมาธิ ประโยชน์ของสมาธิทำให้จิตใจสงบ ความจำดี ความจดจำดี ถ้าเรียนหนังสือก็ต้องเก่ง เป็นคนฉลาดในสังคม ยุคปัจจุบันนี้ยิ่งสังคมเละๆอยู่ ยิ่งตกต่ำลงทุกวัน มันไม่กระเตื้องไม่ก้าวหน้า ถ้าก้าวหน้าบ้านเมืองก็ยิ่งสงบ สังคมไม่ดีก็ยิ่งเสียหาย ถ้าหากเราทำสมาธิเราก็ฉลาดอยู่ในสังคมได้ มีสติปัญญารองรับ เลือกสังคมเลือกทางเดินวิถีชีวิตที่ถูกต้อง จึงจะมีความสุข คนมีสมาธิก็จะเลือกทางเดินได้ถูก ประโยชน์ของสมาธิ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นโดยเฉพาะหน้าย่อมแก้ไขได้ด้วยตนเองไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น ย่อมมีแสงสว่างเกิดขึ้นสามารถมองเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ อันนี้เป็นพิเศษหากไม่มีบุญทำไม่ค่อยได้ ประโยชน์อีกอย่างคือสามารถทายจิตบุคคลอื่นได้ คนคิดเรื่องอะไรรู้ เป็นพิเศษนะจากสมาธิ เมื่อเรารู้จักว่ามีความดีถึงขนาดนั้นก็อยากศึกษา
    ทีนี้คนไม่มีสมาธิมีแต่ทุกข์ ไม่ค่อยมีความสุข จิตไม่สงบคือจิตมีความทุกข์ จิตสงบคือจิตมีความสุข เริ่มต้นให้ศึกษาสติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว จิตคือความคิด ให้ศึกษาตรงนี้ก่อน เพราะตัวเรามีจิตวิญญาณ รูป นาม ต่างๆกันทุกคน ทำให้พูดได้ เดินได้ กินได้ มาจากจิตใจ จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว ทุกอย่างกำหนดได้ด้วยจิตใจ เราก็จับตรงนี้ก่อน ทีนี้ถ้าจิตใจเราเป็นทุกข์เราอยู่ที่ไหนเราทุกข์หมดในโลกนี้ อยู่จังหวัดไหนก็ทุกข์ เพราะทุกข์ใจ จิตนี้มีแต่ทุกข์จะนั่งรถยี่ห้อไหนก็ทุกข์ เครื่องบินแบบไหนก็ทุกข์ อยู่บ้านแบบไหนก็ทุกข์หมด เพราะทุกข์ใจ มันเป็นอย่างนี้ เมื่อคนมันมีความทุกข์ใจแล้วมันจะพูดไม่ดี คนน่ะ แสดงว่าปากไม่ดี ว่าเขา พูดกระทบใจเขา เพราะใจมันไม่ดี ใจไม่ดีไปทำงานก็ไม่ดี อยู่ที่ใจ บางทีเขาทำงานกันยังขี้เกียจเลย บางทีใจมันสั่งไม่ดี มันสั่งให้ทุบกัน ฆ่ากัน ยิงกัน ทำลายกันอยู่ทุกวันเพราะใจมันไม่ดี ใจเป็นผู้สั่ง มันอยู่ที่จิตใจ ที่ทำไม่ดีอยู่ทุกวันเพราะใจมันไม่ดี อยากจะรบราฆ่าฟัน เบียดเบียนกันเพราะใจมันสั่งทั้งนั้นเลย เราจะเห็นว่าที่มันทุกข์จริงๆทั้งหมด คือมันทุกข์ใจ
    ทุกข์เราก็นอนไม่หลับ กินข้าวก็ไม่ดี อยากจะกินยาตาย ผูกคอตาย กระโดดตึกตาย กระโดดน้ำตาย เพราะใจมันสั่ง ใจมันทุกข์แล้ว อยู่ตรงนี้แหล่ะ เราต้องเห็นตรงนั้น เราทำอะไรไม่ดีอยู่ตรงนี้หมด ทีนี้ถ้าใจของเราดีเราก็พูดกันดี ทำงานก็ดีถ้าใจดี เรามีความสุข จึงให้ฝึกสมาธิ ถ้าคนไม่มีสมาธินี่ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องไหนเรื่องไหน ถึงเป็นด็อกเตอร์ก็ไม่รู้ ถ้ารู้มันคงไม่คอรัปชั่นกินเงินเขาเป็นร้อยล้านสองสามร้อยล้าน ก็มันเรียนมาทางโลกไม่เรียนธรรมะ ไม่รู้บุญรู้บาปเลย ถ้าเป็นทหารก็เป็นนายพลเอกสั่งยิงสั่งฆ่าเขา นี่ศีลข้อเดียวมันยังไม่มีติดตัวตั้งแต่ข้อต้นเลย หนักใจนะ ใจไม่ดีนี่ ถ้าใจเราดีเราก็พูดดี ทำงานดี สวยงามด้วย เป็นระเบียบด้วย ดูที่ตัวเราถ้าวันไหนเราใจไม่ดี ดูสิว่าพูดดีไหม คิดดีไหม ทำงานดีไหม วันไหนจิตใจดี พูดดีไหม ทำงานดีไหม ไม่ต้องไปดูคนอื่น
    ตรงนี้แหล่ะเราต้องมาฝึกที่จิตใจ ให้จิตใจสงบ จิตใจจะมีความสุข เหมือนกับน้ำถ้ามันกระเพื่อมก็ไม่สงบ ถ้ามันสงบมันก็นิ่ง จิตใจก็เหมือนกันคือถ้ามันคิดโน่นคิดนี่ คิดไม่หยุดมันก็ทุกข์ จึงต้องฝึกให้มันสงบ เมื่อมันสงบก็ความจำดี อยู่ในสังคมที่ดี รู้จักเลือกสังคมแต่ฝ่ายดี คนใจไม่สงบนี่เลือกไม่ได้ ผู้หญิงผู้ชายก็เหมือนกัน คบไปมีแต่ทุกข์ พาไปตกทุกข์ได้ยาก ไปปล้นไปจี้ไปฆ่าเขา กินเหล้ากินยาสารพัด เพราะเรายังไม่ฉลาด มันอยู่ตรงนี้แหล่ะ
    ทีนี้เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นโดยเฉพาะตนเอง ก็คอยให้คนอื่นแก้ ตัวเองแก้เองไม่เป็น มันก็อย่างนี้แหล่ะคนไม่มีสมาธิ ถ้ามีสมาธิเราก็นั่งสมาธิเข้าไป เดี๋ยวนี้เรากำลังทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร เราทำอะไรไว้เราต้องตรวจหา พอเห็นว่าไปกินเหล้า ไปทุบตี ไปขโมยของเขา ทำให้เกิดทุกข์ หยุด (ท่านเน้นเสียงดัง) ทุกข์ดับทันที ทำไมดื่มเหล้าทุกๆวันเมาทุกๆวัน หยุดดื่มก็หยุดเมา ก็ดับไป เราขโมยของก็หยุดขโมย ตีเขาก็หยุดตีเลย ทุกข์ก็ดับ มันอยู่กับคนมีสมาธิ คนมีสมาธิก็รู้วิธีดับ ถ้าเราพูดแล้วมันถกมันเถียงมันทะเลาะกัน จะทุบจะตีจะฆ่ากัน หยุดพูด ไม่มีเรื่อง ไม่งั้นก็ต่อยมวยกันทั้งบ้านทั้งเมือง ไนท์คลับ บาร์ จังหวัดไหนมีหมดเถียงกันฆ่ากันเพราะมันดับทุกข์ไม่เป็น นี่แหล่ะคนไม่มีปัญญาจะดับทุกข์
    ถ้าคนมีปัญญาก็ไม่เกิดเรื่อง คนมีปัญญารู้ว่าจะเกิดเรื่องก็หยุดเลย ไม่พูดเลย ถ้าพูดไม่เป็นพูดเฉยๆก็โดนลูกปืนนะ ถูกมีด ค้อนทุบเอา ถ้าพูดเป็นแล้วไม่มีเรื่องเกิดขึ้น หยุด ตรงนั้นแหล่ะ โอ....มันจะทุกข์มันต้องหยุด ถ้าคิดแล้วมันทุกข์ เราไม่อยากทุกข์ก็อย่าไปคิดให้มันทุกข์ เอาแล้ว...ตรงนี้ที่เป็นปัญหาใหญ่ ถ้าเราคิดแล้วมันทุกข์ต้องหาวิธีหยุดคิดเรื่องนั้น พอเรานั่งสมาธิมองเข้าไปเห็นว่านี่เป็นทุกข์ก็พยายามละให้ได้ ถ้าไม่ละมันจะทุกข์อยู่อย่างนั้น ต้องพยายามละ วาง ถ้าเราทำอะไรแล้วมีความสุข ทำให้ผู้อื่นมีความสุข ก็ทำไปเสีย พูดอะไรแล้วเขาไม่ถกไม่เถียงไม่ทะเลาะมีเรื่องมีราว ก็พูดคุยกันในสิ่งนั้น คิดก็คิดให้มีความสุข เราอยากมีความสุข เขาก็อยากมีความสุขเช่นกัน เปลี่ยนอารมณ์ใหม่ อารมณ์ที่คิดแล้วทุกข์ เลิก มาคิดอารมณ์ที่มีความสุขมันจะแยกไปได้เองถ้าเรามีสมาธิ เราจะแยกทำ แยกพูด แยกคิด จะเลือกวิถีชีวิตให้ถูกต้อง นี่แหล่ะจุดมุ่งหมายของการทำสมาธิ
    คนไม่มีสมาธิมันไม่รู้จักความสุขทางจิตใจ จะมั่ว ถ้าเป็นรัฐบาลเดียวกันก็ต่อยมวยกัน เป็นบ้านเดียวกันก็ต่อยมวยกันบ้านก็เป็นสนามมวยชั่วคราว ระวังนะถ้าเถียงกันไม่รู้จักหยุด สนามมวยชั่วคราวก็อยู่ในบ้าน พี่น้องก็ต่อยกัน พ่อเฒ่ากับลูกเขยก็ตีกัน นี่แหล่ะเขาไม่รู้จักเหตุ พระศาสนาให้ดับที่เหตุ อะไรเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ต้องดับที่ต้นเหตุ จะเกิดทุกข์ก็ต้องมีเหตุ
    บางคนจะทำสมาธิแต่ก็จะนอน กูจะนอน ไหว้พระก็ไม่ไหว้กูจะนอน กิเลสมันบีบคอไว้ว่า อย่าลุกนะ อย่าลุกนะ สู้กิเลสไม่ไหว กิเลสเขาฉลาดเขากล่อมดี เพลินดี มันกล่อมจนหลับ บางทีฟังเทศน์ยังหลับไปเลย เราต้องพยายามฝึก ในบ้านก็ได้ ที่วัดก็ได้ พยายามฝึกสติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว นำจิตของเราอยู่ในกรรมฐานเพื่อให้จิตของเราสงบ ถ้ายังไม่สงบก็ค่อยๆทำ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจิตมันก็จะสงบของมันเอง ต้องมีสติสัมปชัญญะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะล่ะหมดห่วงเลย จะทำสมาธิได้เร็ว ระลึกรู้ ระลึกได้ รู้ว่าจิตคิดอยู่กับอะไร อยู่ที่ไหน เอาจิตไว้กับพระธรรมกับกรรมฐานอะไร เหมือนคน 2 คนคุมคนเดียว อยู่เลย แต่ทีนี้เราไม่มี 2 คนนี้ใช่ไหม จะไปตะครุบเอาอะไรได้ ตัวอยู่ที่นี่คิดไปกรุงเทพ พอตามไปกรุงเทพคิดไปเชียงใหม่ จะไปทันมันเมื่อไหร่ จิตมันคิดเร็ว เข้าใจไหม เราต้องฝึกสติสัมปชัญญะให้เร็วให้ทันกับเขา จึงจะคุมเขาให้สงบได้ มีสติยืน มีสติเดิน มีสตินั่ง มีสตินอน มีสติตลอด ทำงานมีสติ ขับรถให้มีสติ อ่านหนังสือให้มีสติ เห็นทุกวันนี้ขาดสติกันวุ่นวายไปหมด ขับรถก็ข้ามฟุตบาทไปชนเขาฝั่งโน้นแน่ะ เสาไฟฟ้าอยู่ดีๆก็ไปหาชนของเขา ก็ขับรถไม่มีสติ ถ้าเดินไม่มีสติก็ตกหลุมตกบ่อ เหยียบขวากเหยียบหนาม แล้วมันจะไปคุมจิตอยู่เหรอ จิตมันไม่มีตัว นี่ขนาดเป็นตัวยังคุมตัวเองไม่ได้เลย ต้องไปคุมจิตให้มันดี
     
  11. ชา ใคร่รู้

    ชา ใคร่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +496
    ต้องขออภัยทุกท่านด้วยใจจริงครับ ที่ผมนำคำสอนมาโพสต์ได้ไม่จบ ซึ่งต่อจากที่โพสต์ไว้ท่านอาจารย์เปลี่ยนได้แนะนำเกี่ยวกับการพิจารณาร่างกายครับ เสียดายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพิจารณาร่างกาย และมรณานุสสติ อยูไม่ครบเพราะเทปดันหมดม้วนเสียก่อน ผมเห็นว่าเนื้อไม่สมบูรณ์จึงไม่ได้นำมาโพสต์ครับ
     
  12. Pavitta

    Pavitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +411
    เข้ามาอ่านแล้วนะครับ ขอบคุณมากๆ และขออนุโมทนาในกุศลจิตด้วยนะครับ ^^
     
  13. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณแป้งด้วยครับ.....
     
  14. Pavitta

    Pavitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +411
    มีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังนิดนึงเกี่ยวกับหลวงพ่อเปลี่ยน คือไม่กี่วันมานี้ พ่อเราเค้าพาเซียน( ดู ) พระ( เครื่อง ) คนนึงมาที่บ้าน เขาบังเอิญไปรู้จักกันที่ท่าพระจันทร์ พ่อเราเขาเพิ่งหัดเล่นพระเครื่อง ก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก ก็เลยเชิญเซียนพระคนนี้ให้มาช่วยตรวจดูพระเครื่องที่พ่อเราเขาไปเที่ยวเช่ามาดูให้หน่อย

    พออาเจ็กคนนี้ได้ลองตรวจพลังพระเครื่อง ( ภาษาในวงการเขาเรียกกันอย่างนี้ ) หลายสิบองค์ ปรากฏว่าที่พ่อเราไปเช่ามากว่า 80 % เป็นของปลอม และไม่มีพลังอะไรเลย ( เขาว่าอย่างนั้น เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องกะเขาหรอก ) มีที่หลุดๆมาเหลืออยู่ไม่กี่องค์เท่านั้นที่มีพลัง เขาก็ว่ามือใหม่ก็อย่างนี้แหละ ก็ต้องคลำผิดคลำถูกไปเรื่อย กว่าจะเก่งได้ ก็ต้องถูกเขาหลอกหมดสตางค์ไปไม่ใช่น้อยเหมือนกัน อันนี้ก็คงไปว่าใครไม่ได้ เราเอาสตางค์ไปให้เขาเอง

    ทีนี้เราก็นึกสนุก ( อิอิ ) เลยลองเอาพระหลวงพ่อเปลี่ยน เป็นพระผงเนื้อสีขาว รูปทรงกลม ( ขนาดเท่าเหรียญห้าบาทรุ่นก่อนที่จะใหญ่ๆหน่อย ) ด้านหน้าเป็นพิมพ์รูปองค์ท่าน ส่วนด้านหลังเป็น พิมพ์รูป บาตร กลด กาต้มน้ำ และมีลายเซ็นต์ฉายาพระของหลวงพ่ออยู่ มีลูกศิษย์หลวงพ่อเขาให้แม่เรามา ฝากมาให้เราตั้งนานแล้ว ตอนนั้นเรายังบวชพระอยู่ เราก็นำมาเก็บไว้เฉยๆ แทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยใส่ใจกับพระที่ได้มาเลย ท่านเป็นใครชื่ออะไรตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
    เขาให้มา เราก็เก็บๆเอาไว้อย่างนั้นแหละ แต่เวลาเดินทางไปจำพรรษาที่ไหน หรือไปอยู่ปริวาสกรรมที่ไหน เราก็จะนำติดย่ามไปด้วย แบบว่าไม่รู้จะเอาท่านไปไว้ตรงไหนหน่ะ ก็เลยต้องพกไปด้วย ( ตรงนี้ถือได้ว่าเป็นการประจุพลังลงไปในพระด้วยแล้วแม้เราจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม )

    ผนวกกับว่าหลังจากที่เราสึกออกมา เราได้มีประสบการณ์ตรงทางจิตบางอย่าง ที่เกี่ยวกับพระเครื่องของหลวงพ่อท่านองค์นี้ด้วย จึงทำให้เริ่มมาสนใจในประวัติความเป็นมาขององค์ท่าน และเริ่มสนใจในพลังของพระเครื่องขึ้นมาบ้าง จากเดิมที่ไม่เอาและไม่สนใจเลย ( ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่เรารู้ว่ามันไม่ใช่หนทางที่แท้ เช่นที่พระพุทธเจ้าสอน )

    สรุปได้ว่า เรามีประสบการณ์ตรง มากพอที่จะทำให้เรามั่นใจในอำนาจของ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ของพระเครื่องของหลวงพ่อเปลี่ยนองค์นี้ได้อย่างเกิน 100 % ทีนี้เราก็เลยลองนำพระเครื่ององค์นี้มาให้อาเจ็กแกลองตรวจดู โดยที่เราไม่เล่าอะไรให้แกฟังเลย ชื่ออะไรเราก็ไม่บอก อิอิ แกล้งปล่อยให้แกงงเล่นๆ( แกล้งคนแก่ไม่ดีนะ บาป อย่าเอาอย่างเน่อ ) อาเจ็กแกก็เอากล้องส่องดูสักพัก คือขั้นแรกเขาคงจะดูเนื้อพระ ความเก่าใหม่ และดูก่อนว่าเป็นพระอะไร แท้หรือเทียม อะไรประมาณนั้นมั๊ง หลังจากนั้นก็คงจะตั้งจิตจับพลัง ว่ามีพลังไหม ถ้ามี เป็นพลังแบบไหน นี่เราคิดเอาเองนะ

    แกส่องดูในชั้นแรก แกก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วแกก็ไม่รู้จักหลวงพ่อเปลี่ยนด้วย เป็นเราดูเราก็ว่ามันไม่มีอะไร เป็นพระพิมพ์ที่ยังใหม่ ชื่อเสียงของหลวงพ่อท่านก็ยังไม่ได้โด่งดังอะไร ถ้านำไปวางในตลาดพระเครื่องก็คงจะไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร ให้เขาฟรีๆเขาจะเอาหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย แต่นั่นเป็นการตรวจแบบวิทยาศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์

    ทีนี้เราลองมาตรวจแบบพุทธศาสตร์ และจิตศาสตร์ดูบ้าง ทีนี้ขึ้นเลย พลังจากพระเครื่องจะวิ่งจากมือผ่านไปที่แขน ผ่านไปถึงศรีษะ เล่นเอาอาเจ็กมึนๆไปเลยเหมือนกัน ดูแกอึ้งๆนิ่งๆไปเหมือนกัน แกส่งคืน แล้วแกก็ว่าดี เป็นพระปฏิบัติจริง เราก็ยิ้มๆ อืม เราคิดในใจ อาเจ็กนี่ก็ใช้ได้เหมือนกันนะ ฉะนั้นคุยกันต่อได้ ถ้าอาเจ็กบอกว่านี่เป็นพระปลอมหรือนี่เป็นพระที่ไม่มีพลัง เราก็จะเชิญอาเจ็กกลับบ้านไปเลย ฮ่าๆๆ ( จริงๆแล้ว อาเจ็กคนนี้เป็นคนดี มีความรู้จริงและมีอารมณ์ขันเหลือเฟือ แกน่ารักดี เรารู้สึกว่าเราโชคดีนะที่ได้มารู้จักกับแก ^^ )

    เราจะไม่ขอสรุปอะไรเกี่ยวกับเรื่องพระเครื่องนี้ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนมีวิจารณญาณที่จะตัดสินเองได้ว่า อะไรควรมาก่อน อะไรควรมาหลัง หรืออะไรสำคัญมากกว่าอะไร และหวังว่าประสบการณ์ที่เรานำมาเล่าให้ฟังนี้จะได้ให้แง่คิดอะไรบางอย่างกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆได้ไม่มากก็น้อยนะครับ ไปหล่ะจ้ะ ^^ ( วันพฤหัสฯนี้มีนัดกับอาเจ็กอีก มีอะไรสนุกๆให้เล่นกันอีกแล้ว อิอิ )
     
  15. ชา ใคร่รู้

    ชา ใคร่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +496
    ผมก็ได้รับพระเครื่องของท่านมาเหมือนกันครับ พิมพ์เดียวกับในรูปที่เจ้าของกระทู้ลงไว้ครับ ส่วนพระเครื่องของพ่อของคุณ Pavitta ที่ว่าไม่มีพลังก็ลองนำไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกดูนะครับ แล้วมาจับพลังดูใหม่อาจจะเห็นอะไรเปลี่ยนแปลงก็ได้ครับ แต่ถ้าจะให้ใครเช่าต่อต้องบอกเขานะครับว่าเป็นพระใหม่ที่ผ่านการทำพิธีมาแล้ว จะได้ไม่เกิดโทษครับ ก็ลองเสาะหาพระหรือหรือนักปฏิบัติที่ปฏิบัติดี และมีอำนาจจิต มาอธิฐานจิตให้ก็ได้ครับ ถึงแม้จะไม่แท้(ตามนิยามของคนบางกลุ่ม)แต่ก็มีอำนาจคุ้มครองป้องกันได้ครับ ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยจิตครับ
     
  16. Pavitta

    Pavitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +411
    ขอบคุณมากครับ สำหรับคำแนะนำ ผมจะลองหาโอกาสดูครับ ^^
     
  17. bbms

    bbms เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +307
    ชม video clip เรื่อง สมถะ และ วิปัสสนากรรมฐาน

    แสดงธรรมโดย หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

    www.kanlayanatam.com

    ขอให้เจริญรุ่งเรื่องในธรรมค่ะ สาธุ
     
  18. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    สาธุ...


    ขออนุโมทนาในธรรมทานครับ...[b-wai]
     

แชร์หน้านี้

Loading...