ประสบการณ์สมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วัฐจักรชีวิต, 19 กรกฎาคม 2008.

  1. วัฐจักรชีวิต

    วัฐจักรชีวิต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +2
    ใครเป็นแบบผมบ้างในระหว่างนั่งสมาธิมีอาการต่างๆเกิดขึ้นหลากหลายมาก
    1.เห็นหน้าองค์เทพขณะที่เห็นก็จะภาวนาเห็นแล้วหนอรู้แล้วหนอแล้วท่านก็หายไป
    2.ได้ยินท่านสอนและก็ได้คุยกับท่านทางจิต(คุยเป็นเรื่องเป็นราวเลยท่านเรียกผมว่าลูก)
    3.เห็นแสงสีม่วงวูบวาบตลอด
    4.ขณะนั่งดับไปเฉยๆ ว่างมากมืดดับไม่รู้เรื่องแต่รู้ตัว
    5.ช่วงเวลาที่นั่งหายไปพอดึงจิตกลับมาจะรู้สึกว่าเวลาช่วงนั้นหายไป
    6.ขาชาปวดมาก คันตามใบหน้าแต่ไมได้เกา เพราะเหมือนว่าตัวเองนั่งดูความรู้สึกนั้นอยู่ปวดมากแต่ไม่ปวด สบายมีความสุข แต่พอถอนสมาธิเดินไม่ได้เลยปวดแทบขาดใจ
    7.บางครั้งมีพลังงานผ่านมาเหมือนจะสวมแต่สวมไม่ได้รู้ตัวได้แค่ตากระพิบ ขนลุก เบาหวิว
    8.เห็นอดีตในสถานที่นั้นๆ และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


    และอีกหลายอย่าง แต่ละครั้งที่เกิดปรากฎการณ์ขึ้น จะภาวนาว่ารุ้แล้วหนอ เห็นแล้ว ไปเรื่อยๆจนกว่าจะผ่านช่วงนั้นๆไปเพราะเข้าใจดีว่าสิ่งที่เห็นมันเห็นจริง แต่มันจริงไม่จริงไม่รู้กลัวจิตปรุงแต่งและโดนมารหลอก และการนั่งสมาธิแต่ละครั้งใช้เวลา ไม่นาน 20-30 นาที เท่านั้นแต่ดูว่ามันนานมากก เหมือนกับนั่งเป็นชั่วโมง แต่พอนั่ง เป็นชั่วโมงเวลาในช่วงนั้นกลับหายไป งงต้องทำไงบ้างสิ่งที่เกิดคืออะไร ไม่เคยเรียนกรรมฐาน ส่วนมากจะใช้ความรู้สึกของในตัวเองเป็นตัวกำหนด มีที่ไหนที่อาจารย์เก่งด้านนี้และให้คำปรึกษาได้ครับ รบกวนผู้รู้ด้วยครับ
     
  2. jerajajen

    jerajajen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +267
    ผมเคยเป้นเหมือนข้อ 7 หนังตากระตุกอย่างรวดเร็วและหายใจเร็ว ใจเต้นเร็ว เบาหวิวเหมือนมีอะไรจะเข้ามาครับเป็นพลังงานครับ
     
  3. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คือ นิมิตที่จิตสร้างขึ้นค่ะ ลองอ่านบทความนี้ดูค่ะ ^_^

    ลักษณะของนิมิต
    นิมิตที่จิตสร้างขึ้นนั้น ส่วนมากจะเห็นเป็นรูปร่างหรือภาพ
    หรืออาจจะเกิดเป็นกลิ่น สี แสงสว่าง ซึ่งเคยพบปะมาในอดีตก็ได้
    หรืออาจจะเป็นรูปผี ปีศาจ ยักษ์มารอะไรก็ได้
    ซึ่งจิตนึกคิดสร้างขึ้นเองเป็นมโนภาพเท่านั้น
    จึงไม่อาจทำร้ายร่างกายผู้ปฏิบัติให้เป็นอันตรายได้เลย
    แต่ถ้าผู้ปฏิบัติกลัวขึ้นมาเอง โดยไม่รู้ความจริงแล้ว ย่อมเสียขวัญได้
    และถ้าหากคุมสติไว้ไม่ได้ ทำให้ลุกขึ้นวิ่งหนีแล้ว ก็อาจเป็นบ้าไปได้เหมือนกัน.

    โปรดจำไว้ให้มั่นใจว่า สิ่งที่เห็นเป็นนิมิตต่างๆนั้น
    ตัวผู้ปฏิบัติเองสร้างขึ้นทั้งสิ้น ไม่ใช่ผู้ใดมาสร้างเลย

    ดังนั้นวิธีแก้นิมิตเหล่านั้นให้หมดไป ก็คือ
    รีบยกจิตกลับไปตั้งและประคองให้มั่นคง ณ ฐานที่ตั้งสติให้ได้ทันที
    นิมิตทั้งหมดจะหายวับไปด้วยอำนาจสติที่เกิดขึ้น
    และทำให้สมาธิก้าวหน้า สงบมากตามลำดับไปทันทีด้วย.

    สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดนิมิตทางใจเช่นนี้ ก็คือ
    ผู้ปฏิบัติที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องสมาธิให้ถูกต้องว่า
    ตนมีหน้าที่สนใจอยู่ในขณะปฏิบัติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    คือสร้างสติให้เกิดขึ้นที่ฐานที่ตั้งสติที่ได้อุปโลกน์ไว้
    แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผู้ปฏิบัติเองกลับไปอธิษฐานจิต
    ตั้งความปรารถนาขอเห็นนิมิตอย่างนั้นอย่างนี้ ก่อนลงมือปฏิบัติ
    เช่น ขอเห็นนรก เห็นสวรรค์ เป็นต้น.

    ^_^

    คัดลอกมาบางตอนจากหนังสือธรรมประทีป ๙ ธรรมะภาคปฏิบัติ หน้า ๑๓๔
    หนังสือเล่มนี้เอื้อต่อการปฏิบัติธรรมดีมากค่ะ ติดต่อขอรับหนังสือได้ตามลิงค์ค่ะ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=138734

    ^_^
     
  4. วัฐจักรชีวิต

    วัฐจักรชีวิต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +2
    ต่ออีกนิด

    การปฎิบัติของผมไม่หวังที่จะได้นิพพานหรือหลุดพ้น เพราะผมรู้ตัวดีว่าการไปนิพานมันยากมากสำหรับมนุษย์ที่มีกิเลสหนาอย่างผม เพราะความที่เป็นคนที่ยังเพรียบพร้อมไปด้วย โลภะ โมหะ และโทสะ จึงเป็นการยากที่จะหลุดพ้น ได้แต่แค่พยายมาลดมันให้ได้มากที่สุดและปฎิบัติเพื่อให้เกิดปัญญาและนำมาเป็นเครื่องมือในการละสิ่งเหล่านั้น แต่การปฎิบัติมักจะมีนิมิต ที่อาจเกิดจากการปรุงแต่งของจิตหากไม่ระวังตัวก็จะเกิดการหลงได้ ขอนี้ผมรู้ดี เพราะเกิดหลงในช่วงแรกแต่พอปฎิบัติไปเรื่อยๆเกิดความชินและสติในการพิจารณามากขึ้น ความหลงก็ทำอะไรผมไม่ได้ เพราะผมไม่ยึดติดปล่อยผ่านไป และคิดอยูเสมอว่า เราเห็นจริงแต่สิ่งทีเห็นมันอาจไม่จริง และผมได้นำสติปฐาน 4 มาใช้ในการกรรมฐานด้วย เพียงแค่ผมไม่ได้เดินจงกรมเท่านั้นเอง
     
  5. pom980095

    pom980095 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +181
    ขออนุญาติคุยด้วยค่ะ
    1.เห็นหน้าองค์เทพขณะที่เห็นก็จะภาวนาเห็นแล้วหนอรู้แล้วหนอแล้วท่านก็หายไป
    ไม่ขอแสดงความคิดเห็นเพราะไม่เคยเจอสภาวะธรรมแบบนี้
    2.ได้ยินท่านสอนและก็ได้คุยกับท่านทางจิต(คุยเป็นเรื่องเป็นราวเลยท่านเรียกผมว่าลูก)
    ต้องพึงระวังให้มากเพราะมารก็มี เทพจริงๆก็มี
    3.เห็นแสงสีม่วงวูบวาบตลอด
    เป็นอุปกิเลิส16 ในขั้นอุปจารสมาธิ ให้ภาวนาเห็นหนอๆๆๆ จนกว่าจะหายไป
    4.ขณะนั่งดับไปเฉยๆ ว่างมากมืดดับไม่รู้เรื่องแต่รู้ตัว
    ยังไม่ใช่ฌาน เพราะการเข้าฌานจะต้องรู้ตัวรู้สภาวะธรรมตลอดเวลา ไม่วูบไปเฉยๆแบบนี้
    5.ช่วงเวลาที่นั่งหายไปพอดึงจิตกลับมาจะรู้สึกว่าเวลาช่วงนั้นหายไป
    สมาธิยังแนบแน่นไม่พอ อาจเกิดจากไปสนใจอารมณ์อุปกิเลิสมากไป ต้องจับอารมณ์ก่อนจะวูบให้ได้ แล้วภาวนารับรู้อารมณ์นั้น ขอยกตัวอย่างกรณีของดิฉัน ก่อนจะวูบจะเกิดอารมณ์ผ่อนคลาย รู้สึกมีความสุข ให้ภาวนาสุขหนอๆๆ จนอารมณ์สุขหายเป็นเฉยๆ อาการวูบจึงไม่เกิด
    6.ขาชาปวดมาก คันตามใบหน้าแต่ไมได้เกา เพราะเหมือนว่าตัวเองนั่งดูความรู้สึกนั้นอยู่ปวดมากแต่ไม่ปวด สบายมีความสุข แต่พอถอนสมาธิเดินไม่ได้เลยปวดแทบขาดใจ
    เป็นอารมณ์วิปัสสนาได้อารมณ์แบบนี้ก็ดี เริ่มเห็นทุกขังคือความปวด เห็นอนิจจังคือความไม่เที่ยง อาการปวดเริ่มหายไป เห็นอนัตตาคือความดับ อาการปวดหายไป เริ่มที่จะแยกรูป แยกนามได้ แบบกายปวด ใจไม่ปวด พอลืมตามันกลับมารับรู้ว่าตนมีขันธ์ 5 มันก็ปวดมากเป็นธรรมดา มาถึงตอนนี้พอจะเข้าใจว่าร่างกายไม่ใช่ของเราหรือยัง
    7.บางครั้งมีพลังงานผ่านมาเหมือนจะสวมแต่สวมไม่ได้รู้ตัวได้แค่ตากระพิบ ขนลุก เบาหวิว
    ยังเป็นอาการของอุปกิเลิสอยู่ ให้ภาวนาขนลุกหนอๆๆ หรือ ตามสภาวะรรมที่ปรากฎ
    8.เห็นอดีตในสถานที่นั้นๆ และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
    ไม่ขอแสดงความคิดเห็นเพราะไม่เคยเจอสภาวะธรรมแบบนี้

    และอีกหลายอย่าง แต่ละครั้งที่เกิดปรากฎการณ์ขึ้น จะภาวนาว่ารุ้แล้วหนอ เห็นแล้ว ไปเรื่อยๆจนกว่าจะผ่านช่วงนั้นๆไปเพราะเข้าใจดีว่าสิ่งที่เห็นมันเห็นจริง แต่มันจริงไม่จริงไม่รู้กลัวจิตปรุงแต่งและโดนมารหลอก และการนั่งสมาธิแต่ละครั้งใช้เวลา ไม่นาน 20-30 นาที เท่านั้นแต่ดูว่ามันนานมากก เหมือนกับนั่งเป็นชั่วโมง แต่พอนั่ง เป็นชั่วโมงเวลาในช่วงนั้นกลับหายไป งงต้องทำไงบ้างสิ่งที่เกิดคืออะไร ไม่เคยเรียนกรรมฐาน ส่วนมากจะใช้ความรู้สึกของในตัวเองเป็นตัวกำหนด มีที่ไหนที่อาจารย์เก่งด้านนี้และให้คำปรึกษาได้ครับ รบกวนผู้รู้ด้วยครับ
    ถ้ามีเวลา ขอให้ไปเรียนกรรมฐานตามจริตที่ตัวเองชอบตามสำนักที่สอนเช่น ยุบหนอ-พองหนอ พุทโธ มโนมยิทธิ กสิณ เป็นต้น จะได้ไม่หลงทางและก้าวหน้าเร็ว ดิฉันคงไม่สามารถแนะนำอาจารย์ได้ เพราะไปเรียนกรรมฐานที่วัดแล้วกลับมาทำที่บ้านไม่มีอาจารย์แนะนำเหมือนกัน มันก็ได้ผลแต่ก้าวหน้าช้า ทำกรรมฐานมาเกือบ 7 ปี เพิ่งถึงสังขารุเปกขาญาณ เคยเข้าฌานได้ถึงฌาณ 4 แต่ก็ต้องละ เพราะออกฌานมากิเลิสยังเพียบอยู่ จึงหันไปทำวิปัสสนาแทน แต่วิปัสสนาต้องควบคู่ไปกับสมาถะ ทิ้งกันไม่ได้ ดิฉันคงแนะนำได้เพียงเท่านี้

    ขออนุโมทนาค่ะ<!-- / close content container --><!-- open content container -->

     
  6. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    สูงสุดที่เราควรจะยึด คือพระรัตนตรัย เทพ เทวา องค์ใด เราเคารพ แต่เราจะขอยึดคำสอนขององค์พระรัตนตรัย เป็นที่สุด ยึดขาท่านไว้เลย ยิ่งดี

    ปล.ผู้เล่านิทาน ยังไม่นิพพานและไม่ได้มรรคผลขั้นใดๆ ได้ยินนิทานจึงเอามาฝากกันครับ
     
  7. noolegza

    noolegza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +3,844
    อย่าใส่ใจมากครับ มันผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป ทำไปเรื่อยๆไปไม่ต้องไปยึดติด ทำอย่างมีความสุขก็พอ
     
  8. pongdoo

    pongdoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +106
    อนุโมทนา.........สาธุ
    อายุของมนุษย์นี้น้อยนัก คนดีไม่พึงดูหมิ่นอายุนั้น พึงรีบประพฤติความดีเพราะความตายจะไม่มาถึงไม่มี หากผู้ใดได้ตระหนักถึงความจริงแห่งชีวิตหรืออายุตามที่กล่าว จะเกิดความไม่ประมาทแล้วเร่งรีบบำเพ็ญเพียร สร้างเกาะอันเป็นที่พึ่งสำหรับตน(smile)
     
  9. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ถึงคุณวัฏจักร

    ขออนุโมทนาในกุศลบารมีที่ท่านได้เพียรมามากแล้ว

    ขออนุโมทนาในกุศลปัญญาบารมีที่ท่านมีดีแล้วเช่นกัน
    ที่ไม่เลือกไม่ยึดถือสิ่งไรๆที่เป็นเป็นเรา หรือ ไปหมายมั่นว่านั้น จริงแท้
    เพราะสิ่งจริงแท้ไม่มี

    ตอนนี้ทุกอย่างดีหมด แต่ขออนุญาติชี้ เรื่องการปรับตัว วัตถุประสงค์ ของการศึกษาธรรม

    จริงๆ ท่านก็เกือบจะตั้งวัตถุประสงค์ได้ถูกต้องอยู่แล้ว แต่ก็ขอออกตัวชี้กันเหนียว

    วัตถุประสงค์ของการศึกษาธรรม ก็คือ เพื่อเข้าใจเป็นความรู้เท่านั้น

    หากตั้งวัตถุประสงค์แค่รู้เท่านั้น ก็จะสอดคล้องกับสิ่งที่คุณทำอยู่ คือ ไม่ว่าจะไปเห็น
    อะไร ก็เพียงทำความรู้สึกไปว่า แค่รู้ เมื่อรู้ ก็ไม่ต้องเอาอะไรไป ไม่ต้องถืออะไรไว้
    ไม่สำคัญว่านั้นเป็นอะไร และเป็นของเราหรือไม่

    ดังนั้น เมื่อกล่าวถึง พระนิพพาน ท่านจึงมีหน้าที่ไปรู้ ไปเห็น เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อ
    ไปเอาพระนิพพาน ก็จะเห็นว่า ในเมื่อหน้าที่เราทำเพื่อเพียงเห็น จึงไม่มีเหตุผลใดๆ
    เลยที่คุณจะไม่กระทำการศึกษาไปเพื่อเห็น กลับกัน ถ้าหากคุณวางวัตถุประสงค์เพื่อ
    เอาพระนิพพานมาเป็นสมบัติตน ก็จะมีทัศนะผุดขึ้นว่า มันไม่ถูกต้อง(ด้วยปัญญาบารมีของคุณ)

    สรุปว่า การมาศึกษาเพื่อรู้เท่านั้น สอดคล้องกับการเข้ามาภาวนาเจริญสติที่สุด และ
    หนทางเข้ามาแค่รู้ รู้แล้ววาง ไม่เอาอะไรไป ก็อยู่บนทางเอก คือ สติปัฏฐาน 4 ที่คุณ
    ได้หยิบขึ้นมาเป็นเครื่องช่วยศึกษาอยู่แล้วนั่นเอง

    ก็ขอให้มั่นคงต่อแนวทางปฏิบัตินี้ไปเรื่อยๆ เพื่อรู้ รู้แล้ววาง ไม่ได้มาเอาอะไรไป ไม่มี
    ใครได้อะไร ไม่อะไรที่ได้ไป ไม่มีสิ่งให้บรรลุ และไม่มีใครบรรลุอะไร ไม่มีสถานที่ใด
    ให้เข้าไปอยู่ และไม่มีใครไปอยู่ในสถานที่ใด เพราะ มาเพื่อเพียงรู้ เข้าใจ เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2008
  10. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972


    ผมอ่านข้อมูลของคุณเจ้าของกระทู้แล้ว ทราบว่าคุณปฏิบัติแบบมือสมัครเล่น แต่บังเอิญได้ไปพบเจอประสบการณ์ที่ตนเองก็ควบคุมไม่ได้ และดูเหมือนว่าจะดีก็ไม่เชิงจะแย่ก็ไม่ใช่ แต่ตัวผู้ปฏิบัติเองก็บอกไม่ถูกว่าเกิดจากอะไร แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี จะไปต่ออย่างไรดี


    ผมขอลองพิจารณาดังนี้นะครับ

    คุณเจ้าของกระทู้ยังฝึกภาวนาแบบตามมีตามเกิด จิตยังไม่รวมเป็นหนึ่ง จิตยังไม่มีกำลังพอที่จะพิจารณาและป้องกันสิ่งแปลกปลอมในขณะปฏิบัติสมาธิและจิตก็คล้อยตามหรือเสียความสงบเมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น แปลว่าสภาพจิตของคุณยังไม่เข้าถึงความสงบจริง แต่ภาพหรือสิ่งที่ไม่ได้กำหนดก็ถูกฉายออกมาบวกกับการเกิดอาการทางร่างกายทั้งภายในภายนอกขึ้นต่างๆ นานา แปลว่าจิตยังอ่อนกำลัง เมื่อการฝึกสมาธิจิตยังไม่สงบจริง จิตยังไม่นิ่งจริง กำลังสมถะของใจก็ยังไม่เกิดจริง ภาพก็ดี เสียงก็ดี อาการทางกายใดๆ ก็ดี ที่เกิดขึ้นท่านให้ละอย่าไปสนใจยึดถือเพราะมันเกิดมาจากเหตุปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น กรรมเก่า กิเลสในตนหลอกตนเอง กิเลสภายนอกหลอกตนเอง และเพราะกำลังของสมาธิยังไม่มี แปลว่าต้องแก้ไขตรงเรื่องการฝึกภาวนาให้ใจสงบ ใจหยุด นิ่ง ให้ได้จริงเสียก่อน แล้วสิ่งเหล่านี้จะไม่เข้ามารบกวนจิตใจของท่านอีกเลย


    ขอให้ท่านเจ้าของกระทู้พิจารณาถึงจุดประสงค์ของการเจริญภาวนาว่า ท่านต้องการอะไรในการเจริญภาวนา ในขั้นต้น เราต้องทำจิตให้เป็นขึ้นก่อน จิตตังภาวิยติ ในหลักการเจริญภาวนานั้นต้องรวมใจให้หยุดให้นิ่งให้ได้เสียก่อน เมื่อใจหยุดนิ่งได้ถูกส่วนกำลังสมถะก็เกิดใจเช่นนี้นิวรณ์ ๕ ไม่กำเริบ สิ่งแปลกปลอมมาดึงให้หลงต่าง ๆก็จะไม่เข้ามาทำให้อารมณ์ใจเสียอีก ถ้าท่านยังแก้ไขตรงนี้ไม่ได้ การฝึกสมาธิของท่านก็จะวกวนและวนเวียนอยู่เพียงนี้ ต่อให้ท่านพยายามละวางอย่างไร แต่กำลังใจไม่เกิดคือใจไม่สงบการปฏิบัติก็จะไม่ก้าวหน้า ท่านต้องฝึกภาวนาโดยมีครูคอยกำกับจึงจะพัฒนาสภาวะทางใจให้ดีขึ้นได้ครับ กรณีของท่านฝึกภาวนาเองจะทำให้ก้าวหน้าได้ยาก เพราะมีสิ่งคอยขัดขวางอยู่นั่นเอง...
     
  11. รัตมา

    รัตมา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอให้คุณเจ้าของกระทู้เพียรปฏิบัติสมาธิต่อไปจนพบผู้รู้โดยเร็ว...อนุโมทนา
     
  12. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    พักไปทานข้าวมา ขอเสนอต่อดังนี้

    การที่ผมชี้ว่า คุณมีวาสนา และบารมีดีแล้ว ไม่ใช่เรื่องเกินจริง

    ในทางพุทธศาสนานั้น เราจะมีประเภทวิธีที่ใช้ในการเจริญภาวนาอยู่สามแบบ
    ตามอินทรีย์ที่ได้เพียรสร้างสะสมมาแล้ว

    คนใด สะสมปัญญาพละมาเป็นหลัก จะภาวนา โดยเอา ปัญญา นำ สมาธิ

    คนใด สะสมสมาธิพละมาเป็นหลัก จะภาวนา โดยเอา สมาธิ นำ ปัญญา

    แต่สำหรับคนพิเศษ ที่เพียรมามากแล้ว เกินกว่าความเข้าใจของคนส่วนมาก
    เพราะเขาได้เพียรสร้างพละมาทั้งสองส่วนมากกว่า สองกลุ่มข้างต้น เขาจะ
    ภาวนาด้วย ปัญญา และ สมาธิ ควบกันไป ( ขออนุญาติวงเว็บเพิ่มเติม ในจุดนี้
    จะเห็นว่า คนที่มีอินทรีย์พร้อมแล้ว จะใช้ ญาณ และ ฌาณ ควบกันไป ดังนั้น
    ผมไม่ได้พูดกล่าวแยกแต่อย่างใด )

    จากการสังเกตุคำถามของคุณ พบว่า คุณทำสมาธิด้วยภาวะมีสติระลึกรู้ แม้วูบ
    เข้าภวังค์จิตก็ยังมีสติระลึกรู้ได้โดยตลอด ซึ่ง การเข้าสู่ภวังค์แล้วมีสติรู้เนื้อ
    รู้ตัวนั้นจะทำไม่ได้สำหรับกลุ่มที่ปัญญาบารมีไม่มากพอ เมื่อวูบ ส่วนใหญ่จะ
    ผลอยหลับไป ออกมาจากสมาธิ จะพบว่าเวลาหายไป

    ตรงจุดนี้เอง ก็พบว่าใน คำถามข้อ 5. คุณได้กล่าวเอาไว้ และที่กล่าวเอาไว้
    ก็เพราะว่า ชาตินี้คุณต้องมาเติมปัญญาพละเข้าไปอีก เหตุนี้ คุณจึงมีความ
    ชอบใจ มีธรรมวิจัยยด้วยตัวเอง ที่จะเลือก ทำสติปัฏฐาน 4 เพราะสติปัฏฐาน 4
    ล้วนๆ นั้น จะช่วยเติมตัวปัญญาพละ ซึ่งจะผันไปเป็นปัญญาอินทรีย์ในอนาคต

    คนที่มีปัญญามาก จะเปรียบเสมือนคนที่คบไฟติดตัว หากตกไปอยู่ในถ้ำที่มืด
    มิดเพียงลำพัง ก็สามารถเอาตัวรอดได้ ไม่ต้องพึงพิงใคร ไม่ต้องโหยหาอาจารย์
    ไม่ต้องนั่งจุมปุกจุกเจ่าเป็นฝูงอยู่กับอาจารย์ ดั่งพุทธวัจน ตรัสท้ายสติปัฏฐานสูตร
    คือ เมื่อภิกษุได้สดับวิธีการฝึกสติปัฏฐาน 4 แล้ว พระพุทธองค์ก็ตรัสไล่ให้ไปทำเพียง
    ลำพัง นั่นเรือนว่าง นั่นโคนต้นไม้ ท่านไม่ประสงค์ หรือ ยินดีกับการคลุกคลี และไม่
    ยินดีต่อการอยู่ใกล้ ท่านนิยมให้ภิกษุออกไปบำเพ็ญภาวนาด้วยตัวเอง

    หลักการง่ายๆ ที่จะทำให้ บำเพ็ญด้วยตัวเองได้ คุณ วัฏจักรก็ทราบโดยตัวเองอยู่แล้ว

    การเห็นแสงวูบวาบนั้น เป็นอาการทั่วไปของ ผู้ทีภาวนาโดยใช้ ปัญญา ควบ สมาธิ

    แสงเหล่านั้น คือ สภาวะธรรมภายนอกที่ ปัญญาอินทรีย์ของคุณทราบชัด ทำให้เห็น
    เป็นเพียงแสง ไม่สามารถปรากฏเป็นภาพ หรือ นิมิต หรือ ทำให้คุณลงไปเสพขันธ์ได้
    และเพราะปัญญาแก่กล้า ทำให้มันตกไป เหลือเพียงแสง ก็ขออย่าได้สนใจ

    ส่วนสภาวะธรรมใดที่ยังไม่คุ้น จิตยังจดจำไม่ได้ก็จะปรากฏขึ้นเป็นนิมิต เป็นเสียง เพื่อ
    ล่อให้คุณหลุดออกจากฐานการภาวนา ลงไปเสพขันธ์ ก่อนจะล่อให้คุณ สงสัย หรือ
    ฝุ้งซ่าน

    ปัญญาที่แก่กล้าขึ้น จะค่อยๆปรับทัศนะของคุณให้นิมิต หรือ เสียงเหล่านั้น กลายเป็น
    เพียงสิ่งของถูกรู้ถูกดู พอแยกได้ชัดเจนก็จะเห็นว่า นั้นคือการเสพขันธ์ 5 เมื่อประจักษ์
    จิตเขาเองก็แจ่มแจ้ง ก็จะเกิดการแยกระหว่างจิต กับ นิมิตนั้น จนกระทั่งทำให้คุณไม่
    เสพอีก ทำให้สงสัยไม่เกิด ฝุ้งซ่านไม่เกิด จิตมีความเป็นกลาง มีอุเบกขา ทำให้เห็นจิต
    รู้เห็นจิต เพราะได้สางเอาสิ่งร้อยรัดเหล่านี้ออกไปทีละจุด ทีละเปาะ

    จะเห็นว่า การภาวนาด้วยปัญญาเข้าร่วมนั้น จะเป็นการเข้าตะลุมบอนกับสิ่งสับสนทั้งปวง ไม่มี
    การพึ่งความสงบ คนที่ยังต้องอาศัยความสงบก็เพราะปัญญายังไม่แก่กล้า หากปัญญา
    แก่กล้าแล้ว จะมีทิศทางไปทางเข้าตะลุมบอนกับสิ่งยั่วยุทั้งหลาย เพื่อรู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์
    เห็นสาเหตุแห่งทุกข์ และเห็นการพ้นจากทุข์ และรู้ทางพ้นทุกข์นั่นเอง

    เมื่อทวนหนทางปฏิบัติเหล่านี้ ก็จะพบว่า ตรงตามจรณะ ที่พระพุทธองค์ตรัสสั่งทุกประการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2008
  13. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    คงไม่จำเป็นที่จะต้องมากล่าวชมคุณเจ้าของกระทู้นะครับ ความเพียรชอบของคุณมีอยู่ แต่คุณต้องพยายามเข้าใจด้วยว่า เราพ้นทุกข์ได้ด้วยตนเองน่ะเป็นช่วงใดเวลาใด เพราะถ้าคุณมั่นใจในการปฏิบัติว่าตนเองสามารถเดินหน้าได้ด้วยตนเองผมก็ดีใจด้วย แต่คุณเจ้าของกระทู้ก็มิได้คิดเช่นนั้นมิใช่หรือครับ คิดแต่เพียงว่ากำลังศึกษาอยู่ กำลังต้องการแก้ไขปัญหาในการฝึกปฏิบัติดยู่


    แต่แปลกที่มีบางท่านพยายามบอกว่าคุณเจ้าของกระทู้วิเศษแล้ว เก่งแล้วอะไรทำนองนั้น ผมว่านี่คือหลุมพรางของการหลอกตนเอง ผมมิได้มุ่งหมายให้คุณเจ้าของกระทู้ไปเที่ยวหาอาจารย์แล้วยึดติดมอบกายถวายชีวิตให้พระอาจารย์นะครับ ผมเพียงต้องการชี้ให้คุณเจ้าของกระทู้เพียรชอบในการเอาตัวเองให้รอดจากปัญหาที่พบในการฝึกภาวนา เราไปพูดจาสนทนาธรรมกับพระภิกษุที่ชำนาญในการแก้กัมมัฏฐานก็คงไม่เสียหายถ้าเราจะไปเล่าให้ท่านฟังตามแต่จริตของเราเองจะเห็นสมควรนะครับ


    ไม่ต้องเชื่อผมดอกครับ แต่ก็อย่าได้หลงไปว่าตนเองจะมีปัญญาเอาตัวรอดทั้งๆ ที่ตนเองย่อมรู้ด้วยตนเองว่าเป็นเช่นไร ปัญญามีได้ทุกคนครับ เพราะถ้าสติไม่มาปัญญาไม่เกิด ฌาณเกิดเพราะสมถะ ปัญญาไม่เกิดกับคนไม่มีฌาณ ฌาณไม่เกิดกับคนไม่มีปัญญา


    ใครที่แยกสมถะความสงบกับปัญญาความรู้แจ้งออกจากกัน เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่งครับ สมถะและวิปัสสนาต้องควบคู่กันไป ผมไม่เคยปฏิเสธสมถะและวิปัสสนา ดังนั้นถ้าจะเริ่มต้นให้เอาตัวเองรอดจริงๆ ก็ต้องไปพร้อมๆ กันทั้งสมถะและวิปัสสนานะครับ



    สมถะหรือวิปัสสนาก่อน

    ปัญหา การเจริญกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ สมถะ และวิปัสสนา ใน ๒ อย่างนี้ จะเจริญสมถะก่อนหรือวิปัสสนาก่อน ? จะเจริญควบคู่กันไปจะได้หรือไม่ ?

    พระอานนท์ตอบ ว่า

    “....ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า (หรือ).... เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า (หรือ).... เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป.... มรรคย่อมเกิด เธอย่อมเสพเจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ เจริญกระทำให้มาก ซึ่งมรรคนั้น ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด....”

    ปฏิปทาวรรค ที่ ๒ จ. อํ. (๑๗๐)
     
  14. วัฐจักรชีวิต

    วัฐจักรชีวิต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +2
    บุคคลใดล่วงทุกข์ด้วยความเพียร

    ขออนุโมทนากับทุกคำตอบและขอเรียนทุกท่านที่ผมมาตั้งกระทู้เนื่องจากต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อพัฒนาจิต มิใช้ต้องการอวดอุตริอย่างใด ผมเพิ่งปฎิบัติกรรมฐานได้ไม่นาน จึงยังด้อยประสบการณ์นัก การปฎิบัติของผมมิใช่เพื่อนิพาน แต่เพื่อเสริมให้ ทาน ศีล ภาวนา ครบองค์นั้นเอง ไม่ได้ยึดติดไม่ได้เคร่งครัดสะดวกก็ทำ ไม่สะดวกก็ละได้ ไม่ได้ให้สัจจะว่าจะทำ แต่มันป็นวาระของสัญญาที่ต้องทำ บางสิ่งบางอย่างไม่สามารถบรรยายได้เป็นเรื่องของสัญญาที่แต่ละบุคคลต้องประสบเท่านั้น และที่สำคัญสิ่งที่ผมประสบที่ผมพบเหมือนวิชาที่ครูผมสอนให้ได้ประสบแตกต่างกันเปลี่ยนไปเรื่อยๆวนเวียนไปมาถ้าผมเล่ามากกว่านี้ผมต้องโดนว่าอวดอุตริแน่เลย อย่างเช่นเมื่อคืน ผมนั่งอยู่ภาวนายุบหนอ พองหนอ จนเกิดสมาธิจิตเกิดดับวูบเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น อยู่ๆมีลมพัดมาด้านหลังอาการก็เกิด ภายในร่างกายมันโล่ง กวง เบามีความสุข รู้สึกแต่ ท้องที่มันยุบกับพอง จิตอยู่ไหนไม่รู้ ได้แต่ภาวนา รู้แล้วหนอ สุขหนอ แล้วกลับมาพิจารณาที่ยุบ พองเหมือนเดิม ผมไม่รู้หรอกว่าอะไรคือณาน แต่ลึกๆผมแค่อยากเดินให้ถูกทางเท่านั้น ผมไม่รู้ว่าจริตของผู้ปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานเป็นแบบไหน ผมจึงอยากหาครูที่ให้คำปรึกษาผมในขณะที่ปฎิบัติ ตอนนี้ผมได้แค่ทำไปเรื่อยๆและใช้สติในการพิจารณาไปเรื่อย ผมไม่ค่อยได้เข้าวัดจึงไม่รุ้จะหาภิกษุที่เก่งทางด้านกรรมฐานท่านใดมาสนทนาด้วย และก็ไม่รุ้ด้วยว่าท่านจำวัดอยู่ที่ไหน จริงๆผมศรัทธาในหลวงพ่อจรัญ แต่วัดท่านผู้ไปปฎิบัติก็เยอะมาก ซึ่งก็ไม่ตรงกับลักษณะนิสัยผมอีกผม เอาเป็นว่า ใครมีอะไรจะชีแนะก็ขอความกรุณาด้วยครับ ผมรับปากผมจะไม่หลง เพราะ สิ่งที่ผมได้รับรู้จากการปฎิบัติและนอกเวลาปฎิบัติ มันมากจนทำให้ผมชินไม่ตื่นเต้นเหมือนตอนใหม่ๆ ได้แต่พิจารณาอะไรจะเกิดก็เกิด เพราะ กัมมุนา วัตตะตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05617.JPG
      DSC05617.JPG
      ขนาดไฟล์:
      477 KB
      เปิดดู:
      94
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ดีครับ เรื่องปริยัติพลุงพรัง ละไว้ก่อนได้

    คุณเอ่ยถามถึงครูบาอาจารย์ ผมก็ขอแนะนำ พระอาจารย์ปราโมทย์ ปารโมชโช

    ท่านเป็นพระกรรมฐาน ทีทำสมถะมาทุกรูปแบบกว่า 20 ปี แล้วชี้ว่า ไม่ได้มรรคเลย
    ได้แต่ผลของสมถะในทางนั้นๆ

    พอได้พบหลวงปู่ดูลย์ หวงปู่สิม หลวงปู่เทสก์ หลวงตามมหาบัว หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

    ท่านก็ได้เล็งเห็น ส่วนของวิปัสสนา นั้นทำอย่างไร ต่อยอดจากกรรมฐานสำนักต่างๆ
    อย่างไร

    ของหลวงพ่อจรัล ก็มีความคล้ายคลึงกัน ก็คือ ตรงสติปัฏฐาน 4 นั่นเอง
    พระท่านก็กล่าวชมหลวงพ่อจรัลไว้ด้วย

    ถ้าสนใจ ก็ลองค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมจาก www.wimutti.net

    การที่คุณมีสติ ตอนที่ดับวูบไป ก็คือ ระลึกได้ว่าหลง จมแช่อยู่ สติจึงเกิด
    และ เกิดได้ต่อเนื่องทำให้ มีสติระลึกรู้ ตอนนี้แหละครับที่เรียกว่า รู้ตัวทั่วพร้อม
    คือ อะไรกระทบก็รู้ ( คนอื่นเข้าใจผิด คิดว่าต้องแผ่ความรู้สึกไปทั่วกาย แต่จริงๆ
    ไม่ใช่แบบนั้น -- พระท่านสอนไว้อย่างนี้ )

    แต่บอกนิดนึงครับ ท่านจำวัดอยู่ที่ชลบุรี หากไม่สะดวก ท่านสามารถ download
    mp3 มาฟังได้ เสียงเทศนาของท่าน ไม่ใช่พรรณาโวหาร แต่เป็นการที่ คนเข้าไป
    หา ทั้งที่เป็นศิษย์ และพวกลองของ เมื่อเข้าไปแล้ว ก็จะเอาสภาวะธรรมของตนขึ้น
    กล่าว แล้วพระท่านก็จะชี้ทางไปให้

    ดังนั้น เมื่อคุณฟัง mp3 ไปแล้ว จะต้องเจอ คนที่แสดงสภาวะธรรมตรงกับคุณแน่นอน

    แล้วคุณก็จะได้ คำสอน ที่เปรียบเสมือน นั่งภาวนาอยู่ต่อหน้าท่าน

    นอกจาก นี้ การใช้คำศัพท์ (พยัญชนะ ) ยังมีสิ่งซ่อนอยู่ ดังนั้น เมื่อฟังซ้ำ ณ จุดเดิม
    ก็อาจจะก้าวหน้าทางธรรมได้อีก ทั้งๆที่เป็น สภาวะธรรมเดิม

    ก็ลองพิจารณาดูนะครับ ไม่ขอกล่าวเยอะไปกว่านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2008
  16. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ท่านพระอาจารย์ปราโมทย์ท่านก็เป็นนักท่องเว็ปมาก่อนที่ท่านจะบวช สนใจวิธีการของท่านก็ลองไปหาข้อมูลดูนะครับ


    ฝึกปฏิบัติธรรมให้เกิดปัญญานั้นต้องกระทำควบคู่กับฝึกคุณธรรมให้เกิดแก่ตนเองด้วย ในเมื่อคุณเจ้าของกระทู้ยังไม่หวังไปไกลกว่าที่กระทำอยู่ในตอนนี้ ก็ขอให้มีความเพียรชอบยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด แต่ความเพียรชอบนั้นผลที่ปรากฏก็ต้องเป็นไปตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา นะครับ
     
  17. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    คุณ วัฐจักรชีวิต เด๋วผมจะส่ง cd ไปให้นะครับ ถ้าจะปรึกษาอะไรคุยกันทาง pm ได้ครับ ผมแนะนำ อาจารย์ให้แนะนำให้ได้ครับ
     
  18. กายในกาย

    กายในกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +1,265
    อยากนั่งสมาธิในตอนนี้บ้าง แต่ไม่มีโอกาสเลย(ขี้เกียจ) ตัวผมเองไม่มีประสบการณ์เลย เลยต้องรับฟังผู้ที่ประสบการณ์ในการนั่งสมาธิ เพื่อจะได้สัมผัส เรียนรู้ สิ่งที่ได้จากสมาธิต่าง ๆ และคิดว่า เวลามีปัญหาอะไรในการนั่งสมาธิ ก็จะมาขอคำปรึกษาจากผู้รู้ในเว็บนี้ เพื่อที่จะได้เข้าใจปัญหา แล้วนำไปปฏิบัติแก้ไข เห็นหลายท่านให้กำลังใจ เจ้าของกระทู้นี้ ในการปฏิบัติ น่ายินดีครับ นึกในใจว่า เวลาเรามีปัญหาในเรื่องการนั่งสมาธิ เราจะยินดีรับฟังคำชี้แนะ ด้วยความอ่อนน้อม เชื่อว่าคำชี้แนะนั้น คือสิ่งที่ผู้รู้เขามีเมตตาและหวังดีต่อเรา ต้องหาทางนั่งสมาธิให้ได้บ้างล่ะ
     
  19. Nu_Ni

    Nu_Ni เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +2,782
    หาครูบาอาจารย์ชี้นำดีกว่านะคะ เดี๋ยวหลงทาง มาได้ขนาดนี้แล้ว

    ในเว็บนี้ก็ได้
    โมทนาด้วย
     
  20. พระไม่รู้

    พระไม่รู้ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +1
    อาตมานั่งทีไรมีแต่ความฟุ้งซ่านรำคาญใจเดี๋ยวก็เผลอลับบ้างบวชได้พรรษากว่าๆหวังจะนั่งให้ได้ฌาณ แม้แต่ทำให้ใจสงบยังไม่ได้ ใครมีวัดที่จะแนะนำอาตมาบ้างเอาเป็นมหานิกายสายหลวงปู่ลิงดำยิ่งดี
    อนุโมทนาด้วยนะโยมขอให้เจริญๆในสมาธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...