อยากทราบวิธีการแก้ไขเวทนาจาการนั่งสมาธิครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย จิตวิสุทธิ, 11 กันยายน 2008.

  1. จิตวิสุทธิ

    จิตวิสุทธิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +101
    เรียนท่านผู้รู้ทุกท่านครับ ผมอยากได้คำแนะนำแนวทางในการแก้ไขอาการเวทนาจากการ
    นั่งสมาธิครับ
     
  2. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +38,356
    วิธีแก้ที่ผมเคยใช้
    1. อาศัยขันติคือความอดทน และทมะคือการข่มใจ
    2. พิจารณาดูเวทนาที่เกิดว่าที่จริงแล้วเกิดที่กายหรือที่ใจ ใจเจ็บหรือกายเจ็บ
    3. อาศัยใจเป็นผู้รู้ผู้ดู แยกกายกับจิต ให้ออกจากกัน
    4. เมื่อถึงจุดๆหนึ่งเวทนาก็จะหายไป เพราะทุกสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

    ขอให้อาศัยความเพียรและอดทน ย่อมเอาชนะทุกสิ่งได้ ลองดูคำแนะนำจากท่านอื่นประกอบด้วย ขออนุโมทนา
     
  3. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เคยมีคำกล่าวที่ว่าช้างตัวเท่ามดนะครับ.....พอจิตเข้าสมาธิไปนิดหน่อยเหมือนดังสี่ข้อของคุณเปลือกไม้คือมารมาเยือน....ตัวเวทนาจะมาก่อนเพื่อน....ปวดนี่เรื่องธรรมดาครับ....จะรู้อีกอย่างคือ...อาบน้ำแล้วไหว้พระ...ฯลฯ....แล้วนั่งสมาธิฯ....พักเดียวเท่านั้นขนเส้นเดียวที่อยู่ในหูของเรารู้สึกว่ามันจะเท่าช้างละครับ....เหมือนมีมดตัวเท่าช้างอยู่ในหู....ทั้งที่อาบน้ำเสร็จแล้วเอาสำลีปั่นอย่างดีเพราะกลัวจะเกิด...เกิดครับ...รู้สึก....มากๆกับขนเส้นเดียวที่ว่านี่....เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่

    มาสังเกตุการปวดเช่นกัน....ขนาดสบายแล้วครับไม่ชอบนั่งนอนดีกว่า....นั่งแล้วปวดแก่แล้วปวดหลังมีทุกคน....พอถึงเวทนาตัวนี้....อ้าว....ก็นอนอยู่แท้ๆ...อะไรจะมาสบายเท่านอน...ปวดครับ...ปวดมากๆ

    หูที่ว่านี่ลุกมาดับเหตุตัวนี้ด้วย...ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค...คือมีหนทางเดียวเท่านั้น...คือต้องปั่นอีกสามอันคอตตอนบัด(สำลีปั่นหู)ให้มันสาแก่ใจก่อนแล้วไปนั่งวิปัสนาสมาธิอีก...พอถึงอีกขณะหนึ่งตรงนี้แหละที่เดิมเวลาเดิม...ขนเส้นเดิมนี่แหละที่เดิม...การนอนที่ว่าสบาย...ก็เหมือนกัน

    สังเกตุ....ปวดนิดเดียวเอง...พอขยับก็หายใช่ไหมครับ...แต่พอจิตเป็นสมาธิอีก...เอาอีกแล้ว...ทีนี้อยากรู้ความจริง...นั่งนอนท่าเดิมแต่อย่าทำสมาธิ...เวลาเท่ากัน...ไม่คันไม่ปวดครับ...เผลอๆไม่ปวดทั้งคืนด้วยรู้อย่างไรเพราะมันนอนไม่หลับแล้ว...สังเกตุทั้งคืนมันไม่ได้ปวดนักปวดหนาขนาดนั่ง..นอนสมาธิเลยครับ..ปวดนิดเดียวขยับนิดเดียวก็หายแล้ว...แต่ขณะสมาธินี่ขนาดพระประทานในโบสก็เหมือนสู้ท่านไม่ไหว

    แยกไปเลยครับ...ปวดส่วนปวด...คันส่วนคัน...ยุงบินมาเอาแขนไปแหย่เลยนะ...ให้มันกัดตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลย...ได้บุญหัวข้อทานบารมี...บารมีเล็กๆ...เอาตาเห็นนี่แหละ...ลองกำหนดอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่ว่างๆ...จนรู้ว่าไม่คันนั่นแหละ...ใหม่ๆเขียนกไก่ว่ายาก...นานๆไป...เขียนผมรักคุณแล้ว...แล้วมันง่ายหรือยากครับ

    สรุปไอ้ที่เจ็บที่คันมันเรื่องของร่างกายครับ...เรื่องของมารมาดึงไม่ให้ทำให้ปฏิบัติ...มารตัวเล็กๆหรือมารเล็กน้อยเอง...เขียนกไก่ให้ได้...เขียนไม่ได้ผมรักคุณนี่เขียนไม่ได้แน่...จะเป็นมดเฝ้ามะม่วง...ตัวเองนั่งเฝ้าตัวเองไม่ได้กิน...มารเอาไปกินเสียแล้ว...ตามไปดูมันกำลังนั่งแลบลิ้นเลียแกนมะม่วงสุขแล้วอมแล้วส่งคืนเรานี่สิ...เจ็บไหมครับ....ไอ้ที่เจ็บที่คันคือกายครับ...ใครเอาจิตไปร้องมั่งเวลานักมวยโดยเขาเตะเข้าชายโครง...อยู่บนเวทีดัดจริตร่ายรำโดนเขาเตะไม่ร้อง...เวลาไม่ต่อยมวยเสี้ยนตำมือกายมันร้องอุ้ย...จิตมันไม่ร้องหรอกครับ...แกล้งมันบ้างเวลามันปวดก็กำหนดไปเลยสุขหนอๆ-ๆ-ๆ-ไปเลย...รู้อะไรครับ...สุขหรือทุกข์มันอยู่ที่เราหลอกตัวเองนี่หว่า...เออ...ธรรมข้อนี้...เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2008
  4. ดวงตายมฑูต

    ดวงตายมฑูต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +10
  5. จิตวิสุทธิ

    จิตวิสุทธิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +101
    ขอบพระคุณทุกท่านครับ
     
  6. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    ...แยกสติ(ผู้รู้)ออกจากกาย....ตามรู้เวทนาไป...พิจารณาไปลงในไตรลักษณ์...ด้วยความอดทน...ถึงที่สุดแล้ว...เวทนาต้องดับไปตามกฏอนิจจัง...ถ้าไม่ดับแสดงว่าสติยังไม่แยกจากกาย...
    ...เมื่อผ่านที่สุดของเวทนาแล้ว
    ...ผลคือ...อุเบกขาเวทนา
    .................................................................................
    เจริญธรรมครับ.._/|\_ ..^_^
    .................................................................................
     
  7. ดวงตายมฑูต

    ดวงตายมฑูต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +10
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ บัวบานbouban [​IMG]
    เรียนท่านผู้รู้ทุกท่านครับ ผมอยากได้คำแนะนำแนวทางในการแก้ไขอาการเวทนาจากการ
    นั่งสมาธิครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ...แยกสติ(ผู้รู้)ออกจากกาย....ตามรู้เวทนาไป...พิจารณาไปลงในไตรลักษณ์...ด้วยความอดทน...ถึงที่สุดแล้ว...เวทนาต้องดับไปตามกฏอนิจจัง...ถ้าไม่ดับแสดงว่าสติยังไม่แยกจากกาย...
    ...เมื่อผ่านที่สุดของเวทนาแล้ว
    ...ผลคือ...อุเบกขาเวทนา
    -------------------------






    อนุโมทนาครับ
     
  8. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    การทน มีประโยชน์คือได้ขันติที่ใจ แต่ร่างกายไม่ได้รับผลดี
    เส้นเลือดฝอยที่ขาเดินไม่ดี กล้ามเนื้อเกร็ง
    มีผลกับสมองและอวัยวะอื่นๆ ด้วยนะครับ
    อย่าคิดแค่ตื้นๆ ว่าได้สมาธิในท่านั่งเท่านั้น
    ผลเสียอื่นๆ ตามมาก็เพราะอวิชชาคิดว่าตนรู้ไตรลักษณ์นี่แหละ

    กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีระบุ ยืน เดิน นั่ง นอน และอิริยาบทย่อย

    พุทธศาสนาสอนให้ดับทุกข์ ไม่ใช่ทรมานร่างกาย หรือเอาสมาธิกดเอาไว้
    ทำเอาสมาธิกดเอาไว้ ฤาษีโยคีก็ทำได้ครับ
    ขนาดฤาษีโยคี ยังอุตส่าห์คิดท่าโยคะดัดตนเอาไว้แก้เมื่อย

    เราเป็นสาวกของพุทธะผู้แจ้งโลก
    ต้องมีปัญญาไม่ต้องไปทรมานตนนั่งให้เมื่อยขบ
    (หลวงพ่อชาท่านว่า ขี้ไม่ออก)

    ที่กล่าวมานี่เพราะผมเคยทำมาแล้ว
    ได้สมาธิกดเอาไว้ เสร็จแล้วออกจากสมาธิก็เจ็บเข่า ขาชา
    ก็ต้องไปเดิน ไปนวดให้มันหายอยู่ดี

    ดังนั้น ถ้าเวทนาถึงคราวที่มันดับไปอยู่แล้ว จะเวลาไหนก็ตามแต่เหตุปัจจัย
    จะต้องไปทำให้ร่างกายมันมีปัญหาอื่นๆ ตามมาทำไม

    คุณเห็นพระบางท่านที่เป็นอัมพาต หรือมีปัญหาที่เข่า-ขา หรือเปล่าครับ
    ปัญหาส่วนหนึ่งเพราะทำแบบที่คุณทำบ่อยๆ นี่แหละครับ

    "อะไร" ที่คุณว่า ไม่ได้เกิดในท่านั่งเท่านั้น
    สภาวะธรรม ปัญญา สติ สมาธิ ญาณ
    เกิดได้ทุกท่า จะกินอาหาร ขับถ่าย เอนกาย
    บิดขี้เกียจ หาว ขยับแขนขา ก็เกิดผลดีได้ทั้งนั้น

    พุทธศาสนาสอนให้ใช้ปัญญา ไม่ได้ใช้ความไม่รู้ไปิกดดันที่ทำให้ทุกข์มากขึ้น
    อันนี้ขึ้นกับสายกลางของแต่ตคนซึ่งไม่เท่ากันด้วย

    แต่ผมเองรู้จักทุกข์ของร่างกายว่าเป็นยังไง คงไม่โง่ไปทำให้มันทุกข์ไปมากกว่าที่เป็นอยู่หรอกครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...