ธรรมะของสมเด็จเทพโลกอุดร..และเรื่องประสบการณ์ลี้ลับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lotte, 2 กุมภาพันธ์ 2005.

  1. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    725
    ค่าพลัง:
    +4,545
    หลวงปู่เทพโลกอุดร

    [​IMG]



    วัดสันป่ายาหลวง อ.เมือง จ.ลำพูน ท่านเป็นพระกรรมฐานที่เชี่ยวชาญทั้งด้านสมถะและวิปัสสนา ปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษฏ์ เดินธุดงค์ไปยังภาคต่างๆของไทย อนุเคราะห์สหธรรมิกด้วยอุบายธรรมต่างๆ และเป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนทั่วไป


    ชาติกาล เดือน 7 ปีมะโรง พ.ศ.1834
    ชาติภูมิ บ้านสันมหาพน อ.เมือง จ.ลำพูน
    อุปสมบท เมื่ออายุได้ 25 ปี โดยมีพระครูบาธรรมเสนา เป็นพระอุปัชฌาย์
    มรณภาพ พ.ศ.1924
    สิริรวมอายุได้ 86 ปี



    ธรรมปฏิปทา ของ หลวงปู่เทพโลกอุดร


    ย้อนอดีต
    ครูบาบุญทา จังทวังโส หรือ หลวงปู่เทพโลกอุดร มีนามเดิมว่า บุญทา บิดามีนามว่า หนานคำฝั้น มารดามีนามว่า คำขยาย


    ศึกษามูลกัจจายน์
    เมื่ออายุได้ 10 ขวบ ครูบาบุญทาได้ไปศึกษาเล่าเรียนมูลกัจจายน์ธรรมวินัย กับครูบาญาณวีระ เจ้าอาวาสวัดสันป่ายางหลวง ( อาพัทธาราม ป่าไม้ยาง )


    บรรพชา
    เมื่อมีบุญกุศลหนุนนำ เพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อไป ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 12 ขวบ โดยมีครูบาธรรมเสนา วัดอรัญญิการาม เป็นอุปัชฌาย์


    อุปสมบท
    เมื่ออายุได้ 25 ปี พ.ศ.1859 ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ มีฉายาว่า จันทวังโส โดยมีครูบาธรรมเสนาเป็นพระอุปัชฌาย์ ครูบาญาณวุฒิและครูบาอินโท สุมังคโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์


    ฝึกฝนสมถะและวิปัสสนา
    ครั้งเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ฝึกฝนวิธีการเจริญสมถะ และวิปัสสนากรรมฐาน ควบคู่กันไป จากนั้นก็ออกธุดงควัตร ไปยังสถานที่ต่างๆ เช่น ลำปาง ศรีสัชนาลัย ตาก กำแพงเพชรและที่อื่นๆ นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาคัมภีร์ต่างๆ อันเป็นข้อมูลแห่งการปฏิบัติกรรมฐาน จนชำนาญแล้วก็ได้เขียนแต่งคัมภีร์ธรรมสำหรับปฏิบัติกรรมฐาน


    ศาสนกิจ
    นอกจากการกำจัดขัดเกลากิเลสให้ออกไปจากจิตใจ เพื่อบรรลุถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแล้ว หลวงปู่เทพโลกอุดร ยังเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ตามป่าแถวเชียงใหม่ ลำพูน ปฏิบัติศาสนกิจและสั่งสอนลูกศิษย์ ให้ตั้งอยู่ในศีลธรรม มีอนุสติ 10 เป็นต้น




    คำขออธิษฐานจากหลวงปู่เทพโลกอุดร

    เกิดมาเป็นคนนั้น มีแต่ความทุกข์ และได้เห็นคนได้รับความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมาก เกิดมาในภพใดชาติใดก็ขอให้เกิดมาเป็นหมอ เพื่อรักษาคนเอาบุญเอากุศลก่อน ก่อนที่จะได้ไปเกิดเป็นพระภิกษุตามวัฏสงสาร

    อิทธิบาท 4
    อิทธิบาท คือคุณเครื่องสำเร็จสมประสงค์ มี 4 คือ
    1.ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
    2.วิริยะ ความพยายามธรรมในสิ่งนั้น
    3.จิตตะ ความเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
    4.วิมังสา ความพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุในสิ่งนั้น

    ผู้เจริญอิทธิบาท
    ตามข้อความในพุทธประวัติว่า " ผู้เจริญอิทธิบาท 4 ประการ จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นอายุกัป* "

    สิ่งที่จะปรากฏขึ้น
    แท้จริง ความมีเหตุมีผลความเป็นจริงก็จะปรากฏขึ้นมาในโอกาสข้างหน้าแน่นอน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมแล้วที่ว่าเวลาอันเหมาะสมนั้น หมายถึง เมื่อชาวพุทธบริษัทอันมีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา มีการปฏิบัติดีปฏิบัติตรงตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งมีความเชื่อมั่นต่อพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้นแล้ว เวลานั้นแหละหลวงปู่เทพโลกอุดรก็จะปรากฏออกมาให้เราชาวพุทธได้เห็นและสัมผัส ด้วยจักษุทันที แล้วท่านก็จะทราบเองว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นเทวดา พรหม หรือเป็นมนุษย์ที่มีกายเป็นเหมือนกับเรา เพียงแต่ได้เจริญอิทธิบาท 4 ประการตามที่กล่าวแล้ว ขอให้ทุกท่านหมั่นเจริญอิทธิบาท 4 ให้ถึงจุดหมายเถิด

    พบได้ที่ใจตนเอง
    ผู้ที่ศรัทธาในหลวงปู่เทพโลกอุดร มีความปรารถนาจะได้พบ ก็นมัสการองค์ท่าน ด้วยการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่าน อย่าได้ไปไขว่คว้าจากผู้อื่น แต่จงไขว่คว้าเอาที่จิตใจของตนเองจึงจะสมปรารถนา

    สมเจตนารมณ์
    จากการค้นคว้าเรื่องราวของหลวงปู่ ทำให้แน่ใจว่าการปฏิบัติตามหลวงปู่ ทำให้ศีลบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ จึงจะได้พบเห็นท่าน หากใครมีศรัทธาแท้จริง ก็ต้องปฏิบัติจริงจึงจะสมเจตนารมณ์


    วิธีการนั่งกรรมฐาน
    วิธีปฏิบัติกรรมฐานนั้น โดยนั่งตัวตรง ดำรงสติให้มั่นคง สตินั้นให้กำหนดอยู่ที่ฐานใดฐานหนึ่ง เช่น ที่ปลายจมูกที่ลมเข้าออกหรือที่หน้าผาก ระหว่างคิ้วก็ได้ คำบริกรรมนั้น ท่านให้เลือกเอาตามสะดวก เช่น พุทโธ ท่านให้ใช้ปลายลิ้นกดเพดานเบาๆ เพื่อให้เสียงว่า พุทโธ เป็นการนึกอยู่แต่ในใจ หรือจะใช้กำหนดลมเข้าออกก็ได้ คือให้รู้ว่าเข้า และรู้ว่าออกเท่านั้น ไม่ต้องส่งจิตตามว่าเข้าถึงไหนออกถึงไหน กำหนออยู่แค่เข้าและออกเท่านั้น เมื่อมีสติรู้อยู่ว่า จิตเป็นหนึ่งเดียว คือเป็นเอกัคคาตาแล้ว

    หรือ เข้าสู่อุเบกขาว่างวางเฉยไม่มีอารมณ์กิเลสวิ่งเข้าวิ่งออกแล้ว ก็ให้ใช้สติมองดูต่อไป เมื่อเห็นว่างจริงแล้วอธิษฐานจิตถึงหลวงปู่เทพฯ ก็ได้ถ้าวาระจิตได้จังหวะพอดี ก็จะเห็นได้ แต่การปฏิบัติจริงต้องใช้เวลาพากเพียรพยายามมากพอสมควร แท้จริง ความมุ่งหมายของการทำสมาธินั้น ก็เพื่อทำจิตใจเป็นอิสระมีความว่างเป็นกลางอยู่ให้ได้เท่านั้น ท่านไม่ให้อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากเห็นส่งนั้นสิ่งนี้ เช่น เห็นนิมิตต่างๆ เพราะความอยากจะไม่ทำให้เราสมความปรารถนา ต้องใช้จิตเป็นกลาง ว่างไม่เห็นอะไรเลย จึงจะเป็นการทำสมาธิที่ถูกต้อง ส่วนปัญญานั้น ก็จะเกิดขึ้นมาเอง เป็นตัวปัญญาที่ได้จากการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานโดยตรงไม่ต้องไปหาจากสิ่งภายนอกมาใส่เข้าไปแทน ดังนั้น การทำวิปัสสนากรรมฐานให้เกิดปัญญาขึ้นนั้น ก็จะเป็นการดีสำหรับผู้ปฏิบัติที่ชี้แนะให้สร้างนิมิต หรืออุปทานขึ้นมาเป็นเครื่องล่อ ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติตรงท่านจึงบอกว่า ปัญญาจะเกิดขึ้นมาเอง


    ปฏิบัติอย่าให้ขาดตอน
    แนวการปฏิบัติของหลวงปู่เทพฯ ท่านมุ่งหมายอย่างนี้ อาศัยศีลบริสุทธิ์เป็นเบื้องต้น แล้วทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วก่อน การอธิษฐานที่จะเห็นหลวงปู่ฯ หรือจะเห็นนิมิตอย่างอื่นก็ตาม เป็นเรื่องตามมาภายหลังข้อสำคัญต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องกันไป


    จิตไม่บริสุทธิ์
    ถ้าจิตยังไม่บริสุทธิ์ ยังไม่ว่างวางเป็นกลางจริงๆแล้ว ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะอธิษฐาน และจะไม่ประสบผลสำเร็จ

    ฝึกให้ชำนาญก่อน
    ท่านที่มีตบะมั่นคงได้นั้น ต้องฝึกฝนให้คล่องแคล่วชำนาญในกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เช่น กสิณ อนุสติ เป็นต้น จึงจะอธิษฐานให้นิมิตเกิดขึ้นได้ตามต้องการ ฉะนั้น การปฏิบัติกรรมฐานจึงต้องค่อยๆทำไปอย่างใจเย็น ที่ละขั้นตอน เพื่อชำระจิตให้สะอาด สว่าง และสงบ

    ตามรอยบาทพระศาสดา
    หลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านได้เร่งบำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเคร่งครัด

    กลับสู่มาตุภูมิ
    เมื่อหลวงปู่มีอายุได้ 80 ปี หลังจากที่ได้ธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ แล้ววัยชราก็เข้ามาเยือนจึงได้กลับไปยังวัดสันป่ายางหลวง เมืองลำพูนตามเดิม

    คงเหลืออยู่แต่คุณธรรม
    ในช่วงนั้น ก็มีสามเณรน้อยอายุ 7 ขวบ ได้เข้ามาปรนนิบัติหลวงปู่ ท่านก็ได้พร่ำสอนธรรมะ โดยให้หมั่นเจริญภาวนามองเห็นภัยในวัฏสงสาร และเมื่อ พ.ศ. 1920 ระหว่างที่หลวงปู่เทพโลกอุดรมีอายุได้ 86 ปี ก็ได้ละอัตภาพวางภาระไว้คงเหลือแต่คุณธรรมเท่านั้น



    คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน หลวงปู่เทพโลกอุดร
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
    http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/007625.htm




    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    ประสบการณ์ลี้ลับ: พระภิกษุลึกลับ
     
  2. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    Animothana Na Ja Khun Lotte
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ประวัติของหลวงปู่เทพโลกอุดร โดยย่อ

    กล่าวย้อนไปถึงอดีตกาลพุทธศักราชผ่านพ้นไป 303 ปี (ตามหลักฐานบันทึกในหนังสือมหาวงศ์พงศาวดารลังกาคำบรรยายของหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์อดีตภัณฑารักษ์เอกกรมศิลปกร )และตามหลักฐานของวัดเพชรพลี (บันทึกอักษรเทวนาครีขุดค้นพบซากศิลาวัดคูบัวตำบลคูบัวจังหวัดราชบุรี)ว่าพระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่เข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิในปีพุทธศักราช 235 ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันถึง 68 ปีพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎกคือการชำระพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งที่ 3ครั้นแล้วจึงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระองค์อรหันต์เป็นประธานคัดเลือกบรรดาพระอรหันต์เถระออกทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆดังนี้ /><O:p></O:p>
    1. พระมัชฌันติกเถระปยังกัสสมิรและคันธารประเทศ (คือประเทศแคชเมียร์และอัฟฆานิสสถานปัจจุบัน)แห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    2. พระมหาเทวะเถระไปยังมหิสมมณฑล (คือแว่นแคว้นทางใต้ลำน้ำโคทาวดีอันเป็นประเทศไมสอหรือไมเซอร์์ในปัจจุบัน)แห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    3. พระรักขิตเถระไปยังวนวาสีประเทศ (คือแว่นแคว้นกะนาราเหนืออันเป็นเขตเมืองบอมเบย์ปัจจุบันแห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    4. พระธรรมรักขิตเถระไปยังปรันตกประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนชายทะเลด้านเหนือเมืองอมเบย์ปัจจุบัน)แห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    5. พระมหาธรรมรักขิตเถระไปยังมหารัฐประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนเหนือของลำน้ำโคทาวารี)แห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    6. พระมหารักขิตเถระไปยังโยนกประเทศ (คือบรรดาหัวเมืองต่างๆที่พวกโยนกได้ครองความเป็นใหญ่ในดินแดน ประเทศเปอร์เซียปัจจุบัน)แห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    7. พระมัชฌิมเถระ ไปยังหิมวันตประเทศ (คือมณฑลซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย มีเนปาลราช เป็นต้น)แห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    8. พระโสณเถระกับพระอุตรเถระไปยังสุวรรณภูมิประเทศ <O:p></O:p>
    เริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ในราชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ.2395 ในขณะที่พระองค์เจ้ายอดหรือพระองค์เจ้ายอดยศ บวรราโชรสราชกุมารประสูติ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 2 ค่ำปีจอสัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 พุทธสกราช 2381ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอนับเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุได้ 14 พรรษาปี 2395 เป็นการปรากฎทั้งคณะพระธรรมฑูตมีดังนี้ <O:p></O:p>
    1. พระอุตรเถระเรียกกันว่าพระครูโลกอุดรหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงพ่อดำเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต)พรหมรังสีเรียกท่านว่า พระโลกอุดร” <O:p></O:p>
    2. พระโสณเถระเรียกกันว่าพระครูโลกอุดรเช่นกัน ฉายานามขรัวตีนโตเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ท่านว่าพระโสอุดร” <O:p></O:p>
    3. พระมูนียะเรียกกันว่าหลวงปู่โพรงโพท่านอิเกสาโร หรือหลวงปู่เดินหน <O:p></O:p>
    4. พระฌานียะเรียกกันว่าหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า <O:p></O:p>
    5. พระภูริยะเรียกกันว่าหลวงปู่หน้าปาน<O:p></O:p>
    ทราบโดยญาณของผมเองว่าพระอิเกสาโรเป็นศิษย์พระโสณเถระส่วนอีกสองท่านจะเป็นศิษย์พระอุตรเถระหรือพระโสณเถระยังไม่แจ้งชัดเพียงอาจารย์ผมบอกว่าท่านฌานียะ ยังมีอาจุแก่กว่าพระอุตรเถระด้วยซ้ำไปหลวงปู่ขรัวขี้เถ้ากับหลวงปู่หน้าปานจะจบกิจเป็นพระอรหันต์หรือยังมิอาจทราบได้เพียงท่านหายไปตอนตอนแรกอาจเป็นเพียงอรหัน (ตามคำวิเคราะห์ศัพท์ในตอนต้น)จึงต้องมาสร้างบารมีเพิ่มในรูปของหลวงหลวงพ่อกบวัดเขาสาริกาอำเภอบ้านหมี่จังหวัดลพบุรีก็คือท่านขรัวขี่เถ้าเผาแหลกมีอะไรท่านเผาหมดเป็นปริศนาธรรมอันหนึ่งว่า “ตูนี่แหละคือขรัวขี้เถ้า”ท่านแปรธาตุแบบสำนักโลกอุดรเป็นกบเลี้ยงลูกศิษย์จึงมีฉายาว่าหลวงพ่อกบกล่าวกันว่าเมื่อท่านมรณะภาพแล้วนำใส่โลงศพได้เกิดหายไปไม่มีร่องรอยก็ท่านตามจริงเสียเมื่อไรที่เห็นนั่นเป็นเพียงกายธรรมเท่านั้นส่วนอีกท่านหนึ่งมาในนามของหลวงพ่อโอภาสีหรือมหาชวนแห่งอาศรมบางมดท่านก็บอกว่ามหาชวนตายไปแล้วท่านเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างเพื่อสร้างบารมีต่อปริศนาธรรมของท่านก็คือมีพระบรมสาทิศของล้นเกล้า ร.5 คนก็ตีความไปต่างๆนาๆว่าท่านนับถือรัชกาลที่ 5 มาเกิดบ้างก็รัชกาลที่ 5 สวรรคตในปีพ.ศ.2453ท่านมหาชวนเกิดก่อนแล้วความจริงก็คือ “ตูนี่แหละพระโลกอุดรองค์ที่ 5” ก็เท่านั้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯน่าจะสร้างบารมีต่อเนื่องมาแต่ปางบรรพ์ ทรงมีธรรมาพิสมัยแต่ครั้งยังเยาว์วัยนอกจากจะทรงสนพระทัยในวิทยาการทางอักษรศาสตร์รัฐศาสตร์การช่างช่างฝีมือยุทธศาสตร์จนถึงวิชาการฟ้อนรำทรงสนพระทัยในวิปัสสนากรรมฐานแต่เยาว์วัยขณะที่พระชนมายุเพียง14พรรษาฝึกฝนจนอินทรียพละฝึกฝนจนอินทรีย์พละแก่กล้าพอควรบรมครูพระเทพโลกอุดร (พระอุตร เถระ)เห็นว่าเจ้าชายท่านนี้เคยเป็นศิษย์ในความอุปการะกันมาจึงมาเข้านิมิตสอนธรรมกรรมฐานโดยต่อเนื่องในสภาพกายทิพย์(มองเห็นได้ด้วยตาใน)จนเห็นว่าบรรลุขั้นทิพยจักศุแล้วจึงปรากฏเป็นกายธรรมมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสามารถใช้ผัสสะจับต้องได้โดยที่ผู้ศึกษาไม่ถึงจะตู่ว่าเป็นองค์จริงแทบร้อยทั้งร้อยนั้นคือความไม่รู้จริงแล้วคิดว่ารู้สำหรับสำหรับเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาอุปราชแห่งพระราชวังหน้าก็มิได้ทราบความจริงเท่าใดนักเพียงแต่กล่าวกันว่าพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศมักจะหายไปคราวหนึ่งๆประมาณ 15–20 วัน คงมีแต่เจ้าจอมมารดาเอมซึ่งเป็นพระชนนีที่ทราบความเป็นไปและในการที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเสด็จทิวงคตด้วยโรควักกะ (ไต) พิการในปีพ.ศ.2428นั้นท่านมิได้ทิวงคตจริงแต่บรมครูพระเทพโลกอุดรหรือหลวงปู่ดำพาไปอยู่ด้วยและเสกใบพลูแทนตัวไว้เรื่องออกจะเหลือเชื่อแต่ก็น่าเชื่อเพราะปรากฏหลักฐานยืนยันจากท่านอาจารย์ชาญณรงค์ศิริสมบัติหรือท่านอภิชิโตภิกขุได้ไปพบท่านวังหน้าที่สำนักโลกอุดรแต่ไม่ใช่ถ้ำวัวแดงอย่างที่เล่าลือกันท่านวังหน้า กับ ท่านอาจารย์แจ้งฌาณ 2 รูปเป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดวิชาให้ท่านอภิชิโตมักเรียกว่าครูฝึกโดยปกติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรจะมิได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้โดยตรงต่อเมื่อเรียนจบขั้นหนึ่งๆแล้วท่านจะต้องทอสอบความรู้และรับรองให้เรียนขั้นสูงต่อไปปัจจุบันท่านวังหน้ายังดำรงชีวิตอยู่ประมาณ 150 ปีเศษ ท่านรู้จักผมดีเรียกผมว่า"โยมประถม"ท่านอภิขิโตได้ให้ช่างวาดภาพท่านวังหน้าด้วยถ่านเครยองมองเห็นครั้งแรกเกิดความสนใจคิดว่าเป็นภาพหลวงปู่ใหญ่เพราะเป็นภาพของบรรพขิตแต่กลับเป็นภาพของท่านวังหน้าส่วนภาพที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงภาพของพระอิเกสาโรหรือหลวงปู่โพรงโพ พระโลกอุดรองค์ที่ 3 เคยมีผู้นำภาพถ่ายขนาดเล็กมาให้ชมท่านเขียนเป็นภาษาขอมว่า "ไตรโลกอุดร" หมายถีงพระโลกอุดรองค์ที่ 3 ผมเคยเรียนถามหลวงปู่ว่าในการอธิษฐานจิตพระพิมพ์โลกอุดรกรุแรกซึ่งบรรจุในเจดีย์วัดบวรสถานสุธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้าหลวงปู่ได้มาในสภาพของกายทิพย์ หรือกายธรรมท่านตอบว่าท่านอยู่ในรูปแห่งกายธรรมถามท่านว่าปัจจุบันเหตุใดท่านไม่เสด็จมาในรูปกายธรรมอีกท่านหัวเราะตอบว่าคนเราในสมัยปัจจุบันไม่เหมือนกับคนในสมัยก่อน<O:p></O:p>


    คำบูชาหลวงปู่เทพโลกอุดร


    จะเป็นภาพถ่ายหรือรูปหล่อของหลวงปู่ท่านหรือพระพิมพ์ที่หลวงปู่ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ย่อมใช้ได้ทั้งสิ้นหลวงปู่ท่านโปรดผู้ประพฤติอยู่ในศีลธรรมชอบอาหารมังสะวิรัติชอบฟังคำสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ชอบบูชาด้วยดอกมะลิสด น้ำฝน 1 แก้วเทียนหนักหนึ่งบาท 1 คู่ ธูปหอม 5 ดอก (คณะพระโลกอุดรมีด้วยกัน 5 พระองค์) การปฏิบัติธรรมสังวรณ์ในกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ประกอบด้วยศีล 5 เป็นอย่างน้อยย่อมเป็นสิ่งพึงพอใจของหลวงปู่และทั้งยังให้ความสุชความเจริญทั้งคดีโลกและคดีธรรมแก่ผู้ปฏิบัติ<O:p></O:p>

    <O:p></O:p>

    วิธีอาราธนาพระพิมพ์<O:p></O:p>

    โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา<O:p></O:p>



    <O:p></O:p>
    เป็นคาถาสำหรับอาราธนาพระพิมพ์ทุกพิมพ์ทรง<O:p></O:p>

    <O:p></O:p>
    สำหรับพิมพ์อรหันต์ พิมพ์ปิดตาและพิมพ์มหากัจจายนะซึ่งเป็นองค์เดียวกันแต่ปางต่างกันหากจะอารธนาอย่างพิศดารก็ย่อมกระทำได้กล่าวคือพิมพ์อรหันต์ใหญ่ พิมพ์อรหันต์กลางและพิมพ์อรหันต์น้อยอยู่ในหมวดพระมหากัจจายนะรูปงามซึ่งเป็นรูปเดิมก่อนการอธิษฐานวรกายให้ต่อท้ายด้วยคาถาดังนี้<O:p></O:p>
    พิมพ์อรหันต์<O:p></O:p>
    อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ รูปะวะระเชยยะสิทธิเม<O:p></O:p>
    (เชยยะ อ่านว่า ไชยะ ; รูปะวะระ แปลว่า รูปงาม)<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    *** โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ รูปะวะระเชยยะสิทธิเม ***<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    สำหรับสำหรับพิมพ์พระปิดตาซึ่งเป็นปางอธิษฐานวรกายให้สวดพระคาถา โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา แล้วต่อท้ายด้วยพระคาถาต่อไปนี้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    พิมพ์พระภควัมปติ(ปิดตา)<O:p></O:p>
    ควัมปติ จะ มหาเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    *** โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา ควัมปติ จะ มหาเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม ***<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    <O:p></O:p>
    สำหรับพิมพ์พุงพลุ้ยที่นิยมเรียกกันว่าพระสังกัจจายน์ คำนี้ไม่มีศัพท์นี้ในภาษาบาลี ที่ถูกต้องคือ พระมหากัจจายนะ เถระเจ้าอัน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เป็นปางหลังจากที่นิมิตวรกายแล้วให้สวดพระคาถา โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา แล้วต่อท้ายด้วย พระคาถาต่อไปนี้<O:p></O:p>

    <O:p></O:p>
    อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ***โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม ***<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    จะเห็นว่าตัดเอาคำว่ารูปะวะระออกไปเพราะสิ้นความงดงามแล้วพระพิมพ์ของคณะพระเทพโลกอุดรนั้นทุกรูปแบบทุกพิมพ์ทรงมีอานุภาพครอบจักรวาล อาราธนาทำน้ำมนต์ประสิทธิ์ยิ่งนักโดยให้นำเอาพระแช่ในภาชนะที่บรรจุน้ำเรียบร้อยแล้ว บูชาด้วยดอกไม้ จุดธูปเทียน แล้วอธิษฐานตามความมุ่งหมายเสร็จแล้วให้รีบนำพระขึ้นเช็ดน้ำด้วยสำลีหรือผ้าสะอาดผึ่งลมให้แห้งก่อนนำไปบรรจุตลับองค์พระจะไม่ละลายลบเลือนและไม่ควรแช่ในน้ำนานเกินควรจงทะนุถนอมให้จงดี เพราะหาไม่ได้อีกแล้ว<O:p></O:p>

    <O:p></O:p>
    สำหรับท่านที่มีพระอันเป็นทิพยสมบัติอันทรงคุณค่าโดยได้รับสืบทอดมาจากบรรพชนหรือได้รับจากทางใดทางหนึ่งก็ตาม เสมือนมีแก้วสารพัดนึกอยู่กับตัวไม่จำเป็นต้องขวนขวายในอิทธิวัตถุอื่นอีก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    หมายเหตุ : บทความที่นำมาเสนอนี้ได้รับการอนุญาตในการคัดลอกและเรียบเรียงเพื่อเผยแพรเป็นวิทยาทานจากท่าน อาจารย์ ประถม อาจสาครเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับเป็นพระคุณและความกรุณาอย่างยิ่ง
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร

    กล่าวย้อนไปถึงอดีตกาลพุทธศักราชผ่านพ้นไป 303 ปี (ตามหลักฐานบันทึกในหนังสือมหาวงศ์พงศาวดารลังกาคำบรรยายของหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์อดีตภัณฑารักษ์เอกกรมศิลปกร )และตามหลักฐานของวัดเพชรพลี (บันทึกอักษรเทวนาครีขุดค้นพบซากศิลาวัดคูบัวตำบลคูบัวจังหวัดราชบุรี)ว่าพระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่เข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิในปีพุทธศักราช 235 ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันถึง 68 ปีพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎกคือการชำระพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งที่ 3ครั้นแล้วจึงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระองค์อรหันต์เป็นประธานคัดเลือกบรรดาพระอรหันต์เถระออกทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆดังนี้ /><O:p></O:p>
    1. พระมัชฌันติกเถระปยังกัสสมิรและคันธารประเทศ (คือประเทศแคชเมียร์และอัฟฆานิสสถานปัจจุบัน)แห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    2. พระมหาเทวะเถระไปยังมหิสมมณฑล (คือแว่นแคว้นทางใต้ลำน้ำโคทาวดีอันเป็นประเทศไมสอหรือไมเซอร์์ในปัจจุบัน)แห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    3. พระรักขิตเถระไปยังวนวาสีประเทศ (คือแว่นแคว้นกะนาราเหนืออันเป็นเขตเมืองบอมเบย์ปัจจุบันแห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    4. พระธรรมรักขิตเถระไปยังปรันตกประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนชายทะเลด้านเหนือเมืองอมเบย์ปัจจุบัน)แห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    5. พระมหาธรรมรักขิตเถระไปยังมหารัฐประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนเหนือของลำน้ำโคทาวารี)แห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    6. พระมหารักขิตเถระไปยังโยนกประเทศ (คือบรรดาหัวเมืองต่างๆที่พวกโยนกได้ครองความเป็นใหญ่ในดินแดน ประเทศเปอร์เซียปัจจุบัน)แห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    7. พระมัชฌิมเถระ ไปยังหิมวันตประเทศ (คือมณฑลซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย มีเนปาลราช เป็นต้น)แห่งหนึ่ง <O:p></O:p>
    8. พระโสณเถระกับพระอุตรเถระไปยังสุวรรณภูมิประเทศ <O:p></O:p>
    เริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ในราชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ.2395 ในขณะที่พระองค์เจ้ายอดหรือพระองค์เจ้ายอดยศ บวรราโชรสราชกุมารประสูติ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 2 ค่ำปีจอสัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 พุทธสกราช 2381ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอนับเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุได้ 14 พรรษาปี 2395 เป็นการปรากฎทั้งคณะพระธรรมฑูตมีดังนี้ <O:p></O:p>
    1. พระอุตรเถระเรียกกันว่าพระครูโลกอุดรหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงพ่อดำเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต)พรหมรังสีเรียกท่านว่า
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    รูปขาวดำ ที่เป็นสามเณรนั่งแล้วคอเอียง นั่นเป็นรูปของสามเณรคำต้น
    เดิมผมได้รูปนี้จากการที่ลูกค้าของธนาคาร ได้นำรูปมาให้กับเพื่อนพนักงาน ผมเอง ผมก็รู้สึกอยากได้ ผมได้นำกล้องถ่ายรูป จะนำไปถ่ายก๊อปปี้ไว้ แต่เนื่องจากวันนั้น ครึ้มฟ้าครึ้มฝนมาก ผมจึงได้ออกไปหลังธนาคาร ยกมือขึ้นแล้วก็อธิษฐานว่า ถ้าหลวงปู่เทพโลกอุดร มีตัวตนจริงแล้ว ขอให้ฟ้าเปิด ผมจะขอถ่ายรูปท่าน พออธิษฐานเสร็จแล้ว ปรากฎว่าท้องฟ้ามีแดดแรง ผมจึงได้ขึ้นไปถ่ายรูปท่านบนดาดฟ้าของธนาคาร พอผมถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อย ผมเดินลงมาด้านล่าง ปรากฎว่าฝนได้ตกลงมาอย่างมาก ผมจึงได้นับถือหลวงปู่ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่ต่อมาเมื่อผมได้รู้จักกับอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านเป็นผู้ที่ให้ความรู้ที่เกี่ยวกับหลวงปู่อย่างมาก ซึ่งท่านอาจารย์ประถม ได้บอกกับผมว่า พระคำต้นนี้ ปัจจุบันนี้อยู่ในนรกอเวจี เนื่องจากชอบล่วงเกินทางเพศเด็กชาย ครับ ไม่ใช่หลวงปู่เทพโลกอุดร
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    บุคลิกภาพและจริตแห่งพระโลกอุดร<O:p</O:p

    พระโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์ท่านไม่ใช่คนไทยเป็นชาวเนปาลแต่ละองค์มีจริตและบุคลิกภาพแตกต่างกันผู้ที่อวดรู้เห็นยากที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นพระโลกอุดรองค์ไหนดีไม่ดีไปพบหลวงปู่แจ้งฌานว่าที่พระโลกอุดรเข้าก็อาจเป็นได้หลวงปู่ท่านนี้ได้อภิญญาโลกีย์และเป็นพระสำเร็จชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่งนอกจากท่านอภิชิโตภิกขุแล้วยากที่ผู้อื่นจะดูออกท่านอภิชิโตมักจะสัพยอกครูฝึกว่า
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    พระประวัติกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (โดยย่อ)<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    ครั้นเมื่อมีการผลัดแผ่นดินใหม่ ในปีพ.ศ. 2411อันเป็นปีแรกแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญขึ้นดำรงตำแหน่งมหาอุปราชวังหน้าทรงพระนามว่า "กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญสถานมงคล"
    กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญสถานมงคลทรงเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระมหาอุปราชในรัชกาลที่ 4มีพรสวรรค์ในด้านศิลปศาสตร์วิทยาการแทบทุกแขนงสาขาคือวิชา รัฐศาสตร์ วิชาการทหารแบบยุโรป การช่างและการฝีมือ หลักการบริหารราชการแผ่นดิน วิชาพุทธศาสตร์ ทรงเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากรรมฐานมาแต่ครั้งเยาว์วัย ทั้งเจนจบในพิชัยสงครามประกอบด้วย ไสยเวทย์มนตรา ท่านได้เริ่มสร้างพระโลกอุดรบรรจุในพระเจดีย์วังหน้ารุ่นแรกประมาณปี พ.ศ.2400 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ครั้งเมื่อทรงดำรงราชอิสริยยศ
    เป็นพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯ โดยได้อาราธนาองค์ปรมาจารย์อรหันต์อธิษฐานฤทธิ์ให้เสร็จสรรพ เรียกกันว่า

    <O:p></O:p>

    "สมเด็จพระโลกอุดร" หรือพระพิมพ์วังหน้าทรงแกะแม่แบบโดยฝีพระหัตถ์ 2 พิมพ์ และรุ่นต่อมาเป็นฝีพระหัตถ์ล้วนๆเพื่อสร้างแจกในงานพระศพของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนอกนั้นสร้างเมื่อสมัยเป็นวังหน้าแล้วอีกหลายรุ่นนอกนั้นสร้างเมื่อสมัยเป็นวังหน้าแล้วอีกหลายรุ่น<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ในปีพ.ศ. 2411 ท่านเจ้าคุณกรมท่าได้สั่งให้ช่างทำการต่อสำเภาหลวงขึ้นหลายลำ เพื่อทำการค้าระหว่างประเทศเช่น บังคลาเทศ ศรีลังกา หมู่เกาะสุมาตรา ตลอดจนแหลมมลายูและประเทศจีน เพื่อเป็นการรักษาดุลย์การค้าส่วน กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ได้ดำริให้สร้างเตาเผาอบเครื่องเบญจรงค์ซึ่งถือเป็นเตาแห่งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ภายในบริเวณพระราชวังหน้าเป็นเตาเผาส่วนพระองค์สาเหตุสำคัญก็คือได้มีการคลั่งเครื่องเบญจรงค์เมื่อต้นรัชกาลที่ 4 และขาดตอนไปในปลายรัชกาลโดยเริ่มหันไปนิยมเครื่องกังใสลายครามเป็นส่วนใหญ่เพราะประเทศทางยุโรป กำลังนิยมมากและมีการสั่งซื้อเครื่องกังใสลายครามจากประเทศจีนเป็นสาเหตุให้กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ จำ
    เป็นต้องสร้างเตาเผาอบเครื่องเบญจรงค์ขึ้นมา ซึ่งในการนี้ได้มีการร่วมมือประสานงานจากกับท่านเจ้าคุณกรมท่า ในการสั่งหุ่นถ้วยชามจากทางประเทศจีนที่ไปทำการค้าขายอยู่และการทำเครื่องเบญจรงค์นี้เองที่ต่อมาได้มีบทบาทในการก่อให้เกิดพระสมเด็จปัญจสิริและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าขึ้นมา<O:p></O:p>

    <O:p> </O:p>
     
  8. phuang

    phuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,033
    ค่าพลัง:
    +10,043
    หลวงปู่เทพโลกอุดร
    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. phuang

    phuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,033
    ค่าพลัง:
    +10,043
    <TABLE style="BORDER-TOP-STYLE: dotted; BORDER-RIGHT-STYLE: dotted; BORDER-LEFT-STYLE: dotted; BORDER-BOTTOM-STYLE: dotted" borderColor=#ff0000 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=650 border=0><TBODY><TR><TD>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="90%" bgColor=#800000 border=0><TBODY><TR><TD><BASEFONT>
    บรมครูพระเทพโลกอุดร <CENTER></CENTER>​
    </BASEFONT></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TR><TD>[​IMG]
    ตามหลักฐานบันทึกในหนังสือมหาวงค์ พงศาวดารลังกา (คำบรรยายของหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ อดีตภัณฑารักษ์เอก กรมศิลปากร ) พ.ศ. ๓๐๓ และตามหลักฐานของวัดเพชรพลี (วัดพริบพรีเดิม บันทึกอักษรเทวนาคี ขุดค้นพบ ณ ซากศิลาวัดบัวคูบัว ต.คูบัว จ.ราชบุรี ) กล่าวว่า พระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่เข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิ ใน พ.ศ. ๒๓๕ ( ซึ่งระยะต่างกัน ๖๘ ปี พ.ศ. ๓๐๓-๒๓๕ ) พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎก คือ ทำการชำระพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งที่ ๓ ครั้รแล้วจึงอาราธนาพระโมคคลีบุตรติสสเถระ องค์อรหันต์เป็นประธานคัดเลือกบรรดาพระอรหันตเถระ ออกทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนายังนานาประเทศ โดยแบ่งเป็น ๙ คณะ คณะที่ ๘ ไปยังสุวรรณภูมิประเทศ ( พม่า มอญ เขมร ลาว รามัญ ญวน ไปจรดแหลมมลายู หรือที่เรียกว่าอินโดจีน เป็นสุวรรณภูมิทั้งสิ้น )
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]คณะธรรมฑูตคณะที่ ๘ ประกอบด้วย [/COLOR]</CENTER>
    ๑. พระโสณเถระ
    ๒. พระอุตระเถระ
    ๓. พระฌานียะ
    ๔. พระภูริยะ
    ๕. พระมูนียะ
    สามเณรอิสิจน์ สามเณรคุณะ สามเณรนิตตย เขมกะอุบาสก อนีฆาอุบาสก อดุลลยอำมาตย์ และคุณหญิงอดุลยา พราหมณ์และนางพราหมณี ผู้คนอีก ๓๘ คน ได้มาพักที่วัดช้างค่อม ( นครศรีธรรมราช ) เมื่อวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย พ.ศ. ๒๓๕ ออกบิณฑบาตวันขึ้น ๑๕ ค่ำ แล้วเทศนาพรหมชาลสูตร และได้วางวิธีอุปสมบทญัตติจถกรรมวาจา โดยใช้อุทกเขปเสมาหรือเสมาน้ำและได้วางเพศชีสยาม โดยถือแบบเหล่าพระสากิยานีซึ่งเป็นต้นของพระภิกษณี โดยบวชหรือบรรพชาไม่มีเรือน ( อาคารสมา อนคาริย ปพพชชา ) ได้วางวิธีสวดปาติโมกข์ หรืออุโบสถกรรม ปวารณากรรม
    เมื่อพระเจ้าโลกละว้า (เจ้าผู้ครองแคว้น สุวรรณภูมิ ) รับสั่งให้มนขอมพิสณุขอมเฉย ขอมสอน ขอมเมือง สร้างวัดมหาธาตุ ท่านได้วางวิธีกำหนดนิมิตผูกขันธสีมา พ.ศ. ๒๓๘ เดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ
    ขณะอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ท่านได้สอนพระบวชใหม่ให้ท่องพระไตรปิฎกจบหลายองค์ แล้วจึงวางจึงวิธีสวด สาธยายโดยฝึกซ้อมให้คล่อง เมื่อคล่องแล้วจึงจะสัชฌากันจริง ๆ ท่านให้มนขอมปั้นพระพุทธรูปด้วยปูนขาวเป็นพระประธานในโรงพิธี เมื่อเรียบร้อยแล้วท่านวางวิธีกราบ สวดมนต์ ไหว้พระ เห็นดีแล้วจึงให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระอุโบสถ จึงเป็นธรรมเนียมสืบต่อมาท่านได้วางวิธีกฐิน และธุดงค์ คือเที่ยวจารึกไปในเมืองต่าง ๆ
    การสร้างพระพุทธรูปในสมัยดังกล่าวนี้ก็ล้วนเป็นสิ่งสมมติ พระพุทธรูปเป็นองค์สมมติ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์ก็เป็นเพียงสมมติสงฆ์ สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านใช้วงล้อเกวียนประดิษฐ์เป็นพระธรรมจักรแทนพระธรรม กับทีทิค ( มิ-คะ) คือสัตว์ประเภทกวาง ฟาน หรือเก้ง เป็นเครื่องหมายในสมัยสุวรรณภูมิ
    ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๙ พระโสณเถระกับพระเจ้าโลกละว้าราชา ได้ส่งพระภิกษุสยาม ๑๐ รูป มีพระญาณจรณะ (ทองดี) เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยสามเณร ๓ รูปอุบาสก อุบาสิกา ได้เรียนและศึกษา ณ กรุงปาตลีบุตร แคว้นมคธ นับเป็นเวลา ๕ ปี ลุปี พ.ศ. ๒๔๕ พระเจ้าโลกละว้าสิ้นพระชนม์ ตะวันทับฟ้า ราชบุตรขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า ตะวันอธิราชเจ้า พระโสณเถระอยู่ ณ แดนสุวรรณภูมิวางรากฐานพระธรรมวินัยในพระบวรพระพุทธศาสนา เป็นระยะเวลา ๒๙ ปี และนิพพานในปี พ.ศ. ๒๖๔
    ตามหลักฐานบันทึกนี้จะเห็นได้ว่า กล่าวเพียงพระโสณเถระ ไม่ได้กล่าวถึงพระอุตรเถระ เป็นปัญหาว่า บรมครูพระเทพโลกอุดรเป็นองค์ใดกันแน่ เพราะในสมัยปัจจุบันกล่าวถึงบรมครูพระเทพโลกอุดร ไม่มีใครรู้จักพระอุตรเถระ
    เรื่องราวเกี่ยวกับบรมครูพระเทพโลกอุดรมีมาช้านานแล้ว เริ่มตั้งแต่ยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุทยา และรัตนโกสินทร์ หลักฐานที่ปรากฏชัดเจนแต่ขาดการค้นคว้าอย่างจริงจัง รู้อยู่ในหมู่คนกลุ่มน้อย รู้ทางเจโตปริญาณบ้าง เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง ) และหลวงปู่คำคะนิง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า “ บรมครูพระเทพโลกอุดร คือพระอุตรเถระ” ผู้ที่เคยได้พบท่านได้ถามท่านว่า “ บรมครูพระเทพโลกอุดรท่านคือพระอุตรเถระใช่ไหม” ท่านไม่ปฎิเสธ
    ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ท่านมีอายุ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้วท่านอยู่ได้อย่างไรกัน จึงมีความเชื่อแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าท่านนิพพานไปนานแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าท่านยังไม่นิพพาน เพราะยังมีผู้พบเห็นท่านอยู่เสมอแม้กระทั่งทุกวันนี้
    บรมครูพระเทพโลกอุดร เป็นพระภิกษุลี้ลับ เร้นลับ และมหัศจรรย์อเนกประการ ลี้ลับ เร้นลับไปหมดทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่ชื่อของท่าน ที่อยู่อาศัยของท่าน และที่มาที่ไปของท่าน และที่มหัศจรรย์ก็คือ เรื่องราวของท่านทั้งหมด
    บรมครูพระเทพโลกอุดรคือใคร เป็นคำถามที่หาคำตอบที่สมบูรณ์ยังไม่ได้ เพราะ
    ท่านจะสอนลูกศิษย์เสมอว่า อดีต เป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ต้องนำมาคิด อนาคต เป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ไม่ควรไปสนใจให้เสียเวลา ปัจจุบัน สำคัญที่สุดให้เร่งศึกษา เริ่งปฎิบัติ
    เมื่อถามถึงชื่อท่าน ท่านก็จะไม่ตอบ แต่จะบอกว่าอย่ามัวไปเสียเวลากับชื่อ ให้เร่งปฎิบัติ เป็นการตอกย้ำว่า ช่วงเวลาของชีวิตนี้น้อยนักไม่เพียงพอแก่การปฎิบัติอยู่แล้วอย่ามัวไปเสียเวลากับการไม่ปฎิบัติอยู่เลย
    ชื่อที่เรียกท่านอยู่ทุกวันนี้ จึงเป็นชื่อสมมุติที่ท่านวังหน้า หรือสมเด็จวังหน้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) พระอนุชาในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ รัชการที่ ๑ แห่งปฐมบรมจักรรีวงศ์ เป็นผู้เรียกท่าน
    บางท่านบอกว่า บรมครูพระเทพโลกอุดรคือพระมหาโพธิศรีอุดม ซึ่งชื่อนี้พระมหากัสสปะ เป็นผู้ตั้งให้ บิดาท่านเป็นชาวเนปาล มารดาท่านเป็นชาวทิเบต
    บางท่านบอกว่า ท่านคือ ครูบาบุญทา จันทวังโส เกิดเมื่อเดือน ๗ เหนือปี พ.ศ. ๑๘๓๔ บิดาชื่อ คำฝั้น เป็นคนศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย มารดาชื่อ คำขยาย เป็นคนจังหวัดลำพูน มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๒๐ อายุ ๘๖ ปี อัฐิของท่านเก็บไว้ที่พระธาตุ (เจดีย์) วัดสันป่ายางหลวง อ. เมือง จ. ลำพูน
    บางท่านบอกว่าท่านคือ หลวงปู่คำแพง คำภาวนาถึงท่านใช้คำว่า “ โอทาตัง”
    ทางท่านบอกว่าท่านคือ หลวงปู่เดินหน คำภาวนาถึงท่านใช้คำว่า “อิเกสาโร อกาวิติ นโมพุทธายะ” เป็นคน อ. เดิมบางนางบวช จ. สุพรรณบุรี บิดาเป็นคนจีน มารดาเป็นคนไทย ท่านได้มรณภาพไปแล้ว เมื่อ ๖๐ กว่าปีก่อน สังขารของท่านอยู่ที่ถ่ำละว้า จ. กาญจนบุรี ในท่านั่งสมาธิ
    ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าท่านได้มรณภาพไปแล้ว เพราะไม่เชื่อว่าพระจะมีอายุยืนยาวหลายร้อยปี
    แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุดยอดแห่งพระภิกษุในโลกนี้ยังมรณภาพ
    เคยมีลูกศิษย์ของท่านถามท่านว่า ท่านอายุเท่าไรแล้ว ท่านได้กรุณาบอกลูกศิษย์ว่า ไม่ได้จำ จำได้แต่ว่า เมื่อตอนสร้างประปรางค์ลพบุรีนั้น ท่านได้มายืนดูเขาสร้างอยู่ ประกอบกับเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงมีผู้เชื่อว่าท่านมรณภาพแล้ว มีการเชิญดวงวิญญาณท่านประทับทรง ซึ่งมีหลายสำนักทรงอยู่ มีทั้งทรงจริง ทรงไม่จริง เป็นเรื่องของศรัทธา ท่านผู้อ่านต้องพิสูจน์เอาเอง เห็นจริงแล้วจึงค่อยเชื่อ อันเป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]กาลามสูตรของ
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมครู
    [/COLOR]
    </CENTER>
    ๑. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตาม ๆ กันมา
    ๒. อย่าปลงเชื่อ ด้วยการถือสืบ ๆ กันมา
    ๓. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
    ๔. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
    ๕. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
    ๖. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
    ๗. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
    ๘. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว
    ๙. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
    ๑๐. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
    พิสูจน์ให้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วจึงเชื่อ
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]โอวาทหลวงปู่เทพโลกอุดร [/COLOR]</CENTER>
    การปฎิบัติธรรมทางด้านจิต จงเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของจิตทุกลมหายใจเข้าออกและทุกอิริยบท เว้นเสียแต่หลับ เมื่อรู้ทันจิตแล้ว ต้องรู้จักรักษาจิต คุ้มครองจิต จงดูจิตเคลื่อไหวเหมือนเราดูลิเกหรือละคร เราอย่าเข้าไปเล่นลิเกหรือละครด้วย เราเป็นเพียงผู้นั่งดู อย่าหวั่นไหวไปตามจิต จงดูจิตพฤติการณ์ของจิตเฉย ๆ ด้วยอุเบกขา จิตไม่มีตัวตน แต่สามารถกลิ้งกลอกล้อหรือยั่วเย้าให้เราหวั่นไหวดีใจและเสียใจได้ ฉะนั้นต้องนึกเสมอว่าจิตไม่มีตัวตน อย่ากลัวตจิต อย่ากลัวอารมณ์ เราหรือสติสัมปชัญญะต้องเก่งกว่าจิต
    ความนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ เป็นอาการของจิต ไม่ใช่ตัวจิต แต่เราเข้าใจว่าเป็นตัวจิตธรรมชาติคือผู้รู้อารมณ์ คิดปรุงแต่งแยกแยะไปตามเรื่องของมัน แต่แล้วมันต้องดับไปเข้าหลักเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนทนได้ยากเป็นทุกข์ และสลายไปไม่ใช่ตัวตน มันจะเกิดดับ ๆ อยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเรารู้ความจริงของจิตเช่นนี้ เราก็จะสงบไม่วุ่นวาย เราในที่นี้หมายถึงสติปัญญา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรม (สิ่งทั้งปวง ) เป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน
    นิมิตที่เกิดขึ้นขณะนั่งสมาธิมีอยู่ ๒ ประการ คือ ๑ . เกิดขึ้นเพราะเทพบันดาล คือเทวดาหรือพรหมแสดงภาพนิมิตและเสียงให้รู้เห็น ๒. นิมิตเกิดขึ้นเพราะอำนาจสมาธิเอง
    นิมิตจะเป็นประเภทใดก็ตาม ขอให้ผู้เจริญกรรมฐานจงเป็นผู้ใช้สติปัญญาให้รู้เท่าทันนิมิตที่เกิดขึ้นนั้นด้วยปัญญา อย่าเพิ่งหลงเเชื่อทันทีจะเป็นความงมงาย ให้ปล่อยวางนิมิตนั้นไปเสียอย่าไปสนใจให้เอาจิตทำความจดจ่ออยู่เฉพาะจิต
    เมื่อจิตสงบรวมตัว จิตถอนตัวออกมารับรู้นิมิตนั้นอีก หากปรากฎนิมิตอย่างนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ หลายครั้งแสดงว่านิมิตนั้นเป็นของจริงเชื่อถือได้ แต่อย่างไรก็ตามนิมิตที่มาปรากฏนี้อยู่ในขั้นโลกียสมาธิ นิมิตต่าง ๆ จึงเป็นความจริงน้อย แต่ไม่จริงเสียมาก จงมุ่งหน้าทำจิตให้สงบเป็นอัปนาสมาธิ อย่าสนใจนิมิต หากทำได้อย่างนี้ จิตจะสงบตั้งมั่น เข้าถึงระดับฌานจะเกิดผลคือสมาบัติสูงขึ้นตามลำดับ จิตจะมีพลังอำนาจอันมหาศาล ฤทธิ์เดชจะตามมาเองด้วยอำนาจของฌาน
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]ธรรมะบางข้อของ บรมครูพระเทพโลกอุดร [/COLOR]</CENTER>
    จึงได้ธรรมะของท่าน สรุปย่อ ๆ บางส่วนได้ดังนี้
    ๑. ธรรมะของท่านต้องเกิดจากการปฎิบัติเท่านั้น
    ๒. ต้องมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
    ๓ อยากรู้ธรรมะหรือคำสอนของท่านให้ดูจิตตนเอง
    ๔. ให้รักผู้อื่นเหมือนที่รักตน
    ๕. ให้ทำตัวเหมือนน้ำ
    - น้ำไปได้ทุกสถานที่ อยู่ในน้ำ ในอากาศ ในดิน
    - น้ำอยู่ได้ทุกสภาวะ เป็นไอน้ำ เป็นน้ำ เป็นน้ำแข็ง
    - น้ำให้ความชุ่มชื่น สดชื่น แก้กระหาย น้ำให้ชีวิต และทำลายชีวิต
    - น้ำให้ความความเย็น ให้ความร้อน
    - น้ำมีรูปร่างต่าง ๆ กันตามรูปร่างของภาชนะ
    - น้ำใช้ล้างความสกปรกให้สะอาด ฯลฯ
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]นิพพานนัง ปรมัง สุขัง [/COLOR]</CENTER><CENTER>“ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นิพพานไม่มีทุกข์
    ไปถึงพระนิพพานแล้วไม่มีคำว่าตาย
    ไม่มีคำว่าเคลื่อน ไม่มีคำว่าไปไหน
    อยู่ที่พระนิพพาน เป็นสุข
    ไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย”
    </CENTER>
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]พระคาถาบูชาบรมครูพระเทพโลกอุดร [/COLOR]</CENTER>
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    โย อะริโย มะหาเถโร อะระหัง อะภิญญาธะโร
    ปะฎิสัมภิทัปปัตโต เตวิชโช พุทธะสาวะโก
    พะหู เมตตาทิวาสะโน มะหาเถรานุสาสะโก
    อะมะตัญเญวะ สุชีวะติ อะภินันที คหาวะนัง
    โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อะภิปูชิโต
    อิธะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย
    ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ
    ปะระมะสารีริกะธาตุ วะชิรัญจาปิวานิตัง
    โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโร
    อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ
    สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง วะเรนะ สุภาสิตัง
    โลกุตตะโร จะ มะหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต
    โลกกุตตะระคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
    มะหาเถรา นุภาเวนะ สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม
    (แปล ขอน้อบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง (๓ครั้ง)
    พระมหาเถระผู้เป็นอริยเจ้าองค์ เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา พุทธสาวกผู้ได้วิชชาสาม
    มีเมตตาต่อคนทั้งหลายเป็นวิหารธรรม พระมหาเถระผู้ชำนาญในการสั่งสอน ดำรงชีวิตอมตะ ยินดีในการอยู่ป่าคือถ้ำ
    พระมหาเถระองค์นั้นมีนามว่า โลกอุดร อันพวกเราบูชาอย่างยิ่ง เพราะอาศัยในคุณธรรมในองค์ท่าน ชักชวนพวกเราประกอบกุศลทั้งหลาย
    ท่านให้ความรักพวกเราเหมือนบุตร แสดงมรรคและผลเท่านั้น พระธาตุของท่านส่องประกายดังเพชร
    พระมหาเถระอุบัติขึ้นในโลก และทำประโยชน์โดยส่วนเดียวด้วย นับเป็นบุญลาภของพวกเรา อันหาประมาณมิได้
    พวกเราจักกระทำตามคำสั่งสอนของท่านอันเป็นยอดสุภาษิต อนึ่งพระมหาเถระนามว่าโลกอุดร เป็นที่เคารพบูชาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    ข้าพเจ้าจักกราบไหว้บูชาคุณของพระอุตตระตลอดกาลทุกเมื่อ ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาเถระ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อเทอญ
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]ฉบับย่อ [/COLOR]</CENTER>
    นะโม ๓ จบ
    <CENTER>โลกกุตตะโร จะ มะหาเถโร
    อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
    เมตตาลาโภ นโสมิยะ
    อะหังพุทโธฯ
    </CENTER>
    ภาวนา ๓ จบ ๗ จบ หรือ ๙ จบ เช้า-เย็น ตื่นนอน และก่อนนอน
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]พระคาถาบูชาบรมครูเทพโลกอุดร [/COLOR]</CENTER>
    นะโม ๓ จบ
    อุตะเร อะริโยนามะ วันทิตาเตจะ อัมเหหิ
    สักกาเรหิ จะปูชิตา เอเตสัง อานุภาเวนะ
    สัพพะ โสตถี ภะวันตุโน
    เมตตา ลาโภ นะโส มิยะ อะหะ พุทโธ
    เมตตา ลาโภ นะโส ทะยะ อะหะ พุทโธ
    นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ จะภะลาโภ
    นิโสทะโย อะหะพุทโธ นะโมพุทธายะ
    อิตติถะลาโภ เอกลาโภ ชะโยนิจจัง
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]พระคาถาบูชาบรมครูเทพโลกอุดร [/COLOR]</CENTER>
    (อธิษฐานฤทธิ์) นะโม ๓ จบ
    <CENTER>อะอุมะ พุทโธ นะโมพุทธายะ
    นะมะพะธะ รัตตะนะตะยา นุภาเวนะ
    สะทา โสตถี ภะวันตุเม
    อิทธิ อิทธิ ฤทธิ ฤทธิ สิทธิ สิทธิ
    ชัยยะ ชัยยะ ลาภะ ลาภะ
    อุตระเรนะ
    พุทธะ นิมิตตัง อิติ
    ธัมมะ นิมิตตัง อิติ
    สังฆะ นิมิตตัง อิติ</CENTER>
    (ตั้งจิตอธิษฐานตามความปราถนา)
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]พระคาถาขอพบบรมครูพระเทพโลกอุดร [/COLOR]</CENTER>
    นะโม ๓ จบ
    “ โย อะริโย มะหาเถโร นามะ อุตะโร
    จะอำมะเหหิ ปูชิตา เอเตนะ ชะยะมังคะลัง”
    ท่องวันละ ๓ จบก่อนนอนเป็นเวลา ๑๑ วันติดต่อกัน เมื่อครบแล้ว รุ่งเช้าวันที่ ๑๒ ให้จัดอาหารเจไปรอใส่บาตรที่สถานอันเหมาะสม เช่น หน้าบ้านของตัวเราก็ได้
    ขอเรียนว่าอาจจะไม่พบเห็นทุกคน แต่ให้ทำใหม่ได้อีกใน ๖ เดือนต่อไป หากมีความนับถือ คือศรัทธาจริง ก็คงจะพบในครั้งใดครั้งหนึ่งแน่นอน คาถาบทนี้อย่างน้อย ก็เคยมีคนได้พบบรมครูพระเทพโลกอุดรมาแล้ว ก่อนจะท่องให้จัดเครื่องบูชาเสียก่อน คือ
    ๑. ธูป ๙ ดอก ๒. เทียน ๙ เล่ม ๓. ดอกไม้สีขาว ๙ ดอก ผ้าขาวหรือกระดาษขาวเท่าฝ่ามือ ๙ ผืน / แผ่น ใส่พานหรือถาดไว้ในที่สูงหรือหน้าที่บูชาพระ ( จัดครั้งเดียวต่อพิธี ๑๑ วัน ที่ทำพิธี ๑๑ วัน ที่ทำพิธีแต่ละครั้ง ) จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดร เพราะท่านไม่มาในร่างจริงเสมอไป ก็ขอให้สังเกตที่ข้อเท้า คือเท้ายาวผิดปกติ
    บางคนก็ได้เห็นท่านในรูปตัวจริงก็มี บางคนเห็นเป็นพระหนุ่มรูปงาม งามเหนือมนุษย์ทั่วไป
    ท่านบอกว่า ผู้ใดนับถือศรัทธาท่านจริง และเวลาภาวนาทำใจเหมือนเด็กแรกเกิดได้ ผู้นั้นได้พบกับท่านแน่นอน
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]พระคาถาบางบท
    เกี่ยวกับบรมครูพระเทพโลกอุดม
    [/COLOR]
    </CENTER>
    ยอดพระพุทธคุณสำหรับยุคกึ่งพุทธกาล
    ท่านที่สวดพระคาถานี้ตั้งแต่ต้นจนจบคำอธิษฐานเป็นประจำ จะสามารถดำรงชีวิตผ่านพ้นภัยพิบัติต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้ ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ กราบพระ ๓ ครั้ง
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]บทนี้เรียกว่า อิติปิโสธงชัย [/COLOR]</CENTER>
    นะโม ๓ จบ
    พุทธัง ชีวิตัง ยาวะนิพานัง สะระนัง คัจฉามิ
    อิติปิโส ภะคะวา อะระหังสัมมา สัมพุทโธ วิชชา จะระณะสัมปันโน สุขะโต โลกะวิทู
    อะนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
    ธัมมัง ชีวิตัง ยาวะนิพานัง สะระนัง คัจฉามิ
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก
    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ
    สังฆัง ชีวิตัง ยาวะนิพานัง สะระนัง คัจฉามิ
    สุปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฎิปันโน
    ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ
    อัฏฐะ ปุริสะปุคคลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชลีกะระณีโย
    อนุตตะรัง ปุญญังเขตตัง โลกัสสาติ
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]บทนี้เรียกว่า อิติปิโสเต็ม [/COLOR]</CENTER>
    อิติ ปิโส ภะคะวา อะระหัง
    อิติ ปิโส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ
    อิติ ปิโส ภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน
    อิติ ปิโส ภะคะวา สุขะโต
    อิติ ปิโส ภะคะวา โลกะวิทู
    อิติ ปิโส ภะคะวา อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาริถิ
    อิติ ปิโส ภะคะวา สัตถา เทวะมะนุสสานัง
    อิติ ปิโส ภะคะวา พุทโธ ภะคะวาติ
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]บทนี้เรียกท้าวมหาพรหมทั้งสี่
    พระองค์ชั้นจะตุม
    [/COLOR]
    </CENTER>
    ปรัตถิมัสมิง ทิสาภาเค สันติ ภูตา มะหิทธิกา เตปิ ตมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
    ทักขิณัสมิง ทิสาภาเค สันติ เทวา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
    ปัจฉิมัสมิง ทิสาภาเค สันติ คานา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
    อุตตะรัสมิง ทิสาภาเค สันติ ยักขา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
    ปุริมะทิสัง ธะตะรัฏโฐ ทักขิเถนะ วิรุพหะโก ปัจฉิเมนะ วิรูปักโข กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง
    จัตตาโรเต มะหาราชา โถกะปาถา ยะสัสสิโน
    เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
    อากาสัฏฐา จะ กุมมัฏฐา เทวา นาคา ยักขา มะหิทธิกา
    เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]ตั้งจิตอธิษฐาน [/COLOR]</CENTER>
    ด้วยคุณธรรมอันสูงส่งประเสริฐสุดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เกล้ากระผม/ดิฉันได้กล่าวสรรเสริญสวดอิปิโสธงชัย อิติปิโสเต็ม อัญเชิญท่านท้าวมหาพรหมทั้งสี่ทิศสี่พระองค์ดังที่พระองค์ ดังที่กล่าวสรรเสริฐด้วยจิตอันบริสุทธิ์หมดจดผ่องใสมานี้ เกล้ากระผม/ดิฉันขอนอบน้อมสักการะคาราวะเทอดทูนไว้ด้วยเศียรเกล้าเหนือเกล้าทุกอิริยาบถด้วยเทอญ
    ดังกล่าวสรรเสริฐมานี้ด้วยความนอบน้อมของเกล้ากระผม/ดิฉันในขณะนี้มัน ขอจงโปรดประทานอำนวยพรให้เกล้ากระผม/ดิฉันให้ปราศจากอุปสรรค อันตราย ภัยพิบัติทั้งหลาย โรคาพยาธิทั้งหลาย ภัยจากเหล่าอมนุษย์ อลัชชี คุณไสย มนต์ดำอาถรรพ์ทั้งหลายที่จะบังเกิดขึ้นมาทั้งในปันจุบันและอนาคตข้างหน้าจงอันตรธานสูญหายไปโดยสิ้นเชิงด้วยพลังเดชอำนาจบารมีแห่งคุณธรรม เพื่อจะได้มีชีวิตดำรงอยู่เพื่อจะได้ประกอบภารกิจที่เป็นอยู่ให้เจริญก้าวหน้ายืนยาวนาน เพื่อจะได้บำเพ็ญบุญกุศล เป็นการสนองตอบแทนผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้วให้ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล และเพื่อจะได้บำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามยืนยาวนาน
    ดังที่กล่าวสรรเสริญมานี้นั้นขอจงโปรดประทานอำนวยพร พละกำลังเดช อำนาจบารมีแก่เกล้ากระผม/ดิฉันดังที่ตั้งประณิธานสัจจะอธิษฐานกล่าวสรรเสริญมา ณ บัดนี้ด้วยเทอญ และจะดำรินึกคิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ขอให้ช่วยเกื้อกูลให้สำเร็จ อย่าได้มีขัดข้อง ขอจงมีแต่ความอุดมสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่รู้จักความทุกข์ยากขัดสนทุกภพทุกชาติ
    ขอให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม ลึกซึ้ง คมคาย แก้ไขสถานการณ์ได้ทุกเมื่อดังที่ตั้งปณิธานกล่าวสรรเสริญมานี้ ขอเดชะอานุภาพอันสูงส่งประเสริญสุดโปรดประทานอำนวยพรให้เป็นพละกำลังเดช อำนาจ บารมี เป็นเกราะแก้วทั้งเก้าชั้นคุ้มภัยแก่เกล้ากระผม/ดิฉัน ณ บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ
    และบุญกุศลอีกส่วนหนึ่ง เกล้ากระผม/ดิฉันขอนอบน้อมอธิษฐานนำส่งให้แก่บรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย บิดา มารดา พี่ ป้าน้าอา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกท่าน ทุกยุค ทุกกาล และขออุทิศให้แก่บุรพกษัตราธิราชเจ้าทุก ๆ พระองค์ ตั้งแต่สร้างชาติไทยเป็นต้นมาาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ตลอดถึงพระมเหสีและทายาททุก ๆ พระองค์ และอุทิศ ให้แก่ท่านแม่ทัพนายกองทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่สูงสุดจนต่ำสุดทุกท่าน ทุกชั้น ทุกระดับ ทุกยุคทุกกาล ขออุทิศให้แก่พระสยามเทวาธิราช ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ (พระจันทร์ พระยม พระวรุณ พระกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณ) พระชัยมงคลเจ้ากรุงพาลี พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทางทุกของแห่งในปัจจุบันสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกดวงจิตวิญญาณหากพระองค์ใดท่านใดขาดตกบกพร่องสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ขอให้ผลของกุศลที่เกล้ากระผม/ดิฉัน ได้ตั้งจิตอธิษฐานอุทิศให้นี้ จะเป็นของทิพย์ให้แก่ทุก ๆ พระองค์ ทุก ๆ ท่านให้สมบูรณ์บริบูรณ์ตามที่จิตปรารถนาตลอดทั้งเสื้อผ้าอาหารจงครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์อยู่ทุกเมื่อ และขอได้โปรดประทานพรให้เกล้ากระผม/ดิฉันมีอายุยืนยาวนาน ไม่รู้จักความทุกข์ยากขัดสนเพื่อจะได้ดำรงคงอยู่ เพื่อจะได้ใช้เวลาสร้างบุญ สร้างกุศล มหากุศล และอุทิศถวายเป็นสนองตอบแทนผู้มีพระคุณ และเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามยืนยาวนานสืบไป ไม่ว่าเกล้ากระผม/ดิฉันจะประกอบกิขการงานสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขอจงช่วยเกื้อหนุนอยู่ทุกเมื่อ อย่าให้เหล่าอมนุษย์ อลัชชี คุณไสย มนต์ดำ อาถรรพ์และภัยพิบัติต่าง ๆ มาแผ้วพานเกล้ากระผม/ดิฉันได้เลย และผลของกุศลมหาศาลอีกส่วนหนึ่งจงเป็นกองการกุศล เป็นพื้นฐานบารมีทั้งปัจจุบันและอนาคตให้แก่เกล้ากระผม/ดิฉันจะเกิดภพใดชาติใด จงเป็นปัจจัยนำส่งให้พ้นทุกข์ไปทุกภพทุกชาติ จนถึงพระอนุตตะระสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยเทอญ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. ลูกหลานหลวงปู่

    ลูกหลานหลวงปู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +3,588
    หลวงปู่ใหญ่และคณะ

    กำลังจะจัดส่งภาพนี้ให้คุณ TAMSAK เพื่อมอบให้เป็นที่ระลึกให้กับผู้ร่วมบุญสร้างบันไดนาคราชเจ็ดเศียร ที่วัดถ้ำเขาทะลุ รวมทั้ง พระเครื่องของหลวงปู่ใหญ่ และหลวงปู่โต ด้วย รวม เก้าองค์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC04050.JPG
      DSC04050.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      4,987
    • DSC03785.JPG
      DSC03785.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1,010.9 KB
      เปิดดู:
      908
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2005
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    หลวงปู่เทพโลกอุดร


    กาลามสูตร
    ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมครู
    <O:p</O:p

    1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา <O:p></O:p>
    2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา<O:p></O:p>
    3. อย่าปลงใจเชื่อ ค้วยการเล่าลือ <O:p></O:p>
    4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์<O:p></O:p>
    5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก <O:p></O:p>
    6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน<O:p></O:p>
    7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล <O:p></O:p>
    8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว<O:p></O:p>
    9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ <O:p></O:p>
    10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา<O:p></O:p>
    เรื่องราวเกี่ยวกับพระเทพโลกอุดร มีมาช้านานแล้ว เริ่มต้นในยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุธยา และตนโกสินทร์ หลักฐานที่ปรากฏชัดแต่ขาดการค้นคว้า อย่างจริงจังรู้ในชนกลุ่มน้อยทางเจโตบ้าง เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง) และหลวงปู่คำคะนิง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คณะพระเทพโลกอุดร เคยมาพำนัก ณ ถ้ำดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวไปก็ไม่มีผู้ใดเห็นอย่างท่าน บางท่านที่มีวาสนาก็พบเห็นท่านและยืนยัน ครั้นจะเอาเข้าจริงก็ไม่สามารถพบเห็นท่าน คล้ายคนหนึ่งเคยเห็นผีแต่หลายคนอยากเห็นบ้างก็ไม่เห็น จนเกือบจะเป็นเรื่องอจิณไตย (คือเรื่องที่ไม่ควรนึกคิด) แต่ก็ไม่ใช่นิยายท่านมักอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง สามารถปรากฏได้ในสถานที่ต่าง ๆ ไม่จำกัด ทั้งผู้ที่พบเห็นก็ปราศจากความรู้ว่าเป็นพระเทพโลกอุดรองค์ใดกันแน่ เพราะมีอยู่ด้วยกันถึง 5 พระองค์ และอาจมาในรูปต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน หรือปรากฏรูปเดิม แต่ที่มีวาสนาบารมีสูงส่งก็คือ คุณดอน นนทะศรีวิไล คนลาวไปประกอบอาชีพที่ประเทศแคนาดา ท่านผู้นี้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ถือเอกามังสะวิรัติมานานกว่าสิบปีซึ่งบรมครูพระเทพโลกอุดรโปรดปรานมาก คุณดอนและครอบครัว นับถือบรมครูพระเทพโลกอุดรมาก และเล่าให้ฟังว่าได้พบเห็นบรมครูพระเทพโลกอุดรด้วยตาเนื้อ 2 ครั้ง <O:p></O:p>
    ครั้งแรกหลังจากเสร็จจากการนั่งสมาธิประจำวัน เป็นเวลาทางประเทศแคนาดา 00.02 น. ปรากฏพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน คุณดอนทราบทางจิตว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรแน่ จึงก้มลงกราบและเรียนถามว่า
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    หลวงปู่เทพโลกอุดร ต่อ<O:p</O:p
    <O:p> </O:p>
    เป็นบทความจากหนังสือพุทธสยาม ซึ่งผู้ที่เขียนบทความนี้ ได้เคยไปหาอาจารย์ประถม เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว โดยในตอนแรกๆ ก็ได้สัญญากับอาจารย์ประถมว่า จะไม่นำหลวงปู่ไปหากิน แต่ให้นำไปเผยแพร่เป็นวิทยาทาน แต่สุดท้ายผู้ที่เขียนบทความนี้ ก็ผิดคำสัญญากับอาจารย์ประถม และท่านอาจารย์ประถม ท่านก็เลยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพุทธสยามอีก <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ปัจจุบัน มีผู้ที่คัดลอกหนังสือที่ท่านได้เขียนไว้ อยู่หลายคน ท่านเขียนหนังสือ ชื่อการวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จและพระสมเด็จกรมเจ้าคุณท่า ถ้าท่านใดสนใจ ลองไปหาอ่านที่หอสมุดแห่งชาติ (เทเวศน์) ได้นะครับ ส่วนเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดร นั้น อาจารย์ประถมเคยเขียนลงในหนังสือพุทธสยามในช่วงเล่มแรกๆ ชื่อในการเขียนหนังสือของท่านคือ ปรัชนี ประชากร ครับ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ลองอ่านบทความนี้ดูนะครับ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ข้อปฎิบัติสำหรับผู้ที่นับถือหลวงปู่เทพโลกอุดร<O:p></O:p>
    (จากหนังสือพุทธสยาม ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2543)<O:p></O:p>
    1. หากรักษาศีล 5 ได้จะดีที่สุด หรือไม่ก็เป็นคนที่รักษาสัจจะ มีความซื่อสัตย์ ซื่อตรงยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และกตัญญูรู้คุณท่านผู้มีพระคุณ มีบิดามารดา เป็นต้น<O:p></O:p>
    2. ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ มีวัว ควาย เป็นต้น<O:p></O:p>
    3. หมั่นสวดมนต์บทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก หรือโดยย่อก็บทพระมหาทิพยมนต์ (อินทะสาวัง มหาอินทะสาวัง ฯลฯ)<O:p></O:p>
    4. หากรักษาศีล 5 ไม่ได้ทุกวัน ก็รักษาเฉพาะในวันพระ<O:p></O:p>
    5. หลวงปู่ท่านชอบแผ่เมตตา ฉะนั้นผู้ที่มีเมตตาชอบแผ่เมตตาอยู่เสมอ จะเป็นที่โปรดปรานของหลวงปู่เป็นพิเศษ หรือหากอยากพบหลวงปู่เป็นกรณีพิเศษก็ให้ไปอธิษฐานต่อหน้าองค์พระธาตุเจดีย์หรือองค์พระพุทธปฎิมาที่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วสวดบทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกถวายท่าน 9 จบ แต่ต้องมีเหตุอันสมควรจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการรบกวนองค์ท่านโดยใช่เหตุ เป็นบาปเป็นกรรมเปล่าๆ และถ้ามีจิตศรัทธาเลื่อมใสจะถวายเครื่องสักการบูชาแด่องค์ท่าน ก็สามารถกระทำได้โดยจัดเครื่องบายศรีบูชาพร้อมด้วยข้าวตอกดอกไม้ มะพร้าวน้ำหอม กล้วยน้ำว้า น้ำผึ้งหรือน้ำชา เทียนขาว 2 เล่ม และธูปหอมอย่างดี 9 ดอก (หากขอความช่วยเหลือให้ใช้ 16 ดอก) ห้ามอาหารคาว เช่นเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด<O:p></O:p>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    หลวงปู่เทพโลกอุดร


    ปริเฉทสองffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>

    พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระอุทุมพรมหาสวามีในสมัยพระเจ้าลิไทแห่งราชวงศ์สุโขทัยปี พ.ศ.1900 ห่างจากระยะแรกประมาณ1600ปีมีบางท่านกล่าวว่าในสมัยหริภุญไชยท่านมาเกิดเป้นครูบาบุญทาแต่เป็นเรื่องของความฝันไม่ปรากฏหลักฐานแจ้งชัดและมีผู้เล่าให้ฟังว่าในครั้งกระนั้น ผมเป็นสามเณรอาศัยอยู่กับท่านมีชื่อว่าb
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    หลวงปู่เทพโลกอุดร


    ปริเฉทสองffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>

    พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระอุทุมพรมหาสวามีในสมัยพระเจ้าลิไทแห่งราชวงศ์สุโขทัยปี พ.ศ.1900 ห่างจากระยะแรกประมาณ1600ปีมีบางท่านกล่าวว่าในสมัยหริภุญไชยท่านมาเกิดเป้นครูบาบุญทาแต่เป็นเรื่องของความฝันไม่ปรากฏหลักฐานแจ้งชัดและมีผู้เล่าให้ฟังว่าในครั้งกระนั้น ผมเป็นสามเณรอาศัยอยู่กับท่านมีชื่อว่าb
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ขอแนะนำวังหน้า ซึ่งท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ผู้ที่เป็นครูฝึกพระในดง เป็นอุปราชวังหน้าองค์สุดท้ายครับ


    เยือนถิ่น "วังหน้า" ตามหารอยอดีตต้นกรุงรัตนโกสินทร์ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 สิงหาคม 2548 ffice:smarttags" /><?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com /><st1:time Hour=17:21</st1:time> น.<O:p></O:p>
    โดย...หนุ่มลูกทุ่ง<O:p></O:p>
    http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9480000110424<O:p></O:p>

    <O:p> </O:p>

    <O:p> </O:p>

    พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน" ในพระราชวังบวรสถานมงคล ที่ประทับของพระมหาอุปราช หรือวังหน้า<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    จำได้ไหมว่าฉันเคยพาไปเที่ยวที่ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร" มาแล้ว และยังพอจำได้ไหมที่ฉันเคยบอกไว้ว่า เดิมที่ตรงนี้เป็น "พระราชวังบวรสถานมงคล" หรือ "วังหน้า" มาก่อน แล้วถ้าฉันจะถามต่อไปว่า รู้ไหมว่า วังหน้าคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร เอ...จะมีใครตอบคำถามนี้ฉันได้บ้างไหมหนอ

    บางคนยังบอกด้วยซ้ำว่า แหม... ตั้งแต่หนุ่มลูกทุ่งชวนไปเที่ยวพิพิธภัณฑสถานฯ เมื่อหลายเดือนครั้งกระนู้น จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ไปเลย แล้วจะให้รู้หรือให้จำอะไรได้
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    อีกประมาณ 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ผมจะมาแนะนำเว็บไซด์ที่เกี่ยวกับหลวงปู่เทพโลกอุดร และพระพิมพ์ของท่าน ว่ามีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไรกันบ้าง รวมถึงพระสมเด็จกรมเจ้าคุณท่า ซึ่งทางกลุ่มลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม จะเป็นผู้ที่ดำเนินการในเรื่องของเว็บไซด์ครับ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ผมจะขอแนะนำเรื่องผงวิเศษนะครับ

    เรื่องผงวิเศษ ที่มีอยู่ในพระพิมพ์สมเด็จ(ทั้งพระพิมพ์สมเด็จวังหน้า ,สมเด็จกรมเจ้าคุณท่า ,พระสมเด็จวัดระฆัง ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ได้มีผู้เขียนบางท่านกล่าวว่า พระพิมพ์สมเด็จสร้างขึ้นด้วยผงวิเศษ 5 ประการ ความจริงผงวิเศษหลักมีเพียง 4 ประการเท่านั้น คือผงปถมัง ผงอิธะเจ ผงตรีนิสิงเห และผงมหาราช ส่วนผงพุทธคุณนั้น เป็นผงเกล็ดซึ่งแยกจากผงปถมัง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    อาจกล่าวได้ว่า ผงวิเศษ 4 ประการนี้ มิใช่ผลวิเศษ สำหรับใช้ในการสร้างพระพิมพ์ ผงวิเศษ แต่ละแขนงล้วนจบลงด้วยสูญนิพพาน แต่ในทางปฎิบัติใช้ลงเป็นตอนๆ สำหรับใช้เฉพาะกิจเท่านั้น เช่นการลบผงอิธะเจ ลบเพียงถึงอิธะเจตะโสทัฬหังคณหาหิถามะสา 13 คำขาดตัวในสูตรสนธิ ใช้ในทางเสน่ห์ เมตตา หากลบเลยไปจะเปลี่ยนรูปเป็นอิทธิฤทธิ์ ไม่ตรงกับความหมายของผู้ต้องการจะใช้ผง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ถ้าต้องการให้เกิดอิทธิฤทธิ์ ต้องลบผงด้วยคัมภีร์ปถมัง เช่นการให้ผู้คนเห็นเราคล้ายดั่งนนทยักษ์ มีอำนาจน่าเกรงขาม ท่านให้เริ่มแต่นะปถมังลบไปจนถึงโองการมหาไวยเอาผงที่ลบเสกด้วยพระคาถาที่ใช้บังคับมาลูบหาตัว ฯลฯ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นักเขียนไม่ใช่นักทำ นักอ่านก็ไม่ใช่นักทำ .....<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ที่ท่านให้เผยแพร่เป็นวิทยาทาน ขอบพระคุณมากครับ<o:p></o:p>
     
  18. kai_toung47

    kai_toung47 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +48
    ((เหลือเชื่อจริงๆครับ สาธุ))

    โอ้ เหตุการณ์เหลือเชื่อจริงๆครับ ผมก้ออยากมีบุญเจอท่านนะนี่ จะมีบุญไหมชาตินี้ อนุโมทนาสาธุ...........[b-wai]
     
  19. woottipon

    woottipon เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2005
    โพสต์:
    11,794
    ค่าพลัง:
    +83,984
  20. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +2,696
    ขออนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...