เสียงเพลงในหัวนี่จัดเป็นกิเลสตัวไหนครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย b4804051, 20 พฤษภาคม 2008.

  1. b4804051

    b4804051 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    ราคะ หรือโมหะ แล้วมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง
    ผมจะดูมันเรื่อยๆ แต่มันก็เกิดอยู่นานเหมือนกัน แล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดขึ้นอีก
    หรือว่าไม่ต้องแก้ครับ ให้ดูแบบนี้ไปเรื่อยๆ
     
  2. b4804051

    b4804051 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    หรือบางทีก็เป็นเสียงสวดมนต์ครับ ดังอยู่ในหัว อันนี้จัดเป็นกุศลหรืออกุศล
    เพราะบางทีก็ทำให้เคลื่อนจากปัจจุบันเหมือนกัน เลยงงๆว่าเป็นกุศลหรืออกุศล
     
  3. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +38,356
    คุณคิดว่า จิตเป็นอัตตาหรืออนัตตา
    ถ้าเป็นอัตตาเราก็ต้องหาวิธีการที่จะบังคับไม่ให้มันคิดโดยกดข่มไว้ด้วยฌานหรือการบริกรรมเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
    แต่ถ้าคิดว่าจิตเป็นอนัตตา มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยมันไปโดยดูเฉยๆด้วยสติ มันเกิดขึ้นได้ตั้งอยู่ ก็ต้องดับไป
    ลองพิจารณาดูนะครับ ขออนุโมทนา
     
  4. nu778i

    nu778i สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +16
    ต้องเจริญกรรมฐานค่ะ หากเป็นกรรมฐานแล้วจะรู้ว่าเป็นหนึ่งในนิวรณ์ทั้ง5

    บาปอย่างกลาง เรียกว่า นิวรณ์ มีอยู่ 5 ตัว
    1.กามฉันทะ พอใจในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในโผสทภะ อันธรรมดาสามัญ คนเรานี้ ก็จะคิดว่ามันบาปอะไร พอใจในรูปสวยๆ อยากได้เสื้องามๆ อยากจะได้ต้นไม้งามๆ อยากจะได้รถสวยๆ ..ก็ของใช้ของสอย ตลอดจนนกงามๆ ผ้าเช็ดหน้างามๆผ้าเช็ดตัวงามๆมันไม่น่าจะเป็นบาปก็อาจจะคิดอย่างนั้น.. แต่นี่เป็นบาปอย่างกลาง มันเป็นกิเลสอย่างกลาง แต่บาปตัวนี้มันไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนแต่มันอาจจะทำตัวเราให้เดือดร้อนได้ เดือดร้อนตรงไหน?..อยากได้มันก็ต้องไปหาใช่ไหมล่ะ เหนื่อยแสนเหนื่อยก็ต้องทนหา อันนี้เราอยากจะได้รูปสวยๆ ฟังเสียงเพราะๆ อยากจะได้กลิ่นหอมๆอยากจะได้รสอร่อยๆ อยากจะได้สัมผัสอันอ่อนนุ่มนี้ มันนึกอยากเฉยๆ ยังไม่ได้ไปหานะแค่นึกอยู่กับที่ นอนมือก่ายหน้าผากนั่งนึกก็ตาม อันนี้ก็เป็นบาปแล้วแต่เป็นบาปอย่างกลาง มีอยู่ในใจของแต่ละบุคคล
    2.พยาบาทใจโกรธใจขุ่น เช่นได้ยินเสียงหนวกหู หรือฟังอารมณ์ที่เขาพูดมันผิดหูของเราไม่พอใจแต่ก็อยู่เฉยๆ ไม่พูดเฉยๆแต่ในใจรู้สึกไม่พอใจ เรียกว่าพูดไม่ถูกหูแล้ว อย่างนี้เป็นโทสะแล้วแต่เป็นอย่างกลาง
    3.ง่วงหงาว หาวนอน เขาเรียก ถีนมิทธะ ท้อใจอ่อนใจนี้ก็เป็นบาป
    4.อุทธัจจะกุกกุจจะฟุ้งซ่านรำคาญ หงุดหงิด ใจไม่อยู่กับตัว คิดไปนอกเรื่องนี้ก็เป็นบาป
    5.วิจิกิจฉาสงสัยลังเลใจ บุญมีไหมบาปมีไหม ตายแล้วเกิดอีกหรือไม่ นรกสวรรค์มีไหม
    ทั้ง 5 ตัวนี้เขาเรียก นิวรณ์ เป็นบาปที่กั้นใจไม่ให้บรรลุคุณงามความดีได้ ... ยกตัวอย่าง แค่สงสัย สงสัยว่าการปฏิบัติพองหนอยุบหนอมันจะถูกเหรอ..นี่สงสัยอย่างนี้ มีคนหนึ่งสงสัยไม่กล้าปฏิบัติ...แต่เมื่อทดลองแล้ว หายสงสัยแล้ว หรือบางคนกำลังจะเข้าปฏิบัติก็สงสัยว่าหรือจะเป็นสมถะฯชักสงสัยแล้ว อย่างนี้เป็นความสงสัยลังเลใจมันให้ขาด ให้ขาดจากสิ่งที่เราจะได้..มันก็ไม่ได้ ... ความสงสัยลังเลใจมันเป็นอย่างนี้นะการปฏิบัติมันก็ผิดไปได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงถือว่าเป็นบาปอย่างกลาง ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ในใจของแต่ละบุคคล ทีนี้บุญก็ชำระบาปอย่างกลางนี้อีกคือสมาธิ


    การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน คือการตามดูรู้เท่าทันอารมณ์ปัจจุบัน
     
  5. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,632
    ขอตอบตามตำรา ท่านว่าเป็นราคะครับ คือยินดีในรูปสวยเสียงเพราะกลิ่นหอมสัมผัสที่น่าพึงพอใจ

    ที่คุณทำคือเฉยๆปล่อยให้มันเกิดแล้วก็ดับไปไม่ปรุงแต่งให้เกิดกิเลสความชอบใจต่อนั้นถูกต้องแล้ว อย่าปรุงแต่งจิตให้เกิดความชอบหรือเกลียดในเพลงนั้นๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาตามกฎของไตรลักษณ์ก็จะเข้าสู่วิปัสสนา แต่ถ้าจิตปรุงแต่งก็เป็นวิปัสสนึก
     
  6. สฬายตนะ

    สฬายตนะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    เสียงเพลงในหัวตอนแรกที่เกิดขึ้นยังไม่เป็นอะไรทั้งนั้น เป็นเพียงแต่ธรรมารมณ์ แต่หากใจไปปรุงแต่งเสียแล้วจึงจะเป็นกิเลส ซึ่งจะเป็นกิเลสอันใดแล้วแต่ลักษณะการปรุงแต่งครับ
     
  7. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ความพึงพอใจใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และ ธรรมารมณ์ จัดเป็นกามราคะ และถ้าเป็นไปด้วยความหลง(โมหะ) ก็จะจัดว่าเป็นทั้งราคะและโมหะ เป็นไปด้วยความหลงคือ คิดว่าเสียงนั้นไพเราะอารมณ์ก็ไหลไปกับเสียง แทนที่จะมีสติรู้ว่าแค่เป็นเสียงและสักแต่ว่าได้ยิน และระงับเวทนา อันนี้ถือว่ามีสติไม่หลง ...
     
  8. b4804051

    b4804051 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบคุณครับ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
    แล้วเสียงสวดมนต์ในหัวหละครับ แบบว่าเกิดขึ้นมาเอง
    เป็นกุศลหรืออกุศล
     
  9. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,632
    เสียงสวดมนต์ไม่ว่าจะเป็นแบบเกิดขึ้นเองหรือจิตนึกให้เกิดขึ้นเป็น กุศล เพราะเป็นพุทธานุสสติและธัมมานุสสติครับ
     
  10. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    ทั้งเสียงเพลงและเสียงสวดมนต์ที่เกิดขึ้นกับคุณน่าจะเป็นอุททัจจะนะครับ จัดเป็นโมหะขั้นละเอียดทีเดียว อันนี้ละไม่ง่ายขนาดพระอนาคายังขจัดไม่หมดเลยครับต้องละที่จิตอรหันต์

    ที่ถูกต้องก็คือให้เห็นว่าเสียงนั้นต่างก็ตกอยู่ในกฏไตรลักษณ์ครับ และทนตั้งอยู่ไม่ได้หรือเป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวใช่ตนของเราหรืออนัตตา

    ถ้าเกิดขณะที่เราทำสมถะ ให้หาตำแหน่งฐานที่ตั้งของจิตให้ดีแล้วแต่จริต และให้ความสนใจเพ่งเฉพาะตำแหน่งนั้นให้แน่วแน่ คุณจะสามารถละเสียงนั้นได้ถ้า
    จิตเป็นสมาธิพอ

    เพราะจิตจะสามารถรับอารมณ์ได้ทีละอารมณ์เท่านั้น เราจึงหาตำแหน่งให้จิตอยู่ได้นอกเหนือจากเสียงที่ได้ยิน

    ส่วนถ้าเป็นวิปัสนาคุณสามารถใชเสียงพิจารณาให้เห็นไตรลักษณ์ได้เลยครับ เพราะพื้นฐานของวิปัสนาคือให้ตั้งอยู่ในอารมณ์เห็นรูปนามเกิดดับ

    ถ้าเสียงสวดมนต์เป็นเสียงเหมือนลอยมาโดยไม่มีความหมาย ไม่ได้ตั้งใจจัดเป็นโมหะอุททัจจะอยู่นั่นเอง แต่ถ้าเกิดร่วมกับสัมมาสติจึงเป็นกุศล

    ถ้าจะเอากุศลจากเสียงสวดมนต์ก็ให้ตั้งใจมีสติแล้วระลึกรู้ไปตามบทสวดมนต์ครับ

    อย่าลืมว่าสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากินนะครับ

    พอที่สุดแห่งวิปัสนาเราจะเห็นชัดว่าเสียงในหัวทั้งหลายไม่ใช่เรา ถึงจะมีอยู่หรือดับไปแล้วก็ตาม ล้วนไม่มีความหมายแห่งตัวตนทั้นสิ้น แต่ไม่ง่ายครับ เพราะจะละได้จริงต้องจิตอรหันต์
     
  11. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ใช่ครับ เป็นกุศล และเป็นอนุสติดังที่ท่านข้างบนกล่าว แต่มีขีข้อสังเกตอยุ่นิดนึงที่ว่าเสียงเกิดขึ้ในหัว ต้องไม่ถึงขนาดหลอนนะครับ เสียงเกิดขึ้นได้ต้องมีสติรู้และต้องพยายามควบคุมมันให้ได้ คือต้องดับใด้ดังใจด้วย เอาจิตจับว่ารู้ แต่เพียงรู้ แล้วเฉย คือรู้เฉย รู้เฉย ดังที่ครูบาอาจารย์สอนนั่นแหละ อะไรต่าง ๆ ที่มากระทบอยตนะทั้ง 6 ก็จะดับไปเอง
     
  12. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937
    การฟังเสียงที่ชอบใจหรืออยากฟังเพลงเป็นราคะ

    สังเกตง่ายๆว่ากิเลสตระกูลราคะจะมีลักษณะที่อยากดึงมาไว้กับตัว อยากให้อยู่กับตัว อยากเหนี่ยวรั้งไว้

    ถ้าเป็นกิเลสประเภทโทสะ กิเลสจะมีลักษณะไม่อยากเอาไว้กับตัว อยากให้มันออกไปจากเรา

    ถ้าเป็นโมหะ จะมีลักษณะวนเวียน ครอบครองใจเราอยู่ ตราบใดที่ไม่รู้ ใจก็ต้องหลงแบบนั้นอยู่ร่ำไป

    ในบรรดากิเลสทั้ง ๓ ตัว โมหะ รู้ทันยากที่สุด
    ราคะ รู้ทันได้ง่ายกว่าโมหะ
    ส่วนตัวที่ดูง่ายที่สุดคือโทสะ เพราะเป็นกิเลสที่มีอารมณ์รุนแรง

    โดยทั้งราคะ และโทสะ ล้วนแต่มีโมหะเป็นองค์ประกอบทั้งสิ้น หมายถึงจะมีโมหะก่อตัวขึ้นก่อน ถ้าไม่รุ้เท่าทัน ราคะหรือโทสะก็จะมีโอกาสเกิดขึ้นตามมา หรือบางตำราบอกไว้ว่า ราคะและโทสะเป็นลูกของโมหะ ก็มีความหมายเดียวกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2008
  13. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937

    ฟังได้ แต่ควรเอาไว้เพื่อผ่อนคลาย เราไม่ใช่พระไม่ต้องกลัวอาบัติ
    ฟังแต่พอดี จิตใจหายเครียด หรือแช่มชื้นมีกำลังนิดหน่อยก็ควรเลิกฟัง ไม่งั้นจะเสพติด

    ส่วนเรื่องจะละความพอใจในเสียงเพลง ปุถุชนทำไมได้ พระโสดาบัน สกิทาคามีก็ทำไมได้ มีแต่พระอนาคมีขึ้นไปที่ละ ราคะและโทสะได้แล้ว

    ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่หมายความวาให้คุณไปเสพมันมากๆน่ะ แต่ให้ฟังแต่พอดีหรือแก้เครียดนิดๆหน่อยๆก็พอ แล้วให้ลองกลับมาหัดรู้กาย รู้ใจ ในชีวิตประจำวันถึงจะได้ประโยชน์และการเสพเพลงไม่เป็นพิษต่อจิตใจมากนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2008
  14. weirchai

    weirchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,410
    ครับ ผมคิดว่าเกิดเสียงนั้นปรากฏอีกคุณลองทำเฉยๆดูนะครับ ดูไปมันไปเรื่อยๆไม่เกิน20-40นาทีมันต้องหยุดครับ แล้วมันจะเกิดขึ้นใหม่ใช่ไหมครับ ถ้าวิธีแรกที่ผมเสนอให้คุณคุณทนไม่ไหวหรือไม่ชอบดูอยู่เฉยๆ คุณลองพิจารณนา วิปัสนาตัวนี้ดูนะครับ คิดชะว่าเสียงนั้นมันเกิดได้เพราะความคิดของเรา หากเราไม่คิดเสียงนั้นจะไม่เกิด ทำไงเราถึงจะไม่คิดนั้นก็คือเราต้องตัดขันธ์5ออกไปให้ได้ ขันธ์5มีรูป เวทนา สัญญาณ สังขาร วิญญาณ ผมเชื่อว่าคุณรู้แล้วนะครับ ดังนั้นผมจะไม่ขออธิบายเพิ่มนะครับ ลองดูนะครับ เผื่อจะได้ผล
     

แชร์หน้านี้

Loading...