อยากทราบวิธีการแก้ไขเวทนาทางการจากการนั่งสมาธิครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย จิตวิสุทธิ, 11 กันยายน 2008.

  1. จิตวิสุทธิ

    จิตวิสุทธิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +101
    รบกวนท่านผู้รู้ช่วยแนะนำวิธีแก้ไขอาการเวทนาจาการนั่งสมาธิหน่อยครับ เพื่อเป็นการผ่านด่านทางยากยิ่งครับ
     
  2. ดวงตายมฑูต

    ดวงตายมฑูต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +10
    ก็ปล่อยวาง มันจะเจ็บก็ให้เจ็บไปให้เวทนาเกิดไปครับ ก็บอกมันเจ็บไปนะอย่าหยุด แน่จริงอย่าหยุด ยังไงก็ไม่ออกจากสมาธิ เดี๋ยวมันก็หายไปเอง อย่าไปกลัว ต้องสู้กับมัน ขู่มัน จนรู้เวทนาเกิดก็รู้ว่าเกิด เกิดแล้วดับไป ตอบจากประสบการณ์ลองไปใช้ดูนะครับ


    อนุโมทนาในการปฏิบัติครับ
     
  3. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    ปวดมากก็ขยับ นวด ลุกเดินจงกรมสลับ

    พระพุทธศาสนาสอนทางดับทุกข์ ไม่ได้สอนให้ทรมานตัวเองครับ
    ดับทุกข์ต้องอาศัยปัญญา มัชฌิมาปฏิปทา


    ความเกียจคร้าน เอาแต่สบายไม่ปฏิบัติ เป็นกามสุขัลลิกานุโยค

    ความเพียรเกินกำลัง ทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น เป็นอัตตกิลมถานุโยค
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2008
  4. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    นั่งมาก

    วันหนึ่งหลวงพ่อนำคณะสงฆ์ทำงานวัด
    มีวัยรุ่นมาเดินชมวัดถามท่านเชิงตำหนิ
    "ทำไมท่านไม่นำพระเณรนั่งสมาธิ ชอบพาพระเณรทำงานไม่หยุด"
    "นั่งมากขี้ไม่ออกว่ะ" หลวงพ่อสวนกลับ ยกไม้เท้าชี้หน้าคนถาม
    "ที่ถูกนั้น นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ต้องนั่งบ้าง
    ทำประโยชน์บ้าง ทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที
    อย่างนี้จึงถูก กลับไปเรียนใหม่ ยังงี้ยังอ่อนอยู่มาก
    เรื่องการปฏิบัตินี้ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูด มันขายขี้หน้าตนเอง"


    หลวงพ่อชา
     
  5. ดวงตายมฑูต

    ดวงตายมฑูต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +10
    คุณทน(ขันติ)ไหวมั้ยล่ะครับ
    ทนไหวก็ทนไป
    อย่าลืมเรื่อง "ไตรลักษณ์" เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
    ไม่มีใครเมื่อยตลอดไป
    มีเมื่อย ก็มีไม่เมื่อยๆ เป็นอย่างนี้สลับกันไป
    เคล็ดลับมันอยู่ที่ เวลาที่คุณทนทำสมาธิไม่ไหว (เพราะปวดเมื่อย) ก็ให้ทนต่อไปอีกนิดเดียว อีกนิดเดียว แล้วค่อยออกจากสมาธิ
    ทุกครั้งที่ทนไม่ไหว ให้อดใจทนต่อไปอีกนิด
    ทีละนิดๆ หลายครั้ง ก็จะทนได้นาน
    แล้วเมื่อคุณทนได้ คุณก็จะได้ "อะไร" คุ้มค่ากับการทน

    ความเมื่อยความปวดหายไป ต่างจากการ "ชา"
    การ "ชา" เป็นไปเพราะเลือดไม่ไหวเวียน ชาจะไม่มีความรู้สึก
    แต่ความเมื่อยความปวดหายไป ที่เกิดจากการอดทนทำต่อไปสักพัก นั่นคือผลของการปฏิบัติ คือมี "สมาธิ" สูงขึ้นไปอีก
    อธิบายอย่างนี้
    ที่คุณปวดเมื่อยน่ะ ไม่ใช่ขามันปวด
    ขามันจะปวดได้ยังงัย มันไม่มีตัว "รับรู้" ความปวดเมื่อย
    ไม่เชื่อเราตัดขาไปวางไว้เฉยๆ แล้วเอามีดฟัน ขามันจะเจ็บมั้ย
    ไม่เจ็บหรอกครับ (หมายถึงขาที่หลุดออกมาแล้วไม่เจ็บนะครับ ไม่ใช่ตอนที่ฟันขาออกมา ยังงัยมันก็ต้องเจ็บ)
    หรืออย่างนี้.... ขาของคนที่ตายไปแล้ว มันก็ไม่เจ็บ
    เพราะมันไม่มีตัว "รับรู้" ความเจ็บ
    ตัวรับรู้ที่ว่าก็คือ "จิต"
    เพราะร่างกายมี "จิต" ร่างกายจึงรับรู้ถึงอาการและความเจ็บปวดทั้งหลาย

    เมื่อเราทำสมาธิไปสักระยะ
    เราจะเข้าเรื่อง "การรับรู้" ของจิต
    เมื่อมี "สติ" มากขึ้น ก็จะเข้าใจเรื่อง "จิต" มากขึ้น
    และรู้จักแยกแยะ "จิต" มากจึ้น จนถึงขนาดแยกกายและจิตออกจากกันได้
    นี่แหละครับ เมื่อจิตไม่รับรู้กับอาการปวดเมื่อยของขา ขามันก็ไม่ปวดไม่เมื่อย
    แต่ไม่ใช่อาการ "ชา"
    คนละเรื่องกัน

    อย่าเพิ่งงง
    ให้ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็หายงงเอง
    ตั้งใจฝึกไปเรื่อยๆ นะครับ

    อนุโมทนาครับ
     
  6. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    คุณดวงตายมทูต

    การทน มีประโยชน์คือได้ขันติที่ใจ แต่ร่างกายไม่ได้รับผลดี
    เส้นเลือดฝอยที่ขาเดินไม่ดี กล้ามเนื้อเกร็ง
    มีผลกับสมองและอวัยวะอื่นๆ ด้วยนะครับ
    อย่าคิดแค่ตื้นๆ ว่าได้สมาธิในท่านั่งเท่านั้น
    ผลเสียอื่นๆ ตามมาก็เพราะอวิชชาคิดว่าตนรู้ไตรลักษณ์นี่แหละ

    กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีระบุ ยืน เดิน นั่ง นอน และอิริยาบทย่อย

    พุทธศาสนาสอนให้ดับทุกข์ ไม่ใช่ทรมานร่างกาย หรือเอาสมาธิกดเอาไว้
    ทำเอาสมาธิกดเอาไว้ ฤาษีโยคีก็ทำได้ครับ
    ขนาดฤาษีโยคี ยังอุตส่าห์คิดท่าโยคะดัดตนเอาไว้แก้เมื่อย

    เราเป็นสาวกของพุทธะผู้แจ้งโลก
    ต้องมีปัญญาไม่ต้องไปทรมานตนนั่งให้เมื่อยขบ
    (หลวงพ่อชาท่านว่า ขี้ไม่ออก)

    ที่กล่าวมานี่เพราะผมเคยทำมาแล้ว
    ได้สมาธิกดเอาไว้ เสร็จแล้วออกจากสมาธิก็เจ็บเข่า ขาชา
    ก็ต้องไปเดิน ไปนวดให้มันหายอยู่ดี

    ดังนั้น ถ้าเวทนาถึงคราวที่มันดับไปอยู่แล้ว จะเวลาไหนก็ตามแต่เหตุปัจจัย
    จะต้องไปทำให้ร่างกายมันมีปัญหาอื่นๆ ตามมาทำไม

    คุณเห็นพระบางท่านที่เป็นอัมพาต หรือมีปัญหาที่เข่า-ขา หรือเปล่าครับ
    ปัญหาส่วนหนึ่งเพราะทำแบบที่คุณทำบ่อยๆ นี่แหละครับ

    "อะไร" ที่คุณว่า ไม่ได้เกิดในท่านั่งเท่านั้น
    สภาวะธรรม ปัญญา สติ สมาธิ ญาณ
    เกิดได้ทุกท่า จะกินอาหาร ขับถ่าย เอนกาย
    บิดขี้เกียจ หาว ขยับแขนขา ก็เกิดผลดีได้ทั้งนั้น

    พุทธศาสนาสอนให้ใช้ปัญญา ไม่ได้ใช้ความไม่รู้ไปิกดดันที่ทำให้ทุกข์มากขึ้น
    อันนี้ขึ้นกับสายกลางของแต่ตคนซึ่งไม่เท่ากันด้วย

    แต่ผมเองรู้จักทุกข์ของร่างกายว่าเป็นยังไง คงไม่โง่ไปทำให้มันทุกข์ไปมากกว่าที่เป็นอยู่หรอกครับ
     
  7. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    คุณดวงตายมทูต

    ขาปวดได้ เพราะ มีเส้นประสาท มีกายวิญญาณ
    เส้นประสาทก็เป็นทุกข์
    กายวิญญาณก็เป็นทุกข์

    ร่างกายมหัศจรรย์ มันบอกเราว่า ให้พอก่อน ทนไม่ไหวแล้ว
    แต่ความโง่ด้วยของคนที่คิดว่ารู้ไตรลักษณ์
    แต่ไม่รู้เลยว่า กายมันทุกข์ กายมันมีกลไกจะเปลี่ยนท่าเพื่อแก้ทุกข์
    แต่กลไกของ อนิจจัง-ทุกขัง ของร่างกายและจิตใจ
    ยังไปฝืน จะให้พูดตรงๆ คือ คุณไม่เข้าใจไตรลักษณ์ แต่คิดไปเองว่าเข้าใจ


    เมื่อทำสมาธิไปเรื่อย จิตแนบแน่นกับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
    กลไกของวิญญาณจะกดความรู้สึกทางร่างกาย(กายวิญญาณ)


    แต่นี่ไม่ใช่การแยกของกายกับจิต เป็นแค่เอาสมาธิไปกดไว้เท่านั้น

    ถ้าแยกได้จริง ต้องรับรู้เวทนาได้ แต่จิตไม่ทุกข์ไปกับเวทนานั้นๆ
    จิตไม่กระเทือนกับเวทนา รู้ว่าเจ็บ รู้ว่าปวด แต่ไม่เสวยอารมณ์นั้น

    คุณกลับไปฝึกวิปัสสนากับครูบาอาจารย์ดีๆ ให้มากๆ
    แล้วค่อยมาแนะนำให้คนอื่นดีกว่าครับ
     
  8. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    เรียนคุณบัวบานbouban

    คุณลองดูที่สาเหตุว่า ทำไมถึงมีเวทนา
    นั่งนานไปหรือเปล่า นั่งหลังงอไปหรือเปล่า หรือนั่งเกร็งกล้ามเนื้อ

    สังเกตให้รอบ แก้ให้ถูกจุด แก้ทุกข์ด้วยปัญญานะครับ

    อย่าไปทนทุกข์ด้วยความโง่คิดว่าจะฝืนกฎไตรลักษณ์ได้

    ร่างกายยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ครับ เพราะฉนั้นกระทำแต่พอเหมาะสายกลาง
    ตามความสามารถของตนด้วยปัญญา

    อย่าไปทำอะไรโง่ๆ ทรมานร่างกายแบบที่ฤาษีโยคีบางพวกทำกันมาก่อนพระพุทธเจ้า
    (ทำแล้วก็ไม่พ้นทุกข์)
     
  9. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    อุบายต่อสู้กับความปวด

    1. สำหรับเด็ก หรือคนหนุ่มสาว คนที่มิได้มีปัญหาเรื่องเข่า และกระดูกขาที่

    ใช้การนั่งขัดสมาธิในการปฏิบัติธรรม เมื่อปวดขาหรือเหน็บชาให้ทนจนถึงที่สุด

    ไม่สนใจ

    ความปวด ภาวนาของตนเรื่อยไป เพราะเมื่อสมาธิดีขึ้น ความปวดจะค่อยๆ

    หายไป

    เพราะถ้าพลิกก็จะเป็นเหตุให้พลิกบ่อยทำให้สมาธิเคลื่อนได้ง่าย

    2. เมื่อใช้วิธีที่หนึ่งยังปวดอยู่อีก ก็ให้ใช้วิธีโยกตัว คือ โน้มตัวไปข้างหน้า

    หรือเอียงตัวไปข้างๆ ให้สะโพกพ้นจากพื้นนิดหนึ่ง ทำให้เส้นเลือดไม่ถูกทับ

    ทำให้เลือด

    เดินสะดวก เพราะบางครั้ง ถ้านั่งทับอยู่นานจะทำให้รู้สึกชา ณ บริเวณที่ปวด

    เนื่องจากเลือดไหลไม่สะดวก

    3. ถ้ายังไม่หายปวด ยังเมื่อยขบอยู่ ก็ให้ใช้อุบายที่สาม คือ ใช้ฝ่ามือทั้ง

    สองยันพื้นแล้วค่อยยกตัวขึ้นเบาๆ จะทำให้หายปวดไปช่วงหนึ่ง

    4. ถ้ายังไม่หายปวดเมื่อย ก็ให้ใช้พลังจิตหรือพลังสมาธิบรรเทาปวดหรือ

    ทำลายความปวด โดยเพ่งจิตไปที่จุดปวด พร้อมกับภาวนาว่า จางคลาย

    จางคลาย

    หรือ จงหาย จงหาย ถ้าสมาธิดีพอ ความปวดจะบรรเทาลงหรือหายไป

    บางคนจะรู้สึก

    ซ่าไปทั่วในบริเวณที่ปวด บางคนจะรู้สึกว่ามีเสียงดังเปี๊ยะ

    แล้วความปวดก็จะหายไป

    5. ถ้ายังไม่หายก็ให้เจริญวิปัสสนา เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นพระไตรลักษณ์

    โดยเฉพาะทุกข์ชัด ก็ให้ภาวนาเพื่อให้เห็นทุกข์ชัดขึ้น

    เหมือนหนามยอกเอาหนามบ่ง

    โดยภาวนาว่า ทุกข์หนอๆ หรือทุกข์จริงๆ หรือปวดจริงๆ เมื่อสู้ถึงที่สุดแล้ว

    ความปวด

    จะหายไป

    6. ถ้ายังไม่หาย ให้แยกกายกับจิตออกจากกัน อย่าให้จิตกระวนกระวายไป

    ตามกาย คือ ปวดเฉพาะกาย อย่าให้ใจปวดไปตามกายนั้นด้วย

    7. ถ้ายังไม่สำเร็จคือยังทนไม่ไหว เพราะร่างกายกระวนกระวายมากแทบนั่ง

    ไม่ติด ก็ให้ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา โดยย้ำไปที่อนัตตาว่า ตัวตนที่แท้จริงไม่มี

    มีแต่ขันธ์ 5

    ธาตุ 6 หรือ นามรูปเท่านั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

    แล้วใช้อุเบกขาวางเฉยต่อนาม

    รูปอันเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ แล้วในที่สุดความปวดก็จะหายไป

    8. ถ้ายังไม่หาย ก็ให้ใช้สติเข้ามาหมุน เพราะสติเป็นตัวกำจัดความปวด

    เมื่อยได้ดีมาก คือทำจิตให้เกิดสติขึ้น ด้วยอุบายวิธีที่เคยทำมาในขณะเจริญสมถะ

    เช่น

    ภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ แล้วจี้จิตไปยังจุดที่ปวด

    เมื่อความปวดเบาหรือหายไปแล้วก็

    ภาวนา เกิดอยู่ ดับอยู่ ต่อไป ถ้าปวดอีกก็ใช้สติเข้าช่วยอีกสลับกันไปอย่างนี้

    เพราะสติ

    กับปัญญาบางครั้งต้องช่วยกันและกันเหมือนมือซ้ายกับมือขวา

    9. ถ้ายังไม่หายก็ปล่อยให้มันปวดไปอย่างนั้น โดยภาวนาของเราเรื่อยไป

    จนกว่าจะหมดเวลาที่กำหนดไว้ บางคนถึงกับเหน็บชาไปทั่วทั้งขาและสะโพก

    จนไม่รู้สึก

    ว่ามีขาหรือสะโพก บางคนก็ชาไปถึงอก ก็ปล่อยมันไปอย่างนั้น

    ภาวนาของเราเรื่อยไป

    บางท่านถึงกับเหงื่อแตกพลัก แล้วในที่สุดความปวดก็หายไปเหมือนปลิดทิ้ง

    นั่งเหมือน

    ตัวลอย พบความสุขสงบใจอย่างยิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน

    10. ถ้าหากว่าได้ใช้วิธีการต่างๆ ดังกล่าวหมดทุกสิ่งแล้วความเจ็บปวดก็ยัง

    ไม่หาย และรู้สึกว่ารุนแรงเหลือจะทนได้ ก็ให้พลิกเปลี่ยนท่านั่ง

    หรือลุกขึ้นเดินจงกรม

    อย่าให้หักโหมจนเกินไป ค่อยสู้กันอีกในการนั่งครั้งต่อไป

    11. ถ้าต้องการให้นั่งได้นานๆ โดยไม่ให้มีการปวดเมื่อย เช่น นั่งเป็นชั่วโมง

    หรือนานกว่านี้ ก็ให้ตั้งอธิษฐานจิต ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่

    (ถ้าได้ตั้งอธิษฐานจิตต่อ

    หน้าพระพุทธรูปก็ยิ่งดี) อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย และบุญกุศลที่ทำมาว่า

    ให้นั่งได้ตาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2008
  10. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    กำหนดเวลาที่ต้องการ โดยไม่ให้มีการปวดเมื่อย

    แต่การอธิษฐานจิตนี้ไม่ควรทำบ่อย

    เพราะถ้าทำบ่อย หรืออธิษฐานมากเกินไป ก็จะไม่เป็นผล

    หากว่าได้ใช้อุบายดังกล่าวมานี้ ในที่สุด เราจะชนะความปวดได้ และจะพบ

    ความเบากาย เบาใจ จิตจะเข้าสู่ความนิ่งสงบรู้ชัดสภาวธรรมมากยิ่งขึ้น

    กิเลสที่เกาะ

    แน่นอยู่ในจิตจะถูกถอนออกตามกำลังของความเพียรที่ได้ทุ่มเทลงไป

    และตามกำลังแห่ง

    บุญบารมีที่เคยสั่งสมมา

    ตามปกติในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานต้องผ่านทุกข์ เช่น การปวดเมื่อย

    เป็นต้น เพราะถ้าไม่เห็นทุกข์ วิปัสสนาก็จะไม่เกิด

    เพราะไม่ซาบซึ้งในความเป็นทุกข์ของ

    นามรูป ไม่เป็นเหตุให้เบื่อหน่ายในนามรูป เพราะผู้ไม่เห็นทุกข์ย่อมไม่เห็นธรรม

    เมื่อ

    ประสบทุกข์ จนเห็นทุกข์อย่างเต็มที่แล้ว จิตก็จะเบื่อหน่ายในนามรูป

    อันเกิดมาจากการ

    เวียนว่ายตายเกิด จึงเปน็ เหตุให้จิตเกิดความวางเฉยในสังขารทั้งปวง แลว้

    ผู้ปฏิบัตินั้นจะ

    พบความสุข ความสงบและความเยือกเย็นในชีวิตเพิ่มขึ้น เพราะจิตเข้าถึงวิปัสสนา

    คือ

    ความเห็นชัดในสังขารทั้งปวงโดยความเป็นพระไตรลักษณ์ อันได้แก่ อนิจจัง

    ทุกขัง

    อนัตตา นั่นเอง


    อุบายเอาชนะความเจ็บปวด เมื่อนั่งสมาธิ

     
  11. Lacuna

    Lacuna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    3,132
    ค่าพลัง:
    +250
    จะนั่งต่อนานแค่ไหนหรือปรับอิริยาบทนั้น แล้วแต่จริตของแต่ละคน
    ดังหลวงตามหาบัวทรมานกายโดยการอดอาหาร ปรากฎว่าจิตกลับยิ่งสดใส
    ปัญญาเกิดขึ้นได้ง่าย ซึ่งท่านก็กล่าวเตือนสำหรับผู้ที่จะปฎิบัติตามเสมอ

    เราควรนำความปวดนี้มาเป็นประโยชน์ตามหลักสติปัฎฐาน 4
    ปวดขาเป็นกายสัมผัสสชาเวทนา ใช้เวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน
    เมื่อเกิดผัสสะก็เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา
    อยากให้ขาหายปวด เกิดอุปาทานยึดขาที่ปวดเป็นของเรา...เรื่อยไปจนเป็นทุกข์
    ตามกระแสปฏิจจสมุปบาท รู้เห็นตามความเป็นจริง เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
    เมื่อจิตคลายกำหนัดแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งวิมุติติญาณทัสสนะ (สูตรที่ 2 นิสสายวรรค
    เอกาทสกนิบาต อังคุตตรนิกาย)
     
  12. phoozaza

    phoozaza Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +46
    ได้ความรู้เพิ่มเยอะเลยค่ะ

    อนุโมทนาในการปฏิบัติธรรม

    ขอให้ทุกคนได้บุญทั่วถึงกันทุกคนนะคะ
     
  13. จิตวิสุทธิ

    จิตวิสุทธิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +101
    ขอขอบพระคุณทุกท่านทุกความคิดเห็นครับ ขออนุโมทนาครับ
    ---ผู้ที่ยังต้องเพียรอีกไกล----
     
  14. ดวงตายมฑูต

    ดวงตายมฑูต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +10
    แสดงความคิดเห็นเพื่อ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ครับ ไม่ใช่ที่จะมาเอาชนะกัน เบื่อพวกกลางตำรามาพูด เพราะที่ผมปฏิบัติมาก็ไม่ใช่แนวทางของโยคี ผมก็ปฏิบัติตามแนวพุทธศาสนาครูบาอาจารย์ท่านสั้งสอนมา เจอเวทนาทนได้ก็ทนได้ก่อน ทนไปอีกนิด ถ้าไม่ไหวก็ค่อยขยับอิริยาบท ถ้าปวดก็ขยับได้ไม่จำเป็นต้องทนเจ็บ แต่ให้ทนเท่าที่ไหว . . .
    ถ้าคนปฏิบัติจริง ๆ ถ้าเขามาอ่านเขาคงเข้าใจมากกว่าที่กลางตำรามาพูดนะครับ

    อโหสิให้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2008
  15. ดวงตายมฑูต

    ดวงตายมฑูต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +10
  16. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    แสดงความคิดเห็นเพื่อ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ครับ ไม่ใช่ที่จะมาแสดงความโง่กัน
    ใครๆ เห็นก็คงเบื่อพวกไม่มีปัญญาจริง แต่ทำเป็นรู้อ้างไตรลักษณ์
    มาเสนอความเห็นไม่เข้าท่า

    ถ้าปัญญาคุณมากนักเก่งนักเก่งกว่าคนอื่นอ้างแต่ตำรา ตัวเองเก่งนักก็นิพพานไปก่อนเลยสิ
    ครับ ตำราก็พุทธพจน์จากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น อย่ามาเที่ยวสอนคนอื่นแบบไม่รู้จริง
    นอกจากบาปกรรมแนะนำทางผิดให้คนอื่นแล้ว ยังมีกรรมปรามาสพระธรรม(ตำรา)
    นี่เป็นการแสดงพื้นฐานความล้า่หลังของภูมิปัญญาตัวเองด้วย

    นั่งนานๆ มันพวกฤาษีโยคี หนักเข้าก็เอาหัวทิ่มดิน ทำให้ร่างกายเป็นทุกข์มันไม่เป็นประโยชน์อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็ปฏิบัติมาแล้ว อดข้าว กลั้นหายใจ

    ไตรลักษณ์อยู่ทุกขณะ ทุกข์มีทุกขณะ
    ไม่ใช่ว่าจะต้องไปนั่งให้มันทุกข์มากขึ้น แบบโง่ๆ ครับ

    ครูบาอาจารย์หลายท่านสอนตามภูมิปัญญาศิษย์ ถ้าศิษย์ไม่ค่อยฉลาด ก็สอนวิธีแบบไม่ต้องใช้ปัญญาอะไรมาก ทำๆ ตามๆ ไป เหมือนเหมือนเด็กเลี้ยง...จูง....ตามกันเป็นฝูง
    จะไปอธิบายอะไรให้...มากก็ไม่ได้หรอกครับ นอกจากมันฟังไม่รู้เรื่อง เผลอๆ จะขวิดเอาเสียอีก

    เผลอบางทีไม่ทันดู ...ไปตกหลุมตกบ่ออีก นี่จะไปโทษครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่ได้
    นี่เพราะไม่รู้จักใช้ปัญญาหลบหลีกเอง
     
  17. ดวงตายมฑูต

    ดวงตายมฑูต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +10
    ผมมิบังอาจสอนใครแค่แสดงความเห็นทั่วไป ก็ดันมีบุคคลผู้ประเสริฐมีปัญญา
    มากัดแขวะกัน ก็ไม่เข้าใจเหมือนใจครับ ถ้าท่านผู้อ่านเขาแยกแยะได้ครับ
    ผมเองก็เป็นแค่ผู้ด้อยปัญญาเองครับ พระธรรมก็ไม่เคยลบหลู่ ที่หมายถึงคนที่เอาพระธรรมมาอ้างมากกว่าครับ

    คุณน่าจะไปนิพพานเลยนะครับ ฉลาดเหลือเกิน มีปัญญาเหลือเกิน สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2008
  18. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    เบื่อพวกฟังคนอื่นเขามาพูด มีปัญญาตัวเองไม่ได้เข้าใจจิง ก็ลอกเอาคนอื่นเขาพูด เพราะที่ผมปฏิบัติมาเป็นแนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ในพระวินัย เห็นชัดเลยพูดไปตรงๆ ใครจะว่าไปเอาชนะเอาแพ้คงเป็นคนโง่ โง่เพราะไม่ศึกษาให้รอบ เก่งแต่ไปลอกเอาจากที่คนอื่นเขาพูดมา
    . . .
     
  19. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    คนปรามาสพระธรรม(ตำรา) คนนั้นได้กระทำบาปใหญ่หลวงแล้ว
    ไปขอขมา ที่ปรามาสพระธรรมซะนะครับ

    เพราะปัญญาของคนที่สักแต่ไปจำคำคนอื่นเขามานั้น คงคิดได้แค่ตื้นๆ
    ผมไม่อยากเสียเวลากับคนประเภทนี้มากหรอกครับ แต่เห็นว่า เจ้าของกระทู้น่าจะไ้ด้ประโยชน์จากการตอบ และรู้จักการพิจารณาด้วยปัญญาที่แท้จริง

    ไม่ใช่ปัญญาของคนที่ลอกเอาคำคนอื่นเขามา แถมยังปรามาสพระธรรม
     
  20. ดวงตายมฑูต

    ดวงตายมฑูต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +10
    ขอบคุณครับ ที่ทำให้ผมได้ทำ อภัยทาน


    ผมไม่โกรธคุณเลยครับจะว่าอะไรก็เชิญเลยครับ

    ผมจะไม่พูดอะไรอีก ขอบคุณจริง ๆ ครับ ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...