ปัญหาเกี่ยวกับการนั่งสมาธิ ตอบทีจ่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย BASLOVE555+, 4 พฤศจิกายน 2008.

  1. BASLOVE555+

    BASLOVE555+ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +6
    ผมได้ทิ้งการนั่งสมาธิไปประมาณ 3 เดือนครับ ตอนนี้กลับมาลองนั่งใหม่ครับ แต่มันไม่เหมือนเดิมครับ คือว่าตอนแรกๆนั่งไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้นครับแต่พอนั่งไปวักพัก ขณะนั้นรู้สึกว่าจิตสงบแล้วคือแบบว่าในหัวไม่คิดอะไรแล้วครับใจจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียว รู้สึกปวดที่ดวงตาทั้งสองมากเลยครับไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรดี บางทีพยายามกำหนดจิตตาม(พยายามนิ่งเฉยกับอาการปวด)อาการก็ยังไม่หาย อยากทราบทางแก้ไขมาก (นั่งได้ 2 วันแล้วครับนั่งเวลา ช่วงกลางคืน)
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เกิดจากความคาดหวัง หรือ มีอยาก เกิดขึ้นำการปฏิบัติ ทำให้ จิตตกอยู่ภายใต้
    สภาวะอกุศลตั้งแต่แรก ทำให้การปฏิบัติในครั้งนั้น เจือโลภะเจตนา ทำให้วิถีจิต
    จะมุ่งไปสู่การทำ มิจฉาสมาธิ

    อาการปวดตา ก็คือ การต้องการอยากจะรู้สึกให้ชัด จะทำสติให้รู้ชัด แต่โดยกายภาย
    ส่วนจักขุวิญญาณ คือ ปลายประสาทส่วนที่เนื่องกับตา คิ้ว ใบหน้า ปาก จมูกจะทำงาน
    มากเป็นพิศษ ทำให้เกิดอาการปวด แสบ ร้อน

    บางครั้งมีการคิดว่าเป็นการเปิดตาที่สาม ซึ่งจะมีสภาวะธรรมเกิดขึ้นคล้ายๆกัน แต่ตาที่
    สามก็คืออาการสมองส่วนหน้าทำงานแทนสมองส่วนกลาง ซึ่งเป็นการทำงานเฉพาะของ
    พวกปฏิบัติสมาธิที่ถูกต้อง

    มีอีกกระทู้หนึ่งในวันนี้ที่ใกล้เคียงกัน ลองอ่านเพิ่มเติม
    http://palungjit.org/showthread.php?t=156666

    วิธีแก้ก็ง่ายนิดเดียว ฝึกสมาธิในแบบเดิมนั้นแหละ แต่อย่าปิดตา ให้ลืมตาไว้
    จะช่วยให้เห็นว่า อาการปวดตานั้นเกิดจากการอารมณ์ตัวหนึ่งมาเป็นปัจจัย ลอง
    ทำสมาธิหลับตา สลับลืมตา เพื่อดูอาการปวดตาที่กลับไปกลับมา แล้วระลึก
    ดูว่ามีตัวอารมณ์ใดดันออกจากอกขึ้นมาก่อนจะปวดตา จนจำความรู้สึกตัวนั้นไว้
    ให้รู้ว่ามันคือ นิวรณ์ มานะ และกุกกุจจะ ( คาดหวังผลการปฏิบัติ )

    หลังจากนั้นให้ผ่อนลมหายใจยาวๆ เพื่อน้อมจิตให้มีความสุข ให้ใจเบา โล่งแล้ว
    ค่อยๆน้อมการทำสมาธิในแบบที่คุณทำ จะทำให้ปฏิบัติได้โปร่งโล่งเบาขึ้น
     
  3. siamgirl

    siamgirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,682
    ค่าพลัง:
    +2,742
    ของเราพอนั่งเเล้วพอเริ่มดีๆเล้วตาเราจะเปิดอ่ะ มันจะยิกๆอ่ะ เลยต้องปล่อยไปพยายามรวมใหม่ เเละจะได้กลิ่นเหม็นบ่อยมากเลย เวลาที่จิตรวมอ่ะค่ะ เราเลยไม่ไปไหนซักทีเพราะกลัว
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้ามีกลิ่นเหม็น เสียง โดนสะกิด มดกัด ให้ระลึกดูดีๆครับ จิตมันจะรวมแล้วสร้างขอบเขต
    ขึ้นมา หากเหมือนมารวมที่ศีรษะก็แปลว่าสมาธิยังมีอยู่ ให้ระลึกดูลักษณะขอบเขตของมัน
    แล้วผ่อนลมหายใจ หรือ คำบริกรรมลงให้เป็นลักษณะสบายๆ เหมือนทำจิตให้สบาย แล้ว
    ระลึกดูขอบเขตที่มันค่อยๆแผ่กว้างออกไป จนกว่าจะหมดขอบเขต จิตก็จะตั้งอยู่ในสมาธิ

    ถ้าจิตมันรวบมาที่กลางอก ใจสั่นไหว มีตื่นเต้นด้วย ก็ให้ระลึกดูขอบเขตที่อัดแน่น รู้สึก
    อึดอัด เหมือนมันอยากจะให้เรากระโจน หรือลุก หรือหยุดทำสมาธิ ให้ระลึกดูตรงใจที่
    มันดันยิกๆ กระพริบวับๆ จะหยุดก็ไม่อยาก จะทำต่อก็ชักแปลก พอเห็นอาการของจิตที่
    ไม่สงบครบทุกตัวแล้วก็ผ่อนลมหายใจยาว สัก 3 4 ครั้งจนกว่าจิตใจจะโปร่ง หายใจ
    สั่น หรือ ใจสั่นแต่โดนผู้รู้ ผู้ดู ดูอยู่ แล้วผู้รู้ผู้ดูคือผู้ที่นิ่งระงับอยู่ ขอบเขตจะอัดแน่นจะ
    ถูกรู้เท่าทัน แล้วมันจะค่อยๆสลายไป

    ขอบเขตทั้งสองเป็นลักษณะของอุปทานที่ไหลมาตั้งมั่นเพราะความรักตัวตน ขอบเขต
    ที่ปรากฏนั้นเรียกว่า อัตตา ดังนั้นทำสมาธิรู้เห็นอะไรแปลกๆ แล้วมันสร้างขอบเขตให้
    ระลึกรู้ว่า จิตไหลไปข้างอกุศล ไปมีอัตตา จะทำให้สมาธิติดขัด
     
  5. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817

    ตอบ....
    คุณรู้สึกปวดตา นั่นแสดงว่า สมาธิคุณหลุดแล้วขอรับ ที่ว่าสมาธิหลุด เพราะมีอาการปวดมากระตุ้น แล้วคุณทำไมไม่คิด พิจารณาว่า ปวดตาเพราะเหตุใดขอรับ ถ้าไม่รู้พิจารณาไม่ได้
    ก็ไปพบ จักษุแพทย์ บอกอาการ ให้จักษุแพทย์ ก็จบแล้วขอรับ
     
  6. kuro122

    kuro122 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +410
    หลวงพ่อจรัญฯ ได้กล่าวไว้ว่า ให้ปักจิตที่ใต้สะดือ(วัดจากสะดือ โดยนิ้วมือสองนิ้วทาบตามแนวนอน) ลึก ๆ หายใจยาว ๆ แล้วอาการปวดตาจะหายไปค่ะ สาธุค่ะ
     
  7. aldo

    aldo สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +6
    มีใครเคยปวดขาใหมค่ะแบบว่าปวดเฉพาะขาขวานะค่ะ นั่งแค่ครึ่งชั่วโมงขาขยับไม่ได้ ปวดร้าวมากค่ะ
     
  8. kuro122

    kuro122 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +410
    ปวดค่ะ แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ มันอยากปวดก็ปวดไป ยิ่งเราไปตามอาการปวด เราก็ยิ่งกระวนกระวายค่ะ

    โดยเฉพาะนั่งขัดสมาธิเพชร จะปวดมากเหมือนกระดูกจะแตก นั่งครั้งแรก ๆ ต้องบอกว่า ปวดจนต้องร้องออกมา(ร้องแบบโหยหวน ที่เราไปทำเขามา) ร้องไห้ไปด้วย แต่ก็ไม่ลุก จนกว่าจะครบเวลา

    มีสติกำหนดไปเรื่อย ๆ ค่ะ อย่าไปอยากหาย ยิ่งอยากมันก็ยิ่งไม่หายค่ะ พอสติมากเข้า ๆ มันจะแยกเอง ปวดก็แค่รู้ว่าปวด แต่ใจเราไม่ปวด อนุโมทนาด้วยค่ะ สาธุ

    **หลวงพ่อจรัญฯ ท่านกล่าวไว้ว่า เวทนาคือครู เขามาสอน เราต้องเรียนรู้จากครูค่ะ และบริกรรมไปเรื่อย ๆ เราจะรู้ว่าไปทำกรรมอะไรมาด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2008
  9. aldo

    aldo สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอขอบคุณมากค่ะคุณ kuro122 ดิฉันเพิ่มเริ่มหัดปวดทีไรท้อทุกที ดิฉันจะพยายามใหม่ ค่ะ จะชดใช้ทุกสิ่งที่เคยทำค่ะ
     
  10. kuro122

    kuro122 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +410
    พยายามเข้าค่ะ แรก ๆ หรือแม้แต่ปัจจุบัน ดิฉันก็ยังปวด แต่อย่างที่บอก ทำไม่รู้ไม่ชี้ รับผิดทุกอย่างที่ทำมา

    ท้อได้ แต่อย่าถอยค่ะ ชนะอะไรก็ไม่เท่ากับชนะตัวเอง เป็นกำลังใจให้ค่ะ สาธุ
     
  11. aldo

    aldo สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอบคุณอีกครั่งในความกรุณา และกำลังใจที่มอบให้ ท้อเมื่อไรจะคิดถึงคุณค่ะ ขออนุญาตินำไปใช้ค่ะ (ชนะอะไรไม่เท่าชนะตัวเอง)
     
  12. สราวุธ ลำพูน

    สราวุธ ลำพูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +302
    ขอแนะนำ อย่า เข้าสมาธิเร็ว จนเกินไป ให้ดูไปเรื่อยๆ อย่าอยากนิ่ง
    ตอนดูลมก็อย่า ตามลมเข้าไปถึงท้อง แล้วออกจากปลายจมูก
    ให้ดูลมที่เบื้องหน้าอย่างเดียวก่อน
     
  13. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หากคนเราไปกำหนดเอาอดีตหรือเอาปัจจุบันหรือเอาอนาคตมานั่งมาคิดจะติดขอรับ...จะเกิดอาการต่างๆขึ้นมาอย่างนั้นคือหงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ...และจะทำให้ตัวเองหยุดไม่ได้ต้องวิ่งต้องแสวงหา....ทั้งของตัวเองและของผู้อื่นอยู่ร่ำไป....ทั้งๆที่ตัวเราเองนั้นก็มีคือการหยุดแต่เราไม่หยุดเหมือนพุทธองค์ท่านทรงตรัสกับพระองค์คุลีมารนั้นว่าเราหยุดแล้วแต่ตัวท่านยังไม่หยุดในเรื่องที่ไม่ดีนะขอรับ....

    หากในด้านความดีมีแล้วหยุดไม่หลุดขอรับนอกจากว่าพอเท่านั้นแล้วหยุด

    หยุดในที่นี้คงหมายภึงว่าพระพุทธองค์ละกระทั่งชาติตระกูลที่เป็นถึงเจ้าแผ่นดินเพื่อที่จะมาแสวงหาความจริงของชีวิตเท่านั้น...คือเราเกิดมาเพื่ออะไร

    บ้างก็รับๆๆๆแต่กรรมของตนเองมาตลอด.......ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นผู้รู้เป็นนักปราชญ์โดยแท้....บ้างก็ระรึกชาติได้ในอดีตก็หลงชาติอดีตของตนของตัวเอง...บ้างก็สมมุติตัวเองขึ้นมาก็ไปอิงนู่นอิงนี่มาพอคลับคล้ายคลับคลาบ้างก็มีเหตุมีผลกันด้วยเหตุด้วยผลกันทุกคนขอรับ....บ้างก็เชื่อบ้างก็ไม่เชื่อ

    กระผมเคยโพสอยู่กระทู้หนึ่งถึงการมีสามกลางเพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาเท่านั้นขอรับ........เพราะป็นเหตุส่วนตนที่ไม่ได้อ้างอิงอะไรได้นอกจากเหตุผลส่วนตัวเท่านั้นตอนนี้ในเรื่องศาสนามีสี่กลางแล้วขอรับที่เสวนากันระดับโลก

    แต่ในศาสนาพุทธมีสามกลาง....แต่การทำสามกลางนี้ได้สี่ขอรับ

    คือความคิดของกระผมนั้นอาจจะไม่โดนหรือถูกใจของใครของท่านไปเสียทั้งหมดแล้วนะขอรับแต่ก็แล้วแต่ว่าจะมองกันแบบไหนมุมไหน

    หากพิจารณาโดยแท้แล้วด้านเดียวมุมเดียวนี้มีสามกลาง
    ตอนแรกกระผมสงสัยมากว่าดุมล้ออันก่อนเก่าที่มาจากสมัยแรกและยังที่เหลือค้างอยู่ในรูปภาพนั้นทำไมมีปมอยู่ตรงกลางซี่ของล้ออีก

    ตามนี้นะขอรับ
    คือตรงกลางจุดใหญ่ๆคือกลางใหญ่มากคือดุมล้อ....อีกสองกลางตรงซี่ของล้อที่เป็นแขนยื่นตรงไปร้อยแปดสิบองศา....มีปมอีกสองปมขอรับข้างละอัน

    ทำไมถึงมองสองด้าน
    ความคิดที่เราคิดทำไมเอียงซ้ายจัด...หรือมาขวาจัด...
    เมื่อความคิดนี้วิ่งเข้ามาหากันกระผมต้องเรียนนำตามท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านละครับ....ทำไมยุโรปล่อกันนัวไปหมดเรื่องฮิตเลอร์....ช้างชนกันงากระเด็นขอรับหญ้าแพรกแหลกรานหมดไม่ว่าชาติไหนศาสนาชนกลุ่มใดหมู่เหล่าใดใดเดือดร้อนกันไปหมด...แล้วจะเหลืออะไรอีกขอรับเหลือบาดแผล...ประวัติศาสตร์....ทั้งกายทั้งใจไปเยียวยยารักษากัน.....แผลรักก็คงดีนะขอรับแต่หากเป็นแผลที่ไม่ดีคือความชิงชังโกรธเกลียดแล้ว...ตายกี่ปีกี่ชาติเราก็จะกลับมาล้างให้สิ้น....เหมือนการสงครามที่ไม่มีจบสิ้น

    เหล่าบรรดาพ่อแม่เราละขอรับ....คงไม่มีพ่อไม่มีแม่คนไหนที่ไม่รักลูกหรอกขอรับ....พี่น้องเราล่ะ....คนรักเราล่ะ....เพื่อนฝูงเราอีก....และคนที่รักเราปรารถนาดีต่อเราไม่มีตัวไม่มีตนอีกที่เขารักเขาเทิดทูนเราอีกเยอะมาก...ในอำนาจวาสนาที่เรามีในปัจจุบันนะขอรับ....หากเราเป็นจอมทัพนำลุยเสียเองแล้วอะไรจะเกิดขึ้น....และตัวเราเองนี้จะได้รับอะไรตามมาคุ้มกับการทำการแลกหรือไม่...

    ด้วยเหตุนี้ก็ขึ้นแต่กรรมแต่เวรแต่กาลแล้วขอรับ...

    หากเหตุมันยังไม่ถึงเวลามันก็ยังไม่ถึงเวลาแต่หากวันไหนท่านนึกขึ้นได้ว่าท่านเองเป็นลูกของใครคนใดคนหนึ่งหรือท่านหนึ่งท่านจะเข้าใจคำว่า.....ลูกเอ๋ยบุญเจ้าไม่เคยสร้าง...กระผมอยากเป็นลูกของท่านยิ่งแล้วขอรับไม่ว่าชาติไหนๆ....แต่ไม่มีทางเป็นไปได้เพราะต่างคนต่างต้องยืนอยู่บนกรรมนั้นที่เป็นกรรมของตัวเอง...ตีอกชกตัวเองก็เจ็บปวดแล้วขอรับ....ความจริงนั้นเราไม่ได้ไปตีไปรบกับคนอื่นเรากำลังทำร้ายตัวเราเองต่างหากขอรับ....

    ด้วยความคิดด้วย...หูตาจมูกปาก.....ด้วยคำว่า....เรารู้เรา...หากเราไม่รู้เราหรือเรารู้แล้ว...อยู่กลางกลางก่อนคือเฉยๆไว้ก่อนมองดีมองเลวสองด้านถึงตรงนี้เราจะเดินด้านไหนก็แล้วแต่ทางส่วนบุคคลไม่ให้ใครผ่านแล้วขอรับเพราะเป็นทางที่เรากำหนดเองเลือกเอง...ท่านถึงกล่าวว่าเป็นอัตตา

    มองเมืองไทยละครับทุกวันนี้ก็ตีกันทางด้านความคิด....ชาติตี...ศาสนาตี...คนตีกันว่นวายไปหมด....หากเราไม่ลดไม่ถอยออกมาเสียคนหนึ่ง...มุมๆมองมองนี้...สามร้อยหกสิบองศาเองแต่ทับซ้อนกันแย่งกันอยู่มุมนี้ดี...มุมนั้นดีเลยกลายเป็นมุมแดงกับมุมน้ำเงิน.....ท่านบอกดูเฉยๆ...ดูเฉยๆ....ตีกันไม่ดูกรรมการ...กรรมมะการก็ไม่ดูนักมวย...ตาปูดแล้วขอรับ..เลยกลายเป็นสามฝ่ายอีก....กรรมการต้องเป็นกลางอีก....กรรมการสนามมวยได้รับค่าจ้างนะขอรับ...กรรมการที่เป็นพระมาอยู่ข้างนอกนู่นอีกเขาเรียกว่าถือหางมา......ไม่เอาอะไรไม่ได้อะไรแต่ไปถือหางไว้อีกข้าง.......แล้วมีกรรมการจริงๆเป็นพระมาอยู่ตรงกลางไม่ได้แม้ข้าวน้ำเผลอๆได้ลูกหลงกลับไปอีก..ช่วยไม่ได้ใส่เกือกม้ามาเอง

    ที่ตีนี้คือความคิดของตัวเองนะขอรับ...บางครั้งเราก็ชั่วบางทีเราก็เป็นคนดี....ไม่มีใครเต็มเลยขอรับ....คือเต็มหมดทั้งหมดคือสามกลาง...อย่างที่กระผมกล่าว

    คือเป็นกลางทางด้านไม่ดี...

    หรือรู้ด้านความชั่วมาทั้งหมด........พอเราว่าเออไม่ดีนะมาอยู่ตรงกลางเสีย...แล้วพยายามาอยู่ตรงดุมล้ออีกในเวลาต่อมาก็พยายามมาอยู่ตรงกลางดุมล้อ

    ความเป็นกลางทางด้านดีคือเราทำดีแล้วดีมากไปก็ไม่ได้อีก...แต่ดีทางธรรมอยากมากๆเพื่อการบรรลุหลักธรรมอีกขอรับ ...

    พอเข้ามาทำแล้วอยากได้สูงสุดอีก...อ้าวนั่นแหละขอรับคนอีกแล้ว...คนให้ทั่วกันอีกแล้ว...ความอยาก....เกิดมาแล้วอะไรก็อยากหมดอยากทุกอย่างต้องสูงสุดของความอยากนั้น....อยากเป็นพระเจ้า...ยากรวยสูงสูดอยากมีความสุขสูงสุด....อยากอะไรก็ได้ที่สูงกว่าคนทั้งโลกหากเป็นได้....เล่นกันไปเถิดขอรับ...อัตตาหิอัตโนนาโถ...เรื่องความคิดนี้ใครก็เปลี่ยนใครไม่ได้ใครก็เปลี่ยนใครได้

    กลางอย่างที่สามคือดุมล้อขอรับ.....กลางใหญ่หน่อยรวมสามกลาง
    คือกลางระหว่างความดีและความไม่ดี
    พอมายืนอยู่ตรงนี้แล้วเห็นทั้งความดีและความชั่วสองด้าน...ใครจะเดินทางไหนด้านไหนก็ส่วนตัวส่วนตนอีกขอรับ

    ได้สี่ตรงไหน....รู้หมดแล้วสามกลางอย่างที่สี่คือทิ้งเสียขอรับ
    หากรู้แล้วไม่ทิ้งทำแล้วไม่ทิ้งไม่ว่าดีว่าชั่วว่ากลางไม่กลาง...โลกนี้ปัจจุบันนี้มันนานไปเสียแล้ว.....มันกลายเป็นว่าเรามาติดอยู่ตรงนี้...ที่เดียวนี้...อยู่ที่นี่แหละ...ตลอดกาล

    โลกที่เราอยู่คือโลกปัจจุบันขอรับ...โลกที่มีตาดูหูฟัง....ความคิดความรู้ปัจจุบันนี้แหละ....ปิดหูปิดตาปิดความรู้...ปิดสติปัญญาตัวเองเสียแล้วมารู้เรื่องในกายตัวเองเสีย....แล้วก็จะรู้จริงบ้างไม่จริงบ้างก็เรื่องของเราขอรับ

    แล้วใครเขาจะห้ามผมได้ที่ผมไหว้พระศาสดาแต่ละครั้งผมไหว้ทั้งสามศาสดาละขอรับ....เจอผู้ใหญ่กว่าผมไหว้หมด....เด็กกว่าผมก็ไหว้.....ต้นไม้ผมก็ไหว้เพราะเขาไม่ต้องมานั่งคิดนั่งเจ็บนั่งปวดและต้องคอยดิ้นรนเหมือนคนเลย...หากท่านเจอกระผมทีนี้ท่านคงบอกกระผม่วาบ้าแน่ๆแล้วขอรับ

    หวังว่าบรรดาเหล่ามิตรรักสหายธรรมทุกท่านโปรดใช้พิจารณากระทู้นะขอรับ...เพราะเป็นความคิดเห็นส่วนตัวส่วนตนกรุณาอย่าประมาทใช้พิจารณาด้วยขอรับ...

    กระผมไม่มีเงินทองไม่มีทรัพย์อันใดขอรับที่จะแบ่งปันพวกท่านได้...หากความคิดของกระผมเป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งหลายทุกท่านทุกคนได้บ้างนั่นคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของกระผม....ไม่ได้คิดไปล่อไปลวงพวกท่านมาฆ่ามาแกงกันหลอกขอรับทำเพื่อให้รู้จักตัวจักตนเท่านั้น...

    รู้อะไร
    หากท่านมาถามกระผมว่ารู้อะไร....กระผมบอกผมไม่รู้ขอรับแต่วันไหนกระผมไม่มีลมหายใจดูก็คงรู้คำว่าความตายกระมังขอรับ...คงหนีกรรมไปไม่พ้นตายก็ตายขอรับถึงเวลาตายแล้วมันจะไปวอรี่วออะไรอีก......จบๆกันเสียทีเบื่อเหมือนกันใครอยากอยู่ต่อก็เล่นต่อเถิดครับโลกนี้คือโลงละคร...ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้หรอก...เรื่องนี้มีแต่พระเอกแล้วจะหานางเอกที่ไหนล่ะขอรับ....หากมีแต่พระหมดคงดีขอรับเพราะพอกันหมดแล้วแต่คงไม่มีใครไปทำนาอีก

    ที่อยากกล่าวอีกเรื่อง....ไม่ใช่นำเข้ามารวมกันทั้งสี่ด้านขอรับให้เข้ามาตรงกลาง....มันก็รบกันไม่จบไม่สิ้นสักที...เหมือนสงครามโลก

    เมื่อท่านมีสี่อย่างคือ....ดินน้ำลมไฟ....ต่างคนต่างไปต่างคนต่างอยู่อย่านำมารวมกันแต่อยู่ด้วยกันด้วยความสัมพันธ์กัน.....ตีกันมั่งก็ไม่แปลกหรอกขอรับ...สนุกดี...พอหอมปากหอมคอแล้วจับมือกันเสีย...คนไหนไม่จับก็เรื่องของท่านแล้วขอรับเราเบื่อเดือดร้อนเรื่องของพวกท่านทั้งหลายแล้วเก่งๆกันทุกคนแล้วลาก่อนแล้วขอรับ...พิมตัวไหนผิดคิดเอาเองด้วยขอรับผมมึนแล้วขอรับกราบขออภัยด้วยแล้วขอรับไม่แก้แล้ว

    กราบขอบพระคุณยิ่งแล้วขอรับ
     
  14. ying_tisa

    ying_tisa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +18
    ปวดเหมือนกันค่ะ.. เฮ้ออออ -_-"



     
  15. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ถ้าปวดตาบางครั้งอาจเกิดจากการเกร็งเนื่องจากการที่เพ่งมากเกินไป....อาจเกิดจากการเครียดภายใน.....วิธีการแก้นะครับลองดูคือปล่อยวางทั้งหมด...ทั้งความคิด...คลายเบ้าตา...วางอารมณ์สบายๆ..ครับ....กำหนดไปเรื่อยๆ...ถ้ามันฟุ้งมากอย่าฝืนนะครับ...เลิกกำหนด...จัดอารมณ์อื่น..เช่นภาวนาบทที่เราชอบใจก็ได้ครับ...ถ้ายังฟุ้งมากก็เลิก...เลิกเลยนะอย่าฝืน...ดูมันอย่างเดียว...ปล่อยมันคิด....ตามดูอย่างเดียว...เดียวมันหยุดเอง....แล้วก็ภาวนาใหม่จะมีกำลังครับ.....ถ้ามันยังฟุ้งอยู่อีก...เลิกเลยครับ....ง่ายๆ ...หลับ...

    ส่วนเรื่องการปวดขานั้น...เรื่องปกติครับ...ถ้าปวดขณะปฎิบัติ...จนทนไม่ได้...ให้เปลื่ยนอริยบททันทีครับ....สำคัญที่ว่า...เราฝึกที่จิตไม่ใช่ฝึกที่กาย....ถ้ายังทนบางครับจะยิ่งฟุ้ง...ไม่ได้อะไรเลยครับ.....แต่ถ้าออกจากสมาธิแล้วรู้สึกมันชาก็ค่อยๆเหยียดขาออก..ถ้ายืนได้แล้วก็เดินครับ..ให้เลือดมันหมุนเวียน...ก็จบ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...