ทำไม ? พระพุทธองค์มิทรงประกาศจุดตรัสรู้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย mossolo, 28 เมษายน 2008.

  1. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    คุณเม

    ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณประสบมาหรือศึกษามา
    จากสิ่งนี้ ก็น่าจะมีใจเป็นกลางสักหน่อย บางครั้งหากเราเข้าใจวัฒนธรรม
    ศาสนา และประเพณีของเขา เราจะเข้าใจว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ของเราคนเดียว
    เราไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง หากคุณอ่านบทความนี้ คุณจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น

    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6543660/Y6543660.html

    ก็ขออย่าได้สุดโต่งหรือศรัทธาศาสนาจนกลายเป็นสิ่งที่เบียดเบียนกัน
    ในเมื่อโลกนี้ต้องการสันติภาพและภราดรภาพ
     
  2. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    คุณ เฮียปอ ตำมะลัง

    งั้นผมขอพบร่างทรงหรือผู้มีญาณแฝง
    จะได้ขอบารมีและสอบถามข้อข้องใจจากพระองค์ท่าน จะได้ไหมครับ

    หากนัดวัน เวลาได้ด้วย ก็จะยินดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2008
  3. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    เข้าใจครับคุณ eddy1965 จะว่าผมเป็นพุทธหัวรุนแรงก็ได้ครับ 55555+ จริงๆศาสนาพุทธมีหลักธรรมที่แน่นอนแล้ว เพียงแต่กิเลสคน บางพวกเอาอะไรๆมาใส่ประหลาดๆจน ลืมหลักที่แท้จริง คุณ eddy1965 หาหลักที่แท้ๆจริงๆ และพิจารณาให้ดีเถอะครับ ศาสนาพุทธเป็นของพระพุทธเจ้า แต่หลักธรรมไม่เป็นของผู้ใด หากมีคนเอาหลักธรรม ในธรรมดา (ไม่ใช่ธรรมชาตินะครับ)มาสอน ไม่ได้อ้างอิงพระพุทธองค์ผมไม่ว่าดอกครับ แต่อ้างพระพุทธเจ้าทั้งๆที่มีพระไตรปิฎกอยู่แล้ว มีแบบแผนของท่านอยู่แล้ว ตามหลักความเป็นจริง แล้วอ้างมาเป็นลัทธิของตนเองแบบนี้ ผมกิเลสไม่หมดครับ ต้องขอค้านกันหน่อยละ ต่อสู้เพื่อธรรมของพระพุทธองค์ครับ กลัวพระธรรมท่านจะโดนแต่งเติมเสริมแต่งจนไม่เจอหลักความเป็นจริง
     
  4. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    คุณเม

    ผมขอแสดงความเห็นนะครับ

    แก่นธรรมของพระพุทธศาสนานั้นลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน
    และเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด
    แต่ใยเล่าที่จะยังยึดกับพระองค์ศาสดาหรือธรรมของพระองค์
    ท่านก็กล่าวไม่ใช่หรือ ไม่ยึดติดสิ่งใดเป็นสรณะ
    หากเราทำดี คิดดี พูดดี ก็ย่อมนำพาให้จิตผ่องแผ่ว
    ให้รู้เท่าทันกิเลสที่ร้อยรัด และพร้อมที่จะปลดเปลื้องกลกามกิเลสแห่งนี้

    ในเมื่อหลักธรรมของเราแน่นอน เพราะเรายอมรับในสิ่งนี้
    แต่ในเมื่อเขายอมรับเพียงบางส่วน แล้วนำไปดัดแปลง
    ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของเขา
    ในเมื่อเขาได้รับในสิ่งที่ดีแล้ว ก็อนุโมทนา ไม่ดีกว่าหรือครับ

    ตัวอย่างก็มีให้เห็น เช่น ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ก็ได้นำไปปรับปรุง
    ธรรมะและข้อพระวินัยให้เหมาะสมกับความต้องการของเขาเช่นกัน
    โดยที่พระพุทธองค์ก็เป็นผู้เปิดทางให้

    หากเขานำไปในทางไม่ดี สักวันก็คงเสื่อมไปเอง
    ใยต้องไปแบกมันไว้ละ
     
  5. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101
    พุทธสมัยในความหมายเราอาจจะเข้าใจว่า 5000 ปี แต่จริงๆ แล้วคือ 3000 ปี ข้อนี้มียืนยันในพระไตรปิฎก
    ดังนั้นธรรมกาลยุคแดงนับจากพระพุทธองค์ทรงอุบัติ จนถึงบัดนี้ พ.ศ.2549 ธรรมกาลยุคแดงล่วงมาแล้วประมาณ
    2549-2559 ปี อายุธรรมกาลยังคงอีก สี่ร้อยกว่าปี จึงจะก้าวเข้าสู่ธรรมกาลยุคขาวอย่างพร้อมสมบูรณ์
    นั่นหมายถึงอุบัติพระศรีอาริย์พุทธเจ้านั่นเอง


    และดูเหมือนกับคำพูดของ คุณเม นี่จะดูถูก ศาสนาอื่น นอกจากพุทธนะ สิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าว จำเป็นด้วยหรือที่จะไม่มีี หรือ สิ่งนั้นจะไม่มีความน่าเชื่อถือ ศาสนาทุกศาสนาย่อมมีความแตกต่างกันไป คุณก็ไม่ควรไปว่าเขาแบบนั้น จะเป็นบาปอย่างมาก (ดูถูกหรือกล่าวหาศาสนาอื่นๆบาปมหันต์จริงๆ ไม่เชื่อไปอ่านหนังสือท่องนรกดูได้ ว่าผลกรรมเป็นอย่างไร) ยังมีสิ่งอีกหลายอย่างอีกมากมายที่พระพุทธองค์ทรงไม่ได้ตรัสไว้ ซึ่งก็รวมถึงธรรมะนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่มีในพระไตรปิฏก แล้วในเมื่อไม่มีก็ใช่ว่าอย่างอื่นจะไม่จริง
    (ถ้าสมมุติคุณไม่ได้นับถือศานาพุทธ ไม่ได้ศรัทธาในพระพุทธองค์ แต่นับถือศาสนาอื่นๆ ต่อให้ศาสนาพุทธดีแค่ไหน คุณก็คงมองไม่ดีเหมือนเดิม)


    ในเมื่อคุณได้ไปรับธรรมะมาแล้ว แต่ดูเหมือนคุณจะมีความ ทิฐิ ในตัว ไม่ได้เปิดใจฟังหรือยอมรับเลย เหมือนไปฟังด้วยว่าตัวเองรู้มากอยู่แล้ว(เหมือนแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มอยู่แล้ว พอไปเติมมากเท่าไหร่มันก็ล้น สรุปคือไม่ได้อะไร) แล้วถ้ามันไม่จริงแล้ว แล้วผุ้ที่บุกเบิกงานธรรมะหลายคนที่สำเร็จเป็น พระพุทธะ และ พระโพธิสัตว์ อย่างเช่น ท่านเหล่าเฉียนเหยิน(สำเร็จเป็นพุทธะ) ท่านเฉียนเหยิน พระโพธิสัตว์ศรีปัญญา และอีก ฯลฯ ที่ไม่ได้พูดถึง แล้วทำไมเขาถึงสำเร็จได้หล่ะ

    ประจักษ์หลักฐานมีมากมาย ในคำภีร์พระสูตร พงศาธรรม และศิราจารึกที่ถูกค้นพบเจอเมื่อหลายร้อยปี ซึ่งทำนายไว้ชัดเจน

    อีกทั้งยังญาิติๆที่มารับธรรมะ ยังเห็นลูกหลานตัวเองที่เสียชีวิตแล้วมาคุกเข่าถือดอกบัวขาวนั่งฟังธรรม มีอย่างนี้ให้เห็นบ่อยๆ หลายคนมากมายที่เห็นตามที่สิ่งศักสิทธิ์ได้เข้าทรงบอกไว้ทุกประการ จะให้บอกว่าเขาตาฝาดหรือ??

    แล้วการที่บอกว่าตายแล้วตัวนิ่มไม่ได้หมายถึงว่าได้มรรคผลอะไร แต่เพียงเป็นหลักฐานว่าึคนที่รับธรรมะแล้วจะตายตัวนิ่ม เพื่อยืนยันว่าเป็นธรรมะจริงแท้ตามที่สิ่งศักสิทธิ์บอกไว้ แล้วทำไมคนที่ตายตัวนิ่มต้องเป็นกับคนที่รับธรรมะแล้วทุกคนหล่ะ มันคงไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน.!!

    แล้ว หลินชางคู่ (ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่) ที่ใช้จิตญาณไปนิพพานมา โดยมีพระจี้กง พาไป หลังจากไปมาแล้วก็ยืนยันแน่นอน ว่าเห็นสิ่งศักสิทธิ์ที่บุกเบิกงานธรรมสำเร็จกลับคืนไปแล้ว อยู่บนนิพพานแน่นอนเขาเห็นหมดทุกองค์ แล้วการกราบไหว้ของเบื้องบนก็เหมือนในพุทธสถานเช่นกัน

    แล้ว ร่างทรง ที่คอยให้สิ่งศักสิทธิ์มาประทับ เป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะอะไรมากมายแค่มาฟังธรรมเฉยๆ อีกทั้งพูดภาษาจีนไม่เป็นเขียนไม่เป็น อันนี้ผมเห็นมากะตารู้จักเขาดี แล้วเขาสามารถพูดจีนได้เขียนได้ และยังใ้ห้โอวาทซ้อนโอวาท ให้โอวาทที่ลึกซึ้งขนาดนั้น โดยที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยเนี่ยหน่ะหรอ ที่บอกว่าเป็นจิตใต้สำนึก คนธรรมดาคนนึงทำได้ขนาดนั้นเลยหรือ อีกทั้งยังก่อนที่จะเกิด ซึนามิ พระโพธิสัตว์กวนอิมก็ได้มาประทับทรงบอกก็คือ จะเกิดภัยพิบัติขึ้นที่ภาคใต้ ตอนนี้ท่านได้รับองค์การอยู่ในมือแล้วท่านไม่อยากทำเลยแต่เป็นความจำเป็นเพราะ
    เป็นคำสั่งบัญชาจากพระแม่องค์ธรรม เพื่อกำัจัดคนชั่วออกไปไม่งั้นคนดีจะอยู่ไม่ได้ ให้รีบไปช่วยคนที่ภาคใต้ < พอหลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ ก็เกิด ซึนามิ ขึ้นมาทันที แล้วที่พูดมานี้ ร่างทรง ที่ผมรู้จักแค่คนธรรมดาเนี่ย ไม่มีทางที่จะรู้อะไรขนาดนี้แน่นอนและจะให้ทำทีเป็นเจ้าแม่กวนอิมอีกนะ เหอะๆ ไม่มีทางเป็นได้อยู่แล้ว

    ยังมีอีกมากมายที่ไม่ได้พูดถึงอีกเยอะแยะ

    โปรดใช้ปัญญาในการคิด อย่าให้ทิฐิมาบดบัง จงเปิดรับกับสิ่งที่เราไม่รู้ และยอมรับกับสิ่งที่เห็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 พฤษภาคม 2008
  6. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    คุณ eddy1965 เข้าใจผิดไปรึปล่าว "ท่านก็กล่าวไม่ใช่หรือ ไม่ยึดติดสิ่งใดเป็นสรณะ " คุณอ้างถึงใคร เพราะถ้ากล่าวถึงผม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิครับ



    "ในเมื่อหลักธรรมของเราแน่นอน เพราะเรายอมรับในสิ่งนี้
    แต่ในเมื่อเขายอมรับเพียงบางส่วน แล้วนำไปดัดแปลง
    ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของเขา
    ในเมื่อเขาได้รับในสิ่งที่ดีแล้ว ก็อนุโมทนา ไม่ดีกว่าหรือครับ"

    เราในที่นี้ที่คุณหมายถึงใคร เขาหมายถึงใคร ในเมื่อเป็นชาวพุทธเหมือนกัน นำไปดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมน่ะใช่ ดีครับ อนุโมทนา แต่ว่าดัดแปลงเสียจนลืมคำสอนเดิม อ้างเอาคำสอนจากลัทธิแปลกใส่เข้าไป แบบนี้เข้าข่าย สัทธรรมปฏิรูปครับ

    ไม่งั้นในในประวัติพระพุทธศาสนา คงไม่ต้องทำสังคายนา พระไตรปิฏก หรอก ที่เค้าทำกันเพราะ หลักธรรมในพระพุทธโอษฐ์และ พระสารีบุตร 84000 พระธรรมขันธ์ ถูกบิดเบือน แม้ต้นสังคายนา แรก พระมหากัสสปะ ประกาศ ให้พระภิกษุ รูปหนึ่ง (ผมจำชื่อท่านไม่ได้ ) รู้ ท่านอยู่ปัจจันตชนบท ท่าบอกว่าผมไม่รับรู้ผมไม่เห็น ประกาศไม่รับรู้รับรองสังคายนาแรก แล้วกลับไปทำสังคายนาเอง เป็นต้นกำเนิด มหายานในเวลาต่อมาไงครับ


    อีกอย่าง ที่คุณว่าพระพุทธองค์เปิดทางให้
    คุณจะอ้างที่ว่า พระพุทธองค์ท่านจะตรัสว่า อาบัติเล็กๆน้อยๆไม่ประกอบด้วยกาละสมัย ให้เพิกถอนเสีย ตรงนี้ไม่ได้ เพราะ อาบัติเล็กน้อยไม่รู้อะไร แล้ว สังคายนาครั้งแรกพระอรหันต์ประชุมไม่เพิกถอนอาบัติใดใดเลยนั้นแล้ว ถือว่า ที่พระพุทธองค์ท่านพูดเพื่อให้ สงฆ์ประชุมเพิกถอนเอง แต่อริยสงฆ์ ผู้มีความละอาย ท่านไม่เพิกถอน มติส่วนใหญ่ตอนนั้นถือว่าไม่เพิกถอน ก็จะเพิกถอนไม่ได้ ภายหลังจะถอนเพื่อคัดค้านสังคายนาเดิมก็ไม่ได้ เหมือน กฎหมายลูกค้านกฎหมายแม่

    แล้วสังคายนาที่พระอีกรูปทำที่เป็นต้นนิกายมหายานนั้น ถือว่าน่าจะไม่ถูกต้องเพราะ ผู้ที่สำคัญที่สุดคือพระอานนท์ ผู้รับฟังคำตรัสของพระพุทธองค์มากที่สุดไม่เข้าร่วม ไม่รับรองสังคายนาอันนั้น แล้ว จะบอกว่า มหานิกายนำไปปรับปรุงไม่ถูกต้องเพราะที่มาของพระไตรปิฎกมหานิกายยังไม่ถูกต้องไม่ถูกรับรองแล้ว แสดงว่ามีความผิดพลาดเป็นอันมาก

    จริงแล้วเรื่องนี้ไม่อยากจะพูดมากนักเพราะเรื่องยาว แต่จะขอเน้นเฉพาะลัทธิ อนุตรธรรมเท่านั้นเพราะเป็นลัทธิแปลกประหลาดที่ผมว่ามาในโพสก่อน ๆ ที่ตีความพระพุทธธรรมผิดและนำเอาหลักธรรมมาเปลี่ยนแปลงผนวกกับลัทธิเต๋า อ้างสนับสนุนความคิดทิฏฐิของตนเอง


    "หากเขานำไปในทางไม่ดี สักวันก็คงเสื่อมไปเอง
    ใยต้องไปแบกมันไว้ละ"
    ทุกๆอย่างมีเหตุและปัจจัย เหตุของมันคือ การนำไปในทางไม่ดี ผลนั้นคือการเสื่อม แต่จะเกิดผลนั้นได้ ก็จะต้องมีคนที่รู้ว่ามันไม่ดีและนำมาตีแผ่ประกาศในคนอื่นรู้และเข้าใจว่ามันไม่ดี จึงจะเกิดการคิดพิจารณาตามความเป็นจริง แล้วความเสื่อมของสิ่งนั้นๆ จึงเกิด

    ฉะนั้นสิ่งที่ผมแบกมันไว้อยู่นี่ คือกระบวนการหนึ่งของเหตุและผล ที่จะทำให้เกิดการเสื่อมของสิ่งที่ไม่ดี ขอรับ
     
  7. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    "พุทธสมัยในความหมายเราอาจจะเข้าใจว่า 5000 ปี แต่จริงๆ แล้วคือ 3000 ปี ข้อนี้มียืนยันในพระไตรปิฎก " มีแจ้งไว้ในตรงไหน ของพระไตรปิฎก ขอคุณ meedoo ชี้แจงด้วย อ้างอิงด้วย กรุณาอย่ากล่าวลอยๆ


    คุณชอบพูดว่าผมว่า"คุณจะมีความ ทิฐิ ในตัว ไม่ได้เปิดใจฟังหรือยอมรับเลย เหมือนไปฟังด้วยว่าตัวเองรู้มากอยู่แล้ว(เหมือนแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มอยู่แล้ว พอไปเติมมากเท่าไหร่มันก็ล้น สรุปคือไม่ได้อะไร)" ลองคิดย้อนกลับเข้าตัวคุณล่ะ ผมเหมือนคนคอยชี้แนะให้ แล้วคุณทำตัวเหมือนแก้วน้ำที่เต็มแก้ว เหมือนมือจับของกาฝาก ที่เกาะแน่นอยู่กับต้นไม้ใหญ่ ยึดมั่นแต่ลัทธิของคุณ ไม่ยอมรับฟังข้อชี้แนะของผม ไม่ลองคิดพิจารณา อ้างเอาแต่หลักฐานทางลัทธิอนุตรธรรม ทำไมไม่เอาหลักฐานจริงๆมาพูด ที่ไม่เสริมแต่งขึ้นมาจากลัทธิของคุณ เช่น พระไตรปิฎก เรื่องศิลาจารึกที่กล่าวว่าให้ "รับตราใจใผ่หากงฉัง" ตัวศิลาอยู๋ที่ไหน เอกสารการค้นพบ อีกอย่าง คำแปลศิลาหากมีจริงลัทธิคุณก็แปลเอาเอง มีหลักฐานไหม อีกจุดที่สำคัญ คือ " พระอาจารย์กงฉัง ก็เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งขึ้น เอาเอง เป็นชื่อที่มาภายหลัง ไม่ได้อ้างอิงกับศิลา แต่ลัทธิเอามาเชื่อมโยงกันเอง"


    เรื่องภาคใต้นี่ มีคนรู้ก่อนกันหลายคน คุณจะอ้างเรื่องภาคใต้ได้เยอะเพราะว่าช่วงซึนามิ จนถึงตอนนี้ เกิดปัญหากับภาคใต้หลายอย่าง ทั้งกบฏแบ่งแยกดินแดง ทั้งซึนามิ หลายๆเรื่อง การกล่าวขึ้นแค่ว่า จะเกิดภัยพิบัติที่ภาคใต้ เป็นคำพูดทางจิตวิทยา เพราะยังไงเรื่องมันก็เกิดอยู่แล้วคือถึงซึนามิไม่มา คุณก็อ้างเรื่องกบฎภาคใต้ได้อยู่ดี ...


    คนที่ผมรู้จักคนหนึ่ง เชื่อมั่นในอนุตรธรรมมาก คอยช่วยเหลือลัทธินี้ต่างๆนานา ตายตัวไม่นิ่ม

    เรื่องการตั้งตำแหน่งพวกคุณก็ตั้งตำแหน่งกันเอง เป็นนั่นเป็นนี่ บอกว่าพระแม่อนุตรธรรมตั้งให้ ก็เท่านั้น มันไม่สำคัญว่าจะบอกว่าสำเร็จธรรม
    เพราะเเม้แต่พระอรหันต์ ท่านไม่รอให้ใครตั้งให้และประกาศ ท่านมีจิตที่บริสุทธิ์ จิตนี้ตั้งให้เอง ไม่ต้องรอใครชี้จุด


    ผมเคยเป็นเช่นคุณ ยึดมั่นเรื่องนี้มาก อยู่ช่วงหนึ่ง เคยรับธรรมะ เคยเข้าฟัง จนกระทั่งรู้สึกว่าธรรมะนี้ทำไมมันแปลกๆ เลยศึกษาดูทุกอย่าง ทั้งพระไตรปิฎก ทั้ง หนังสือของสถานธรรม หลายๆข้อมูล ปรากฏว่าลัทธินี้... ไม่เป็นไปเพื่อนิพพานที่แท้จริง ไม่เป็นไปเพื่อหลุดพ้น สอนอย่างงมงายเกินไป ไม่ประกอบด้วยหลักฐานและเหตุผล อ้างอิงสิ่งที่ผิดๆทำให้ผู้เชื่อถือเกิดความเชื่อผิดๆ หลายอย่าง ผมเลยละทิ้ง แต่ไม่เสียใจที่เคยเชื่อเพราะอย่างน้อยเป็นข้อเตือนใจเราไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ ควรพิจารณาแล้วพิจารณาอีก ดีจริงแล้วควรเชื่อ เมื่อเห็นคุณ meedoo เอาเรื่องนี้มาลงผมถึงค้านเพราะว่า ผมเคยศึกษาเรื่องนี้กับตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว มีความรู้พอที่ค้านท่านได้ มีข้อมูลพอที่จะมาโต้เถียงวาทะ เพื่อให้เกิดการพิจารณาในลัทธิ นี้อย่างจริงๆจัง ไม่ใช่เชื่อเเละงมงายศรทธา อย่างไม่ลืมหูลืมตา

    และกรุณาอย่างกล่าวว่า มัวเเต่เถียงกันไม่เกิดประโยชน์ ... พุทธกาล ลัทธิแต่ละลัทธิต่างนำหลักธรรมของตนเองมาโต้แย้งกัน เถียงกัน คัดง้างกันเพื่อหาข้อสรุป และดึงคนให้เชื่อในลัทธิของตน และคนทั้งหลายก็ย่อมมานั่งฟัง และคิดพิจารณา ในความเชื่อนั้นๆเอง ตามแต่สติปัญญา ของแต่ละคน
     
  8. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    "ดังนั้นธรรมกาลยุคแดงนับจากพระพุทธองค์ทรงอุบัติ จนถึงบัดนี้ พ.ศ.2549 ธรรมกาลยุคแดงล่วงมาแล้วประมาณ
    2549-2559 ปี อายุธรรมกาลยังคงอีก สี่ร้อยกว่าปี จึงจะก้าวเข้าสู่ธรรมกาลยุคขาวอย่างพร้อมสมบูรณ์
    นั่นหมายถึงอุบัติพระศรีอาริย์พุทธเจ้านั่นเอง "
    อย่าเร่งให้ศาสนาพุทธ มีอายุน้อยกว่านี้อีกเลย แค่นี้คนก็หลงกิเลสพาให้ห่างไกลศาสนาอีกโขแล้ว
     
  9. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    เอาละๆ ทุกท่าน

    หากยังสาวความก็คงไม่ยุติเพียงแค่นี้ เพราะเหตุผลตนเป็นใหญ่
    ผลพวงมีแต่ความขัดแย้ง ก็ขอให้เลิกรากันไป
    ต่างคนๆ ให้เกรียติกัน ไม่เข้ากร่ายซึ่งกันและกัน

    ด้วยทางเดินอันหลากหลาย สุดท้ายก็บรรจบที่เดียวกัน

    ขอจงมีความสวัสดี และมีชัยทุกๆ ท่าน
     
  10. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101
    ศึกษามาพอเข้าใจบางทีอาจยังไม่เพียงพอ บางคนศึกษาอนุตตรธรรม 10-15 ปี ยังเข้าใจได้ไม่ถ่องแท้เลย นับประสากับไม่ถึง 4 ปี
    4 ปีแค่ก็ใช้เวลาศึกษาตามชั้นเรียนจนจบแค่นั้น แต่กระบวนการคิด ย่อยข้อมูลมันยังไม่ตกผลึกเลย
    ศึกษาเพียง 4 ปี รู้มากแค่ไหน จะเหมารวมว่าเป็นของเสียทั้งเข่งมันก็ไม่ถูกนัก

    คนศึกษาศาสนาที่แท้จริง เขาจะไม่โจมตีศาสนาหรือนิกายอื่นๆ แต่จะดึงเอาจุดเด่นมาใช้มาศึกษา พัฒนาความรู้ของตัวเองให้มากขึ้นไป


    หากศึกษาจริง เวลา 4 ปี ก็น่าจะพอเก็บเกี่ยวแก่นสารอะไรได้บ้าง เราว่ากันที่ศึกษาจริงๆนะครับ ไม่ใช่แค่ฟังหัวข้ออย่างเดียว
    หากเข้าใจจะรู้ว่า อนุตตรธรรมไม่ได้ค้านศาสนา ไม่ได้ค้านพระไตรปิฏก จุดไหนที่คิดว่าค้านก็สามารถยกออกมาเพื่อไต่ถามกันได้
    จะคิดไปเองว่าค้านแล้วสรุปไว้เป็นธง มันก็เป็นการปิดทางตัวเองเกินไป

    รูปแบบพิธีกรรมของอนุตตรธรรม ไม่ได้มีโครงสร้างมาจากเต๋าครับ แต่โครงสร้างมาจากศาสนาปราชญ์ของท่านขงจื้อ
    ต้องแยกให้ออกและเข้าใจให้ได้ก่อนว่าเต๋า-ปราชญ์ แตกต่างกันยังไง

    ทั้งนี้ที่อนุตตรธรรมกล่าวอ้างศานาส่วนใหญ่นั้นคือพุทธศาสนาอาจาริยาวาท (มหายาน)
    ซึ่งผู้เปิดประเด็นอาจจะยังศึกษาได้ไม่ทั่วถึง จึงไม่ทราบได้ว่าที่กล่าวอ้างนั้นมาจากแหล่งใด


    ที่เรากล่าวอ้าง ก็คือในส่วนที่เราศึกษาตามพงศาธรรมของเรา และพระสูตรพุทธศาสนามหายาน
    จะให้เหมือนทั้งหมดก็คงเป็นไปไม่ได้
    การที่เราอ่านข้อความเพียงไม่กี่วรรคจากหน้าเว็บบนอินเตอร์เน็ต แล้วนำมาสรุปใจความทั้งหมด
    ก็ไม่ต่างจากอ่านแค่คำนำ แล้วเอามาสรุปหนังสือ


    ตามที่ได้อธิบายไว้ครับ ก่อนจะสรุปประเด็นพิธีกรรม ต้องแยกให้ออกชัดเจนก่อนว่า เต๋า-ปราชญ์-พุทธมหายาน ต่างกันยังไง

    ที่สำคัญ คนเราไม่ควรดูถูกธรรมญาณปัญญาญาณคนอื่นครับ
    ไม่ใช่ว่าเราคนเดียวเท่านั้นที่มองเห็นเป็นแบบนี้ แล้วคนอื่นจะต้องมองเห็นเป็นอย่างเราด้วย นอกนั้นเป็นลัทธิมารหมด

    หากศึกษาให้ลึกซึ้งรู้จริง (ย้ำนะครับว่าต้องศึกษาจริง ไม่ใช่อ่านเอา หรือแค่มารับมาฟังเท่านั้น)
    พิธีกรรมของอนุตตรธรรมเป็นเพียงแค่เปลือกกระพี้เท่านั้น ไม่ใช่แก่นสารของอนุตตรธรรม
    แก่นสารจริงอยู่ที่ไตรรัตน์ครับ และไม่ใช่แค่ไตรรัตน์ที่รับกันธรรมดา
    แต่ต้องศึกษาให้ถึงแก่นของไตรรัตน์วิถีจิต

    เหมือนอย่างเราท่านไปวัด มีการทำบุญตักบาตร มีพิธีกรรมทางศาสนา ถามว่าพิธีกรรมนั้นคือแก่นสารไหม
    แน่นอนว่าไม่ แต่แก่นสารอยู่ที่มรรค อยู่ที่ปฏิจจสมุปบาท จากนั้นนำแก่นสารที่ได้เรียนได้ศึกษามาตกผลึกให้ได้

    ปัญญาญาณคนเรามีเพียงไหนกัน มองเห็นได้ไกลพ้นระยะสายตาแค่ไหน
    มีอีกมากที่เราต้องศึกษาขวานขวาย ถ้ารู้แจ้งกันหมด ก็คงไม่ต้องมีศาสนาลงมากล่อมเกลาแล้วครับ


    จงใช้จิตพุทธะในการคิด จงใช้จิตธรรมยานในการพูด
    จงอย่าใช้ปัญญาชน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 พฤษภาคม 2008
  11. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    คุณ meedoo<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1178493", true); </SCRIPT>

    ทำไมต้องไปสาวความยาวอีกละครับ เลิกกันไปเถอะ พ่อจำเริญ
     
  12. paramitra

    paramitra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +180
    ข้อความที่ผมเน้นสีแดงนี่ ใครรับประกันได้ครับ แล้วรับประกันได้อย่างไรครับ พุทธศาสนาเค้าก็สอนนะครับ ให้รู้จักวางจิตใจให้ถูกต้อง ปล่อยวางกิเลส ก็สามารถนิพพานได้ในชาติเดียวครับ

    การที่คุณเชื่อมั่น ศรัทธาว่า รับธรรมแล้วตายแล้วได้ไปนิพพาน นี่ก็ถือเป็นอนุสติอย่างนึงครับ หลวงพ่อท่านก็สอน

    การที่สอนให้ คิดดี พูดดี ทำดี ช่วยเหลือคนดี เป็นคำสอนทั่วๆไป เทพ เทวดา ที่ไหนที่เค้าเข้าทรงได้ เค้าก็สอนได้ครับ

    สำหรับข้อความที่ผมเน้นสีน้ำเงินอยากถามว่า
    แล้วการบำเพ็ญแบบอนุตรธรรมเนี่ย สอนให้ละกิเลส แล้วการละกิเลสแบบอนุตรธรรมต้องอย่างไรหรือครับ และใช้วิธีอะไรในการพิจารณาและขัดเกลากิเลสครับ ผมสงสัยตรงนี้มากเลยครับ นอกจากบอกว่า สอนให้ทำดี บอกให้บำเพ็ญโดยการฉุดช่วยคน ให้คนอื่นมารับธรรม มาเป็นคนดี มาบำเพ็ญแบบอนุตรธรรมนะ

    แล้วยังมีจุดที่ผมไม่เข้าใจอย่างเรื่องพงศาธรรมในอีกหลายๆจุดที่ผมมองว่ามันมั่วนิ่มยังไงไม่รู้ อย่างเช่น อย่างเช่นความเช่นว่า ขงจื้อเป็น 1 ใน 5 ศาสดา
    ที่ล่วงรู้ถึงความจริงข้อนี้(เรื่องจุดญาณวิเศษ)

    ถ้าผมลำดับปีไม่ผิด ตอนขงจื้อเกิดและโตนั้นพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่นะครับ ทำไมการสืบทอดพงศาธรรมถึงไม่ถ่ายทอดมาจากขงจื้อ แต่ต้องรอให้ ปรมจารย์ตั๊กม้อนำเข้ามาในประเทศจีน แล้วหลังจากหมดยุคนักบวช การถ่ายทอดพงศาธรรมนี้ ก็ได้ถ่ายทอดลงสู่ครัวเรือนทำไมถึงกลับมายึดรูปแบบ พิธีการ ตามหลักความเชื่อลัทธิหยู ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติของชาวจีนส่วนใหญ่แทนอีก
     
  13. น้อมรับ

    น้อมรับ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +8
    ได้ประโยชน์อันใด??ถ้าไม่ปฏิบัติดี.
     
  14. jacksarun

    jacksarun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +5
    พงศาธรรม

    [FONT=&quot]3. พงศาธรรมกับการถ่ายทอด
    ในอุบัติกาลปัจจุบันนี้ จะมีพระพุทธเจ้าลงมาโปรดเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหมด 10 พระองค์ 7 พระองค์แรกอุบัติลงมาตามทิศต่างๆ เพื่อที่จะสั่งสอนมนุษย์ให้รู้จักบำเพ็ญธรรม ซึ่งคนในสมัยนั้นมีจิตใจที่ดีงามกว่าคนในยุคปัจจุบัน จึงทำให้การฉุดช่วยในยุคนั้นราบรื่นกว่าในยุคปัจจุบัน (หลักฐานอยู่ที่วัด 7 พระพุทธา ตำหนัก 7 อริยะ มณทลซานซี ประเทศจีน มีรูปปั้นของพระพุทธเจ้า 7 พระองค์นี้อยู่)
    ส่วน 3 พระองค์หลัง อุบัติขึ้นในยุคของการเก็บกวาด เป็นยุคที่มนุษย์จิตใจตกต่ำมาก ฉุดช่วยได้ยาก พระแม่องค์ธรรมจึงได้โปรดประทานภัยพิบัติเพื่อลงมาเก็บกวาดบุคคลเหล่านี้ ส่วนผู้ที่มีจิตใจดีงาม (มีรากบุญ) ก็จะได้มีโอกาสได้รับการฉุดช่วยจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    พระพุทธองค์ใน 3 ธรรมกาลหลัง มีดังนี้
    1. ธรรมกาลยุคเขียว มีพระฑรีปังกรพระพุทธเจ้าปกครองธรรมจักรวาล 1500 ปี
    2. ธรรมกาลยุคแดง มีพระศากยะมุณีพระพุทธเจ้าปกครองธรรมจักรวาล 3000 ปี
    3. ธรรมกาลยุคขาว มีพระศรีอาริยะเมตตรัยพระพุทธเจ้าปกครองธรรมจักรวาล 10800 ปี
    ตารางแสดงการถ่ายทอดพงศาธรรมในประเทศจีน
    รุ่นที่ พระนาม /ธรรมกาล รุ่นที่ พระนาม ธรรมกาล
    1 อริยะเจ้าฝูซี ยุคเขียว 11 ซังทัง ยุคเขียว
    2 เสินหนง ยุคเขียว 12 ไท่กงอ๋อง ยุคแดง
    3 เซวียนเอวี๋ยน ยุคเขียว 13 กษัตริย์เหวินหวัง ยุคแดง
    4 เล่าเฮ่า ยุคเขียว กษัตริย์อู่หวัง ยุคแดง 14 เหลาจื่อ ยุคแดง
    5 จวนชวี่ ยุคเขียว โจวกง ยุคแดง 15 ขงจื่อ ยุคแดง
    6 ตี้คู่ ยุคเขียว 16 เอวี่ยนจื่อ ยุคแดง
    7 เหยา ยุคเขียว 17 จื่อซือ ยุคแดง
    8 ซุ่น ยุคเขียว 18 เมิ่งจื่อ ยุคแดง
    9 อวี่ ยุคเขียว <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]10 อีอิน ยุคเขียว <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]
    +++ ยกตัวอย่างพระวิสุทธิอาจารย์ เช่น +++- อริยะเจ้าฝูซี เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของจีน เป็นผู้สร้างยันปากว้อ (ยัน 8 ทิศ) ซึ่งเป็นนัยสำคัญบอกว่าในโลกนี้จะมีพระวิสุทธิอาจารย์ทั้งหมด 64 รุ่น
    - อริยะเจ้าเสินหนง เป็นกษัตริย์องค์ที่ 2 ของจีนในยุคของพระองค์ พระองค์ท่านเองนั้นเป็นผู้ปรุงยารักษาโรคแจกจ่ายพสกนิกร เป็นยุคที่เริ่มมีการสอนทำการเกษตร
    - อริยะเจ้าเซวียนเอวี๋ยน ในยุคของพระองค์ท่านเริ่มสถาปนาก่อตั้งประเทศจีนขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มก๊กที่ตั้งตัวเองขึ้นเป็นประเทศย่อยๆ ทำให้พสกนิกรได้รับความเดือดร้อน ท่านจึงนำทัพไปปราบจราจลเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง

    +++ ยกตัวอย่างการถ่ายทอดธรรมในประเทศจีน +++
    - โจวกงท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ และ เป็นบรรพจารย์รุ่นที่ 13 ร่วมกับกษัตริย์อีก 2 พระองค์ ท่านโจวกงได้กราบอาจารย์หลายๆท่าน เพื่อที่จะแสวงหาทางหลุดพ้น แต่อาจารย์ที่ท่านกราบหาใช่พระวิสุทธิอาจารย์ไม่ ท่านจึงพยายามแสวงหาอาจารย์ที่มีคุณธรรมบารมีสูงส่ง มีวันหนึ่งท่านเสด็จออกไปประพาสที่เมืองแห่งหนึ่งเพื่อที่จะชมธรรมชาติ แต่เผอิญท่านได้เหลือบไปเห็นท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งกำลังตกปลาอยู่ โดยใช้คันเบ็ดที่แข็งตรง ไม่มีตะขอเบ็ด และที่สำคัญเส้นด้ายไม่ตกถึงพื้นน้ำ ท่านโจวกงจึงประหลาดใจ เสด็จลงจากพระที่นั่งถามท่านผู้เฒ่าท่านนี้ว่า ท่านตกปลาเช่นนี้เหตุไฉนจึงจะได้ปลา ท่านผู้เฒ่าท่านนี้จึงตอบกลับไปว่า ปลาที่เราตกนั้นมิใช่ปลาที่อยู่ในแม่น้ำ แต่เป็นเวไนย์ผู้ลุ่มหลงต่างหาก ท่านโจวกงสัมผัสได้ซึ่งคุณธรรมบารมี จึงได้กราบท่านผู้เฒ่าท่านนี้เป็นพระอาจารย์ และได้เรียนเชิญอาจารย์ของพระองค์ท่านขึ้นบนรถพระที่นั่ง โดยท่านโจวกงเองเป็นผู้ที่เข็ญรถด้วยตัวของท่านเองได้ประมาณ 800 กว่าก้าว ท่านผู้เฒ่าท่านนี้จึงรับรองว่า ราชวงศ์โจวจะมีอายุประมาณ 800 กว่าปี และคำกล่าวนี้ก็เป็นจริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีโองการฟ้าจะมีวาจาประกาศิษย์ ในภายหลังท่านผู้เฒ่าท่านนี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นราชครู มีพระนามว่าเจียงไท่กง ซึ่งพระองค์ท่านเป็นพระบรรพจารย์รุ่นที่ 12 ของประเทศจีน <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ที่กล่าวมานี้ เป็นพระบรรจารย์ทั้ง 18 สมัย ที่ได้ถ่ายทอดส่งมอบพงศาธรรมแท้สมัยต่อสมัย รุ่นต่อรุ่น เป็นการถ่ายทอดเฉพาะบุคคลได้รับเพียงลำพัง[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] หลังจากท่านบรรพจารย์เมิ่งจื่อ ทิศทางของชีพจรแห่งธรรมได้หันเหไปยังตอนตะวันตก (หมายถึงชมพูทวีป) และในช่วยนั้นเองที่ [/FONT][FONT=&quot]“วิถีแห่งจิต”[/FONT][FONT=&quot] ได้ขาดหายจากการถ่ายทอดไป ชีพจรแห่งธรรมของบรรพกษัตริย์ได้ถูกกลบเกลื่อนไป ทำให้พงศาธรรมไม่สามารถสืบสานอย่างต่อเนื่อง เพราะเหตุที่วิถีธรรมได้เปลี่ยนไปยังแดนชมพูทวีปแล้ว ซึ่งทางสมณะผู้ถือบวชได้สานต่อพงศาธรรม<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้เป็นผู้ตรัสรู้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จากนั้นได้ถ่ายทอดวิถีธรรมต่อไปอีกทั้งสิ้น 28 สมัย<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]
    ตารางแสดงการถ่ายทอดพงศาธรรมในดินแดนชมพูทวีป
    รุ่นที่ พระนาม ธรรมกาล รุ่นที่ พระนาม ธรรมกาล
    1 พระมหากสสปะ ยุคแดง 15 พระคนเทวะ ยุคแดง
    2 พระอานนท์ ยุคแดง 16 พระราหุล ยุคแดง
    3 พระสันนวสะ ยุคแดง 17 พระสังฆนันทิ ยุคแดง
    4 พระอุปคุปต์ ยุคแดง 18 พระสังฆยสัส ยุคแดง
    5 พระธริตกะ ยุคแดง 19 พระกุมารตะ ยุคแดง
    6 พระมิจฉกะ ยุคแดง 20 พระชุยเถระ ยุคแดง
    7 พระวสุมิตร ยุคแดง 21 พระวสุพันธุ ยุคแดง
    8 พระพุทธนันทิ ยุคแดง 22 พระมนูระ ยุคแดง
    9 พระพุทธมิตร ยุคแดง 23 พระฮักเลนยสัส ยุคแดง
    10 พระปาสวะ ยุคแดง 24 พระชือจื่อ ยุคแดง
    11 พระปุณยยสัส ยุคแดง 25 วสิอชิตะ ยุคแดง
    12 พระอัสวโฆษ ยุคแดง 26 พระปุณยมิตร ยุคแดง
    13 พระกปิมล ยุคแดง 27 พระปรัชญาตาระ ยุคแดง
    14 พระนาคารชุน ยุคแดง 28 พระโพธิธรรม ยุคแดง

    ในยุคพระศากยะมุณี พระองค์ท่านทรงแสดงธรรมด้วยวิธีการอันเหมาะอันควร ตามจริงของแต่ละบุคคล กล่าวคือ1. วิธีค่อยเป็นค่อยไป วิธีนี้ผู้ฟังจะค่อยๆได้รับธรรมะจากง่ายไปหายาก เป็นขั้นเป็นตอนไปโดยลำดับ พระพุทธองค์ทรงใช้วิธีนี้แสดงธรรมแก่คนหมู่มาก ซึ่งแต่ละคนต่างก็ได้รับรู้และหยั่งถึงความหมายในธรรมนั้น ไปตามลักษณะภูมิปัญญาของตน
    2. วิธีชี้ตรงฉับพลัน วิธีนี้เหมาะสมกับบุคคลผู้ที่มีพื้นฐานความสามารถสูงเป็นพิเศษ พระพุทธองค์จะทรงถ่ายทอดชี้ธรรมโดยมิต้องตรัสอะไร และผู้ซึ่งได้รับการถ่ายทอดนั้น ก็สามารถเข้าใจความหมายได้ทันที กล่าวได้ว่าวิธีการถ่ายทอดเช่นนี้ เป็นวิธีที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ดังโศลกธรรมของนิกายฌาน หรือเซน ชึ่งกล่าวถึงการถ่ายทอดวิธีนี้ว่าเป็น
    " การส่งมอบพิเศษนอกคัมภีร์ไม่ต้องอาศัยตัวอักษร ชี้ตรงไปยังจิตของมนุษย์ ให้เห็นแจ้งในภาวะเดิมแท้....บรรลุ "พุทธะ" โดยฉับพลัน "
    <!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
    <!--[endif]--><o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]+++ ยกตัวอย่างการถ่ายทอดธรรมในดินแดนชมพูทวีป ระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระมหากสสปะ +++
    โดยอาศัยพระสูตรหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า "ต้าฝั่นเทียนอุ้มผู่เจี้ยอี้จิง"แปลว่า พระสูตรอันกล่าวถึงปัญหาที่ท้าวมหาพรหมทูลถาม มีใจความตอนหนึ่งกล่าวไว้ดังนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ ภูเขาคิชฌกูฏค่ำนั้น ท้าวมหาพรหมได้เสด็จมาเข้าเฝ้าถวายดอกบัวเป็นพุทธบูชาแล้วจึงกราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรม พระตถาคตจึงทรงยกพระหัตถ์ขวาอันบรรจงหยิบดอกบัวชูขึ้นท่ามกลางสันนิบาตนั้น โดยมิได้ตรัสแต่ประการใด ในขณะนั้นปวงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายต่างไม่เข้าใจในความหมาย มีเพียงพระมหากัสสปะผู้เดียวเท่านั้นที่ทัศนาองค์พระบรมครูด้วยดวงตาอันเปล่งประกายจำรัส พร้อมกับรอยยิ้มละไม ครั้นแล้วพระโลกนาถเจ้า จึงตรัสขึ้นในท่ามกลางที่ประชุมว่า
    <!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
    <!--[endif]--><o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]"ตถาคตมีธรรมจักษุอันถูก ตรงนิพพาน
    ตถาคตเป็นผู้มีญาณทัศนะอันรู้จบพร้อมในธรรม
    ตถาคตเป็นผู้มีดวงจิตอันหลุดพ้นแล้ว
    ตถาคตเป็นผู้ธำรงสัจจะอันบริสุทธิ์ไม่เคลือบคลุม
    สิ่งใดอันตถาคตเป็น...ธรรมใดอันตถาคตรู้
    สิ่งนั้น ธรรมนั้น....ตถาคตได้ถ่ายทอด
    ให้แก่มมกัสสปะโดยครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว" <o:p></o:p>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระมหากัสสปะ ผู้ถึงช่วงเวลาแห่งการตรัสรู้ได้บรรลุธรรมทันที เมื่อพระพุทธองค์ทรงใช้ดอกบัว เป็นประหนึ่ง "กุญแจทองไขประตูใจ" เปิดให้เห็นพุทธจิตธรรมญาณแท้ไนตน นี่ก็คือการส่งทอดปัญญาญาณจาก "จิต สู่ จิต" นั่นเอง ด้วยเหตุฉะนี้จึงถือว่า พระมหากัสสปะเถระผู้ซึ่งได้รับการแสดงธรรมโปรดโดยวิธี "ชี้ตรงฉับพลัน" และเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่หนึ่ง แห่งพุทธศาสนาในอินเดีย หลังจากที่องค์สมเด็จพระศากยมุนีพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์สู่ปิรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปะเถระจึงต้องเข้ารับภาระกิจใหญ่หลวงในการจรรโลงพระศาสนา ปกครองดูแลเหล่าสงฆ์สาวกจัดระเบียบต่างๆ ในอาณาจักรธรรม และที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นประธานในการทำสังคายนาพระธรรมวินัย ครั้งที่ [/FONT][FONT=&quot]1
    <!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
    <!--[endif]--><o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]+++ ยกตัวอย่างการถ่ายทอดธรรมในดินแดนชมพูทวีประหว่างพระปรัชญาตาระเถระ กับพระโพธิ ธรรม+++"พระโพธิธรรม" เดิมเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 3 ของพระเจ้าแผ่นดิน แคว้นคันธารราช ประเทศอินเดีย ตั้งแต่พระชนอายุยังเยาว์ ทรงปราดเปรื่องและแตกฉานในคัมภีร์ของทุกๆศาสนา ตลอดจนวรรณคดีอักษรศาสตร์โบราณ นับเป็นปราชญ์เอกแห่งยุค เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์ พระองค์สามารถนั่งฌานสมาบัติชั้นสูง อยู่เบื้องพระบรมศพของพระบิดานานตลอดถึง ๗ วัน หลังจากนั้น จึงไปศึกษาแสวงธรรมอยู่กับพระปรัชญาตาระเถระ ผู้เป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ 27 พระปรัชญาตาระเถระ ได้หยิบลูกแก้วยกขึ้นให้ท่านโพธิธรรมดูเป็นปริศนา ในทันใดนั้น ท่านก็บังเกิดความสว่างไสวรู้แจ้งแทงตลอดถึงธรรมที่ตนเคยสงสัยมาทั้งหมด กระทั่งสามารถตอบปัญหาธรรมได้หมด เมื่อบรรลุธรรมแล้วจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ พระปรัชญาตาระเถระ เห็นถึงปัญญาบารมีอันสูงล้ำของพระโพธิธรรม จึงได้เรียกประชุมคณะสงฆ์และประกาศว่า "พระโพธิธรรม ได้บรรลุธรรมสมบูรณ์ดีแล้ว ฉันจะมอบบาตร จีวร สังฆาฏิ และถ่ายทอดธรรมทั้งหมดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ท่านเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ ๒๘ ต่อจากฉันไปเพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา” ต่อจากนี้ไป เป็นสิทธิหน้าที่ของท่านที่จะทำให้วิถีธรรมนี้แพร่หลายไปทั่วทุกหนทุกแห่งในโลก และจงเลือกศิษย์ที่บรรลุธรรมตลอดจนมีความรู้ในธรรมที่ มั่นคงดีแล้ว เป็นผู้รับสืบทอด บาตรจีวร สังฆาฏิ และวิถีธรรมตรงนี้อย่างระมัดระวัง อย่าให้ขาดตอนลงไปได้ ท่านมีบุญญลักษณะ บารมีดีพร้อม และอายุยืนยาวมากกว่าพระสังฆปรินายกองค์ใดๆ หลังจากที่ฉันดับขันธ์ไปแล้วเป็นเวลา 67 ปี แผ่นดินนี้จะเกิดภัยสงครามใหญ่อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ท่านจึงควรนำวิถีธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เผยแพร่ไปสู่ประเทศจีนเถิด"
    <!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
    <!--[endif]--><o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ที่กล่าวมาเบื้องต้น ล้วนเป็นพระเถระในพุทธศาสนาสมัยชมพูทวีปถ่ายทอดเพียงลำพังแต่ชี้ชัดตรงไปยังวิถีแห่งจิตส่งมอบกันจนถึงสมัยที่ 28 คือ พระโพธิธรรม[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ต่อมาในรัชสมัยของกษัตริย์เหลียงอู่ตี้ พระโพธิธรรมได้สนองรับพระโองการฟ้าเดินทางมาจากแดนชมพูทวีปมายังแดนบูรพา (ประเทศจีน) เพื่อไขปริศนาธรรมอันแยบยล ให้กระแสธรรมได้คืนกลับสู่ประเทศจีนอีกครั้งหนึ่ง<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ตั้งแต่พระโพธิธรรมได้เข้าสู่ประเทศจีน ธรรมแท้ยังเป็นการ [/FONT][FONT=&quot]“สืบทอดแบบเส้นชีพจรเดียว” [/FONT][FONT=&quot]โดยมีพระโพธิธรรมเป็นปฐมบรรพจารย์ ถ่ายทอดวิถีธรรมนี้ให้แก่ พระเสินกวง พระบรรจารย์สมัยที่สอง เฉพาะเพียงลำพัง ต่อด้วย พระเซิงซั่น พระบรรจารย์สมัยที่สาม เรื่อยมาจนถึงพระเต้าซีน พระบรรจารย์สมัยที่สี่,พระหงเยิ่น พระบรรพจารย์สมัยที่ห้า ตลอดมาจนถึง พระเว่ยหล่าง พระบรรพจารย์สมัยที่หก[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ซึ่งเมื่อถ่ายถอดแบบเฉพาะ จนถึงพระบรรพจารย์สมัยที่หกแล้ว การส่งมอบบาตรและจีวรเป็นประจักษ์สัญลักษณ์ที่พระบรรพจารย์ส่งมอบกันมายาวนานได้ยุติการส่งมอบ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ดังพระสูตรเว่ยหล่างที่กล่าวไว้ว่า[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ธรรมวิถีแห่งศากยวงศ์ สุดที่ข้า[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ศาสน์แห่งปราชญ์รับสัทธรรม ต่อจากข้า[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ยุคสามปลายกัป เก็บงานขั้นสมบูรณ์[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ศรัทธาพูนสำรวมจิตทางสายกลาง[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ต่อมาพระเว่ยหล่างสมัยที่หกได้ถ่ายทอดวิถีธรรมให้แก่พระบรรจารย์หม่าและพระบรรจารย์ไป่ ทั้งสองท่านเพื่อเป็นพระบรรจารย์สมัยที่เจ็ด <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ตารางแสดงการถ่ายทอดพงศาธรรมในประเทศจีนครั้งที่ [/FONT][FONT=&quot]2
    [/FONT]
    [FONT=&quot]รุ่นที่ พระนาม ธรรมกาล [/FONT][FONT=&quot] รุ่นที่ พระนาม ธรรมกาล
    1 พระโพธิธรรม ยุคแดง 10 พระบรรพจารย์อู๋จื่อเสียง ยุคแดง
    2 พระเสินกวง ยุคแดง 11 พระบรรพจารย์เหอเหลี่ยวขู่ ยุคแดง
    3 พระเซิงซั่น ยุคแดง 12 พระบรรพจารย์เอวี้ยนทุ่ยอัน ยุคแดง
    4 พระเต้าซีน ยุคแดง 13 พระบรรพจารย์เอี๋ยงหวนซี สวีหวนอู๋ ยุคแดง
    5 พระหงเยิ่น ยุคแดง 14 พระบรรพจารย์เอี๋ยวหาวเทียน ยุคแดง
    6 พระฮุ่ยเหนิง ยุคแดง 15 พระบรรพจารย์อ๋วงเจวี๋ยอี ยุคแดง
    7 พระบรรพจารย์หม่าต่วนเอวี้ยง ,ไป่อวี้ฉัน ยุคแดง 16 พระบรรพจารย์หลิวชิงชวี ยุคแดง [/FONT][FONT=&quot]*(1)*[/FONT][FONT=&quot]
    8 พระบรรพจารย์หลออุ้ยฉิน ยุคแดง 17 พระบรรพจารย์ลู่จงอี ยุคขาว
    9 พระบรรพจารย์หวงเต๋อฮุ่ย ยุคแดง 18 พระบรรพจารย์กงฉัง จื่อซี่ ยุคขาว

    +++ ยกตัวอย่างการถ่ายทอดธรรมในประเทศจีนครั้งที่ 2ระหว่างพระโพธิธรรมกับพระเสินกวง+++
    พระโพธิธรรมหลังจากที่พระโพธิธรรมได้รับคำสั่งจากพระสังฆปรินายกรุ่นที่ 27 ของชมพูทวีป ท่านก็ได้เดินทางเข้าสู่ประเทศจีนโดยตอนแรกท่านคิดว่าจะนำเอาธรรมะไปถ่ายทอดให้แก่กษัตริย์เหลียงอู๋ตี้ แต่กษัตริย์มีคุณธรรมบารมีไม่สูงส่งเพียงพอ ท่านจึงนำเอาธรรมไปถ่ายทอดให้แก่พระเสินกวง พระเสินกวงเองเป็นผู้ที่มีคุณธรรมบารมีที่สูงส่ง เป็นผู้ที่เทศนาคำสอนที่ลึกซึ้งโดยเริ่มเเรกพระโพธิธรรมเข้าไปฟังพระเสินกวงเทศนา มีประโยคหนึ่งพระเสินกวงเทศว่า “ในอนาคตกาลนั้นหมื่นศาสน์จะกลับคืนสู่หนึ่ง” (ซึ่งบทความนี้แสดงให้เห็นว่าในยุคพระศรีอาริย์จะไม่มีการแบ่งเชื้อชาติศาสนา ซึ่งทุกๆศาสนาสามารถรับธรรมะได้ทั้งนั้น) หลังจากนั้นพระโพธิธรรมจึงได้เรียนถามพระเสินกวงแล้วจากหนึ่งจะกลับคืนสู่อะไร” พระเสินกวงตอบไม่ได้ เพราะข้อความไม่มีในพระธรรมคัมภีร์ หลังจากนั้นพระโพธิธรรมจึงได้ทดสอบปัญญาและอารมณ์ของพระเสินกวง พระโพธิธรรมจึงตรัสว่า ถ้าท่านเชื่อว่าธรรมะที่ท่านพูดอยู่ในกระดาษพระธรรมคัมภีร์เป็นของจริงแล้ว ก็แสดงว่าซาลาเปาที่ข้าพเจ้าวาดบนกระดาษก็เป็นของจริง ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าซาลาเปาที่อยู่บนกระดาษก็สามารถกินนำได้ ดังนั้นข้าพเจ้าขอเรียนเชิญท่านฉันท์ซาลาเปาลูกนี้ พอพระเสินกวงฟังจบประโยคก็บันดาลโทสะ นำลูกประคำฟาดพระโอษฐ์ของพระโพธิธรรม ทำให้ท่านหนีออกมาจากวัด เพื่อที่จะไปบำเพ็ญกัมมัฐฐานที่ปากถ้ำบนภูเขา พอตกเย็นพระเสินกวงถูกยมทูต10 ตน มารับเอาดวงวิญญาณไปลงนรก ท่านเสินกวงจึงเรียนถามยมทูตว่าทำยังไงท่านจึงจะสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ยมทูตจึงตอบว่า ให้ไปหาพระวิสุทธิ์อาจารย์ที่ท่านทำให้พระรูปนั้นห้อเลือดที่พระโอษฐ์ หลังจากนั้นเสินกวงจึงออกตามหาพระโพธิธรรม ในช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวพระเสินกวงตามหาพระโพธิธรรมพบที่ถ้ำบนภูเขา พระเสินกวงด้วยจิตที่สำนึกจึงได้คุกเข่าหน้าปากถ้ำเพื่อที่จะกราบพระโพธิธรรมเป็นพระอาจารย์ จนกระทั้งหิมะตกท่วมตัว พระโพธิธรรมจึงเห็นถึงความศรัทธาของพระเสินกวง จึงตรัสออกมาว่า การที่จะรับวิถีธรรม ให้ท่านตัดหนทางทางด้านข้างออก (หมายถึงความปล่อยวางในกิเลสตัณหา) แต่พระเสินกวงฟังผิดจึงตัดแขนทางด้านข้างออก ทำให้พระโพธิธรรมเห็นถึงความศรัทธาจึงถ่ายทอดวิถีธรรมให้ พระเสินกวงได้รับช่วงสืบทอดพระโองการฟ้าเป็นรุ่นที่ 2 ของประเทศจีน
    <!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
    <!--[endif]--><o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]*(1)*[/FONT][FONT=&quot] ครบสมบูรณ์ทั้งสิบหกสมัยในธรรมกาลยุคแดง จากนั้นเกณฑ์วาระแห่งธรรมได้เข้าสู่ธรรมกาลยุคขาว โดยมีพระศรีอาริยเมตไตรยสนองเกณฑ์วาระมีพระบรรจารย์ลู่จงอีเป็นพระปฐมบรรพจารย์แห่งธรรมกาลยุคขาว เพื่อสนองพระอาณัติแห่งฟ้าในการปรกโปรดอย่างกว้างขวาง ประกาศปริศนาธรรมอันแยบยลอย่างยิ่งใหญ่พร้อมได้มีพระบรรพจารย์กงฉัง และพระบรรพจารย์จื่อซี่เป็นพระบรรพจารย์สมัยที่สองแห่งธรรมกาลยุคขาว เพื่อสานต่อในการเก็บงานธรรมขั้นสุดท้าย เพื่อปกโปรดไตรภูมิ และเพื่อรวมหมื่นศาสนาเป็นหนึ่งเดียว[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จากตารางทั้งสามจะเห็นได้ว่าในยุคแรกธรรมเริ่มมาจากวรรณะกษัตริย์ ขุนนาง แล้วเข้ามาสู่สมณปราชญ์ จากนั้นก็เข้าสู่ครัวเรือนสามัญชนคนธรรมดาได้มีโอกาสรับวิถีธรรม [/FONT][FONT=&quot]
    4. ประจักษ์หลักฐาน
    4.1 ตามขีดของปากว้า (ยัน 8 ทิศ) มีทั้งหมด 64 ขีด นั่นหมายถึงพระวิสุทธิ์อาจารย์ 64 รุ่น ดังนี้ ประเทศจีนครั้งแรก 18 รุ่น ดินแดนชมภูทวีป 28 รุ่น ประเทศจีนครั้งที่สอง 18 รุ่น รวม 64 รุ่น
    4.2 ณ.วัดเจ็ดพุทธามีศิลาจารึก สักโดยพระแม่หนี่วา มี ข้อความว่า
    “ พระแม่กำหนด 3 ธรรมกาลช่วยคนเดิม อริยะฝูซีถ่ายทอดฐานธรรมา เจียงไท่กงจรรโลงมรรควิถี สุดท้ายเทียนเจินเก็บสมบูรณ์ ”
    4.3 คำทำนายของหลิวป๋ออุน และคำทำนายที่เขื่อนฮวงโหพังทลาย
    - กงฉัง มาจาก แซ่จาง ซึ่งเป็นแซ่ของพระวิสุทธิอาจารย์ชาย รุ่นที่ 18 เป็นพระภาคหนึ่งของอาจารย์จี้กง ซึ่งมีพระนามเต็มว่า จางกวงปี้
    - จื่อซี่ มาจาก แซ่ซุน ซึ่งเป็นแซ่ของพระวิสุทธิอาจารย์หญิง รุ่นที่ 18 ร่วม เป็นพระภาคหนึ่งของพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา ซึ่งมีพระนามเต็มว่า ซุนฮุ่ยหมิง
    4.4 พระธรรมคัมภีร์
    - ในคัมภีร์หลงฮว๋า มีบทหนึ่งที่เขียนไว้ว่า “กงฉังอุบัติในโลกกี่คนรู้ ฉุดโปรดหมื่นศาสน์กลับคืนสู่หนึ่ง ถึงเวลาขี่ม้าการถ่ายทอดธรรม ฉุดช่วยพุทธบุตรเดิมคืนบ้านในเร็ววัน”
    - ในคัมภีร์เมตตรัยยะ มีบทหนึ่งที่เขียนไว้ว่า “เทียนเจินเก็บสมบูรณ์ลงทะเบียนอริยะ”
    4.5 มีการปกโปรด 3 โลกขึ้น คือ สวรรค์, มนุษย์[/FONT]
     
  15. jacksarun

    jacksarun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +5
    ถึงคุณเมที่เคยศึกษาในอนุตตรธรรมมาก่อน

    ข้อความของคุณเมที่พูดว่า
    "ผมเคยเป็นเช่นคุณ ยึดมั่นเรื่องนี้มาก อยู่ช่วงหนึ่ง เคยรับธรรมะ เคยเข้าฟัง จนกระทั่งรู้สึกว่าธรรมะนี้ทำไมมันแปลกๆ เลยศึกษาดูทุกอย่าง ทั้งพระไตรปิฎก ทั้ง หนังสือของสถานธรรม หลายๆข้อมูล ปรากฏว่าลัทธินี้... ไม่เป็นไปเพื่อนิพพานที่แท้จริง ไม่เป็นไปเพื่อหลุดพ้น สอนอย่างงมงายเกินไป ไม่ประกอบด้วยหลักฐานและเหตุผล อ้างอิงสิ่งที่ผิดๆทำให้ผู้เชื่อถือเกิดความเชื่อผิดๆ หลายอย่าง ผมเลยละทิ้ง"

    ไปศึกษากันที่ศูนกลางอนุตตรธรรมแห่งประเทศไทยกันดีไหมครับ (จังหวัดนครปฐม) เป็นมูลนิธิปฐมธรรม ที่นั่นมีข้อมูลทุกอย่างที่คุณอย่ากรู้ มีอาจารย์เก่งๆที่จะอธิบายได้ จะได้ไม่กล่าวหาไมดี

    ถ้าคุณเมเคยศึกษาในอนุตตรธรรมมาก่อน คุณก็คงได้รับรู้พุทธจิต
    แล้วผมถามหน่อยครับว่าสิ่งที่คุณไ้ด้รับธรรมะนั้นอะ จิงๆแล้วคุณไ้ด้รับเหรอครับ (เพราะมันมีอยู่แล้วในตัวคุณเอง แต่อาศัยวาระการถ่ายทอดของฟ้าเบื้องบน ที่สืบทอดพงศาธรรมอริยเจ้าแต่ละรุ่นๆ หลายพันปี มาชี้ให้คุณรู้ว่า ในตัวของคุณ มีญาณ และญาณนั้นก็คือนิพพานในตน ถ้าคุณได้ศึกษาและบำเพ็ญในอนุตตรธรรมจริง คุณจะค้นพบว่าสิ่งที่คุณได้รับรู้ (พุทธจิต) "ตรงนั้นคือสัจธรรมในตน" ศูนกลางของโลกคือ มนุษย์
    ศูนกลางของมนุษย์คือ จิตญาณ
    จะแก้ไขสิ่งไม่ดีต้องแก้ไขที่มนุษย์ แต่จะต้องแก้ไขที่จิตญาณ ทุกศาสนาสอนให้คนบำเพ็ญให้เข้าถึง "จิตญาณของตนที่บริสุทธิ์"
    คุณเมลองไปพิจารณาว่าตรงหน้าของคุณมีพุทธจิตไหม ถ้ามีคุณพิจารณาซิว่าตรงนั้นใช่หลักสัจธรรมไหม
    (ใช่ไม่ใช่ถามใจคุณดู ถามไปถามมาความคิดที่ว่าใช่หรือไม่ใช่มันก็ออกมาจากพุทธจิตตรงหน้าของคุณ)
    ได้รับรู้หนทางตรงที่ชี้ขัดไปที่จิตญาณ(ธรรมปฏิเวธ) อยากรู้แจ้ง พิจารณาจากข้างในก็รู้ไ้ด้เอง "ตรงนั้นใช่สัจธรรมหรือเปล่าถามใจตัวเองดู"
    84,000 พระธรรมขันธ์สุดท้่ายแล้วดับที่ใจ แล้วตรงที่คุณเมได้รับเรียกว่าใจ(สภาวะตถตาแห่งตน)หรือเปล่า

     
  16. jacksarun

    jacksarun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +5
    ่ถึงคุณเมครับ

    ถึงคุณเมครับ ข้อความที่ว่า
    "ผมพิสูจน์มาแล้ว รับธรรมแล้วตั้งแต่ปี 2547 ศึกษาเรื่องของอนุตรธรรมจนมาก พอเข้าใจแล้ว ถึงบอกไงว่าหลักธรรมเค้าลึกๆค้านพระพุทธองค์ ค้านพระไตรปิฎกหมด ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร"

    เอาอะไรมาพูดครับที่ว่าค้านพระพุทธองค์ ผมพาคุณไปพิสุจน์ได้ครับ ทั้งหมดที่คุณต้องการอยู่ที่ มูลนิธิปฐมธรรม (ศูนย์กลางอนุตตรธรรมแห่งประเทศไทย) ขึ่้นกับสมาคมสันนิบาตแห่งประเทศไทย
    ที่นั่นจะมีข้อมูลมีอาจารย์ดีดีที่จะไขข้อข้องใจให้คุณได้ครับ.เมล์มาแล้วผมกับคุณเม เราไปหาข้อมูลกัน ถ้าเป็นลัทธิไม่ดี แล้วทำไมจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายได้?? แล้วทำไมมีโล่พระราชทานที่นั่น,โล่ประกาศเกียรติคุณจากสภาสมาคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชุนูปถัมภ์
    จะเอาไรอีกดี เอาที่เป็นรูปลักษณ์ก็มี ที่ไม่เป็นรูปลักษณ์ก็คือการถ่ายทอดให้ได้รับรู้พุทธจิตธรรมญาณแห่งตน(นิพพานแท้ในตน)
    คุณเมไปกับผมก้ละกัน ถ้าไม่ดีผมจะเชื่อคุณเม ผมจะได้ไม่ไปศึกษาดีไหมคับ
    ่ติดต่อมานะคับถ้าคิดว่าคุณรู้มากเกี่ยวกับอนุตตรธรรม ผมคิดว่าที่คุณเกี่ยวกับอนุตตรธรรมแค่ตืั้้ืนๆครับ ไปศึกษาที่นั่นแล้่วคุณจะได้ไม่พูดไม่ดีเกี่ยวกับธรรมะนี้อีกครับ jack_chaks@hotmail.com (แจ๊ก)
     
  17. jacksarun

    jacksarun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +5
    พุทธทำนาย เขตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย

    [FONT=&quot]พุทธทำนาย ถอดความจากศิลาจารึก เขตมหาวิหาร สวนมฤคทาย วันประเทศอินเดีย[/FONT]
    <!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
    <!--[endif]-->​
    [FONT=&quot]สาธุ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า[/FONT][FONT=&quot]ผู้เป็นพระสัพพัญญู[FONT=&quot]รู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและใน อนาคต[/FONT][/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้นเมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนม์อยู่[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาของของตถาคต[FONT=&quot]ล่วงเลยไปถึง กึ่งพุทธกาล[/FONT][/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]สัตว์โลกทั้งหลาย ที่เกิดในยุคนั้น[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]จะพบแต่ความลำบาก[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ทุกชาติทุกศาสนา[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ตามธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot]อันหมุนเวียนของ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]โลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกสลาย[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]มนุษย์และสัตว์จะได้ รับภัยพิบัติ[/FONT][FONT=&quot]สารพัดทั่วทุกทิศ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]คน[/FONT][FONT=&quot]ในสมัยนั้นจะ[FONT=&quot]มีนิสัยโหด ดุจกำเนิดจากสัตว์ป่า อำมหิตจะรบราฆ่าฟันกันเองถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ[/FONT][/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ส่วนเวไนยสัตว์ ผู้ขวนขวาย ในกุศลตามวจนะของตถาคตก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงใน พระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]เหตุร้ายภัยพิบัติจะเบาบาง แต่ก็[FONT=&quot]จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น[/FONT][/FONT] [FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]เริ่มแต่พุทธศาสนาล่วงเลย ๒[/FONT],[FONT=&quot]๕๐๐ ปี[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]เป็นต้นไป[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ไฟจะรุกรามมาทาง[/FONT] [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]สมชีพรามณ์จะอดอยากยากเข็ญ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ลูกไฟจะตก[/FONT][FONT=&quot]จากฟ้าเป็น เพลิงผลาญ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]มหาสมุทธจะชอกซ้ำ สงครามจากทั่วทิศศึกจะติด[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]เมืองข้าวจะขาดแคลน[/FONT][FONT=&quot]ทั่วแคว้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]พระเสื้อเมือง ทรงเมือง จะหนีเข้าไพร[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจ จะเรียก[FONT=&quot]แมลงผีเสื้อเหล็ก[/FONT]นับแสนตัว มา[FONT=&quot]ปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ[/FONT][/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ยักษ์หินที่ถูกสาบเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาท[FONT=&quot]โลก ดิน ฟ้าอากาศจะแปรปรวน[/FONT][/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ตลิ่งจะพัง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]แผ่นดินจะถล่มเป็นทะเล[/FONT] [FONT=&quot]โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ[/FONT] [FONT=&quot]นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตจะเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ต้องอยู่ใน ศิลธรรม[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]เชื่อคำคนโกง กล่าวคำเท็จ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ไม่เคารพรักธรรมนิยม[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]คนประจบสอพลอได้รับความเชื่อถือในสังคม[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ผู้ที่มีศิลธรรม ประพฤติดี ประพฤติชอบ กลับไม่มีใคร เคารพยำเกรง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]พระธรรมจะเริ่มเปล่งรัศมี[/FONT][FONT=&quot]ฉายแสง[FONT=&quot]ส่องโลกอีกวาระหนึ่ง[/FONT]ก็ต่อเมื่อ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]มีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น[/FONT] [FONT=&quot]อยู่ในความ[FONT=&quot]อุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์[/FONT] [FONT=&quot]ทั้ง [/FONT][/FONT]2 [FONT=&quot]พระองค์[/FONT][FONT=&quot]สถิตย์ ณ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]เบื้องต้นตะวันออกของมัชฌิมประเทศ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]จะ[FONT=&quot]เสด็จมา[/FONT][FONT=&quot]เสริมสร้างศาสนาของตถาคต[/FONT][/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕[/FONT][FONT=&quot],[/FONT][FONT=&quot]๐๐๐ พระวัสสา[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อม[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ยังเวไนยสัตว์ให้ตั้ง[FONT=&quot]อยู่ในความไม่ประมาท[/FONT][/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรม[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ของสัตว์ ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ[/FONT][FONT=&quot]

    "[/FONT][FONT=&quot]ให้รักษาศิล[/FONT] [FONT=&quot]๕ ประการ เจริญเมตตาภาวนา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดดรู้จักพอ[/FONT] [FONT=&quot]ไม่โป้ปดคตโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจปฏิบัติตน[/FONT] [FONT=&quot]ตามคำสอนของตถาคต ให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในกึ่งพุทธกาล"
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    หมายเหตุ : มีการพูดถึงกันมากเลยครับ ว่าพระธรรมมิกราชโพธิญาญทั้ง2พระองค์คือใคร
    และพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์นั้นคือใครแล้วเบื้องต้นตะวันออกของมัชฉิมประเทศคือประเทศอะไร
    **มีผู้มีความรู้หลายท่านแม้แต่ในเวปธรรมะหลายเวปบอกว่า
    พระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์นั้นคือ พระศรีอริยเมตไตย (อันนั้นไม่ผิดเพี้ยน ถูกต้องแน่นอนครับ)
    แล้วพระธรรมิกราชโพธิญาณ 2 พระองค์นั้นคือใครหล่ะ?? หลายคนบอกว่าอยู่ในประเทศไทย จริงแล้วไม่ใช่ครับ [/FONT]
    [FONT=&quot]เบื้องต้นตะวันออกของมัชฉิมประเทศ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแท้ที่จริงคือประเทศจีนครับ จากยุคเขียวพระทรีปังกรในประเทศ สู่ยุคแดงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกลับคืนสู่พระเทศจีนโดยพระโพธิธรรมเถระ(พระต๋าม้อ) [/FONT][FONT=&quot]เบื้องต้นตะวันออก[/FONT][FONT=&quot]มัชฌิมประเทศคือประเทศจีนครับท่าน ประเทศจีนในสมัยก่อนเรียกว่า แดนกลางมีภูเขาที่มียอดเขาสูงที่สุดในโลก คือเขาพระสุเมรุหรืออีกชื่อเขาคุนหลุนซัน บนยอดเขามีแม่น้ำที่บริสุทธิ์คือแม่น้ำเทียนเหอไหลจากยอดเขาสู่ตีนเขาคือแม่น้ำฮวงโห,แม่น้ำเหลือง (จิตญาณแต่เดิมบริสุทธิ์จากฟ้าลงสู่โลกโลกีย์จิตแปดเปื้อนเกลือกกลั้วกิเลส) มีอีกหลายเหตุผลครับที่ประเทศจีนได้ชื่อว่าเป็นมัชฌิมประเทศ แต่ที่แน่ๆครับ ความหมายของพระพุทธองค์ที่พูดถึงพระธรรมิกราชโพธิญาณทั้ง2พระองค์แท้จริงแล้วก็คือ พระบรรพจารย์สมัยที่ 18 ทั้ง2 พระองค์ คือผู้ที่สืบทอดพงศาธรรมนับพันปี จากอินเดียสู่ ประเทศจีน คือผู้ที่สืบทอดพงศาธรรมของพระพุทธองค์นั่นเองครับ
    องค์ที่18 มีสองพระองค์ 1.พระบรรพจารย์กงฉัง 2.พระบรรจารย์จื่อซี่
    1. พระบรรจารย์กงฉัง พระองค์เป็นพระภาคของพระอรหันต์จี้กง พระองค์ลงมาอุบัติในกัปนี้ทั้งหมด 72 พระชาติ พระชาติที่70 คือพระอรหันต์หลิงเมี่ยวเทียนจุน ปรางปราบมังกร (ปราบกิเลส) เป็น1ใน18อรหันต์ของประเทศจีน และเป็นองค์ที่1 ที่บรรลุธรรมในอรหันต์ทั้งหมด 18องค์ แต่ด้วยจิตที่ต้องการฉุดช่วยเวไนยสัตว์ให้หมดสิ้นพระองค์มาอุบัติอีกครั้งหนึ่งในราชวงศ์ซ้องเมื่อประมาณพันกว่าปีที่แล้วในประเทศจีนเป็นพระภาคที่ 71 แสร้งทำเป็นพระสงฆ์วิปลาส ออกจากวัด แต่แท้จริงภายในปณิธานฉุดช่วยเวไนยให้หมดสิ้น พระภาคล่าสุดคือพระภาคที่ 72 อุบัติมาเป็นพระบรรจารย์กงฉังสืบทอดพงศาธรรมพระพุทธองค์ที่อินเดีย รับภาระปรกโปรดถ่ายทอดวิถีธรรมไปทั่วโลก ผู้ที่บำเพ็ญมาหลายชาติแล้วยังมิอาจบรรลุ ชาตินี้มีโอกาสได้เจอพระวิสุทธิอาจารย์ ถ่ายทอดธรรมปฏิเวธ (ธรรมที่ลุถึง) ให้ได้พบพระสัจธรรมในตน (นิพพานในตน)
    2. พระโพธิสัตว์จันทรปัญญา พระองค์มาอุบัติเป็นพระบรรจารย์สมัยที่18 ร่วมกับพระบรรจารย์กงฉัง สืบทอดพงศาธรรมจากพระพุทธองค์ในอินเดีย รับบัญชาจากฟ้าเบื้องบนมาเก็บธรรมญาณ ในยุคสุดท้ายนี้

    และทั้ง2พระองค์นี้ก็คือพระวิสุทธิอาจารย์สุดท้ายในยุคสุดท้ายปลายกัปนี้และเป็นบรรพจารย์ที่ถ่ายทอดอนุตตรธรรมแม้ทั้งสองพระองค์บรรลุธรรมกลับคืนเบื้องบนไปแล้ว
    แต่อนุตตรธรรมยังคงถ่ายทอดตามกำหนดหนดกาลของฟ้าเพื่อเก็บธรรมญาณขั้นสมบูรณ์ในยุคสุดท้ายปลายกัปนี้ผุ้ที่เคยบำเพ็ญธรรมมาแล้วในอดีตชาติ จะพบผู้ที่มีบุญสัมพันธ์นำพาเข้ารับธรรมะ

    สุดท้ายนี้ครับ ข้อมูลที่พิมพ์เป็นข้อมุลสั้นๆ แบบสรุป ทุกท่านสามารถไปหาข้อมุลได้ด้วยตนเองที่ ศูนย์กลางอนุตตรธรรมแห่งประเทศไทย ที่จังหวัดนครปฐม (ไม่ใช่ลัทธิครับ ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง เขาพูดกันมั่วไปก็ไม่ได้ศึกษา อยากรู้เมล์มาหาผม แล้วจะพาไปศึกษาครับ ) jack_chaks@hotmail.com
    มีผิดพลาดประการใดข้ออภัยพี่ๆในเวปทุกคนนะคับ ผมรีบพิมพ์ครับ ขอบพระคุณเจ้าของเวปอย่างสูงครับ
    [/FONT]
     
  18. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    แน่ใจไหมว่าผมไปแล้ว จะไม่โดนรุม หากผมแย้งบางอย่าง ตามเหตุผล
     
  19. jacksarun

    jacksarun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +5
    ถึงเพื่อนเม

    เรารับประกันด้วยชีวิตของเรา ด้วยสัจจะที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และด้วยพุทธจิตธรรมญาณของเราและนายที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน
    เป็นเพื่อนกันนะ จิงๆแล้วธรรมะก็มิไ้ด้แบ่งแยก เมื่อเราบำเพ็ญภายในละสิ่งที่ไม่ดีจนหมดจิตใจของเราได้เรา ธรรมญาณตัวที่เป็นธรรมชาติก็จะปรากฎ เมื่อปรากฎแล้ว บุคคลที่บำเพ็ญในระดับนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเวไนยสัตว์ทั้งหลายต่างก็มีพุทธจิตธรรมญาณด้วยกันทั้งนั้น
    แต่เหตุที่ต่างกันอยู่ตรงที่"รู้ตื่นและหลับหลง"
    ธรรมะเมื่อกล่าวอ้างก็มิใช่ธรรมะ
    แต่ถ้าเมื่อจะช่วยธรรมะในตัวเวไนยให้ได้รู้ตื่นจึงต้องเวียนธรรมจักร
    เวียนธรรมจักรโดยใช้กายสังขารในการทำงานธรรมะ พูดธรรมะ
    เหมือนเมื่อครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ก็มิได้ทรงนั่งนิ่งอยู่เฉย แม้จิตพระองค์จะบรรลุภาวะตถตา รู้แจ้งทุกสรรพสิ่ง แต่สิ่งที่พระพุทธองค์และพระอรหันตขีณาสพ ปล่อยวางไม่ได้แม้แต่เสี้ยวนาีทีก็คือ เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ที่ต่างมีพุทธจิตเหมือนพระองค์ ดังนั้นทุกวันทุกคืนพระพุทธองค์และเหล่าสาวกทั้งหลายก็ต่างย้ำพระบาทไปทั่วแผ่นดิน เพื่อประกาศศาสนา ทุกพระองค์ต่างเหน็ดเหนื่อยเพียงเพื่อหวังเวไนยจะรู้ตื่น แม้ไม่ตื่น(พุทธจิตแห่งตน,ที่พึ่งแห่งตน) ก็ยังมีศาสนาที่พระพุทธองค์และเหล่าสาวกทั้งหลาย ต่างเหน็ดเหนื่อยเผยแพร่ช่วยกันประกาศออกไปเพื่อให้เวไนยได้มีีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
    84,000 พระธรรมขันธ์ ใช้ดับ84,000อารมณ์ เมื่อบำเพ็ญจริงปฏิบัติจริงสุดท้ายแล้วก็มาหยุดที่ใจ (พุทธจิตตรงหน้า)

    จะมหายานหรือว่าเถรวาทต่างเหมือนกันตรงที่จุดหมายสูงสุดคือพระนิพพาน(ที่แท้อยู่แค่นัยตาตน)
    อนุตตรธรรมไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นธรรมะที่สืบทอดเป็นพงศาธรรม จากจีนแผ่นดินใหญ่18รุ่น สู่อินเดีย28รู่น และกลับคืนสู่จีน18รุ่น แต่มิได้ถ่ายทอดให้บุคคคลทั่วไป เพราะเข้าถึงยาก เป็นสุญตา เป็นความว่าง จะถ่ายทอดให้ผุ้ที่มีรากบุญรากกุศล ผู้ที่มุ่งมั่นบำเพ็ญบรรลุจริง แต่นั้น ก็แล้วแต่พระอริยะเจ้าแต่ละสมัย มีไหมที่ไม่ได้รับการถ่ายทอดแล้วบรรลุ(มีเยอะแยะมากมายในประเทศไทยมีอริยะสงฆ์เกจิอาจารย์ดังๆ ที่บำเพ็ญจริงปฏิบัติจริงแล้วบรรลุ)

    ในมหยานกล่าวว่า ผู้ที่จะบำเพ็ญแล้วสามารถบรรลุมรรคผลได้ จะต้องครบถ้วน 3000บุญ800กุศล บ้างก็สั่งสมข้ามภาพข้ามชาติ มันยากแก่การบรรลุได้ ดังนั้นฟ้าจึงโปรดให้ สองพระองค์สุดท้าย องค์ที่18 กงฉังและจื่อซื่ พระภาคของพุทธะโพธิสัตว์ มาโปรดธรรมที่ลุถึงจิต (ธรรมปฏิเวธ) ให้ได้รู้ว่าแท้จริงตนมีพระนิพพาน แท้ที่จริงนิพพานนั้นมีมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ต้องแสวงหาภายนอก แท้ที่จริงตนนั้นและคือนิพพาน การถ่ายทอดจุดญาณเป็นรูปลักษณ์แต่แท้จริง อาศัยรูปลักษณ์เข้าถึงสิ่งที่ไรรูปลักษณ์ (นายเม เพื่อนเอ๊ย) นายลองพิจารณาซิว่านายได้รับอะไร ได้ได้รับหรือจุดๆนั้น
    ได้รับแต่แท้ที่จริงไม่ได้รับ มันมีอยู่แล้วในตัวนาย ธรรมะที่ว่าไม่มีก็ไม่ใช่จะว่ามีก็ไม่ใช่
    แต่ในความไม่มีมันก็มีอยู่ ก็คือตรงหน้าของนายนั่นแหละ จะเข้านิพพานก็เข้าตรงหน้าของนายนั่นแหละ นายก็คือส่วนหนึ่งของพระนิพพาน
    มันละเอียดอ่อนมาก อยากจะอธิบาย ต้องอธิบายให้กับผู้ที่ว่างเหมือนกัน(จิต)จึงจะเข้าใจ
    นายกะเราต่างเป็นพุทธศาสนิกชน ต่างเคารพบูชาพระพุทธองค์ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ทั้งเถรวาทและมหายาทก็เกิดจากพระองค์ แม้เราไม่เกิดที่ๆเดียวกัน ครอบครัวเดียวแต่แท้ที่จริงในตัวเราก็มีพุทธจิตธรรมญาณเหมือนๆกัน
    เป็นเพื่อนกันนะนายเม เป็นเพื่อนกัน เรารู้นายเป็นผู้ปฏิบัติธรรม อ่านดูก็เข้าใจ
    เป็นเพื่อนกัน มีโอกาสไปศึกษา เราพานายไป
    สงสัยอะไรอยากรู้อะไรที่นั่นมีให้หมด
    ไม่มีใครเขามองอะไรใครไม่ดีหรอกเพราะไรรู้ไหม
    เพราะทุกคนต่างเป็นเวไนย ทุกคนต่างมีพุทธจิต ทุกคนต่างเท่าเทียมกัน และทุกคนต่างสามารถบรรลุได้เหมือนๆกัน
    (;)โชคดีนะนายเม)
     
  20. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101
    คุณ jacksarun อธิบายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้คนอื่นเข้าใจถึง ความล้ำค่าของธรรมะนี้
    คุณ paramitra ถ้ายังมีอะไรสงสัยอีกก็ถามคุณ Jacksarun ได้เลยนะครับ ผมก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายนัก แต่ก็เข้าใจถึงธรรมะนี้ดี ก็ขอให้ทุกท่านลองศึกษาให้ถึงแก่นจริงๆก่อนเถอะครับ แล้วจะเข้าใจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...