กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    ตุลาคมครับ เป็นงานกฐินประจำปีครับ.
    เหมือนไปเที่ยวไปเมาส์มอยมากกว่าครับ ๕๕
     
  2. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,882
    ค่าพลัง:
    +4,719
    (ปักหมุดที่35) หน้า58 #ลำดับ1156
    หลวงพ่อภรังสี วัดภูพลานสูง จ.อุบลราชธานี

    :):(:oops::oops::oops::oops:o_O

    เรื่อง ไสยศาสตร์ VS วิทยาศาสตร์
    หลวงพ่อ...กราบคารวะครับ...เยี่ยมจริงๆ


    ....แม้แต่พระจันทร์ทรงกลด
    พระอาทิตย์ทรงกลดเหล่านี้
    มีผลกระทบต่อชาวโลกเหมือนกัน
    สุริยคราสจันทราคราส
    ก็มีผลกระทบต่อชาวโลกเหมือนกัน
    จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็มีอยู่ในตำนาน
    นักวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อ
    เขาศึกษาตามทฤษฏีตามเหตุตามผล
    สิ่งเหล่านี้ถือเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งทางโหราศาสตร์
    ถ้าเราจะพิสูจน์อะไร
    เราก็ต้องตามไปศึกษาเรื่องเหล่านั้น
    จะเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ไสยศาสตร์
    มันคนละศาสตร์กัน กลายเป็นเรื่องปัญหาโลกแตก
    เราสงสัยศาสตร์ไหนก็ต้องไปศึกษาศาสตร์นั้น
    เราสงสัยพุทธศาสตร์เราก็ต้องมาศึกษาพุทธศาสตร์
    ไม่ใช่เอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์
    พุทธศาสตร์หรือไสยศาสตร์
    มันพิสูจน์ไม่ได้ มันคนละศาสตร์กัน

    จะเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์พระบรมสารีริกธาตุ
    มันจะพิสูจน์ตรงไหนได้
    ถ้าเราอยากรู้อยากเข้าใจ
    เราต้องมาศึกษาข้อมูลต่างๆในเรื่องเหล่านี้
    เมื่อเรายอมรับได้ เราก็เกิดศรัทธา
    เกิดความเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง
    มันเป็นเรื่องอจินไตยก็จริง
    แต่เมื่อเราศึกษาเข้าใจแล้ว
    เกิดศรัทธาว่าเป็นเรื่องจริงมีอยู่จริง

    เหมือนเหล็กไหลเราก็ต้องศึกษา
    มันเป็นศาสตร์ ศาสตร์แต่ละศาสตร์
    ไม่ใช่ว่าเราศึกษาศาสตร์เดียวแล้วจะรู้รอบ
    เราจะต้องศึกษาและยอมรับศาสตร์แต่ละศาสตร์
    คำว่าไสยศาสตร์คือสิ่งเร้นลับ
    ไสยศาสตร์เกิดมาตั้งแต่ปรโลกแล้ว
    ไม่ใช่เพิ่งมา เกิดวันสองวันนี้
    ยุคสมัยนี้จิตใจมนุษย์มันเสื่อม
    ของเดิมมันมีอยู่แล้วเราพัฒนาไม่ทัน
    สิ่งที่ไม่มีตัวตนสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    เช่นเหรียญนี้ขลัง เรามองเห็นหรือขลังเพราะอะไร
    พระสมเด็จที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นเพราะอะไร
    นั่นแหละสิ่งที่เรามองไม่เห็นไม่รู้มันก็เป็นไสยศาสตร์
    สิ่งที่มองไม่เห็นตัวเป็นไสยศาสตร์
    แม้แต่เขาเสกของเข้าท้องเรา
    เราไปเอ็กซ์เรย์ดูก็ยังไม่เห็น
    เรื่องไสยศาสตร์
    วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ตรงนั้น
    เราพัฒนายังไม่ใกล้เคียงกับเขาเลย
    ไสยศาสตร์มีมาตั้งกี่พันล้านปี
    เราจะไปพัฒนาทันได้อย่างไร ไปไม่ถึงหรอก
    มนุษย์เราทุกวันนี้ศึกษาสิ่งแวดล้อมได้แค่หยิบมือเดียว
    มนุษย์เราศึกษาอวัยวะมือเราแค่มือเดียว
    ก็เขียนเป็นตำราเป็นหนังสือได้เป็นกอบกำ
    ยังเอาความรู้นั้นมาขายเป็นสิบยี่สิบล้าน
    มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา
    เราต้องศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจ
    ในเรื่องต่างๆให้ชัดเจนเข้าถึงเรื่องนั้นๆให้ถ่องแท้


    หลวงพ่อภรังสี
    วัดภูพลานสูง
    อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี

    9@Phonlee, 4 กันยายน 2018
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2024
  3. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,882
    ค่าพลัง:
    +4,719
    (ปักหมุดที่36) หน้า60 #ลำดับ1181
    :eek::eek::eek::eek::cool::cool::cool::cool::cool:

    เรื่องเล่าจากพันทิปอ่านแล้วกลายเป็นปริศนา

    "ขอเกาะกระเเส พญานาค หน่อยนะครับ
    อยากเสนออีกข้อมูลที่ให้ไปคิดลองกันดู"

    ข้อมูลที่จะเสนอนี้ ตัวกระผมไม่ได้เป็นคนเห็นเอง
    เเต่เอามาจากคำบอกเล่าของคนในครอบครัว
    ที่ยืนยันว่าเขาเห็น เเละเป็นเรื่องธรรมดา
    ไม่ต้องเสียเวลามาพิสูจน์ ให้มันเหนื่อย
    เพราะถึงพญานาคมาอยู่ตรงหน้า
    มีเครื่องมือพันล้าน ก็ตรวจจับไม่ได้
    เเต่ก็แปลกที่หลายคนที่อ้างว่าเห็น
    ก็มักจะเห็นสิ่งเดียวกันอย่างมีนัยยะสำคัญ

    เข้าเรื่องเลย การเห็นสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัย
    ทิพย์จักษุ (เขาว่ามาอย่างนั้น)
    เป็นความสามารถที่มนุษย์สามารถพัฒนาได้(ยกเว้นผมมั้ง)
    ซึ่งคนที่มองเห็น ก็ไม่จำเป็นอะไรเลย
    ที่จะต้องไปถึงแม่น้ำโขง เพราะ
    แหล่งน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติก็มักจะมีพญานาคทั้งนั้น ขึ้นอยู่ว่ามากน้อย เป็นชนิดไหน ชั้นไหน
    และพญานาคสามารถขึ้นมาบนบก เลื้อยผ่านหน้าบ้านเรา
    บางตนก็มีขาสามารถเดินได้ โดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย
    พอเป็นที่สรุปได้เบื้องต้นว่า
    ไอ้ที่เห็นในคลิปวีดีโอต่าง ๆ น่าจะเป็นตัวอย่างอื่น
    จากที่ผมพยายาม ค้นคว้ามา ก็จะมาลงเอยที่คำว่า โลกทิพย์ หรือ มิติคู่ขนาด ถึงตรงนี้เเล้วก็ไม่รู้จะไปต่อได้ยังไง เกินวิสัย เเต่ถ้าสิ่งเหล่านี้(โลกทิพย์ หรือ มิติคู่ขนาด)มีอยู่จริง เขาก็อยู่ในโลกของเขา เราก็อยู่ในโลกของเรา ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางตรง ถึงจะรู้จะเห็นชีวิตเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง วงการวิทยาศาสตร์ก็เหมือนเดิม ส่วนตัวเราก็ต้องทำงานต่อสู้ดิ้นรนเหมือนเดิมอีก มิได้เจอท่านพญานาคแล้ว อ้อนวอนขอ
    แล้วท่านจะทำให้เราสำเร็จสมหวังในชีวิตได้
    เพียงเเต่รู้เห็นแล้วก็อาจจะได้เพื่อน (ต่างมิติ)
    ที่มีมิตรไมตรีเพิ่มขึ้นมา
    ให้ละลึกว่าตายแล้วไม่สูญเท่านั้นเอง

    แต่ผมก็เชื่อนะว่า คนที่เห็น ก็เห็นจริง อยู่ที่ไหนก็เห็น
    แต่เห็นเเล้วก็คือเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
    มิได้ไปจุดธูปทาแป้งขอหวย ยังสถานที่แปลกๆต่างๆ
    และสำคัญว่าเป็นเรื่องอภินิหารแต่อย่างใด

    ที่มา....พันทิปดอทคอม
     
  4. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,882
    ค่าพลัง:
    +4,719
    (ปักหมุดที่37) หน้า60 #ลำดับที่1197
    เรื่อง เส้นผมบังภูเขาได้อย่างไร

    ;);););););););):oops::oops::oops:

    อจ.นพ(บุรุษไร้เงา) โพสต์

    เรื่องนามธรรมปกติไม่เล่าเลยดีที่สุด....
    ถ้าไม่มีคนถามหรือไม่เป็นประโยชน์ทางธรรมยิ่งไม่ควรเล่า...
    บางเรื่องเรารู้ของเราเองคนเดียวก็พอ...
    แต่ถ้าพอขำๆไม่ว่ากัน พอฮาๆ
    ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนี้

    เพราะกลจิตเป็นเพียงมายาจิตชนิดหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ยึดไม่ได้
    ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงในระดับ หลับตาเห็น
    หรือครึ่งหลับครึ่งตื่นแล้วเห็นหรือแว๊บๆเห็น
    หรือทำสมาธิแล้วเห็น...ยิ่งยึดไม่ได้เลย
    ทำได้แค่เพียง พอฮาๆขำๆ
    เพราะไม่พูดบ้างก็ไม่ได้
    เด่วจะกลายเป็นเก็บกด ๕๕๕

    ไม่ยึดคือ ในเวลาปกติ ไม่สนใจเลยนั่นหละ
    คือเหมือนว่า ไม่เคยเกิดขึ้นในระบบจักรวาลนี้


    พุทธฯเราเรียนเข้าหาอนัตตาเพื่อให้หมดอัตตาตัวตน
    ถ้าเราเข้าถึง พวกอนัตตา ซึ่งเป็นนามธรรม ต่างๆได้
    ถือว่าเราได้เปรียบ แต่การได้เปรียบนี้หละ กลับกลายเป็นอัตตาได้
    อย่างคาดไม่ถึง คือเพราะเผลอไปดึงเข้ามาเป็นตัวตน
    หรือสร้างอนัตตาเหล่านั้นให้เกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาด้วยการ
    การไม่รู้จักการปล่อยรู้ ไม่รู้จักการปล่อยวาง
    และไม่ตัดการไปรู้ นั่นหละ อนัตตามันเลยย้อนเป็นอัตตา
    สร้างเป็นตัวตนขึ้นมาได้อย่างหนึ่งนั่นเอง

    ถ้าเราเผลอไปสร้างไปสนใจตรงนี้
    มันจะขวางกระบวณการ
    ไปรู้ต้นตอแห่งการเกิดได้อย่างคาดไม่ถึง

    จะยกตัวอย่างเปรียบให้ฟัง
    เหมือนเรารู้ว่า นี่ต้นมะนาวรู้จากสัญญาอาจจะได้ยินมา
    อ่านมา รู้ว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร มะนาวพันธ์อะไร
    มันมีหนามนะ ลูกมันสีเขียวๆนะ เวลาสุกก็ออกสีเหลืองนะ
    มันมีประโยชน์อะไรบ้าง
    มันเอาไปทำอะไรได้บ้าง...แต่เราจะไม่รู้ว่า
    มันเกิดได้อย่างไร
    หรือพูดง่ายๆว่า
    เราจะรู้แต่ ต้นมะนาว ที่มันเกิดไปแล้ว
    จากสายตาที่เรามองเห็น
    หรือการระลึกได้ถึงต้นมะนาว...ถ้ายังเริ่มๆเกท
    แต่น่าจะเกทได้มากว่า ก็ มาต่ออีก

    ในทำนองเดียวกัน เราเห็นผีตนหนึ่งเป็นนามธรรม
    จัดเป็นอนัตตา หรือ เราเห็นอะไรก็ตาม ไม่ว่าดีหรือไม่ดี
    ทางนามธรรม ถ้าเราไม่เผลอไปสร้างให้มีตัวตน
    เราควรจะเล่าได้ว่าเหตุที่เราเห็นแบบนั้นได้
    เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง ด้วยตัวเราเอง
    เหมือนเราควรจะรู้ว่า ต้นมะนาวมันเกิดได้อย่างไร


    ถ้าเราเผลอไปสร้างให้มีตัวตน
    เราจะไปรู้แต่กระบวณการนามธรรมนั้นที่มันเกิดไปแล้ว
    ก็คือ รู้เห็นเริ่มต้นจากการเป็นภาพผีตนนั้น เรียกถูกว่าผีเหมือนกัน
    จากการได้ยิน ได้ฟัง หรือได้อ่านมา เหมือนที่กำลังมอง
    หรือระลึกถึงต้นมะนาว
    และไปรู้รายละเอียดผีตนนั้น เรียกว่าผีอะไร ระดับไหน
    เรื่องราวต่างๆจากสภาพแวดล้อมที่ผีตนนั้นปรากฏตามสถานที่ต่างๆ
    ประเภทของผีที่เป็นชื่อเรียกเฉพาะ
    กำลังบุญ ฯลฯ
    แต่เราก็จะไม่รู้ว่า
    ภาพผีนั้นเกิดได้เพราะอะไร
    เหมือนที่ไม่รู้ว่า ต้นมะนาวมันเกิดได้อย่างไร......

    ซึ่งมันช่าง อิสสะบังเอิญเหลือเกินว่า
    มันช่างสอดคล้อง กับเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง
    เหลือเกินว่า เมื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งมันเกิดมาแล้ว
    เหมือนเรากำลังมองต้นมะนาวหรือระลึกถึงต้นมะนาว หรือ
    เรากำลังเห็นภาพนามธรรมขึ้นมาแล้วหรือระลึกถึงภาพนามธรรมอยู่
    ถ้าเรามัวไปปรุงต่อ ไปสร้างเรื่องต่อ
    ด้วยการไม่รู้จักการปล่อยตัวไปรู้ ไม่รู้จักการปล่อยวางเรื่องเหล่านั้น
    และไม่ตัดการไปรู้เรื่องเหล่านั้น
    ก็จะเหมือนเราไปรู้ในกระบวณการที่ มันเกิดไปแล้ว
    มันได้เกิดมีขึ้นแล้ว เหมือนเรารู้เรื่องต้นมะนาว
    เหมือนเราไปรู้ภาพนามธรรม
    แต่เรากลับไม่รู้ว่า รัก โลภ โกรธ หลง
    มันเกิดได้อย่างไรนั่นแหล


    ปล. นี่หละ เค้าเรียกว่า เส้นผมบังภูเขา.......
    และมันบังภูเขาได้อย่างไร ^_^ พอเกทเนาะ

    อจ.นพ(บุรุษไร้เงา) โพสต์
    7 กันยายน 2518
     
  5. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,882
    ค่าพลัง:
    +4,719
    (ปักหมุดที่37) หน้า61 ลำดับที่#1203
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    เรื่อง "ยุคพระบรมสารีริกธาตุปรากฏ"

    ผู้เขียนเรียนถามหลวงพ่อว่า
    ทำไมยุคนี้จึงมีพระบรมสารีริกธาตุเกิดขึ้นมากมาย
    หลวงพ่อได้เมตตาอธิบายให้ผู้เขียนฟังว่า
    ยุคพระบรมสารีริกธาตุปรากฏก็คือยุคเราเนี่ยแหละ
    ยุคนี้เป็นยุคศิวิไลซ์
    เป็นยุคที่พระบรมสารีริกธาตุมาปรากฏมากที่สุด
    ถ้าเราย้อนไปในอดีต
    เมื่อประมาณสองพันกว่าปียังไม่เคยมีปรากฏ
    แต่มาในยุคนี้พระบรมสารีริกธาตุปรากฏมากมาย
    และทุกสิ่งทุกอย่างก็มาเกิด
    เมื่อพระพุทธองค์มาอุบัติมาเกิดขึ้นทุกสิ่งก็มาเกิด
    ก่อนที่พระพุทธองค์จะมาบังเกิด
    สิ่งของที่จะมารองรับก็มาเกิดก่อนล่วงหน้า
    เป็นการปูทางไว้ก่อน
    เช่นพระนารายณ์ก็มาเกิด พระพรหมก็มาเกิด
    พระแม่ธรณีก็มาเกิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มาเกิด
    พระบรมสารีริกธาตุก็มาเกิดมา
    เพชรพญานาคเกิด ไม่เกิดคนก็สร้างมาให้เกิด
    หลวงปู่โมคคัลลานะก็มาเกิดโดยบารมี
    หลวงพ่อสเก็ตซ์ภาพหลวงปู่โมคคัลลานะ
    ภาพหลวงปู่โมคคัลลานะก็เกิด
    อดีตผ่านมาแล้วตั้ง ๒พันกว่าปี
    พอสเก็ตซ์ภาพท่านก็เกิด
    เกิดโดยบารมีของหลวงปู่โมคคัลลานะ
    ด้วยศรัทธาที่หลวงพ่อมีต่อพระโมคคัลลานะ
    ต่อมาพระสรีรังคาร
    พระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์ก็เกิด ตรงนี้เป็นหลัก
    เพชรพญานาคเกิด มันบันดาลให้เกิด ไม่เกิดก็สร้างขึ้นมาให้เกิด
    เพราะพระบรมธาตุเหล่านี้ทุกองค์ล้วนแล้วแต่เป็น องค์เอก คือข้อพระหัตถ์ก็ใหญ่ พระเขี้ยวฝางก็ทั้งองค์พระพุทธโลหิตก็ทั้งองค์ล้วนแต่เป็นองค์เอกทั้งนั้น
    ในยุคนี้ถ้าพระบรมสาริริกธาตุของพระพุทธองค์ยังบังเกิดขึ้น สร้างขึ้นมาสวดขึ้นมาก็เกิดขึ้น ฯลฯ
    ศาสนาอยู่ได้เพราะพวกเราปฏิบัติบูชารักษาไว้
    บางคนพูดว่าแล้วพระพุทธเจ้าทำไมไม่เทศน์
    พระองค์จะเทศน์ทำไม
    ในเมื่อพระไตรปิฎกมีอยู่แล้ว
    พระองค์เทศน์มาแล้วตั้งสองพันกว่าปีที่ผ่านมา
    พระพุทธเจ้าไม่เคยหยุดเทศนาเลย
    พระองค์เทศนามาตลอด
    หลวงพ่อก็อาศัยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มีเพียบพร้อม
    ดังนั้นพระบรมสารีริกธาตุจึงปรากฏในยุคนี้
    ยุคศิวิไลซ์ยุคใดก็ตาม สมมุติว่ายุคนี้มันหมดไป
    ต่อไปยุคใหม่มีพระบรมสารีริกธาตุอุบัติเกิดขึ้น
    นั่นคือบารมีของพระพุทธองค์มาปรากฏขึ้น
    เพื่อประกาศพระศาสนาของพระองค์ต่อไป อีกเป็นช่วง ๆ

    บทความจาก
    วัดภูพลานสูง อุบลราชธานี


    9@Phonlee โพสต์ 8 กันยายน 2018



     
  6. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,882
    ค่าพลัง:
    +4,719
    (ปักหมุดที่37) หน้า61 ลำดับที่#1215
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:

    เรื่อง สัตบงองอาจบาตรพญานาค
    สัตบงองอาจบาตรพญานาคที่หลวงพ่อได้มา
    ก็เป็นเรื่องแปลก
    อยู่ๆก็มีโยมชื่อสันติอยู่ที่จังหวัดระยองเขานำมาถวาย
    ของชิ้นนี้เป็นของคนรุ่นเก่าแก่
    เป็นคนมอญอยู่ข้างๆบ้านโยมสันติ

    วันหนึ่งโยมสันติไปเห็นเข้าเกิดอยากได้ขึ้นมา
    ร้องห่มร้องไห้จะเอาให้ได้ของเก่าชิ้นนี้

    เจ้าของเขาถามว่าจะเอาไปทำอะไร
    คุณโยมสันติตอบว่าจะเอาไปถวายวัด
    จะไปถวายวัดทำไม
    ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อยากได้เอาไปถวายวัด
    คุณกล้าซื้อหรือราคา ๓ แสน
    โยมสันติตอบว่าไม่มีเงิน
    ผู้ขายยื่นข้อเสนอให้ผู้ซื้อยืมเงิน ๒ แสน
    ยืมเงินมาซื้อของเขา โยมสันติก็เอา

    พอคุณโยมเอามาไว้ที่บ้าน เขาบอกว่า
    มีอะไรก็ไม่รู้บอกเขาให้เอาไปถวายวัดภูพลานสูงให้ได้
    เขาไม่เชื่อไม่ยอมเอาไปถวายวัด
    เขาโดนพญานาคลงโทษพาตัวเขาไปนอนแช่น้ำทะเล๗ วัน ญาติ ๆ ไปตามเจอพามาอาบน้ำอาบท่าเสร็จ
    เขาจึงบอกญาติๆว่า
    พญานาคบอกให้เอาบาตรไม้นี้ไปถวายวัดภูพลานสูง
    เขาไม่รู้ว่าเป็นสัตบงองอาจบาตรพญานาค
    เขานั่งรถตระเวนหาวัดภูพลานสูงหลงไปถึงนครสวรรค์ สอบถามเส้นทางจึงวิ่งกลับมาที่วัดภูพลานสูง
    อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี
    เมื่อเขาถวายหลวงพ่อเป็นพุทธบูชาแล้ว

    หลวงพ่อจึงบอกเขาว่า
    นี่คือสัตบงองอาจบาตรพญานาค
    พญานาคสร้างถวายพระพุทธองค์
    เป็นบาตรไม้แกะสลักสวยงามติดกระจกฝังมุขสวยงาม
    เป็นของโบราณเก่าแก่

    บทความจาก
    วัดภูพลานสูง อุบลราชธานี


    (9@Phonlee, 10 กันยายน 2018)

     

แชร์หน้านี้

Loading...