ศาสตร์ล่วงรู้แนวบุญกรรม รวย รุ่งโรจน์

( ต่อ )

ดวงดาวคือนิมิตของกรรมจริงหรือ ?

ในคัมภีร์ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ว่า

สุเมธฤาษี ( เจ้าชายสิทธัตถะในภพชาติอดีต ) ได้นอนราบกับโคลนตม เพื่อเป็นสะพานให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร และเหล่าอรหันตสาวกเดินข้ามไป แล้วสุเมธฤาษีตั้งจิตปรารถนาพุทธภูมิ นิมิตต่างๆมากมายปรากฎขึ้นเพราะเหตุการณ์นี้เป็นเครื่องหมายให้รู้ ว่า "สุเมธฤาษีจักตรัสรู้เป็นแน่แท้ในอนาคตโน้น" เทวดาทราบนิมิตที่ปรากฎ จึงกล่าวบอกนิมิต ( เครื่องหมายสำหรับให้รู้ ) ว่า...


"ดวงอาทิตย์ปราศจากมลทิน
ดาวทุกดวงต่างก็สุกสกาว
แม้ในวันนี้ดวงอาทิตย์และดวงดาว ต่างก็ผ่องแผ้วสุกใส
ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน"***

หมายเหตุ - * พระสารประเสริฐ, โลกธาตุ/๒๔๗๕
**สัมโมหวิโนทนี ( อภิ.วิ.อ. ) ๒๔๓-๒๔๔/๔๐๕
*** พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๓๓/๙๓/๕๗๙ ( พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหสจุฬาฯ )

และในหน้าเดียวกันนั้นเอง ว่า


"หมู่ดาวนพเคราะห์และหมู่ดาวนักษัตร
เปล่งประกายสว่างทั่วท้องฟ้า
ดวงจันทร์ประกอบด้วยวิสาขฤกษ์แจ่มจรัส
ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน"****

หมายเหตุ- **** เรื่องเดียวกัน

ไม่ใช่เฉพาะดวงดาวเท่านั้นที่เป็นนิมิต สรรพสิ่งในจักรวาลล้วนเป็นนิมิตให้รู้อนาคตได้ทังนั้น สำคัญว่า เรามีศักยภาพหยั่งรู้หรือไม่ แม้สัตว์บางชนิด เช่น แลนคำ ***** ( ตัวเงินตัวทอง ) ยังเป็นนิมิตของเหตุการณ์ในอนาคต แสดงให้เห็นว่า สรรพสิ่งในจักรวาลทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบันต่างเชื่อมโยงถึงกันหมด อาจเรียกว่าอยู่ในเส้นเวลาเดียวกัน แต่ทำไมท่านถือเอาดวงดาวเป็นเหตุบอกกรรมเล่า ทำไมไม่ถือสิ่งอื่นบ้าง? นั่นเพราะในอดีต คนโบราณอาศัยดาว โดยประการต่าง ๆ เช่น ให้แสงสว่างในยามค่ำคืน บอกทิศในการเดินทาง กำหนดปฏิทินหรืออาศัยชมความงาม เป็นต้น ชีวิตผูกพันอยู่กับดวงดาว ดาวจึงเป็นจุดสนใจของผู้คน จึงง่ายที่จะทำความเข้าใจ กำหนดหมายให้เป็นสัญญลักษณ์ของกรรม ด้วยเหตุนี้ โบราณาจารย์ฝ่ายสัมมาทิฏฐิ จึงกำหนดดวงดาวให้เป็นเครื่องหมายของกุศลและอกุศลนับแต่บัดนั้นมา...

หมายเหตุ- ***** ภาษาท้องถิ่นอีสานว่า"แลนคำ" ภาษบาลีว่า"มหาโคธา" พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานว่า "เหี้ย" ถือเป็นสัตว์อัปมงคล

ในส่วนข้างต้นนี้เป็นเพียงวัตถุภายนอกที่บ่งถึงกรรมของสัตว์ เรียกว่า "รูปที่เกิดแต่กรรม" กรรมเป็นตัวจัดสรรให้เกิดมีขึ้นตามบุญกุศลที่สัตว์ตนนั้นได้กระทำมา ดังนั้นโลกนี้จักรวาลนี้จึงปรากฎแก่สัตว์ทั้งหลายด้วยอำนาจกรรมทั้งสิ้น จะเห็นว่าโลกมนุษย์ก็มีสภาพอีกอย่าง สวรรค์ก็อีกอย่าง นรกก็อีกอย่าง ผู้มีปัญญาพึงพิจารณาดูเถิด...​

 

( ต่อ )

รัตตัญญู หมายถึงอะไร?

คัมภีร์สมฺโมหวิโนทนี อรรถกถาพระอภิธรรม ให้ความหมายของคำว่า "รัตตัญญู" ดังนี้...

 

( ต่อ )

อหํ รตฺตญฺญู อสุกํ พุทฺธวํสํ ราชวํสํ ชนปทวํสํ คามวํสํ รตฺตินฺทิวปริจฺเฉทํ นกฺขตฺตมุหุตฺตโยคํ ชานามี"ติ... แปลว่า " เราเป็นผู้รู้ราตรีนาน คือ รู้วงศ์ของพระพุทธเจ้าพระองค์โน้น รู้วงศ์ของพระราชาองค์โน้น รู้วงศ์ของชนบทโน้น รู้วงศ์บ้านโน้น รู้การกำหนดกลางวันและกลางคืน รู้การประกอบฤกษ์และการทำนาย..." #

หมายเหตุ # สัมโมหวิโนทนี ๒๔๓-๒๔๔/๔๐๕

 

( ต่อ )

ความรู้ในเรื่องเหล่านี้ ท่านเรียกว่า รัตตัญญู แปลว่า ผู้รู้ราตรีนาน หากจะพูดเป็นภาษาปัจจุบัน อาจเรียกว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์และโหราศาสตร์นั่นเอง ในสมัยพุทธกาลนั้นผู้รอบรู้ในเรื่องเหล่านี้นับว่ามีมาก แต่เมื่อรู้แล้วไม่ยึดติดในความรอบรู้นั้นนับว่าน้อยยิ่ง เพราะเหตุว่าท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้มากด้วยมานะตัณหาและอุปาทาน สำหรับผู้ที่รอบรู้ แต่สามารถสลัดการยึดติดความรู้นั้นได้ และยังใช้ความรู้อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอำนาจ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ว่าเป็นตัวกูของกูนั้นนับว่าเป็น "ยอดของรัตตัญญู" ในสมัยพุทธกาล บุคคลที่ปรากฎชัดที่สุดคือ "พระอัญญาโกญฑัญญะ" ซึ่งท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ ว่าเป็นยอดแห่งพุทธบุตรผู้เยี่ยมยอดในทางรัตตัญญู ( เป็นเอตทัคคะทางรัตตัญญู )

 

รัตตัญญูจำเป็นต่อกิจของสงฆ์อย่างไร ?

-พระผู้อยู่ป่าต้องศึกษาเรื่องดารา ( อารัญญิกวัตร )

อารัญญิกวัตตกถา แห่งพระวินัยว่า สมัยนั้น ภิกษุหลายรูปอยู่ในป่า ไม่ตั้งน้ำดื่ม ไม่ตั้งน้ำใช้ ไม่ติดไฟ ไม่เตรียมไม้สีไฟ ไม่รู้เรื่องนักษัตร ไม่รู้จักทิศ พวกโจรพากันไปที่นั้น แล้วถามภิกษุเหล่านั้น ดังนี้ว่า "ท่านทั้งหลาย มีน้ำดื่มหรือ...มีน้ำใช้หรือ...มีไฟหรือ...มีไม้สีไฟหรือ...วันนี้เป็นฤกษ์อะไร... นี้ทิศอะไร..." ทั้งหมดที่พวกโจรถาม ภิกษุทั้งหลายตอบว่า "ไม่มีสักอย่างเลย" พวกโจรคิดว่า คนพวกนี้ไม่ใช่ภิกษุ ( เพราะถ้าเป็นภิกษุก็ต้องรู้กิจเหล่านี้ ) จึงทำร้าย แล้วหนีไป ต่อมาภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า มีพุทธดำรัส ว่า ถ้าเช่นนั้น เราจะบัญญัติวัตรแก่ภิกษุผู้อยู่ป่าทั้งหลาย โดยที่ภิกษุผู้อยู่ป่าทั้งหลายต้องประพฤติชอบ

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อยู่ป่า ควรลุกขึ้นแต่เช้าตรู่...พึงปกปิดกายด้วยดีในละแวกบ้าน ฯลฯ ไม่พึงเดินกระโหย่งไปในละแวกบ้าน ออกจากหมู่บ้าน แล้วสวมถุงบาตร คล้องบ่า พับจีวรวางไว้บนศีรษะสวมรองเท้าเดินไป...ภิกษุผู้อยู่ป่า พึงตั้งน้ำดื่ม พึงตั้งน้ำใช้ พึงติดไฟ พึงเตรียมไม้สีไฟไว้ พึงเตรียมไม้เท้า พึงเรีบนรู้เรื่องนักษัตรทุกประเภทหรือเรียนบางส่วน พึงเป็นผู้ฉลาดในทิศ ^

หมายเหตุ ^ พระวินัยปิฏก จูฬวรรค ( วิ.จู. ) ๗ /๓๖๗ - ๓๖๘ /๒๓๕ - ๒๓๗.

 

( ต่อ )

-การคำนวณวันอุโบสถ ดิถี อธิกสุรทิน

ความในมหาปทานสูตร แห่งพระสุตตันตปิฎกว่า

ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิปัสสี พระองค์ไม่ได้บัญญัติพระวินัยเพื่อเป็นกรอบให้กับพระสงฆ์เพราะคนยุคนั้นมีกิเลสที่บางเบา ฟังธรรมไม่กี่ประโยคก็บรรลุธรรมแล้ว พระสงฆ์ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นอรหันต์สิ้น เข้าใจว่ามีพระปุถุชนเป็นส่วนน้อย เล่ากันว่า สมัยนั้น ในชมพูทวีปมีอาวาสอยู่ ๘๔,๐๐๐ แห่ง เมื่อถึงเวลาทำสังฆกรรม ภิกษุบางรูปไม่รู้วันอุโบสถ ทำให้เทวดาต้องพากันเที่ยวบอกวันอุโบถ และวันประชุม สำหรับพระผู้มีกำลังฤทธิ์ต่างก็ไปด้วยกำลังฤทธิ์ เหาะไปบ้าง ดำดินไปบ้าง หายตัวไปบ้าง ไปด้วยอานุภาพของเทวดาบ้าง ดังคำของเทวดาที่ป่าวประกาศวันอุโบสถว่า


ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย เวลาล่วงไป ๑ ปีแล้วบัดนี้เหลือเวลา ๕ ปี

เวลาล่วงไป ๒ ปีแล้ว บัดนี้เหลือเวลา ๔ ปี...
เวลาล่วงไป ๓ ปีแล้ว บัดนี้เหลือเวลา ๓ ปี...
เวลาล่วงไป ๔ ปีแล้ว บัดนี้เหลือเวลา ๒ ปี...
เวลาล่วงไป ๕ ปีแล้ว บัดนี้เหลือเวลา ๑ ปี...

เวลาล่วงไป ๖ ปีแล้ว บัดนี้ถึงเวลาแล้ว " พวกท่านพึงเข้าไปยังกรุงพันธุมดีราชธานีเพื่อแสดงปาติโมกข์ "

 

(ต่อ)

หมายเหตุ ** ...เพื่อแสดงปาติโมกข์...ดังความใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค ๑๐/๘๙/๔๙-๕๐


จะเห็นว่า ในศาสนาของพระวิปัสสีพุทธเจ้านี้ไม่มีการบัญญัติพระวินัย อายุพระศาสนาจึงสั้นกว่าสมัยของพระโคตมพุทธเจ้าผู้ซึ่งเราท่านทั้งหลายนับถือกันอยู่ในปัจจุบัน อายุพระศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้าจึงยั่งยืน เพราะพระองค์บัญญัติพระวินัยไว้ เช่น การกำหนดวันอุโบสถ เป็นต้น พระองค์บัญญัติให้เป็นวัตรของพระสงฆ์ให้กำหนดรู้เรื่องดวงดาวว่า " ภิกษุทั้งหลาย...พึงเรียนรู้เรื่องนักษัตรทุกประเภทหรือเรียนบางส่วน พึงเป็นผู้ฉลาดในทิศ "*** สังฆกรรมของพระสงฆ์จึงเป็นไปอย่างมีระบบ สามารถกำหนดวันล่วงหน้าและถอยหลังได้เลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้น แบบแผนนี้จึงเป็นเหตุให้พระสงฆ์มีความสามัคคีกันมากยิ่งขึ้น เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้พระศาสนาเจริญสืบมาถึงปัจจุบัน

หมายเหตุ *** พระวินัยปิฎก จูฬวรรค ๗/๓๖๗-๓๖๘/๒๓๕-๒๓๗

 

เรียน ท่านผู้สนใจ ที่สนใจอยากจะศึกษา ศาสตร์แนวนี้ ทางชมรมฯ จะเปิดรับสมัครเพื่อเข้าอบรม ในวันที่ 24 เมษา นี้แล้วนะครับ สนใจติดต่อได้ที่ รายละเอียดในหน้าแรกสุดครับ

 

เพิ่มเติม ....ทางชมรมฯได้แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ มาด้วยแล้ว...

 

ขออนุโมทนา กับทุกๆท่าน ที่ให้ความสนใจ ที่จะศึกษาศาสตร์ในแนวทางนี้ครับ สำหรับผู้สนใจที่มาไม่ทันร่วมพิธีเมื่อวานนี้ ทางชมรมฯ ยังมีจัดขึ้นอีกครั้งครับ ซึ่งครั้งต่อไปจะเป็นวันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม ศกนี้ครับ

 

สนใจและอยากเรียนมากๆๆๆแต่ไม่ได้อยู่เมืองไทยค่ะ จะมีกรณีพิเศษบ้างมั้ยค่ะและสนใจการนั่งสมาธิด้วยค่ะ สนใจมานานแล้วค่ะพยายามติดต่อก็ไม่ได้เรื่องอะไร อยากเรียนจริงๆค่ะ

 

ขอบคุณมากครับ คุณ lissent ที่ให้ความสนใจ ว่าแต่ว่าตอนนี้คุณ lissent อยู่ที่ไหนล่ะครับ แล้วมีโอกาสมาเมืองไทยบ้างไหมล่ะครับ

 

คุณราชินค่ะ ปีนี้คิดว่าไม่ได้มาค่ะช่วงนี้ยังไม่ได้ทำงานเวลาว่างมีเยอะก็เลยอยากฉวยโอกาสตอนนี้ศึกษาไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็คงพอจะช่วยเหลื่อตัวเองได้บ้างและทำให้เกิดความมั่นใจขึ้นอีกอย่างก็จะได้ทดลองดูด้วยว่าจะช่วยอะไรได้บ้างกับชีวตจริงๆได้มากน้อยแค่ไหนเมื่อมีโอกาสมาเมืองไทยก็จะได้จัดเวลามาไหว้คูร คิดว่าปีหน้าคงจะได้มาแน่ คุณราชินมีความคิดเห็นอย่างไรค่ะกรุณาชี้แนะได้เลยค่ะ

 

สวัสดีครับ คุณ lissent

ถ้าคุณ lissent ยังไม่มีโอกาสก็คงจะต้องรอจนถึงวันนั้นครับ วันที่คุณ lissent สะดวกครับ ช่วงเดือนเมษายนไม่ทัน ก็ลองดูในช่วงเดือนกันยายนอีกครั้งก็ได้ครับ ในปีหนึ่งทางชมรมฯ จะเปิดสอนเพียงแค่ 2 รุ่นเท่านั้นครับ... เอาใจช่วย...และขออนุโมทนาครับ...

 

มีข่าวประชาสัมพันธ์ อบรมฟรี โหราศาสตร์แนวพุทธ-ปฐวีกสิณ-บำบัดโรคตามคัมภีร์สุวรรณโคมคำ มาจากชมรมฯ ครับ เกี่ยวกับงานไหว้ครูซึ่งจะมีขึ้นในเดือนหน้า วันที่ 9 และ 23 ตุลาคม 2551 รอบแรก 17.30น. รอบสอง 19.00น. สนใจติดต่อ 02 681 2523 , 081 726 4243, 085 249 9436, 089 202 1995

 

(เพิ่มเติม )

ทางชมรมฯ มีแจ้งข่าวมาอีก เชิญอ่านได้ครับ

 

อนุโมทนาครับ

ท่านใดสนใจโหราศาสตร์จริงๆ ไปเรียนที่นี่ ไม่ผิดหวังครับ..

 

มีบทความเพิ่มเติมจากทางชมรมฯ ส่งมาครับ เป็นบทความเกี่ยวกับวิชาการตั้งชื่อ... เชิญอ่านได้ครับ...

 

( ต่อ ) สำหรับท่านไปร่วมงานไหว้ครู เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา เชิญชมบรรยากาศในงานได้จาก ลิ้งค์นี้ http://www.komcome.com/waicru/index.htm ส่วนท่านที่สนใจ หรือ พลาดโอกาส ทางชมรมฯ จะมีจัดอีกในวันที่ 23 ตุลาคม นี้ครับ

 

เริ่มเปิดคอร์สใหม่แล้วสำหรับปี2552นี้

สำหรับผู้สนใจที่จะสมัครเข้าเรียน จะต้องเข้าพิธีไหว้ครูเสียก่อน ซึ่งจะตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 2 และ 23 เดือนเมษายน ศกนี้ เชิญอ่านรายละเอียดได้จากไฟล์ที่แนบมานี้ครับ