จากคนธรรมดาสู่หนทางพระอนาคามี ค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Kamen rider, 9 มีนาคม 2005.

  1. เช้าใหม่

    เช้าใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2005
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +5,754
    สาธุครับ อ่านแล้วได้กำลังใจเยอะขึ้นเลยครับ
     
  2. chaimongkol2

    chaimongkol2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +2,113
    ขอโมทนาครับ...
     
  3. pisitv

    pisitv สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +11
    ขออนุญาตต่อเลยแล้วกันนะครับ

    ตอนที่ 6

    ช่วง 2 ปี มานี้ ดิฉันมีเวลาที่จะศึกษาพระไตรปิฎกควบคู่ไปกับการปฎิบัติธรรม ดิฉันศึกษาทั้งพระวินัยปิฎก และพระสุตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก อย่างจริงจังช่วงนี้จะมีเสียงมาเตือน เรื่องการปฎิบัติธรรมเสมอๆ เป็นเสียงที่กังวาล มีอำนาจมาก เพราะดิฉันเหลือสังโยชน์อีก 2 ที่ต้องพยายามละให้ได้ อันได้แก่ กามฉันท์ และความพยาบาท ครั้งใดที่ดิฉันชักจะเขวออนอกทางท่านก็มาเตือนโดยถามว่า ไม่แวะเจ้าค่ะ บางครั้งดิฉันก็เผลอเพลินไปยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส ท่านก็จะมาเตือนอีก ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ท่านว่าดิฉันเที่ยวได้ไปชวนคนนั้นคนนี้ ไปนิพพาน

    ตัวเองก็ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางอยู่แล้วจะยืดเวลาต่อไปอีกทำไมกัน
    แล้ววันที่ 10 กรกฏาคม 2546 ขณะนี้มีอายุ 53 ปี ขณะดิฉันศึกษา พระอภิธรรมถึงปริจเฉทที่ 9 ในเรื่องของวิปัสสนาญาณ 16 ขณะศึกษาอยู่นั่นเองญาณปัญญาที่เกิด อนาคามิมรรคประชุม อนาคามิผลเกิดทันที ทำลายปฎิฆะความผูกโกรธ พยาบาทหมดสิ้นไม่เหลือเป็นพระอนาคามีบุคคล

    วันนั้น สวรรค์สะเทือนเลือนลั่นไปถึงชั้นพรหมสุทธาวาส ดิฉันจึงได้รู้จักท่านท้าวมหาพรหมอนาคามีผู้ปกครองพรหมภูมิชั้นสุทธาวาส ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระอนาคามี ที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และเข้าสู่พระนิพพานในชั้นนี้ ดิฉันจึงได้มากระจ่างในวันนี้เองที่แท้เป็นท่านนั้นเองที่ได้มาสอนมาแนะนำการปฎิบัติแก่ฉันเสมอ มาคอยเตือนดิฉันให้เร่งทำความเพียรมาเป็นเวลานับสิบปีแล้ว เพราะดิฉันได้ตั้งความปรารถนาไว้ที่พระนิพพาน

    ในคืนนี้ขณะอยู่ในสมาธิ ท่านท้าวมหาพรหมอนาคามี ท่านได้มาชมดิฉันว่า ดิฉันเป็นคนมีปัญญาหาวิธีในการที่จะขจัดกิเลสตัวอภิชฌา และโทมนัส ความยินดิและความยินร้ายได้ ท่านบอกดิฉันว่าจะได้ไปเกิดบนพรหมภูมิชั้นสุทธาวาส ที่บนนั้นมีที่ว่างสำหรับดิฉันแล้ว แล้วฉันจะไปนิพพานที่นั่น ไม่เวียนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไป

    นับจากนั้นจนถึงวันนี้ ทวยเทพทั้งภาคสวรรค์ และชั้นพรหมต่างก็มาแสดงความยินดีกับดิฉันอยู่เรื่อยๆ เช่น ท่านท้าวจาตุมหาราช (ท้าวเวสสุวรรณ) ท่านนำถ้วยรางวัลมาให้ดิฉัน บอกว่าดิฉันได้เป็นที่ 1 ของฝ่ายหญิง ส่วนที่ 1 ของฝ่ายชายได้แก่พระภิกษุ ท่านผู้นี้มีชีวิตอยู่อย่างสมถะ

    วันต่อมาขณะทำสมาธิ ก็มีพระภิกษุสูงอายุรูปหนึ่ง นำธงชัยมาให้ดิฉัน ท่านบอกว่าท่านมาจากต่างภพ ท่านนำดอกไม้มาให้ดิฉันกำใหญ่ มาร่วมแสดงความยินดี ท่านเป็นพระอนาคามี ท่านมาสื่อกับดิฉันโดยใช้ภาษาอังกฤษ

    ทุกวันนี้ดิฉันพักอยู่เรือนร้าง ที่เงียบพอสมควรวันหนึ่งคืนหนึ่งอยู่กับการเจริญสติปัฎฐาน กำหนดดูกาย ดูเวทนา ดูจิต และพิจารณาธรรม ไม่ดูTV ไม่ฟังวิทยุ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่พูดคุยกับใคร นอนน้อย ส่วนใหญ่จะเดินจงกรม นั่งสมาธิกำหนดอริยาบทใหญ่ ยืน เดิน นั่ง นอน และกำหนดอิริยาบทย่อย คู้เหยียด ก้มเงย เหลียวซ้าย แลขวากำหนดทางอายตนะ ภายใน ภายนอก สิ่งที่มากระทบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กำหนดรู้ให้เท่าทัน ที่สำคัญที่สุดคือดูจิต ต้องใช้สติประคับประคองไว้ด้วยความระแวดระวัง เหมือนบุคคลผู้เดินโดยมีถาดน้ำมันที่เต็มเปี่ยมเทินอยู่บนศีรษะ

    เวลาของดิฉันที่เหลือ จนกว่าจะสิ้นอายุขัยนี้ดิฉันยังเป็นพระเสขะที่ยังจะต้องศึกษาอยู่ ดิฉันยังมีหน้าที่ที่จะต้องทำให้สังโยชน์เบื้องสูงที่เหลืออยู่อีก 5 อันได้แก่ รูปราคะ อรูปราคะ อุทธัจจะ มานะ และอวิชชาให้เบาบางลง

    เมื่อมาถึงจุดนี้ สัจธรรม ความจริงแท้ย่อมปรากฎทุกวันนี้ดิฉันอยู่อย่างมีความสุข โดยมี “อุเบกขา” เป็นเครื่องอยู่ ร้อนก็ไม่ทุกข์ หนาวก็ไม่ทุกข์ หิวกระหายก็ไม่ทุกข์ ไม่อยากเป็นอะไร ไม่อยากได้อะไร ไม่ชอบใคร ไม่ชังใคร ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ทุกอย่างก็จบลงตรงนี้ จึงอยากจะขอกล่าวไว้ล่วงหน้าว่า
    “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่พึงทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว” ซึ่งเป็นคำกล่าวของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย
     
  4. pisitv

    pisitv สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +11
    ตอนที่ 7 ประสบการณ์ฌานอภิญญา
    ครั้งพุทธกาล พระภิกษุสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าส่วนใหญ่จะมีอภิญญากัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับผู้ที่มีฌานสมาบัติ เมื่อเข้าจตุถฌาน หรืออรูปฌานได้ ก็สามารถอธิษฐานทำอภิญญาได้เช่น หูทิพย์ ตาทิพย์ รู้วาระจิตผู้อื่น ระลึกชาติ ทำกายทิพย์ให้บังเกิดขึ้นได้ อยากจะไปท่องเที่ยวที่ไหน จะเป็นสวรรค์หรือนรก ก็ไปได้ตามที่ต้องการ
    เมื่อดิฉันเข้าฌานได้ครั้งแรก ก็อยากลองทำอภิญญาดูเห็นจิตตนเองว่าอยู่ในระดับ ฌาน4 และอรูปฌาน และประคองจิตไว้ เช่นนี้มาหลายวันแล้วจิตมีอารมณ์เป็นเอกคตาและอุเบกขา พอดีช่วงนั้นมีธุระอยากพบเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ซื่งอยู่อีกจังหวัดหนึ่งอยู่ห่างประมาณ 100 กิโลเมตร เลยตั้งจิตอธิษฐานไว้แต่เช้าเลยว่า ถ้าอภิญญามีจริง ก็ขอให้เพื่อนคนนี้มาพบภายในวันนี้ ถ้าไม่มาก็จะเลิกปฏิบัติแล้ว เพราะจิตช่วงนี้สงบมาก เปรียบเสมือนน้ำที่เต็มถังแล้ว ปริ่มที่ขอบถังเลย เมื่อใส่ข้อมูลซ้ำๆ จนกระทั่งถึงเวลาเย็น เวลา 1 ทุ่มแล้วเพื่อนก็ยังไม่มา รู้สึกผิดหวังก็เลยอาบน้ำ เตรียมขึ้นนอนแล้ว คิดว่าคืนนี้จะนอนอย่างเดียว จะไม่ทำสมาธิแล้ว แต่แล้วประมาณ 2 ทุ่มก็มีรถมาบีบแตรที่หน้าบ้าน มากันเต็มคันรถเลย เพื่อนมาจริงๆ ดิฉันจึงดีใจอย่างบอกไม่ถูก ได้เห็นแล้วว่าธรรมะของพระผู้มีพระภาคเป็นของจริง ผู้ปฏิบัติสามารถประสบได้ด้วยตนเอง ตกลงคืนนั้นนั่งสมาธิต่อตลอดทั้งคืนเลย
    การที่จะกระทำฌานให้บังเกิด หรือมรรคผลนิพพานให้เกิดขึ้นนั้น ต้องประพฤติคนเป็นคนคนเดียวเลิกเอาเพื่อนเอาฝูง ดิฉันโชคดีที่ได้มีบ้าน อยู่คนเดียวเงียบมาก มีพื้นที่กว้างขวาง หลายไร่ มีต้นไม้ล้อมรอบจึงเป็นที่สัปปายะมาก
    ช่วงที่ได้กายทิพย์ครั้งแรก คืนนั้นดิฉันได้ไปพักอยู่ที่เรือนร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ดิฉันจึงจุดเทียนวางไว้ข้างหน้า ดิฉันจะนั่งสมาธิจากหัวค่ำไปเรื่อยๆ จนถึงดึกดื่นค่อนคืน ดังนั้นอาหารมื้อเย็นจึงไม่ต้องทานเพราะจะทำให้เกิดนิวรณ์ 5 อันได้แก่ ถีนมิทธะ กามฉันท์ พยาบาท อุทธัจจะกุกกุดจะ และวิจิกิจฉา ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการทำฌาน ครั้นพอจิตสงบนิ่งถึงระดับฌานที่ 4 ขณะนั้นนึกอยากจะไปห้องน้ำ ก็คว้าเทียนไขที่วางอยู่ตรงหน้า ลุกไปห้องน้ำ พอกลับมาได้เห็นตนเองนั่งสมาธิอยู่เลยห็นตัวเอง 2 คน คนหนึ่งนั่งอีกคนหนึ่งยืน แล้วเทียนไขก็มี 2 เล่ม วางอยู่ข้างหน้าคนนั่ง 1 เล่ม อยู่ในมือคนยืน 1 เล่ม สักครู่กายทิพย์กลับเข้าร่างกายเนื้อโดยอัตโนมัติ
    เมื่อได้กายทิพย์แล้ว ก็นึกอยากไปเที่ยวไกล ๆ บ้าง หลายวันต่อมาตั้งจิตไว้แต่เช้าเลยว่า คืนนี้จะไปกราบพระเจดีย์ พทุธคยาที่ประเทศอินเดีย พอตกลางคืนโดยมากจะเป็นเวลาหลังจากเที่ยงคืนไปแล้ว ขณะอยู่ในองค์ณาณ กายทิพย์ก็พุ่งออกจากร่าง พุ่งไปเร็วมากดุจลูกธนูหลุดออกจากแล่ง กายทิพย์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ทะลุต้นไม้ ภูเขาไปหมด ลักษณะเหาะไปจนกระทั่งถึงพระเจดีย์พุทธคยา ดิฉันก็เวียนรอบพระเจดีย์ทำประทักษิณ 3 รอบแล้ว ก็เหาะกลับมาตามทางเดิม
    อีกครั้งหนึ่งดิฉันอยากไปเที่ยวหาน้องสาวที่กรุงเทพฯ ดิฉันอยู่จังหวัดกำแพงเพชร ส่วนน้องสาวเพิ่งบรรจุงานใหม่ จึงพักอยู่หอพักใกล้ ๆ ที่ทำงาน ดิฉันก็ทำกายทิพย์พุ่งฉิวตรงไปทันที กายทิพย์ลอยข้ามกำแพงรัวแล้วก็ลอยเข้ามาทางหน้าต่างห้องของน้องสาว เห็นน้องสาวนอนอยู่ ได้ทักทายกันแล้วกายทิพย์เหาะกลับ
    การทำอภิญญาให้บังเกิด ต้องควบคู่ไปกับการละกิเลสทำกิเลสให้เบาบาง ความโลภ ราคะ โทสะ โมหะต้องพยายามละ ถ้ากิเลสยังมากอยู่ ความสะดุ้งกลัวยังมีอยู่ การทำอภิญญาให้เกิด จึงเป็นของยากผู้ปฎิบัติกรรม จึงควรทำตัวเป็นคน มักน้อย สันโดษ และพยายามขัดเกลา มุ่งตรงสู่มรรคผลนิพพาน
     
  5. pisitv

    pisitv สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +11
    ตอนที่ 8
    ดิฉันได้ทิพย์โสต ครั้งแรก กลางดึกของคืนหนึ่งรู้สึกว่ามีคลื่นพลังงานอย่างหนึ่ง มากระทบที่ข้างหู ดิฉันจึงใช้จิตถามไปว่า ท่านเป็นใคร มาจากไหน ช่วยทำเป็นเสียงให้ได้ยินด้วย สักครู่คลื่นพลังงานนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียง เป็นเสียงกระซิบที่ข้างหูว่า “ฉันเป็นใครไม่รู้ฉันเพิ่งผ่านมาพบเธอ” เป็นเสียงราบเรียบเหมือนอ่านหนังสือ ท่านก็คือพระอนาคามีที่มาจากพรหมภูมิชั้นสุทธาวาส สัญญา ความจำได้หมายรู้ และสังขาร ความปรุงแต่งของจิต ของท่านเบาบาง ท่านใกล้ที่จะเข้าสู่นิพพานแล้ว

    การทำสมาธิ กระทำฌานให้บังเกิด ถือเป็นบุญบารมีที่สูงส่งกว่าบุญใดๆ ในคืนเพ็ญวันตรัสรู้ พระองค์ก็ตรัสรู้ขณะที่อยู่ ในจตุถฌานโดยปฐมยามพระพุทธองค์ ทรงบรรลุถึงอตีตังสญาณ รู้อดีตไม่มีประมาณ มัชฌิมยาม พระพุทธองค์ทรงบรรลุถึงจตูปปาตญาณ รู้การเกิดตายของสัตว์ ไม่มีประมาณและปัจฉิมยาม ทรงบรรลุถึง อาสวักขยญาน ทำลายกิเลสให้หมดสิ้นไป แม้ในปรินิพพานสูตร ขณะพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ก็ทรงเข้าฌานโดยปรินิพพาน ในระหว่างฌานที่ 4 กับอรูปฌาน ฉะนั้นฌาน จึงเป็นสิ่งวิเศษ

    ดิฉันเคยเห็นแสง ออกจากฝ่ามือข้างซ้ายของตนเอง เป็นนิมิตที่เห็นขณะอยู่ในสมาธิ เป็นลำแสงสีเหลือง พุ่งออกไปไกลมาก ประมาณ 5-6 เมตร และได้เห็นลำแสงที่ออกจากนิ้วชี้ ของมือข้างขวาเป็นลำแสงพุ่งออกไปไกลกว่า 10 เมตร คล้ายกับแสงเลเซอร์ และดิฉันก็ยังได้เห็น แสงที่กายตนเองเป็นแสงสีเหลือง พร้อมกับดิฉันได้ประกาศก้อง อยู่ภายในใจว่า “เราจะทำโลกนี้ให้สงบสุข” มันคงจะเป็นสิ่งที่ยากนะท่าน

    ดิฉันได้พบว่า คลื่นพลังงาน ที่ได้มาฌานสมบัติผลสมาบัติ หรือ นิโรสมาบัติ ที่ดิฉันทำมาเกือบ 20 ปี มีมากจริงๆมีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะอยู่ในองค์ฌาน ดิฉินได้เห็มีเคลื่นแผ่ออกจากศีรษะของดิฉัน แผ่ออกเป็นวงคล้ายๆ กับคลื่นน้ำ เมื่อตอนที่เราทิ้งก้อนหินลงไปในน้ำแต่คลื่นที่แผ่ออกจากศีรษะนี้ จะเป็นลักษณะทรงกลมรอบๆศีรษะ แล้วแผ่ขยายใหญ่มากขึ้นๆแผ่กว้างออกไปจนกระทั่งครอบคลุมประเทศไทย ทวีปเอเชีย และก็ครอบคลุมทั้งโลกเลยทีเดียว และนี่ก็คือความอัศจรรย์ของพลังสมาธิ หรือพลังของสมาบัติ

    ดิฉันได้พบว่า ภพทั้ง 3 ได้เปิดแก่ดิฉันแล้ว อันได้แก่ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ เพราะเหล่าทวยเทพได้มาติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และแผนที่โลกให้ที่บ้านของดิฉัน เต็มฝาผนังของบ้านมีสายเชื่อมโยงจุดต่างๆบนแผนที่โลก และมีแสงไฟระยิบระยับ ซึ่งภายหลังจึงมีเหล่าทวยเทพ ที่มาจากต่างภพมาติดต่อกับดิฉัน และสื่อสารกันโดยใช้ภาษาอังกฤษ

    ดิฉันอยากไปเที่ยวที่ขั้วโลกเหนือมากเลย เพราะดิฉันสอนวิชาดาราศาสตร์อยู่ อยากไปเห็นแสงออโรลา หรือแสงเหนือแสงใต้ ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้เท่านั้น ซึ่งสวยงามมากไปด้วยกายเนื้อหมดสิทธิ์เลย ไปด้วยกายทิพย์ดีกว่าพอมีหวัง แล้วคืนหนึ่งก็ไปได้จริงๆ เมื่อดิฉันทำสมาธิเข้าจตุถฌาน ก็ตั้งจิตทำกายทิพย์ กายทิพย์ของดิฉันก็พุ่งฉิวไปลอยอยู่เหนือผิวโลก สูงมาก สูงประมาณยานอวกาศได้มองเห็นโลกที่เราอาศัยอยู่เป็นลูกกลมขนาดใหญ่ดิฉันจึงพุ่งตรงไปยังขั้วโลกเหนือทันที ได้เห็นแสงออโรลาสวยงามมาก เป็นแสงที่มีหลากสี แผ่เป็นบริเวณกว้างบนท้องฟ้า สวยงามยิ่งเสียกว่าภาพในหนังสือเสียอีก
     
  6. pisitv

    pisitv สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +11
    ตอนที่ 9
    ในช่วงวันหยุด ดิฉันชอบที่จะไปพักปฏิบัติธรรมตามวัดป่า ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง มีกุฏิกลางป่าอยู่หลังหนึ่ง ยังไม่เคยมีใครมาพัก เพราะจะเปลี่ยวและอยู่ห่างไกลจากศาลามาก ดิฉันจึงลองไปพักดู พอตกค่ำลงก็ทำสมาธิ ถ้าปรารถนาจะทำกายทิพย์ให้บังเกิดก็ต้องได้ฌานที่ 4 เป็นอย่างต่ำ แต่ถ้าจะสัมผัสภพภูมิของเหล่าเทวดาแล้ว เพียงแค่ปฐมฌานก็สามารถมองเห็นได้ด้วยทิพยจักษุ เมื่อจิตของฉันเข้าสู่ความเป็นฌานแล้ว ขณะนั้นฝนตกอยู่ด้วย ดิฉันใช้ตาในหรือทิพยจักษุมองทะลุข้างฝากุฏิออกไปภายนอก เห็นเป็นแสงสว่างของเหล่าทวยเทพ และมองทะลุต้นไม้ออกไปได้ไกลมาก ได้เห็นเทวดาท่านหนึ่ง เหาะลอยมาตามทางเดิน ขณะเดียวกัน ดิฉันก็ได้ยินเสียงฝนตกด้วยแล้วท่านก็มาหยุดลอยอยู่ที่ข้างหน้าของดิฉัน แล้วถามว่ามาอยู่คนเดียวอย่างนี้ กลัวไหม ดิฉันตอบท่านไปว่าไม่กลัวเจ้าค่ะ ท่านก็มาจากพรหมภูมิ มีรัศมีกายสว่างไสวดิฉันถือว่าท่านมาให้กำลังใจในการปฏิบัติธรรม วิธีการที่จะดับความกลัว ต้องใช้สติคอยรักษาจิตไม่ให้เป็นเอกคตาความกลัวก็ดับไปได้ ต่อมากุฏิหลังนี้ จึงเป็นของดิฉันไปโดยปริยาย เพราะไม่มีสตรีผู้ใด กล้ามาพักคนเดียว
    อีกวันหนึ่ง วันนั้นพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งเป็นวันที่ดิฉันชื่นชอบมาก ดิฉันอยากมานั่งชมจันทร์ ที่กุฏิกลางป่านี้สักหน่อยแต่แล้วที่กุฏิที่เคยพักกลับไม่ว่างมีอุบาสก ผู้ชายที่มาถือศีลมาพักเสียแล้ว แล้วดิฉันจะไปพักที่ไหนดี ถ้าจะไปพักรวมที่ศาลาก็กลับไปนอนที่บ้านดีกว่า เพราะที่บ้านดิฉันพักอยู่คนเดียวอยู่แล้วเลยนึกถึงกุฏิของพระภิกษุ อีกหลังหนึ่งขึ้นมาได้ชื่อว่ากุฏิผีดุ ต้องว่างแน่นอน และสวยด้วยเพราะอยู่ในสระน้ำ สามารถมองเห็นภาพเงาของพระจันทร์ในน้ำกุฏิหลังนี้เมื้อเข้าพรรษา มีพระภิกษุบวชใหม่ท่านหนึ่งมาอยู่แล้วท่านก็ร้องลั่นกลางดึก ฟู้ที่อยู่ที่ศาลาต้องพากันมาช่วยนำท่านออกจากุฏิ พาไปพักที่ศาลา ท่านบอกว่าผีมาเคาะที่ข้างฝาทั้งคืนเลย
    ต่อมาชาวบ้านก็เล่าให้ฟังว่า หลายสิบปีมาแล้วเคยมีสตรี ถูกลวงมาฆ่าตายที่เขาลูกนี้ ยังไม่ได้ไปเกิดรอให้คนทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ วันต่อมาก็มีผู้ที่อยากจะทดสอบจิตของตนเอง ท่านที่ 2 นี้ก็ไปพัก ปรากฎว่าท่านก็พักอยู่ได้เพียงคืนเดียว รุ่งเช้ามาท่านมาบอกว่าไม่อยู่แล้ว เล่นกันทั้งคืนเลย ให้คนอื่นไปอยู่ก็แล้วกันต่อมาก็มีท่านที่ 3 ไปพักอยู่ ปรากฏว่าท่านนี้อยู่ได้หลายคืนเหมือนกันแต่ปิดเงียบ ไม่ยอมบอกว่าอยู่แล้วเป็นอย่างไร
    ดิฉันจึงไปอยู่เป็นคนที่ 4 ได้เห็นว่ามีผ้าสีแดงผูกขึงรอบกุฏิไปหมด แสดงว่าท่านที่ 3 ที่มาอยู่คงจะสวดมนต์ลงอักขระป้องกันภูตผีกัน น่าดูเลย ส่วนดิฉันไม่มีอะไร มีแต่เจริญสมาธิ แผ่เมตตาเท่านั้น ดิฉันจึงทำความสะอาด เอาผ้าสีแดงลงถังขยะเผาไฟหมด แล้วก็ทำสมาธิ วันนี้เจริญปัญจกรรมฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เมื่อกระทำสมาธิฌานให้บังเกิดขึ้นได้แล้ว ก็อยู่ด้วยปีติสุขเอกคตา ความกลัวจึงดับไป ครั้นเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ก็เริ่มได้ยินเสียงเคาะที่ข้างฝากุฏิ ยิ่งดึกเสียงเคาะก็ยิ่งถี่มากขึ้นๆ เสียงเคาะมีไปถึง ตี 3 ตี 4
    ดิฉันก็ใช้สติใช้ปัญญาพิจารณา เสียงนี้นี่เองที่ท่านทั้งหลายอยู่กันไม่ได้ ตีความว่าเป็นเสียงที่ผีกระทำดิฉันรู้แล้วว่าเป็นเสียงอะไร กุฏินี้ข้างฝาเป็นไม้ กลางวันแดดร้อนจัดไม้ข้างฝาหดตัว พอตกกลางคืนกระทบอากาศเย็น เมื่อไม้กระทบความเย็น ก็ขยายตัวไม้จึงดีดตัวมีเสียงดัง ถ้ากระทบเย็นมาก เสียงดังก็ถี่มากขึ้นเมื่อพิจารณาความจริงปรากฎ ขณะดิฉันอยู่ในองค์ฌานดิฉันก็ได้ทิพยจักษุ มองทะลุข้างฝากุฏิออกไปเห็นเหล่าทวยเทพจำนวนมากนับพัน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงาม ทุกท่านถือปิ่นโต เดินมาจากทุกสาย เดินมุ่งตรงไปยังศาลา เพื่อจะมาทำบุญกันในยามเช้า จากนั้นดิฉันก็ทำกายทิพย์ให้บังเกิด กายทิพย์ของดิฉันก็ลอยขึ้นไปวนเวียน อยู่เหนือยอดขุนเขาเมื่อดิฉันมองลงมาข้างล่าง ก็ได้เห็นทิวทัศน์เป็นป่ามีต้นไม้เขียวชอุ่มสวยงามมาก
     
  7. pisitv

    pisitv สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +11
    ตอนที่ 10
    มีช่วงหนึ่งที่ดิฉันเลี้ยงคุณพ่อ ในช่วงปลายของชีวิต เป็นช่วงที่เครียดพอสมควร กับสุขภาพของท่านดิฉันได้พิจารณาบุญบาปที่ท่านได้กระทำมาแล้วตลอดชีวิตพบว่าท่านไม่ไปอบายอย่างแน่นอน คิดว่าท่านคงจะเสมอตัว ประมาณภพมนุษย์นี้แหละ ถ้าได้ภพสวรรค์ก็คงจะได้ สวรรค์ชั้นไม่สูงเหมือนของแม่ ดิฉันจึงพาพ่อทำบุญถวายสังฆทานทุก ๓ วัน ซึ่งพ่อจะปีติมากวันไหนที่พ่อได้ทำบุญแล้วสุขภาพจะดีขึ้นมาในวันนั้นเลย

    ขณะดิฉันทำสมาธิ ในคืนวันหนึ่งก็มีนิมิต มีคนมาขอรับพ่อ แต่ดิฉันยังไม่ยอมให้ มากันหลายครั้งหลายคราเหมือนกัน จนกระทั่งดิฉันพอทำใจได้บ้างแล้วเพราะสุขภาพของพ่อก็ไม่ดีขึ้น จึงอนุญาตให้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถรับพ่อไปได้ เพราะดิฉันยังพาพ่อไปทำบุญอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย

    และแล้ววันหนึ่ง ก็มีท่านผู้หนึ่งมาหาดิฉันถึงที่บ้าน ใส่ชุดขาวมาพร้อมกับบริวารอีก ๔ ท่าน ชุดขาวทั้งหมด พอมาถึงก็เนรมิตเป็นบัลลังก์ ขึ้นมาภายในบ้านของดิฉัน ท่านที่เป็นหัวหน้า นั่งบนบัลลังก์อีก ๔ ท่านนั่งข้างล่างลดหลั่นกันลงมา ข้างละ ๒ ท่าน ซ้ายและขวาดิฉันจึงรีบลงมา มาด้วยจิต กายมนุษย์นั่งสมาธิอยู่ชั้นบนดิฉันทำความเคารพท่าน แล้วเรียนท่านไปว่า “ท่านต้องมาเองเลยหรือ ทำไมท่านไม่บอกล่วงหน้า ดิฉันจะได้เตรียมต้อนรับ” ท่านผู้นี้ก็คือ ท่านพระยามัจจุราชท่านมาเพื่อมาขอรับพ่อของดิฉัน จากดิฉันด้วยตนเองเพราะบริวารของท่าน ที่มารับพ่อ นับสิบคนแล้วก็ไม่สามารถรับพ่อไปได้ ท่านจึงต้องมาเอง มาขอรับเป็นในระดับหัวหน้าถือว่าเป็นการให้เกียรติกันแล้ว ดิฉันจึงอนุญาตให้

    ครั้นเมื่อพ่อละสังขารไปแล้ว จิตของพ่อกับดิฉันผูกพันกันมาก แล้ววันหนึ่งก็มีเสียงมาเตือนว่าดิฉันดึงจิตของพ่อไว้ ไม่ให้พ่อได้ไปเกิด ต่อมาวันหนึ่งขณะดิฉันทำสมาธิ พ่อก็มาปรากฏที่บ้าน ทำให้บ้านสว่างไสว แสดงว่าพ่อได้ไปเป็นเทพแล้ว พ่อมาบอกว่าพ่อให้ของมีค่าแก่ลูกอย่างหนึ่ง ให้ไปดูที่อัฐิ แล้วให้นำอัฐิพ่อไปลอยอังคารที่แม่น้ำปิงด้วย พ่อจะไปเกิดแล้ว ครั้นพอดิฉันไปเปิดดูอัฐิของพ่อ ก็ปรากฏว่าขาวดังปุยฝ้ายทั้งหมดเลย นี่คือสิ่งที่พ่อให้แก่ดิฉัน แล้วดิฉันก็แบ่งส่วนหนึ่งไปลอยอังคารตามความประสงค์ของพ่อ

    ปีต่อมาดิฉันอยากจะรู้ว่า พ่อไปเกิดแล้วหรือยังจึงกระทำสมาธิฌานให้เกิด แล้วตัวดิฉันก็ไปปรากฏยังสถานที่แห่งหนึ่ง มีลักษณะคล้ายแผนกทะเบียนมีเจ้าหน้าที่อยู่ ๒ – ๓ คน ดิฉันจึงเข้าไปถามว่า พ่อไปเกิดแล้วหรือยัง เจ้าหน้าที่ก็ถามว่า เอาบัตรประจำตัวมาด้วยหรือเปล่า ดิฉันบอกว่าไม่ได้เอามา เจ้าหน้าที่ก็ยกสมุดทะเบียนเล่มหนึ่งมาให้ดิฉัน เป็นสมุดเล่มใหญ่มากเท่ากับบานหน้าต่างเลย ดิฉันเปิดดู มีชื่อคนเรียงตามตัวอักษร ดิฉันเปิดไปเรื่อยๆ พบแล้วชื่อพ่อในนั้นบันทึกไว้ว่า ไปเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เมื่อวัน เดือน ปี ที่เท่านั้นเท่านี้

    เทวดาประเภทภูมิเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดา ก็จะอยู่ใกล้ๆ กันกับภพมนุษย์นี่แหละ ปรากฎอยู่ตามอาคารบ้านเรือน ตามวัดวาอาราม ตามต้นไม้ ในอากาศ ถ้าสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไปอีกก็มี ๖ ชั้น ได้แก่ ชั้นจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวดี สวรรค์ที่ดิฉันไปเที่ยวบ่อยมาก ก็คือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ครั้งหนึ่งดิฉันได้เข้าฌานแล้วทำกายทิพย์ให้บังเกิด แล้วก็ไปเที่ยวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดิฉันได้เห็นพระแท่นกำพลศิลาอาสน์ ซึ่งเป็นพระแท่นของท้าวสักกะมหาราช ผู้ปกครองสวรรค์ดาวดึงส์ หักกลางดิฉันจึงถามเหล่าเทพยดาว่าทำไมพระแท่นจึงหัก เธอก็ตอบว่า อเมริกาจะถล่มอิรัก ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีวี่แววดิฉันจึงได้รู้ก่อนผู้อื่น หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีสงครามเกิดขึ้นจริงๆ
     
  8. pisitv

    pisitv สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +11
    ตอนที่11
    ส่วนใหญ่ดิฉันจะเข้าฌานได้ทุกวัน อย่างน้อยก็ปฐมฌาน บางวันก็ถึงจตุตถฌานและอรูปฌานทุกวันพระดิฉันชอบไปเที่ยวสวรรค์ ถ้าไม่ไปแสดงธรรมก็ไปดูเหล่าทวยเทพปฏิบัติธรรมกัน คราวหนึ่งดิฉันไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งสว่างไสวด้วยรัศมีเทพ ในที่นั้นมีเพชรนิลจินดาของมีค่ามากมาย แต่ดิฉันไม่สนใจหรอกมาสนใจที่กระเป๋าสะพายใบหนึ่ง ดูแล้วไม่ใช่ของมีค่าแต่อย่างใด เกิดนึกชอบขึ้นมาจึงขอจากท่านเทพที่เป็นเจ้าของสถานที่ ดิฉันบอกท่านว่า ขอกระเป๋าใบนี้ ไปใช้ยังโลกมนุษย์หน่อยนะเจ้าคะ ท่านฟังแล้วก็มองหน้าดิฉันแล้วตอบว่า ระดับนี้แล้วยังจะอยากได้อยู่อีกหรือ ดิฉันก็เลยได้แต่ทำหน้าจืดๆ แล้วรีบกลับลงมา

    หลายครั้งที่ดิฉันขึ้นไปไหว้ พระเกศแก้วจุฬามณี ซึ่งเป็นพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระเจดีย์เป็นแก้วแวววาว ระยิบระยับ สูเสียดฟ้า งดงามมาก ดิฉันก็ไปอธิษฐานขอไปพระนิพพาน

    วันที่ดิฉันชอบมากเป็นพิเศษกว่าทุกๆวัน ได้แก่ วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ วันที่ชื่นชอบอย่างนี้ ต้องทำสมาธิเป็นพิเศษ เพื่อน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านเชื่อไหม เพียงดิฉันน้อมระลึกถึงพระพุทธองค์ เป็นพุทธานุสติ ดิฉันก็สามารถเข้าฌานได้ในวันเช่นนี้เทวดาจะมาเที่ยวเมืองมนุษย์กัน ครั้งหนึ่งดิฉันได้เห็น เหล่านางฟ้า แต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวสีฟ้า สีชมพู สวยๆกันทั้นนั้นเลย ไต่บันไดเงินลงมาจากท้องฟ้า บันไดเงินที่พาดอยู่นี้ สูงจรดก้อนเมฆเลย เธอมาเที่ยวชมโลกมนุษย์กัน

    ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำอีกวันหนึ่งเช่นกัน เวลาประมาณตี ๕ ขณะทำสมาธิอยู่ ดิฉันได้เห็นยานอวกาศพุ่งลงมาจากท้องฟ้า พุ่งตรงมาที่ดิฉัน ภาพของยานก็ค่อยๆชัดขึ้นๆ แล้วยานนี้ก็มาหยุดลอยอยู่บนท้องฟ้าตรงเบื้องหน้าของดิฉัน ลอยอยู่ในอากาศ ได้เห็นว่ายานพาหนะมีลักษณะคล้ายรถยนต์ แล้วก็มีเทพธิดา ๒ องค์ หน้าตาสวยมาก ก้าวลงมาจากยาน ยืนอยู่ในอากาศ แล้วพูดชวนดิฉัน ไปเที่ยวสวรรค์กับเธอ

    แต่ดิฉันก็ได้ปฏิเสธเธอไปว่า ไม่ไป จากนั้นเธอก็กลับเข้าไปในยาน แล้วยานก็เคลื่อนที่ถอยกลับไปตามทางที่มาเล็กลงๆจนกระทั่งหายไปจากท้องฟ้าที่ดิฉันปฏิเสธไปก็เพราะว่าไม่อยากไปจริงๆ เพราะบนสวรรค์ก็มีแต่บันเทิง ยังเป็นเรื่องของรูป เสียง กลิ่น รส อยู่ดิฉันไม่ชอบ ชอบที่จะอยู่คนเดียวเงียบๆมากกว่า

    เปรตดิฉันก็เคยเห็นเหมือนกัน เห็นในสมาธิตัวเธอสูงมาก สูงเท่าเสาไฟฟ้า ผอมทุกคน ไม่มีอ้วนเลยเดินเข้าแถวมายาวมาก หลายสิบคน แต่ละคนแต่งกายดีๆทั้งนั้น มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย มีใส่สูทด้วย มีใส่ชุดนักบวชด้วย คละเคล้ากันไป ผู้ที่จะไปเกิดเป็นเปรตก็จะเป็นประเภทผู้ที่มีโลภะมาก มีจิตใจค่อนไปในทางฉ้อฉล

    อีกครั้งหนึ่ง ดิฉันได้เห็นเปรตที่อยู่ที่บ้านตรงกันข้ามกับบ้านดิฉัน ซึ่งเป็นบ้านร้าง เธอยืนอยู่ที่ระเบียงชั้น๒ ตัวเธอสูงมาก ศีรษะสูงกว่าหลังคาอีก เธอเลยต้องยืนในลักษณะที่ศีรษะสูงกว่าหลังคาบ้านอีก เธอเลยต้องยืนในลักษณะที่ศีรษะยื่นออกมานอกบ้าน

    อีกคืนหนึ่งขณะทำสมาธิอยู่ในฌาน ดิฉันได้เห็นตนเองไปปรากฏยังสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่อยู่ของพวกอบาย เห็นคนประมาณ ๑๐ คน หน้าตาเศร้าหมองอมทุกข์กันทุกคน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่หมองคล้ำเดินล้อมวงเข้ามาหาดิฉัน เรื่องความกลัวไม่มีเหลือในจิตใจเลยแม้สักนิด มีแต่เมตตา นึกสงสารเพียงสถานเดียวเท่านั้น แค่บรรลุโสดาบัน ก็ดับความกลัวได้โดยสิ้นเชิงแล้ว เมื่อพวกเธอเข้ามาใกล้ห่างประมาณสัก ๕ เมตร ก็ปรากฏเสมือนกับมีแรงผลักระหว่างดิฉันกับพวกเธอ ทำให้เธอเข้าใกล้ดิฉันอีกไม่ได้และแรงผลักนี้ เป็นผลให้ร่างของดิฉัน ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วเหาะไปเลย
     
  9. vibe

    vibe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    731
    ค่าพลัง:
    +3,146
    ขอบคุณมากครับที่พิมพ์ให้อ่าน จะคอยติดตามครับ
     
  10. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    โมทนาครับ
     
  11. pisitv

    pisitv สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +11
    ช่วงนี้ไม่ค่อยจะมีเวลานักครับแต่จะพยายาม ต่อเลยครับ

    ตอนที่12
    ครั้งใดที่บ้านเมืองมีเหตุการณ์ความไม่สงบ ดิฉันก็จะมานั่งสมาธิทั้งคืน ทั้งวัน เข้าผลสมาบัติ และนิโรธสมาบัติไปเลย อธิษฐานขอให้เหตุการณ์สงบโดยเร็วเช่นเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ มีพระภิกษุออกมาจากป่าท่านหนึ่ง มาหาดิฉันถึงที่ทำงาน ให้ดิฉันช่วยนั่งสมาธิ ช่วยให้เหตุการณ์สงบโดยเร็ว ดิฉันบอก แน่นอนอยู่แล้ว จึงเห็นได้ว่าแม้พระภิกษุผู้อยู่ป่า ครั้นบ้านเมืองไม่สงบ ท่านก็ร้อนใจเป็นห่วงเป็นใยบ้านเมือง อยู่วัดไม่ติดเหมือนกัน ทุกคนก็อยากช่วยบ้านเมืองกันทั้งนั้น

    พระภิกษุท่านนี้ ท่านก็มุ่งปรารถนานิพิพานเหมือนกัน ท่านอยู่ที่ จ.กำแพงเพชร เช่นเดียวกับดิฉัน ดิฉันเคยเดินธุดงค์ขึ้นไปพักตามวันป่าทางภาคเหนือที่ จ.เชียงใหม่ ครั้งนั้นได้พบกับท่านที่กลางป่าโดยบังเอิญท่านประหลาดใจมาก สงสัยว่าดิฉันมาอยู่กลางป่าได้อย่างไรคนเดียว

    แม้ทุกวันนี้ เรือนร้างที่ดิฉันพักอยู่ที่ จังหวัดเพชรบุรี พอตอนเย็นๆก็พอจะมีคนมาวิ่งออกกำลังกายผ่านหน้าบ้านอยู่บ้าง เธอเคยตะโกนเข้ามาในบ้านว่า “อยู่คนเดียวไม่กลัวหรือ”

    เมื่อไปปฏิบัติธรรมที่ใด ดิฉันก็มักจะเห็นเทวดาเสมอๆครั้งหนึ่งไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งที่ จ.ชลบุรีขณะกำลังทำสมาธิ ฟังธรรม พร้อมกับปฏิบัติธรรมท่านอื่นๆเมื่อจิตตกลงสู่กระแสฌาน ดิฉันก็ได้เห็นเทวดากันเต็มศาลาไปหมด แล้วมีเทวดาองค์หนึ่งแต่งกายด้วยชุดไทยโบราณ นำอาหารใส่ถาด ภาชนะที่ใส่อาหารก็เป็นแบบโบราณเข้ามาทางด้านข้าง นำอาหารมาให้ดิฉัน ดิฉันจึงยื่นมือทิพย์ออกไปรับ

    ดิฉันเคยไปพักที่วัดป่าแห่งหนึ่งที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ดิฉันก็นั่งสมาธิที่กุฏิทั้งคืน พอถึงตี ๕ ก็มีเทวดาองค์หนึ่งแต่งชุดไทยโบราณ สมัยรัชกาลที่ ๕ นำปิ่นโตอาหารมายื่นส่งให้ดิฉันที่ประตู

    สำหรับบ้านที่ดิฉันอยู่ ก็จะมีทวยเทพอยู่ ไปๆมาๆที่บ้านจึงสว่างไสวด้วยรัศมีเทพ รัศมีเทพนี้ยังแผ่ไปถึงหน้าบ้านข้างเคียงด้วย ครั้งใดดิฉันไม่อยู่ ไปพักที่อื่นหลายวัน พอกลับมา เธอก็จะพากันมาล้อมหน้าล้อมหลังดีใจ บอกว่าคิดถึง

    และแล้ววันขึ้นปีใหม่ วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ขณะดิฉันเจริญสมาธิตามปกติ ครั้นพอเวลาใกล้รุ่ง ก็มีนิมิตในสมาธิ มีเหล่าเทพยดา พากันมาเป็นคณะ เป็นขบวนแห่ มาด้วยกันหลายคณะ เธอพากันมาขอพรจากดิฉันเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ดิฉันก็ได้ให้พรไป ขอให้มีความสุขความเจริญ อายุยิ่งยืนนานกันทุกคน

    วันนี้ ดิฉันนึงถึงพระบาลี ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบทหนึ่งที่ว่า “เตสัง วู ปสโม สุโข” ความเข้าไปสงบระงับแห่งสังขารทั้งหลายเหล่านั้น เป็นสุขในโลกอันมนุษย์เราก็มีเพียง ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อใดอันบุคคลเจริญสติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม มีปัญญาเข้าไปดับระงับสังขาร ความปรุงแต่งในจิตของตนๆเองได้ เมื่อนั้น ก็หมายถึงการได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เข้าสู่พระนิพพาน เป็นสุขในโลกจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2005
  12. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860
    วิปัสสนูกิเลสครับ
    คนถึงฌานนี้ไม่พูดไม่คุยหรอกครับ ลองสังเกตดุว่าพระอริยะที่ถึงจริงมีใครออกมาคุยแบบนี้หรอกครับ
    มาสายเดียวกับดร. กันจิรา ติดอุปทาน แม้ว่าปรานารถดีจะให้ผู้คนเขารู้
    เรื่องธรรมวิเศษเป็นเรื่องเฉพาะตัว เป็นปัจจตัง
    ไม่ได้ออกมาขัดขวางทางนิพพานของใคร แต่อยากจะบอกว่าอะไรเป็นจริง
     
  13. pisitv

    pisitv สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +11
    ต่อไปเลยนะครับ

    ตอนที่13

    วันต่อมา ดิฉันก็ได้มีหุ่นปั้นของดิฉันเองแล้วเหล่าทวยเทพยดานั่นเอง เธอปั้นหุ่นของดิฉันขึ้นมาเป็นหุ่นปั้นด้วยปูนใส่เสื้อเชิร์ตสีขาว กางเกงขายาวสีขาวหุ่นขนาดเท่าตัวจริง ยืนอยู่ที่หน้ากุฏิกรรมฐานหลังหนึ่งอยู่กลางป่า แล้วเขียนป้ายติดเอาไว้ว่า “สตรีนักต่อสู้กับกิเลส”
    ในโลกแห่งความเป็นทิพย์
    เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ขณะที่ดิฉันทำสมาธิอยู่ พอตอนใกล้รุ่งก็นิมิตเป็นเสียงมาบอกว่าให้ดิฉันส่งพลังจิตไปช่วย ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีการเข่นฆ่ากันรายวัน ให้เกิดความสงบสุขแล้วเสียงนั้นยังบอกต่อไปว่า ผู้ที่จะส่งพลังจิตไปช่วยภาคใต้ มีทั้งหมด ๕ คน ด้วยกัน มีดิฉัน ๑ คน ส่วนอีก ๔ คน เป็นพระภิกษุ ได้แก่ หลวงพ่อ ก หลวงพ่อ ข หลวงพ่อ ค และหลวงพ่อ ง ดิฉันต้องของอภัยที่ไม่สามารถเอ่ยนามของท่านได้ ดิฉันก็ได้แต่หวังว่าอีกไม่นานเหตุการณ์ต่างๆ ก็คงจะคลี่คลายไปในทางที่ดี แต่ก็นั่นแหละ ยุคนี้เป็นยุคของวัตถุ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นแทบจะทั่วทุกมุมโลก เหตุที่โลกรุ่มร้อนขึ้นก็ด้วยไฟคือกิเลสนั่นแหละ ไฟโลภะ ไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ หรือ ศีลธรรมที่เสื่อมจากใจของบุคคลลงทุกวันๆ

    โดยที่เทวดามีอยู่ทั่วไปหมด ถ้าผู้นั้นมีจิตใจที่ละเอียด มีความคิดที่เป็นระเบียบ ไม่สับสน และมีความสงบในขั้นปฐมฌาน ผู้นั้นก็จะสามารถสัมผัสกับเทวดาได้โดยไม่ยาก เพราะเทวดามีทั้งในบ้านเรือนตามต้นไม้ ในอากาศ และบนสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ตลอดไปจนถึงชั้นพรหม ทุกวันนี้ดิฉันจึงไม่เหมือนอยู่คนเดียวเหล่าเทพยดา เธอจะมาคอยทักทายอยู่เสมอ ทั้งในยามที่ตื่นอยู่นี่แหละ แต่ดิฉันเคยชินเสียแล้วก็เลยไม่กลัวเทวดาส่วนใหญ่ที่ดิฉันเกี่ยวข้องด้วยจะเป็นผู้หญิง หรือเทพธิดา เธอคอยบอกดิฉันว่า เธออ่านความคิดของดิฉันออกหมดจึงทำให้เราต้องคอยระวังความคิด ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เราจึงต้องได้เจริญสติบ่อยๆ เพื่อไม่ให้อกุศลจิตเกิด

    อย่างเมื่อวานนี้ ขณะที่นอนก่อนที่จะหลับ ดิฉันก็กำหนดลมหายใจไปเรื่อยๆให้เพลินๆ เธอก็บอกว่า “ให้นับลมสิ” เพราะเธอคงเห็นดิฉันชอบนับลมอยู่บ่อยๆ แสดงว่าเธอต้องชอบขณะที่ดิฉันนับลมหายใจ เพราะเป็นการจัดระเบียบความคิดได้เป็นอย่างดี และสามารถทำได้ทุกเวลา ไม่เฉพาะขณะที่นั่งสมาธิ ยามนั่งเล่นหรือนั่งพักผ่อน เป็นการดีที่สุด พอตอนเช้า ดิฉันตื่นแล้วแต่ยังนอนอยู่ ยังไม่ลืมตา เธอก็เอามือมาสะกิดที่บ่า ๒-๓ ครั้ง เป็นการเรียกให้ลุกขึ้นนั่งสมาธิ เพราะเช้านี้นอนเพลินไปหน่อย

    บางครั้งดิฉันก็ใช้เธอบ้าง เช่น กำลังนอนอยู่ลืมดับไฟ แสงไฟจึงเข้าตา จึงบอกให้เธอดับไฟให้ที เธอก็ดับให้ แต่ดวงไฟจริงๆไม่ได้ดับหรอก เพียงแต่แสงไฟที่เข้าตาหายไป หรืออีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอากาศเย็นไม่ได้ห่มผ้า จึงรู้สึกหนาวๆ ก็เลยบอกให้เธอไปหยิบผ้าห่มมาให้หน่อย เธอก็ไปหยิบมาให้ ครั้นพอห่มก็หายหนาวได้เหมือนกัน ทั้งที่ความจริงไม่มีผ้าห่มหรอก แต่คงจะเป็นผ้าทิพย์ของเทวดานั่นแหละ จึงหายหนาวได้

    ครั้งหนึ่งดิฉันได้พบว่า ขณะที่อยู่ในองค์ฌานยุงจะกัดไม่เข้า ครั้งนั้นดิฉันไปนั่งสมาธิ ในช่วงเวลาเย็นพร้อมกับพระภิกษุที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ในตอนเย็นยุงก็ค่อนข้างชุม ดิฉันจึงต้องรีบรวมจิตให้เป็นเอกคตาโดยเร็ว เมื่อเข้าสู่ปฐมฌานได้แล้ว ปรากฏว่ากัดไม่เข้า แล้วก็บินไปทางอื่นหมด ครั้นพอออกจากสมาธิ เพื่อนที่ไปด้วยถามว่ายุงไม่กัดหรือ เห็นนั่งนิ่งอยู่ เธอบอกว่ายุงชุมมาก เธอต้องคอยเอาผ้าปัดไล่ยุงให้ลูก ๒ คน อยู่ตลอดเวลาเลย
     
  14. pisitv

    pisitv สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +11
    ยังมีต่อครับ

    ตอนที่ 14<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อีกครั้ง ดิฉันได้ธุดงค์ขึ้นไปพักทางภาคเหนือขณะที่นั่งบนรถประจำทาง ดิฉันก็ทำสมาธิไปด้วยเพราะจะทำให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย เมื่อไปถึงจุดหมายปลายทาง เพราะสมาธิช่วยเพิ่มกำลังงานในร่างกายได้มากกว่า การพักผ่อนด้วยการนอนหลับเสียอีกเมื่อจิตสงบระดับปฐมฌานแล้ว ทิพยจักษุก็บังเกิด ดิฉันได้เห็นเตนเองเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่ในรถผู้โดยสารคนอื่นหายไปหมดแม้แต่คนขับก็หายไปด้วย ดิฉันจึงเห็นรถวิ่งไปได้เอง โดยที่ไม่มีคนขับ ดิฉันได้เห็นป้ายบอกชื่อหมู่บ้านต่างๆที่ ๒ ข้างทางที่รถวิ่งผ่านแสงแดดจากดวงอาทิตย์ก็ไม่มี แต่เป็นแสงสว่างที่นวลเย็นตามาแทน ซึ่งภาพเหล่านี้ก็คงจะเป็นภาพอีกมิติหนึ่ง ที่มาปรากฏให้เห็นขณะทำสมาธินั่นเอง
    <O:p</O:p
    เช่นเดียวกันกับภาพของเทพยดาที่ได้เห็นอยู่เต็มศาลา ขณะมีการบรรยายธรรม และปฏิบัติธรรมกันถ้าได้เห็นภาพของเทพยดาแล้ว ภาพของมวลมนุษย์ก็จะหายไป จึงเหลือแต่เสียงธรรมเท่านั้นที่ได้ยินควบคู่ไปกับภาพของเหล่าเทพยดา
    <O:p</O:p
    ที่บ้านเดิมที่จังหวัดกำแพงเพชร ดิฉันได้เห็นเหล่าเทพยดาบ่อยมาก โดยดิฉันนอนที่ชั้น ๒ เธอจะมาอยู่กันที่ชั้นล่างเต็มไปหมด เป็นร้อยเลย สว่างไสวมาก ด้วยแสงของเหล่าทวยเทพ แล้วเธอก็เนรมิตเตียง ๒ ชั้น ๓ ชั้นขึ้นมา นอนกันอยู่เต็มบ้านเลย แม้เธอจะอยู่กันจำนวนมาก แต่ทุกคนก็เรียบร้อย ไม่พูดคุยกัน ทุกคนอยู่อย่างสงบเงียบ
    <O:p</O:p
    หรือเทพยดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็เช่นกันโดยเฉพาะที่ศาลาสุธรรมา อันเป็นศาลาที่เทพยดามาฟังธรรมกันทุกวันธรรมสวณะ เธอก็จะอยู่กันเต็มไปหมดห้องที่จุคนได้ ๕๐ คน ก็สามารถจุเทพยดาได้ถึง ๕๐๐ องค์
    ครั้งที่ดิฉันขึ้นไปแสดงธรรม เธอยืนสงบเงียบทุกคน แม้จะมองเห็นว่าเธออยู่กันจำนวนมาก แต่ก็สามารถมองทะลุเห็นกันได้หมดทุกคน ไม่มีการบังกันแต่อย่างใด แม้แต่เสียงธรรมก็เหมือนกัน ไม่ต้องใช้ไมโครโฟนและเครื่องขยายเสียง ใช้เสียงพูดธรรมดานี่แหละ ไม่ว่าจะยืนอยู่ที่มุมไหน ก็จะได้ยินเสียงที่มีความดังเท่ากันหมด ทุกจุดไม่ว่าจะยืนอยู่หน้าห้องหรือหลังห้อง
    <O:p</O:p
    ขณะที่อยู่ในฌานสมาบัติ ดิฉันชอบที่จะลองทำอะไรที่แปลกๆ ที่ขณะเมื่ออยู่บนโลกมนุษย์ เราไม่สามารถทำได้ เราต้องอาศัยเทคโนโลยีเช่นครั้งหนึ่งขณะอยู่ในสมาธิ ดิฉันได้เห็นตนเองไปปรากฏยังสถานที่แห่งหนึ่งมีสระน้ำกว้างใหญ่อยู่ข้างหน้า แล้วดิฉันก็อยากจะไปเที่ยวที่ฝั่งของสระน้ำด้านโน้นซึ่งมองเห็นเป็นภูเขาและทุ่งหญ้าสวยงามมาก ดิฉันคิดว่าจะไปอย่างไรดีก็เลยลองเอาเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำ ปรากฎว่าไม่จมใช้ได้เลย จากนั้นก็ลองเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เพียงแค่คิดเท่านั้น ก็ปรากฏว่ากายของดิฉันก็เคลื่อนที่ไปบนผิวน้ำในท่ายืน พุ่งฉิวไปเลย เหมือนกับติดเครื่องยนต์ ดิฉันก็เลยได้ข้ามไปเที่ยวที่ฝั่งโน้นได้
    <O:p</O:p
    เมื่อเคลื่อนที่ไปบนผิวน้ำได้แล้ว คราวนี้นึกอยากจะลองดำดินดูบ้าง เพียงแค่คิดว่าจะดำดินเท่านั้นกายของดิฉันก็เคลื่อนที่ลงไปภายใต้พื้นดิน เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว สนุกมากเลย แล้วก็ไปโผล่ยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ท่านเห็นไหมว่า มีอะไรสนุกๆ ให้เล่นได้ตั้งเยอะแยะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2005
  15. atom16@chaiyo.com

    atom16@chaiyo.com Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +26
    สาธุ...สาธุ..อุปทานรึเปล่า..ไม่แน่ใจ
    แต่ถ้าจริงๆเค้าไม่มาเล่ากันไม่ใช่เหรอ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2005
  16. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    โมทนาครับ
     
  17. pisitv

    pisitv สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +11
    ตอนที่15<O:p</O:p
    <O:p
    ส่วนการเดินทางเคลื่อนที่ไปบนบก หรือบนพื้นดิน ดิฉันจะไม่เดินหรอก การเดินไว้ใช้เฉพาะบนพื้นดิน ดิฉันจะไม่เดินหรอก การเดินไว้ใช้เฉพาะบนโลกมนุษย์ก็แล้วกัน ส่วนในโลกทิพย์จะเดินทำไมให้เมื่อยดิฉันจะทำตัวลอยไป โดยเท้าอยู่สูงจากพื้นดิน บางครั้งได้เห็น เหล่าเทพยดาจำนวนมาก เดินกันเป็นแถวดิฉันก็อยากจะไปเที่ยวกับพวกเธอบ้าง ดิฉันก็ลอยตัวสูงต่ำก็สามารถกำหนดได้ตามที่ต้องการ
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    ส่วนการย่นระยะทาง ดิฉันคิดว่าเขาทำกัดอย่างไร โดยที่ดิฉันเป็นคนหัวดี เรียนหนังสือเก่ง ได้ที่ ๑ มาตลอด ก็มาคิดว่า ต้องทำตัวให้โตสูงใหญ่กว่าภูเขาเพียงแค่คิดเท่านั้น ตัวของดิฉันก็โตสูงขึ้นทันทีเท้าข้างหนึ่งอยู่บนภูเขาลูกนี้ พอก้าวเท้าอีกข้างหนึ่งออกไป เท้าอีกข้างหนึ่งก้ไปอยู่บนภูเขาอีกลูกแล้ว อย่างนี้ดีจังเลย เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงประเทศอินเดียแล้ว เพราะดิฉันอยากไปประเทศอินเดียมากเลย กายเนื้อยังไม่เคยไป เคยไปแต่กายทิพย์

    อีกครั้งหนึ่ง ขณะทำสมาธิอยู่ในระดับฌาน ๔ ในเวลาตอนใกล้รุ่ง ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองค่อยๆลอยขึ้นจากพื้น และเสื่อก็ลอยขึ้นไปด้วย ลอยขึ้นไปด้วย ลอยขึ้นไปจนถึงเพดานของบ้าน แล้วก็ค่อยๆลอยลงมา ดิฉันก็เกิดความสงสัยว่าเป็นกายเนื้อลอยหรือกายทิพย์ลอย จึงทำตัวลอยครั้งที่ ๒ คราวนี้พอลอยหรือกายทิพย์ลอย ก็เอามือลองเคาะที่ฝ้าเพดานดู ก็ปรากฏว่ามีเสียงดัง ก็ยังไม่แน่ใจจึงทำตัวลอยครั้งที่ ๓ อีก แล้วไปเคาะที่ฝ้าเพดานก็มีเสียงดังอีกการเล่นตัวลอยครั้งนี้ หาข้อสรุปไม่ได้ว่ากายเนื้อลอยขึ้นไปหรือเปล่า
    <O:p</O:p
    ดิฉันชอบเล่นสนุกกับกายทิพย์บ่อยๆ ครั้นพอเข้าฌาน ๔ ได้แล้ว กายทิพย์ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกคราวนี้คิดว่าจะไปไหนดี ก็มาคิดว่า เล่นเดินทะลุประตูดีกว่า ดิฉันก็เดินทะลุประตูจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งสนุกมากเลย ในตอนกลางวันจะเข้าห้องไหนก็ต้องเปิด ปิด ประตู ซึ่งเสียเวลามากเลย ตอนกลางคืนอย่างนี้ เดินทะลุประตูได้เลย กายก็เบามาก เท้าแทบไม่แตะพื้นเลย จึงเดินไปเดินมาอยู่หลายรอบ ด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน
    <O:p</O:p
    อีกครั้งหนึ่ง ขณะอยู่ในสมาธิ ดิฉันก็มีนิมิตว่าได้พาตัวเองไปโคจรรอบดวงจันทร์ ตัวของดิฉันก็เป็นเสมือนกับวัตถุในอวกาศชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่ง ได้เคลื่อนที่ไปรอบดวงจันทร์ลอยอยู่ในอวกาศที่เวิ้งว้าง กว้างใหญ่ไพศาล จะไปได้จริงหรือเปล่า ก็ไม่อาจที่จะทราบได้ แต่ที่สำคัญคือสนุกมาก
    <O:p</O:p
    ทวยเทพยดา ชั้นจาตุมหาราชิกา และชั้นดาวดึงส์เป็นผู้ที่ได้ไปเสวยทิพย์สมบัติ เธอยังยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส อยู่ ดังนั้น เธอจึงชอบบันเทิงกัน บนสวรรค์จึงมีการแสดงละคร มีขบวนแห่ ขบวนรถที่ประดับตบแต่งสวยงาม หรูหรามาก มีเกือบทุกวัน ท่านท้าวสักกะเทวราช และท่านท้าวจาตุมหาราช ท่านได้ทันเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อครั้งยังทรงพระชนม์อยู่ และเหล่าเทพยดาก็มีเป็นจำนวนมากเช่นกัน ที่ได้ทันเห็นพระพุทธองค์ ดิฉันก็อยากเห็นพระผู้มีพระภาคบ้างแม้จะเป็นการแสดงในละครก็ยังดี เพราะดิฉันระลึกนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาธิคุณของพระพุทธองค์ อยู่เสมอทุกวัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2005
  18. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    ฌาณ ต้องเข้าไปตามลำดับ จะข้ามไม่ได้เด็ดขาด แสดงว่าผู้ปฏิบัติเข้าใจผิด
     
  19. manas

    manas Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +76
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนา สาธุ กับท่านด้วย ธรรมใดที่ท่านได้รู้ ได้แจ้งแล้ว ข้าเจ้าขอได้รู้ ได้แจ้งในธรรมนั้นด้วยเทอญ มนัส...
     
  20. Bhutan

    Bhutan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +167
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ ชอบอ่านเรื่องในแนวนี้มากๆ เลยครับ อ่านแล้วได้กำลังใจในการปฏิบัติมากๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...