แวะซักนิดไม่เห็นเสียหาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บารเมศวร์, 22 กันยายน 2008.

  1. บารเมศวร์

    บารเมศวร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +21
    ขอบคุณที่เข้ามานะครับ อ่านปัญหาผมได้เลยครับ อิอิ

    คือเวลาผมนั่งสมาธิ ทำไมต้วผมชอบหรือต้องโยกไปข้างหน้า ข้างหลัง ถ้าไม่ทำเหมือนมันฝืนยังไงยังงั้น มือไม้ชอบทำท่านู้นท่านี้ ยิ่งท่าลองนึกยิ่งไปใหญ่เลยครับ ประมาณมือกำลังยกอยู่ พอนึกว่าจะยกท่าอะไรหนอ มันไปด้านข้าง ๆ แล้วก็หยิบจับอะไรไม่ทราบ เท่าที่จำได้ ด้านซ้ายเหมือนจับหอยสังข์ ด้านขวาจับหอกหรือของแหลม ๆ ยาว ๆ เนิ้ยแหละครับ (มืออยู่ด้านข้างตัวตรง ๆ)

    ซึ่งจากการทำท่าอย่างนั้นแล้ว ทำให้กิเลสสามารถแต่งเรื่องจนผมเลิกนั่งสมาธิแล้วหันมาสนใจกับการทำท่าแบบนั้น โดยกิเลสแต่งเป็นว่าผมเป็นพรหมมาเกิด เพราะมันมีมือแล้วถือไรด้านข้างตัวเหมือนมีแขน 4 แขน

    นั้นละครับ ปัญหา ...
    แล้วผมเพิ่งไปเปิดองค์ โดยทำท่าเหมือนกันนี้ แล้วเจ้าของสถานที่(คนทรง) เขาบอกว่าผมมีองค์บารมีเป็นฤาษีชื่อ ท้าวสิงหล
    โดยประวัติท่านผมหาแล้วมีแต่เกี่ยวกับเรื่องพระอภัยมณีแต่งทั้งนั้น

    แต่มีอยู่เว็บหนึ่งบอกดังนี้
    พระฤาษีสิงหล
    พระฤาษีองค์นี้เป็นเทวดาที่ชอบปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นที่ตั้ง ด้วยจิตใจที่ปราศจากความยินดีทั้งหลายทั้งปวง ในสิ่งที่เป็นสมบัตินอกกาย หวังที่จะเสริมสร้างด้วยความมุ่งมั่นมานะพากเพียรพยายามที่จะทำให้สำเร็จผลสมประสงค์ ท่านบำเพ็ญตบะอยู่ที่ป่าดงดิบแห่งเทือกเขาหิมาลัยไม่สนใจเรื่องภายนอก หากใครมุ่งมั่นที่จะสร้างบารมีเดินไปในทางบำเพ็ญสมาธิฌาน ก็บอกกล่าวขอความสำเร็จจากท่านแล้วท่านก็จะต้องช่วยส่งเสริมเพิ่มเติมในความสำเร็จให้ทุกรายไป....

    ผมอยากรู้ว่าทำไมตัวผมต้องเป็นแบบนั้น แล้วเป็นแบบนี้เพราะอะไรช่วยอธิบายทีครับ หรือถ้าข้อมูลไม่ครบ ถามได้นะครับ

    *** ไม่ต้องเกรงใจเรื่องความรู้ ผมจะนำความรู้ของทุกท่านไปทบทวนอีกที สาธยายเต็มที่เลยครับผม
     
  2. kong_sorakrit

    kong_sorakrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,771
    ค่าพลัง:
    +3,426
    ผมแนะนำให้คุณฟังธรรมะ โดย
    หลวงพ่อโพธิศรีสุริยะ เขมรโต
    ตามลิงค์ในรายเซ็นต์ผมครับ

    ปัญหาของคุณ จะพบคำตอบได้จากเทศนาของท่าน
     
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เขาเรียกว่า ติดรูปไง แต่ตรงนี้ไม่ใช่รูปฌาณนะ เป็นรูปขันธ์

    พอนึกออกไหม ขันธ์ 5 มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    จะเห็นว่า รูป นั้น คือ องค์ขันธ์อันแรก ข้อแรกเลย ซึ่งก็คือความยินดีในรูป
    อย่างเช่นรูปมนุษย์ที่ธาตุ 4 มาประชุม อย่างที่เราเป็นอยู่ ตรงนี้พอมีแล้ว จิตมันจะจด
    ควมชอบนี้ไว้ หากเราไปเห็นหมา แมว น่ารัก จิตมันก็จดจำรูปหมา แมวไว้เหมือนกัน
    พอเราไปเจอรูปเทพ ก็ยินดีพอใจ ก็จดจำรูปเอาไว้เหมือนกัน เก็บเอาไว้ในส่วนรูปขันธ์
    เก็บแบบข้ามภพข้ามชาติ แล้วตอนจะจุติ รูปขันธ์นี้แหละที่จะเป็นตัวพาไปเกิดเป็น
    รูปอะไร หากขณะจิตตอนนั้นพอใจรูปหมาแมว เห็นหมาแมวในนิมิตแล้วพอใจ ก็จะ
    ไปเกิดในท้องหมาแมวทันที นี่คือการทำงานของขันธ์ ซึ่งทางพุทธเราถือว่าเป็นของ
    หนัก ขันธ์เป็นของหนัก เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ แต่ศาสนาอื่นเขาเห็นว่าเป็นสุข เพราะ
    เอาไปใช้ชอบใจในรูปสูงๆ เช่น เทพ เทวดา อินทร์ พรหม ฯ

    ตอนที่รับขันธ์ มีหลายครั้งที่เราไปรับขันธ์เอาจากจิตของคนอื่นที่จรมา แน่นอนหละ
    หากทำในส่วนศาลเจ้าก็อาจจะรับจิตที่มีขันธ์ที่ชอบแนวเทพเหมือนกัน ก็เลยทำให้มี
    การออกท่าทางตามรูปแบบของเทพ แต่ใครจะไปรู้ละว่าจิตดวงนั้นอาจชอบสักรูป
    ลิง ค้าง บ่าง ชนี เสือ สิง กระทิง งู นาค ด้วย ดังนั้น รูปแบบนั้นก็เอามาด้วย และส่วน
    ใหญ่นะ จิตหลายๆดวงไม่ได้ผ่านภพสูงๆมาเป็นนิจ ดังนั้น หากจิตที่รับขันธ์มาผ่านแต่
    ภพต่ำๆมา ก็จะมีรูปขันธ์นั้นตามเขา ทวีกับของเรา ก็คาดคะเนเอานะครับ
     
  4. บารเมศวร์

    บารเมศวร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +21
    ผ่านไป 1 วันมีคนมาตอบ 2 คนก็ดีมากละครับ จากความคิดผมคือ
    พวกพี่ ๆ น้า ๆ ลุง ๆ กำลังจะบอกว่า ....
    ตอนนี้ผมอาจติดในเรื่องของสังขารใช่ไหมครับ ที่จริงมันเป็นของไม่เที่ยง สังขารไม่ใช่ของเรา มันเป็นแค่เรือชั่วคราว(มีชำรุด) มีแต่จิดเท่านั้นที่เป็นของเรา ดังนั้นเราควรนั่งภาวนาไปเรื่อย ๆ ที่มันมีขยับก็ให้มันขยับแต่จิตสนใจแค่ว่า "รู้ว่ามันขยับ" แต่ไม่ไปจดจ่อกับมันมาก พยายามภาวนาต่อไป

    ถูกเปล่าครับ ....


    ผมเข้าใจยากหน่อยเพราะยังเป็นนักเรียนอยู่ อายุน้อย แต่เรื่องการพูดคุย อาจจะเหมือนผู้ใหญ่ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

    ขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับการให้คำแนะนำทุกท่าน ทั้งที่เข้ามาแต่ไม่กล้าโพสก็ตาม โพสหน่อยก็ดีครับ ผมไม่ได้กัดหรอก
     
  5. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    บารมีเก่า วิชชาเก่า ผุดขึ้นมาครับ
     
  6. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    ส่งข้อความข้อมูลไปให้คุณแล้วนะครับ

    สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ สามารถต่อยอดได้ครับ คุณจะได้รับรู้ความสามารถจากบารมีธรรมเก่าๆ ที่มีมากมายได้

    บางคนเจอสภาวะนี้แล้ว ไม่สนใจ เพราะไม่รู้ว่ามีประโยชน์อย่างไร เลยผ่านเลยไปเลย
    ตรงนี้น่าเสียดายมากๆ ครับ
     
  7. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    บารมีเก่าหากมี ถ้าเข้าสู่มรรค ผลแล้ว เดี๋ยวมันกลับมาทั้งหมดนั้นแหละ
    จึงไม่จำเป็นต้องไปดูของเก่าก่อน ก็ของมันจะมี มันก็ต้องมี จะต้องไป
    พะวงขุดคุ้ยกลัวมันหายไปทำไม ปัญญาความรู้ ใครก็มาเอาไปจากเรา
    ไม่ได้

    ส่วน จขกท พิจารณาคำว่า รูป เป็น สังขาร โดยแปลไปในทาง กายเนื้อ
    ตรงนี้ก็ต้องชี้ว่าไม่ใช่ แค่กายเนื้อที่เป็นมนุษย์นะครับ รูป จะหมายถึงการ
    ประชุมของธาตุ 4 ดินน้ำลมไฟ ทีนี้ก็มาดูว่า เจ้าดินน้ำลมไฟนี้เอามาปั้น
    เป็นสัตว์อะไรได้บ้าง ก็จะได้ทั้งรูปสัตว์ในภพมหนุษย์ รูปสัตว์ในภพหมา
    รูปสัตว์ในภพแมว รูปสัตว์ในภพมิติอื่นที่มองด้วยตาเปล่าไปเห็น นั้นก็เป็น
    รูป อย่างพรหม เทวดา ก็เป็นรูป นักรบ อสุรกาย ก็เป็นรูป

    พวกรูปสัตว์ในภพละเอียดนี้จิตเราจะเข้าไปยินดีแล้วเสพการเป็นได้ตลอด
    เวลา ทั้งๆที่รูปหลักยังติดอยู่ในภพมนุษย์ หากคุณทำสมาธิได้ฌาณนั้น
    ก็คือเปลี่ยนรูปไปเป็นพรหมแล้ว หากคุณโมโหโทษะ จิตคุณก็ไหลเข้าไป
    เสพเป็นอสุรกายแล้ว

    ทั้งหมดขับเคลื่อนด้วยการ ยินดียินร้ายในรูป เช่น ทำสมาธิอยู่นิมิตปรากฏ
    เป็นงู เป็นพยานาค หากยินดียินร้ายก็จะเลื้อยตามอาการของงู พยานาค

    หากนิมิตเป็นลิง แล้วยืนดียินร้ายถลำไปเสพว่านั้นคือตัวเรา ก็จะกระโดดโลดเต้น

    แต่สำหรับเรื่องการครอบขันธ์ การเข้าทรงองค์เจ้า อันนั้นเป็นเรื่องที่เจ้าเขายินดี
    ยินร้ายในรูป แล้วอธิฐานมาให้ปรากฏที่กายเราอีกที เพราะเราไปอาสาเป็นทาส
    เป็นร่างให้เขา เขานึกอยากเป็นตัวอะไรก็นึก เสร็จแล้วส่งมาให้ร่างทรงเป็รแทนเขา
    ไปอีกที เราก็หมดสภาพ แต่เป็นเพราะยินดีมากๆในการเป็นร่างทรง มันก็เลยเอออวย
    ไปตามแต่เขาจะส่งมาให้เป็น เป็นแล้วมันก็พิศดารดี ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ก็
    ยิ่งอุปทานยินดียินร้าย พอมียินดียินร้าย ระบบขันธ์ 5 พื้นฐานของตัวเราก็จะบันทึก
    ไว้ว่าชอบ พอไปเกิดชาติหน้าเดินผ่านศาลมันก็จะแดจาวู ไปๆมาๆ ทึกทักว่าตัวเอง
    มีอภิญญา เลยเอาตัวเองเข้าไปเป็นทาส บางคนเป็นแค่เด็ก เกิดแดจาวู ก็คิดว่ามี
    อภิญญา ไปถามพ่อแม่ พ่อแม่ก็อุปทานกิน รีบเอาลูกไปให้เขาใช้เป็นทาส ก็จะติดวัง
    วนของกรรมไปเรื่อยๆ คนอื่นเรียกบารมี แต่ศาสนาพุทธเรียกวิบากกรรมติดสังสารวัฏ
    เพราะยึดถือในขันธ์ไม่วาง

    ก็เล่าไปเรื่อยๆ ตามความเห็น หากไม่ชอบใจก็วางไว้นะครับ

    มาเรื่องปฏิบัติของคุณดีกว่า การที่ดูรูปมันขยับ นะถูกแล้ว ดูแล้วให้รู้สึก
    ตอนที่รู้สึกได้ก็จบแล้ว มันจะสั้นๆนะ หากขยับแล้วใจ หรือ จิต มองตามว่า
    คา~~~หยับ~~~~ แบบนี้ไม่ได้ ให้คุณนึกถึงภาพการตูน มันจะเป็นภาพ
    นิ่ง แต่การจะไปตามดูแบบเป็นช๊อตๆ มันยาก จึงให้ดูส่วนสุดของรูปแทน
    ก่อน เช่นท้องพองยุบ ก็ดูตอนมันสุดแล้วทำแบบชัตตเตอร์รู้สึกแกร๊ก แล้ว
    ลืมไปเลยจนกว่ามันจยุบสุด ก็ระรึกรู้อีกแกร๊ก ทำซ้ำ เรื่อยๆ จนกว่าจะตรวจ
    การจงใจแกร๊ก หรือ การจงใจให้มันรีบเกิดรูปสุด(ท้องจะคัดแข็งเป็นวิบาก)
    พอหมดความจงใจ ตอนนั้นแหละ สติ จะเป็นตัวแกร๊กแทนการจงใจของเรา
    เปรียบในอานาปานสติคือ คำบริกรรมหายไป มันจะเกิด สติ ตัวที่ใช้งานขึ้นมา
    ตอนนั้นแหละ ภาพแกร๊กจะเรียกว่า เห็นรูป สมภาคภูมิ เห็นตามจริง

    เห็นแบบนี้เนืองๆ มันจะเริ่มไปเห็นว่า รูปพอง มันก็ไม่เที่ยง มันไม่ได้มาสุดที่เดิม

    รูปยุบก็ไม่เที่ยง มันไม่ได้ไปสุดที่เดิม แล้วทั้งพองทั้งยุบก็ไม่เที่ยง มันต้องเปลี่ยน
    ไปมา ไม่มีทางคงอยู่ได้ ถ้าไปคงอยู่เพราะอุปทาน หรือมีเจตนาเจือ ก็จะเห็นมันทุกข์

    ทุกข์ที่เห็นไม่ใช่ทุกขเวทนา แต่เป็นทุกข์ในการอุปทานขันธ์ ตรงนั้นแหละจะทำให้
    อ๋อ นี่เองขันธ์ 5 พอเห็นแบบนี้ รูป ก็จะแยกออกจาก นาม การรู้พองยุบ อีกทอด

    พอมาเห็นตรงนี้ก็จะประจักษ์ทันทีลึกๆว่า ตายละหว่า ตัวเราอยู่ไหน

    เอาแค่นี้ก่อน ทำซ้ำๆเพื่อให้เห็น ตายละหว่าตัวเราอยู่ไหน ซ้ำๆเนืองๆ ทำอย่าง
    ขยัน 7 วัน ย่อหย่อนหน่อย 7 สัปดาห์ กว่านั้น 7 เดือน ไม่เกิดเป็นมรรคให้เห็น
    บ้างให้รู้กันไปสิน่า

    อนุโมทนาครับ

    * * * *

    ถ้าการขยับของสายหลวงพ่อเทียน จะคนละแบบนะ อันนั้นขยับเล่นๆ แล้วแอบ
    ดูตอนใจไหลไปคิด ท่านให้ดู ระลึกรู้ตอนใจไหลไปคิด ส่วนการขยับนั้นให้ขยับ
    เล่นๆ เป็นแบคกราวนด์ การดูอาการไหลไปคิดนั้นแหละคือการดูสังขารของจิต
    เรียกว่าดูเจตสิก โมหะมูลจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2008
  8. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    กิเลสมารเขาฉลาด มักจะดึงให้ผู้ปฏิบัติที่ได้ผลเบื้องต้น ติดในผลเบื้องต้นที่ได้ เค้าจะหลอกล่อให้หลงไหลได้ปลื้มอยู่ แบบนี้ จนละเลยการฝึกฝนจิตให้บรรลุภูมิธรรมที่สูงขึ้นไป พระท่านจึงมักสอนว่า อย่าสนใจอาการทางกาย เพราะธรรมะนั้นเกิดขึ้นที่จิต
     
  9. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    เรียนคุณ บุคคลทั่วไป 3 คน

    ญาน มีทั้งระดับ โลกีย์ และระดับโลกุตระ

    การที่จะพะวงหรือไม่ ขึ้นกับแต่ละคน แต่ที่ผมบอกไปแล้วคือ
    สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ วิหารธรรมนั้นมีหลายอย่าง

    ผมถึงกล่าวว่าต่อยอด
    การต่อยอดนั้นไม่ได้จำเป็นจะต้องพะวงอะไรนะครับ

    คนเราจะพะวงหรือไม่พะวง ขึ้นกับจริตของคนคนนั้น

    ถ้าจบปริญญาเอกแล้ว จะมาเริ่มต้นอนุบาลใหม่ คงเสียเวลา
    บางคนในอดีตชาติบำเพ็ญใกล้บรรลุมรรคผลแล้ว
    แต่กลายเป็นต้องมาเริ่มเรียนใหม่หรืออย่างไร?

    จิตสามารถเสพอารมณ์ในอดีตชาตินั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น
    สิ่งนี้คือ สภาวะ อนัตตา ของ ขันธ์ ซึ่งแต่ละภพชาตินั้นแตกต่างกัน
    อนัตตาคือ ไม่ใช่ตัวเราเที่ยงแท้ถาวร เพราะจิตเสวยชาติเป็นมาแล้วหลายอย่าง
    ไม่ใช่ตัวตนอัตตาอะไร

    จิตเป็นไปตามเหตุปัจัยแห่งกรรมและวิบากครับ ไม่ใช่ตัวเราของเรา
    ส่วนจิตโง่(มีอวิชชา) ก็จะหลงไปเป็นทาสอุปปทาน

    แต่ถ้าจิตฉลาด(ปัญญา-วิชชา-อโลโก) จิตนั้นก็จะสังเวช ว่า
    ไม่เห็นมีอะไรเที่ยงแท้ มีแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้น เป็นแต่เพียงวงจรปฏิจสมุปบาทเท่านั้น
     
  10. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    การเจริญวิปัสสนาให้หมดที่สำคัญที่สุดคือ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สัจจบรรพ

    ต้องเห็นทุกข์ชัด
    -ภพ
    -ชาติ

    -ชรามรณะ (แก่และตาย)
    -ปริเทวะ (คร่ำครวญ)
    -ทุกข์
    -โทมนัส
    -อุปายาส (คับแค้นใจ)


    ต้องเห็นสมุทัยชัด
    - เวทนา
    - ตัณหา
    - อุปปาทาน

    ต้องเห็นนิโรธชัด
    - ความดับวงจรปฏิจสมุปบาท
    ต้องดำเนินมรรคได้

    1. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ หมายถึงเห็นถูกตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
    2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม
    3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ หมายถึงการพูดสนทนา แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม
    4. สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง
    5. สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน
    6. สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะพยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม
    7. สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ
    8. สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลศ นิวรณ์อยู่เป็นปกติ
     
  11. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    ตัวรู้นั้นมีหลายระดับนะครับ

    ที่สอนๆ กันได้ทั่วๆ ไป คือ รู้ระดับรู้ขันธ์ระดับพื้นผิว
    รู้การเกิด-ดับของขันธ์ เช่นรู้สังขาร(ความคิด)ตามทีหลังการดับของสังขารนั้นแล้ว

    เช่นกำหนด โกรธหนอ โกรธหนอ นั่นคือ โกรธไปแล้ว
    โทสะเกิดแล้ว เวทนาเกิดแล้ว ตัณหาเกิดแล้ว สร้างมโนกรรมไปแล้ว
    นอกนั้นยังไม่พอ แถมใส่คำบริกรรมบัญญัติไปสร้างกุศลกรรมทับลงไปอีก

    ดังนั้น ต้องเข้าไปรู้จักว่า ทำไมถึงโกรธ
    ต้นตอ(สมุทัย)แห่งความโกรธมาจากไหน
    ต้นตอก็มี 3 ระดับ คือ
    1. สังโยชน์
    2. อนุสัย
    3. อาสวะ

    เมื่อจิตรู้-เห็น-เข้าใจ-แจ่มแจ้งในไตรลักษณ์ ของทั้ง 3 อย่างนี้ได้เรื่อยๆ
    จิตจะปล่อยวาง อุปาทานขันธ์นั้นๆ ได้อย่างเป็นธรรมดาครับ
     
  12. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    วิปัสสนา ที่จริง คือการดูให้ทั่วให้ถึง ดูให้รอบ รู้ให้ทั่วให้ถึงอย่างแจ่มแจ้ง
    ไม่ใช่ว่าดูแบบตามใจชอบเท่านั้น

    1. บางคนดูตามใจชอบแบบตัวเองเท่านั้น(อ้างว่าถูกจริต ตามอารมณ์กิเลส)
    2. บางคนดูตามใจชอบแบบที่อาจารย์ตนสอนเท่านั้น(แบบอื่นไม่ครบถ้วน แบบฉันถูกหมด)

    เนื่องจากเท่าที่เห็นหลายๆ ลูกศิษย์อาจารย์ดังๆ หลายท่าน
    มักมีอุปนิสัย(อุปปาทาน)อยู่ใน 2 รูปแบบนี้
    เพราะฉนั้น ผมถึงกล่าวเรื่องการต่อยอด
    การต่อยอดนั้น จำเป็นต้องดูของเก่าก่อน

    ยกตัวอย่างเช่น บางท่าน ตั้งจิตเป็นพระโพธิสัตว์มาหลายชาติ
    แต่ปัจจุบัน เปลี่ยนมาตั้งจิตบำเพ็ญเป็นพระอรหันต์ ยกเลิกของเก่า

    แน่นอนว่า อธิษฐานบารมีในชาติก่อนๆ
    ย่อมถ่วงการบำเพ็ญเป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบัน
    ถ้าไม่รู้จักว่าของเก่าเป็นเช่นไรตามจริง
    ก็ไม่มีทางที่จะไปปรับจะไปเปลี่ยน(ตามหลักอนิจจัง)ได้

    ดังนั้น ขอให้ท่าน บุคคลทั่วไป 3 คน พิจารณาแง่มุมต่างๆ
    ให้รอบด้าน มองความแตกต่างที่เป็นเรื่องธรรมดาโลกให้ออก
    ก่อนที่จะปฏิเสธหรือยอมรับสิ่งใดนะครับ
     
  13. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    จิตโง่(อวิิชชา)
    1.เป็นทาสอุปปาทานทิฏฐิตนเอง(สักกายทิฏฐิ)
    2.เป็นทาสอุปปาทานยึดติดรูปแบบ(สีลัพพตปรามาส)
    3.เป็นทาสอุปปาทานทิฏฐิอาจารย์(สีลัพพตปรามาส+สักกายทิฏฐิ)
    4.เป็นทาสอุปปาทานยึดติดรูปแบบความคิด(วิจิกิจฉา)
     
  14. สราวุธ ลำพูน

    สราวุธ ลำพูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +302
    ท่านเจ้าของกระทู้กำลังฝึกกรรมฐาน ในสายไหนหรือครับ
     
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    คุณธรรมะแชร์กล่าวได้จัดเจนดี

    แต่ที่ผมจำต้องสุ่มเสี่ยงออกตัวขัด ขัดทั้งพี่ ขัดทั้งเจ้าของกระทู้ ก็แน่หละผมยึดตาม
    หลักพระอาจารย์ใหญ่สุด(พระตถาคต) ที่บอกว่าขัด ก็เพราะท่าน จขกท ท่านกล่าว
    ถึงการเข้าทรงองค์เจ้า ซึ่งอันนี้ต่อให้ไปต่อบารมีอย่างไร ก็ไม่ใช่พุทธะ และโอกาส
    จะกลับมาเป็นพุทธะจะยิ่งน้อยลง เพราะธรรมชาติของจิตมักไหลสู่อีกฝากหนึ่ง ผมจึง
    จำเป็นจริงๆที่จะต้องกล่าวออกมา และแน่นอนจะต้องขัดกับท่านทั้งสอง

    แต่ก็ทำไปด้วยเพราะทิฏฐิที่ยึดมั่นพระสมณะโคดมไว้เป็นหลัก จึงทำให้แสดงกริยาผิด
    พลาดไป อาจทำให้ขุ่นเคือง ก็ต้องขออภัย แต่อย่างไรแล้ว ถ้ายังไม่ถึงที่สุดประมาณ
    หนึ่ง ผมก็ย่อมต้องชี้ชวนอีกสักหน่อย คงไม่ได้กลัวเกรงแล้วรีบหนีหายไปไหน

    เพราะกระทู้นี้ ท่าน จขกท ให้เข้ามาแวะซักหน่อย ไม่เสียหาย ก็แปลว่า เขาน่าจะเปิดใจ
    ยอมรับการฉุดกระฉากของเพื่อนผู้นี้ได้
     
  16. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    เรียนคุณบุคคลทั่วไป 3 คน มิจำเป็นจะต้องเรียกผมว่าพี่แต่ประการใด
    อย่าได้ก่ออุปปาทานสร้างความเป็นตัวตนบุคคลใการสนทนาเลย
    ขอให้สำคัญที่เนื้อหาดีกว่าครับ

    เรื่องการรับองค์อะไรนั้น
    ผมขอรวบเป็นเรื่องเดียว คือ คำว่า "อธิโมกข์" ซึ่งมีระบุไว้ในพุทธศาสนานะครับ

    การจะมีวิบากหรือบารมีอะไรเกี่ยวข้องกับวิญญาณอื่นๆ นั้นถือเป็นเรื่องปกติ
    จะเกื้อหนุนกัน หรือจองล้างจองผลาญกันนั้น
    ก็สุดแท้แต่กรรมที่กระทำร่วมกันมา ของแบบนี้นั้นมีอยู่ และเป็นเรื่องธรรมดาในสังสาร
    หากรู้ทั่ว รู้ถึง รู้ความไม่เที่ยง รู้ความทุกข์ของการผูกพัน รู้หน่าย ก็ย่อมจะสละละวางได้

    ในอีกกรณีหนึ่ง คือ บารมีทางธรรมของท่านนั้นๆ ที่ได้บำเพ็ญมา
    ซึ่งไม่แปลกอะไร ถ้าจิตบางดวงนั้นเคยไปเสวยชาติเกิดเป็นพราห์มณ์ โยคี นักพรต นอกพุทธศาสนาบ้าง เสวยชาติเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาบ้าง
    ตรงนี้ยิ่งไม่แปลกอะไร
    เพราะพระอรหันต์ศิษย์พระบรมศาสดาศรีศากยมุนีพุทธะหลายๆ ท่าน
    ก็เป็นพราหมณ์หรือโยคีที่มาต่ิอยอดทางธรรม เพื่อถึงซึ่งความรู้สูงสุดคืออาสวขยญาณ

    ซึ่งตรงนี้ ขอให้มองให้กว้างๆ ลึกๆ จะเข้าใจว่าความรู้ในจักรวาลนี้ทุกๆ อย่างนั้น
    สะสมอยู่ในวิญญาณธาตุของแต่ละคนทั้งนั้น เพราะเวียนว่ายตายเกิดมามากมายแล้ว

    การจะขัดอะไรนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าขัดแล้วสะอาดเป็นใช้ได้
    แต่ถ้าขัดมากไปแล้วท่านถลอกปอกเปิกเสียเอง อันนี้ก็ไม่ควรขัด

    ตรงนี้นั้นมีความลึกซึ้งอยู่อีกมาก ไม่ควรจะมองสั้นๆ แคบๆ
    เรื่องขุ่นเคืองอะไร คงไม่เป็นปัญหาอะไรกับผม
    เพราะผมดูที่เนื้อหาที่ควรแสดง ไม่ได้ถือตัวตนอะไรอยู่แล้ว
     
  17. บารเมศวร์

    บารเมศวร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +21
    อย่าเพิ่งทะเลาะกันครับผม ที่เขาเรียกว่า "พี่" อาจเป็นเพราะ เคารพและนับถือ ซึ่งนั้นก็แน่นอน ผมก็คนหนึ่งที่กล้าเรียกได้ทุกคน ดังที่กล่าวในข้อความที่ 2 ของผม กรุณาคิดแง่เผื่อใจคนอื่นมั่งครับ ไม่ได้แก้ตัวให้นะครับ ผมไม่รู้หรอกเขาคือใคร แต่ผมก็เรียกอยู่เช่นกัน หะ หะ

    เลือกการปฏิบัติผมยังไม่จริงใจมากครับ อยากนั่งตอนไหนก็นั่ง เวลาสอบก็นั่ง ส่วนเวลาจะหยุดถ้ารู้สึกอยากหยุดก็หยุด ผมไม่อยากเสี่ยงอดทนนั่งแล้วผลที่ได้มันมีมากเกิน จนบางครั้งอาจทำให้การนั่งสมาธิครั้งต่อไปรู้สึกเบื่อ ไม่เต็มใจ ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะนั่งซักครู่ หรือ พักใหญ่ แต่ไม่นาน แต่คงต้องทำสม่ำเสมอแน่นอนครับ

    ด้านสายปฏิบัติผมยังไม่รู้เลยครับ ว่าจะเลือกอะไร ผมเลือกที่จะนั่งไปเรื่อย ๆ บางครั้งอาจมีแสงมา บางครั้งอาจมือไม้ขยับ แต่ผมยังไม่ได้สนใจ สนแต่ว่าวินาทีนี้กำลังนั่งอยู่ ยังไม่ได้คิดอะไรเลยครับ คืออยากทำเพียงว่าถ้านั่งไปเรื่อย ๆ จนจิตพร้อมหรือจิตสงบจริง ๆ สิ่งอื่น ๆ ที่ทุก ๆ ท่านกล่าวมาข้างต้น ก็คงตามมาเองแน่นอน ผมว่านะครับ

    ด้านบุญบารมีเก่าที่ คุณ dhammashare กล่าวมา อาจเป็นเพราะแม่ผมเคยไปขอลูกชายจาก เจ้าพ่อแห่งหนึ่งที่คนในท้องถิ่นนับถือกันเหลือน้อยเต็มที ทุกคนที่รู้จักต่างบอกกันว่า ผมเป็นลูกเจ้าพ่อ ซึ่งผมเองยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากเรื่องสวรรค์ - นรก ท่านจะไม่เปิดปากบอกแม้แต่คำเดียว (เป็นเทพที่ดีมาก ๆ รักษาสัญญาสุด ๆ เลยครับ) ผมจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ตอนนี้ผมไปเป็นลูกศิษย์เทพ ซึ่งหลังจากรับมาก็เกิดอุบัติเหตุ ผมซ้อนท้ายเพื่อน แต่ผมโดนรถกะบะชนคนเดียว ตัวปลิวไปไกลพอสำควร แต่ไม่หยักมีเลือดไหลออกแม้แต่น้อย ด้านเข่าที่ทุกชนอย่างจัง เป็นแค่แผลบอบช่ำ 2 วัน หาย นี้คือเรื่องบารมีของเทพองค์นั้น หรือบารมีผม หรือบารมีเทวดาประจำตัวผมซึ่งก็คือ ท้าวสิงหล ก็ไม่ทราบแน่ชัด

    ตอนนี้ผมรู้เพียงว่าผมพอมีบุญอย่างคนอื่นอยู่บ้าง เพราะผมยังเด็กสามารถที่จะสะสมบุญบารมีได้นานกว่าบุคคลท่านอื่น ๆ แน่นอน ซึ่งก็คือข้อดีที่สุดที่ผมมีตอนนี้

    *** ผมเรียนรู้จากในเน็ตบ้าง ในหนังสือบ้าง แต่ไม่เคยมีอาจารย์เป็นตัวเป็นตนกับคนอื่นเขาเลยครับ ศึกษาเองหมด เลยไม่รู้จะเลือกสายอะไร อย่างที่มีบุคคลท่านหนึ่งถาม

    ใครมีคำแนะนำดี ๆ ก็อย่าปิดบังความรู้เลยครับ บอกได้เท่าที่บอก เต็มใจเท่าที่เต็มใจ ถ้ามันดีหรือไม่ดี ผมจะพิจารณาเอง

    ไม่ต้องกลัวความรู้ที่มีจะผิด จะถูกด่าหรอกครับ ความรู้ที่มีของแต่ละคนมีประวัติเสมอ (ใจกว้างแค่ไหน อิอิ)
     
  18. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    เรียนคุณบารเมศวร์

    เรื่องบางเรื่อง บอกได้ทั่วไป เช่น พุทธพจน์ จากพระไตรปิฎก

    บางเรื่อง ไม่สมควรบอกต่อสาธารณชนครับ บอกได้เฉพาะตัวครับ
    คนบางทีไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรชัด บางทีอาจจะไปทำให้เขาฟุ้งซ่านได้
    หนักเข้าเดี๋ยวบางทีเดี๋ยวจะปรามาสครูบาอาจารย์กันได้
    ซึ่งตรงนี้ไม่ดีเลยกับใครเลยครับ

    ผมขอยืนยันตรงนี้เลยครับ ว่าคนที่ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมทั่วๆ ไปนั้น
    มีบารมีทางธรรมเ่ก่าแทบทั้งนั้นครับ จะมากจะน้อยก็สุดแท้แต่

    ส่วนเรื่องเทพต่างๆ ที่มาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ จะรูปแบบใดก็ตาม
    ผมขอบอกไว้ตรงนี้ว่ามีแน่นอนครับ
    และเขาเหล่านั้นก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายในวัฏฏสงสารเช่นกัน

    การที่คุณไม่มีครูบาอาจารย์ในตอนนี้ ไม่ได้หมายความคุณจะไม่มีครูบาอาจารย์
    แต่อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่เจอครูบาอาจารย์
     
  19. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    แหม จขกท ใจกว้างดี การเรียกพี่ก็เป็นเครื่องหมายของการคารวะ หากไม่นิยม
    รับก็วางเอาไว้ได้เลยครับ

    เรื่องหนทางเดินนั้น ก็กล่าวไว้แล้ว มันก็อย่างที่บอก เราเวียนว่ายตายเกิดกันมามาก
    ไม่ได้ไปเกิดเป็นเทพ เทวดา พรหม เสียอย่างเดียว เคยเกิดเป็น นก หนู แมลงสาป
    จิปาถะ ด้วยกันมาทั้งนั้น แล้วกรรมทั้งหมด จะถูกบันทึกลงในส่วนภวังคจิต เจ้าภวังค
    จิตนี้ตัวร้าย มันก่ำกึ่งภพ ไม่มีที่ตั้ง ทำให้ รูปภพต่างๆที่จิตนั้นเคยผ่านภพมา มันก็จะ
    มาปรากฏ ปรากฏส่วนดีก็อุปทานขันธ์กันไป ปรากฏส่วนไม่ดีก็กระแด่วๆ กันไป แต่
    มากระแด่วในกายมนุษย เออ...กลายเป็นของดีเสียอีกแนะ บางคนเรียกอภิญญาไป
    เลย

    มากล่าวในส่วนภวังคจิต ทางพุทธหากมีจิตเมื่อไหร่มีขันธ์ที่นั่น หากคนเคยถอดจิต
    ถอดปุ๊กขันธ์ก็เกิดใหม่อีกชุดรองรับ อยานตนะมีครบทั้งๆที่ออกไปด้วยดวงจิต ก็สรุป
    ว่า กรรมบันทึกได้ตลอด การสาวไปในภพเก่าก็ใช้ส่วนของขันธ์นั้นแหละคุ้ยขึ้นมาดู
    พอเจอก็ เอ้าดีใจได้เจอสมบัติเก่า...ในความเป็นจริงผ่านไปหมดแล้ว แต่ใครไปเห็น
    มันก็เจ๋งอะนะ ดีกว่าคนไม่เคยเห็น ทั้งๆที่รู้อยู่ว่า หากใครปฏิบัติก็มีสิทธิได้เห็น แต่
    เห็นหรือไม่ในทางพุทธไม่ถือว่าใช่เรื่องสำคัญ สำคัญที่เอามันออกไปจากขันธ์ จาก
    จิต จากความชอบใจได้หรือเปล่า ไม่งั้นก็ไม่ใช่แค่ที่เวียนว่ายตายเกิดกันมาแล้ว แต่
    จะกลายเป็นเวียนว่ายไปอีกไม่จบสิ้น ของดีหรือเปล่าละ ว่าไหมพี่ จขกท

    ตัวผมนี่แปลกหน่อย กำลังสาวไปเรื่อยๆในเรื่องจิต แต่เน้นที่การฝึกสติ มากกว่าสมาธิ
    หรือ ฌาณ เพราะเชื่อว่า ฌาณนั้นมันมีอย่างมากก็แค่ 8 เรียกว่าเรียนยังไงก็ต้องสุด
    แต่ สติ นี่สิ เรียนยังไงก็มีแต่เพิ่ม ยิ่งไวยิ่งกว้าง ยิ่งสว่างยิ่งลึก เขาว่า พรหมที่มีขันธ์
    ไม่ครบ5 ก็อาศัย สติเจตสิก นี่แหละภาวนาเข้านิพพานได้ แต่ต้องฝึกให้สติไวมากๆ
    เพราะหนทางเดียวที่จะดูได้คือ การเกิดดับของจิตเอง เพราะขันธ์มันไม่ครบเลยเอามา
    ดูไม่ได้ พูดกันซื่อๆ ผมนั้นถ้าจะให้มีมนุษยสมบัติ เทวดาสมบัติ พรหมสมบัติ ยินดีทิ้ง
    ออกไปมากกว่า เพื่อที่จะได้ฝึกตัวสติเป็นหลัก ฝึกให้ไว ยิ่งไวก็ยิ่งชัด พอรู้ชัดก็สามารถ
    ขนสัตว์ออกจากวัฏสงสารได้ ดังนั้น หากพี่ จขกท นึกสนุกอยากทิ้งพรหมสมบัติดู
    ก็น่าสนใจไม่น้อยที่จะมาเจริญสติ พระที่ดูดวงวันเกิดให้ผม ท่านก็ว่าผมเป็นพรหมบุตร
    จุติมาจากชั้นพรหม เพราะแม่อธิฐานขอให้มาเกิด ก็สนุกดี เรื่องพี่จะเจออาจารย์ไหม
    อันนั้นไม่รู้ แต่รู้ๆตอนนี้สงสัยเจอเพื่อนละกัน :)
     
  20. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ทักทายไปแล้ว ก็ขอเข้าเรื่องปฏิบัติบ้าง ทั่วไปก็อานาปานสติเป็นพรหมวิหาร

    เดิน ยืน นั่ง นอน ขึ้นรถ ลงเรือ เหล่สาว ทำงาน ทะเลาะกับคน ก็จะจับอยู่ที่อานาปานสติ
    ได้เสมอๆ ไม่เคยขาด ดังนั้น เรื่องเห็นแสง เห็นกายขยับ เห็นรูปคนคุยกันดั่งก้อนธาตุ
    ก็ได้ทัศนะเห็นเนืองๆเสมอ แต่ให้ตายดิ้นเถอะ ไม่รู้ว่าจะเอามาต่อยอดอย่างไร ก็ได้แต่
    นึกอยากนั่งสมาธิก็ทำไปงั้นๆ จนกระทั่งมาเจอพระท่านหนึ่ง ท่านก็บอกว่าก็เอาการเห็น
    รูปนั้นนั่นแหละมาแยกนามออก ตอนที่ไปรู้เห็นแสง กายขยับ รูปคนคุบกัน ตอนนั้นเรียก
    ว่าเกิดสติชั่วขณะ หลังจากนั้นเพียงเสี้ยวอึดใจมันก็เกิดนามไปรู้เรื่อง ไปตีความออกมา
    ว่า เออนี่เห็นแสง เออนี่เห็นกาย เอ่อนี่เห็นธาตุมันคุยกัน ก็ให้เอาการระลึกรู้ตอนที่เกิด
    ช่วงแรกๆนั้นแหละมา ระลึกรู้ซ้ำ ทำให้จิตมันจดจำตรงจุดนั้นเนืองๆ ก็เรียกว่า ชำนาญ
    ในการรู้รูป ซึ่งก็จะได้ความชำนาญในการรู้นาม หลังจากนั้นก็จะค่อยๆเข้าใจว่ามันเกิด
    ขึ้นไปตามเหตุปัจจัยกระทบ หลังจากนนั้นก็เข้าใจว่ามันแปรเปลี่ยนมีไตรลักษณ์ แต่เป็น
    การเห็นไตรลักษณ์ด้วยการคำนึงเปรียบเทียบ ก็ให้ระลึกอย่างเดิมซ้ำจน จิตมันมีสติไว
    พอที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง ปราศจากการจงใจ นึกคิด
    ตรงนั้นแหละครับที่ รูป นาม จะแตกออกจากกัน จุดนี้เองที่จะทำให้เข้าใจว่า พุทธศาสนา
    นั้นภาวนาเจริญ สติเจตสิก ตัวไหนกันแน่ แต่เชื่อไหมพี่ว่ามัน สติ คนละตัวที่เราใช้ทำ
    สมาธิตามรูปแบบ

    สติตัวนี้แหละที่พระท่านทั้งหลายให้เจริญมากๆ และสติตัวนี้แหละที่หลวงปู่มั่นเรียกนิยาม
    อีกอย่างว่าความเพียร เพื่อให้ศิษย์ไม่งงกับคำว่าสติที่ใช้กันในการทำสมถะกรรมฐาน แต่
    ในทางอภิธรรมนั้นเรียกตัวนี้ว่า สติเจตสิก ตัวจริง นอกนั้นไม่ใช่ เพราะว่า สติเจตสิก นั้น
    เป็น มหากุศลเจตสิก โสภณเจตสิก24 จึงเป็นเจตสิกที่ต้องพ้นการบังคับสร้างขึ้น เจตสิก
    มหากุศลทั้งหลายนั้นทำให้เกิดไม่ได้ ทำได้แค่นมสิการเหตุใกล้ แล้วเขาจะเกิดหรือไม่เกิด
    นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง อย่างเช่น เราเคยดูรูปงามๆแล้วสุขใจ ลองเอารูปนั้นมาดูซ้ำ บางครั้ง
    มันก็จืดสนิท ดีไม่ได้รำคาญด้วยซ้ำ เป็นต้น

    หลังจากแยกรูปนามจากสิ่งที่เห็น สิ่งที่ปรากฏแล้วได้อะไร ก็จะไปเห็นพฤติจิต เป็นอาการไหวๆ
    ส่ายๆ แส่ๆ พอเห็นได้แบบนี้ก็เปลี่ยนวิหารธรรมได้เลย จะดูลมนั้นเด็กๆไปแล้ว ต่อไปยืน เดิน นั่ง
    นอน คุยกับคน ทำงาน เคาะคียบรอ์ด หัวเราะ ร้องไห้ นอนหลับ ก็จะเห็นรูปไหวๆของจิตเป็นวิหาร
    ธรรมแทน

    เห็นแล้วได้อะไร

    ก็จะเข้าใจอุปทานขันธ์ เห็นภพน้อยใหญ่ ไหลไปไหลมา เดี๋ยวพรหม เดี๋ยวหมา เดี๋ยวแมว เดี๋ยวผู้หญิง
    เดี๋ยวผู้ชาย หมุนชาติภพดูไปเรื่อยๆ โดยไม่ลงไปร่วม ไปหมายเอามาทึกทักว่าเป็นของดี จะพลอยให้
    ติดข้อง ก็ต้องดูไปเรื่อยๆ ระลึกรู้รูปไปเรื่อยๆ แต่อย่าไปสนใจนาม อย่าไปทำนามให้เกิด หากนามเกิด
    เพียงนิดเดียวจะขึ้นวิถีจิตของภพนั้นขึ้นมา ก็จะกลายเป็นการทำให้ขันธ์มันเกิดเพิ่ม สืบต่อแทนที่จะดับไป

    เนี่ยะ แค่การเจริญสติตัวเดียว ใช้แค่การระลึกรู้อย่างเดียว อะไรแบบเยอะๆ หลากหลายอันนั้นก็ขึ้นกับ
    สมาธิพละที่ได้จากการทำสมถะอีกที แต่ถ้าทำสมถะนำหน้าการเจริญสติ ก็จะจมไปกับภพแทนเพราะ
    ยั้งการเกิดนาม สัญญามั่นหมายไม่ทัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...