ทำไม ? พระพุทธองค์มิทรงประกาศจุดตรัสรู้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย mossolo, 28 เมษายน 2008.

  1. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101

    [​IMG]


    <center>ทำไม ??? </center><center>พระพุทธองค์มิทรงประกาศจุดตรัสรู้</center><center> </center><center></center><center></center><center></center>พุทธจิตธรรมญาณ ชีวิตสว่างในตัวตนเป็นภาวะพิเศษแยบยลที่แม้ตรรกศาสตร์ปรัชญาที่ตรึกคิดหาข้อสรุปอันสมเหตุสมผลได้ก็ไม่อาจชี้ชัด ฉะนั้นการที่จะบอกให้รู้ จึงมิสู้รู้ในตนเอง เมื่อรู้ในตนเองได้ จึงจะเป็นในตนเองได้ เฉกเช่น

    ใครกินใครอิ่ม ใครลิ้มใครรู้รส” “ใครเข้าถึงใครจึงจะบรรลุได้ ”

    เช่นนี้แล้ว จึงไม่ต้องสงสัยอีกเลยว่า เหตุใด ตั้งแต่โบราณกาลมาพระผู้รู้แล้วทั้งหลายจึงเหมือนเก็บสิ่งที่ได้รู้แล้วนั้นไว้เฉพาะตัว ไม่โปรดถ่ายทอดชี้ชัดซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็เช่นกัน การนี้ในวินัยปิฎกจารึกไว้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ก่อนที่จะทรงประกาศธรรม ได้ทรงมีพุทธดำริว่า" ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นยากหยั่งรู้ตาม ยาก สงบ ประณีต ตรรกหยั่งไม่ถึง (ไม่อยู่ในวิสัยของตรรก ปรัชญาที่จะคิดหาเหตุ-ผลได้) ละเอียดอ่อนเป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงทราบ " และมีข้อความที่เป็นคาถาต่อไปว่า

    “ ธรรมเราเข้าถึงโดยยาก เวลานี้มิควรประกาศ ธรรมนี้มิใช่สิ่งที่สัตว์ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำจะรู้เข้าใจง่าย สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกราคะโทสะครอบงำจะรู้เข้าใจง่าย สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองความมืด (อวิชชา) ห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแสละเอียดอ่อน ลึกซึ้งเห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก "


    [​IMG]



    <center>อริยะถ่ายทอดสู่อริยะ</center><center> </center><center></center><center></center>เมื่อดวงธรรมญาณในตัวตนของคนเราเป็นสิ่งอันวิเศษ ประณีตลึกซึ้งละเอียดยิ่งนักเช่นนี้ ผู้ที่จะรับรู้ได้จึงจะต้องมีภาวะจิตที่บำเพ็ญดียิ่งแล้วเท่านั้น สองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน จึงมีท่านจอมปราชญ์ขงจื้อเท่านั้น ที่ได้รับถ่ายทอดจุดสถิตชีวิตสว่างดวงธรรมญาณจากพระอริยเจ้าเหลาจื้อโดยตรง เรียกว่าได้รับถ่ายทอดจุดตรัสรู้ ต่อมาพระมหากัสสปะก็ได้รับถ่ายทอดจุดตรัสรู้จากพระพุทธองค์ จากการชูดอกไม้ให้เห็นตรงหน้าเป็นปริศนาธรรม

    ประมาณหนึ่งพันปีก่อนพระพุทธะจี้กง ต้องอาศัยการถูกตบหน้าจากพระอาจารย์ เป็นอุบายบิดเบือนความสนใจจากสงฆ์น้อยใหญ่ในที่นั้น พร้อมกับได้รับถ่ายทอดจุดตรัสรู้โดยฉับพลัน หนึ่งพันสามร้อยกว่าปีก่อน พระสังฆปริณายกหงเหยิ่น จะถ่ายทอดจุดสถิตชีวิตสว่าง ให้แด่ท่านเว่ยหล่างผู้ซึ่งเข้าถึงภาวะสงบ ว่าง วางจิต ลงได้แล้ว ยังจะต้องแอบนัดหมายในเวลาค่ำมืดปลอดคน อีกทั้งยังจะต้องใช้จีวรคลุมแล้วจึง ถ่ายทอดจุดสถิตจิตญาณนั้นให้เป็นการเฉพาะ จึงมีคำโบราณว่า
    “ ไม่มีพระวิสุทธิอาจารย์ถ่ายทอดให้ อย่าได้พูดถึงธรรมญาณ ”
    แม้ไม่มีพระวิสุทธิอาจารย์ถ่ายทอดให้ จะรู้จุดสถิต จิตญาณตน และเข้าถึงชีวิตสว่างธรรมญาณตนได้นั้นยากนัก พระพุทธะจี้กงและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ จึงได้โปรดตรัสยืนยันความสำคัญในการได้รับถ่ายทอดให้รู้จุดสถิตจิตเดิมแท้ธรรมญาณไว้ว่า " เจนจบหมื่นพันคัมภีร์ศาสตร์ มิอาจเทียบพระวิสุทธิอาจารย์ประทานเบิกจุด "



    [​IMG]



    <center>จาก ธรรมะมาเป็นศาสนา</center><center> </center><center></center><center></center>การดำริรู้ว่า “ เวลานี้ไม่ควรประกาศ ” จึงมิใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงตระหนัก พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ พระผู้เข้าถึงภาวะชีวิตสว่างอีกมากมายใน ทุกยุคทุกสมัยเรื่อยมา ก็ไม่เคยมีสักพระองค์เดียวที่ประกาศให้รู้ทั่วกันอย่างชัดเจน ได้แต่แสดงปริศนาธรรมไว้ให้ผู้ตั้งใจค้นหาจริง ๆ ได้ใช้ปัญญาพิจารณาจนกว่าจะรู้ในตนเองและเป็นในตนเอง

    แต่ด้วยความสงสารห่วงใย เกรงว่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายจะเบื่อหน่ายไปจากแนวทางค้นหา เกรงว่าผู้คนจะต่างไหลตามกระแสโลกีย์ทางโลกจนภาวะจิตเดิมแท้จะห่างไกลไปจากต้นธาตุต้นธรรมจุดกำเนิดเดิมของชีวิตสว่าง พระองค์ท่านจึงได้โปรดปูพื้นฐานศรัทธาความเชื่อไว้ให้เป็นบันไดแต่ละขั้น นั่นคือคำสอนของศาสนา

    เพราะศาสนา ..... เราจึงได้รับรู้เรื่องกฎแห่งกรรม
    เพราะศาสนา ..... เราจึงได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์นรก
    เพราะศาสนา ..... เราจึงได้รับรู้แนวทางการสร้างบุญทานบารมี
    เพราะศาสนา ..... เราจึงได้รับรู้การอุ้มชูจิตตนด้วยศีล สมาธิ ปัญญา จนกว่าจิตจะเข้าถึงภาวะชีวิตสว่างแห่งตน แต่เดิมที

    เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้บำเพ็ญจริงที่มุ่งมั่นค้นหาภาวะหลุดพ้น จึงยังคงต้องพากเพียรอุตสาหะ ค้นหาต้นธาตุต้นธรรมของตนต่อไป ธรรมปฏิบัติจึงเกิดขึ้นแตกต่างกันมากมายหลายร้อยหลายพันวิธี บางคนก็ออกป่าแสวงหาพระวิสุทธิ์อาจารย์ เพื่อหวังว่าจะได้รับการถ่ายทอดให้ แต่ส่วนใหญ่ก็ได้แต่ค้นหาจนกระทั่งตัวตาย ดั่งคำที่ว่า


    “ ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกเป็นรูยังไม่รู้อยู่ที่ใด ”

    “ ในโลกนี้มีศาสนามากมายหายหมื่นพัน
    สอนให้มั่นบำเพ็ญเป็นคนดีมีศีลสัตย์
    แต่ถึงแม้บุญทานจะเพียบพร้อมสารพัด
    ก็ยากจะรู้ชัดธาตุธรรมจำเดิมของตน ”




    [​IMG]



    <center>ใจคนหลงผิดจิตไม่กระจ่าง</center><center> </center><center></center><center></center>แท้จริงแล้ว เบื้องหลังของการ “ ไม่ควรประกาศ ” ที่ทุกพระองค์ทรงดำริรู้พ้องกันนั้น ล้วนเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมกาล เป็นไปตามกำหนดกาลอันควรที่ตรงต่อประกาศิตฟ้าหรือที่เรียกว่า เทียนมิ่ง พระโองการบัญชาจากพระแม่องค์ธรรม ทุกศาสนาล้วนมีศาสนิกผู้ศรัทธา คนเหล่านั้น พยายามจรรโลงคำสอนของพระศาสดาของตนเรื่อยมานับพันปี แต่คนที่จิตใจสงบเยือกเย็นและปฏิบัติบำเพ็ญเป็นหนึ่งเดียวตรงตามคำสอนอย่างแน่วแน่แท้จริงนั้นมีไม่มาก

    ฉะนั้นการจะรอเวลาให้รู้เองเป็นเองในพุทธภาวะของตนนั้นเห็นทีจะไม่มีทาง เพราะสิ่งแวดล้อมทุกอย่างของคนในยุคนี้ไม่อำนวยให้ ตรงกันข้าม สภาพการของชีวิตจิตใจมีแต่จะต้องทวีความเดือดร้อน สับสนวุ่นวายเผชิญกับความทุกข์ยาก วิบากภัยยิ่งขึ้นทุกวัน ความมืดของอวิชชาที่ครอบงำจิตใจมีอานุภาพยิ่งใหญ่นัก เหมือนกระแสน้ำที่มีแรงกำลังพัดพาสิ่งต่าง ๆ ลงสู่ที่ต่ำลงไปทุกที
    จิตประภัสสรของดวงธรรมญาณ ชีวิตสว่างจึงต่างมืดมัวลง

    บัดนี้เราจึงได้เห็นว่า คนส่วนมากต่างทุ่มเทชีวิต จิตใจ เพื่อการสร้างสรรค์ความสุขสบายให้แก่ชีวิตกายสังขารเฉพาะ หน้าจนกระทั่งละเลยไม่เห็นความสำคัญของชีวิตนิรันดร์ธรรมญาณตน ผู้คนพากันหลงแสง สี เสียง หลง ตำแหน่ง หลงอำนาจวาสนา หลงความฉาบฉวย หลงความสุขความยินดีเฉพาะหน้า คว้าอะไรได้ก็รีบคว้าไว้ ชิงอะไรได้ก็รีบชิงเอา ผู้คนหลงผิดจนอมฤตธรรมคำสอนของทุกศาสนาไม่สามารถฉุดยั้งจิตใจไว้ได้แล้ว จุดจบของชีวิตคนทั้งหลายจึงลงเอยกันที่อนิจจัง .......


    [​IMG]



    <center>กฎแห่งกรรมตามทำลาย</center><center> </center><center></center><center></center>คำขวัญสำหรับชีวิตของคนในยุคนี้ คือ ชีวิตคือการแข่งขัน ชีวิตคือการต่อสู้
    ผู้คนต่างเอาเป็นเอาตายขมักเขม้นแข่งขันต่อสู้กับคนที่ต้องเวียนว่ายเกิดตายไปด้วยกัน ผู้คนต่างเอาทิฐิและวิทยาการแผนใหม่มากลบเกลื่อนจิตสำนึกเรื่องบาปบุญ คุณโทษ หลับหูหลับตาสะบัดหน้าว่า ไม่มีนรกสวรรค์ ไม่มีกฎแห่งกรรม อยากอะไรต้องเอาให้ได้สมอยาก ทั้งเสพส้องสมสู่ รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องแลกด้วย เกียรติยศ ชื่อเสียง ชีวิต เลือดเนื้อ จะต้องแลกด้วยความทุกข์กาย ทุกข์ใจในวันต่อไปตามกฎแห่งกรรมก็ยอมแลก ยอมเสี่ยง ยอมทน เพื่อความพอใจแม้ชั่วขณะหนึ่ง

    ชีวิตทั้งหลายและทุกสิ่งทุกอย่างในโลกจึงกำลังจะถูก ทำลายทั้งหมดด้วยพลังใจหยาบ ของมนุษย์เองในไม่ช้านี้ ระเบิดนิวเคลียร์และแผนการทำลายล้างมวลมนุษย์ด้วยกันอย่างเลือดเย็น เตรียมการกันไว้เต็มที่เกือบทุกประเทศทั่วโลกและพร้อมที่จะทำลายล้างกันทันทีที่ต้องการ ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับเรื่องนี้คือ เราจะสังเกตเห็นว่าผู้นำหลาย ๆ ประเทศมีอารมณ์หุนหันพลันแล่นท้าทาย...

    วันใดที่มหันตภัยถล่มโลก สภาพหลังการตายที่น่าสยดสยองจากผลกรรมของมนุษย์เองเหล่านั้นล้วนเรียกว่า “ ผีตายโหง ” เมื่อเป็นเช่นนั้น มหาปณิธานของพระศรีอริยเมตตรัยในอันที่จะแปรเปลี่ยนโลกโลกีย์ให้เป็นดอกบัวบานในกาลอันใกล้นี้ก็จะเป็นจริงไปไม่ได้เพราะขาดผู้คนอันเป็นกุศลพันธุ์



    [​IMG]





    <center>ยุคสามกัปสุดท้าย</center><center> </center><center></center><center></center>บัดนี้ กาลเวลาของโลกได้ดำเนินมาจนถึงธรรมกาลยุคขาวอันเป็นกำหนดกาลสุดท้ายของโลกแล้ว พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่อาจทนดูความวิปริตฉิบหายของดวงธรรมญาณชีวิตสว่างทั้งหลายได้ ไม่อาจทนดู มหันตภัยทำลาย ล้างชีวิตน้อยใหญ่ให้ย่อยยับดับสูญลงอย่างน่าอนาถถึงปานนั้นได้ ดังนั้นก่อนที่จะสายเกินการ ทุกพระองค์จึงพร้อมกันกราบขอประทานพระมหากรุณาธิคุณ ฯ ขอพระแม่องค์ธรรมได้โปรดจำแนกแยกคนที่ยังมีความดี อยู่ให้แตกต่างจากคนเหลือขอที่ไม่อาจเก็บไว้เป็นกุศลพันธุ์ต่อไปให้ชัดเจน

    ขอพระแม่องค์ธรรมได้โปรดประทานหนทางรอดแก่ชีวิตจิตญาณทั้งหลายเหล่านั้น ขอพระองค์โปรดประทานอนุญาตให้ ประกาศเปิดเผยสัจธรรมความมีอยู่ความเป็นอยู่ของต้นธาตุต้นธรรมในกายสังขารของสาธุชนคนที่ยังมีความดีอยู่เหล่านั้นโดยทั่วกัน ด้วยพระโองการฟ้าประกาศิตของพระองค์ ขอให้พระวิสุทธิอาจารย์ผู้สว่างแท้ได้โปรดชี้ชัด ได้โปรดเปิดประตูที่สถิตชีวิตสว่างดวงธรรมญาณ โปรดประทานโอกาสสุดท้ายให้จิตญาณทั้งหลายที่ยังมิได้มืดบอดจากคุณงามความดีเสียทั้งหมด ให้ได้เจิดจรัสขึ้นในยุดสุดท้ายนี้ด้วยเถิด

    เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และไม่ใช่เรื่องที่น่าจะเป็นไปได้เลย เพราะแม้จะเป็นสาธุชนคนที่ยังมีความดีอยู่ในยุคนี้ แม้จะเป็นจิตญาณที่ยังไม่ได้มืดบอดจากคุณงามความดีเสียทั้งหมดก็ตาม... แต่ต่างก็ได้สั่งสมบาปเวรไว้ไม่น้อยแล้ว




    [​IMG]


    <center>วิถีอนุตตรธรรมปรกโปรด</center><center> </center><center></center><center></center>อนุตตรพระแม่องค์ธรรมทรงพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่ยิ่ง ปรารถนาให้ทุกชีวิตอยู่รอดปลอดภัย โดยเฉพาะบัดนี้ เป็นกำหนดกาลยุคขาว เป็นโอกาสสุดท้ายของพุทธบุตรทั้งหลายแล้ว พระแม่องค์ธรรมจึงมิอาจดูดายปล่อยให้ชีวิต สว่างทั้งหลายมืดบอดไปเสียทั้งหมด จึงได้โปรดประทาน อนุญาต ให้ประกาศเปิดเผยนั่นคือ ..... ***

    จุดเบิกชี้ชัดจุดสถิตชีวิตสว่างดวงธรรมญาณในสาธุชนคนดีให้รู้ที่สถิตชีวิตสว่างดวงธรรมญาณในตน หรืออีกนัยหนึ่ง คือ การเปิดประตูญาณทวารให้ชีวิตสว่าง ดวงธรรมญาณสำแดงคุณสมบัติพุทธภาวะจิตเดิมแท้ เหมือนจิตที่ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากความฝันฟุ้งซ่านโดยฉับพลัน จากนั้นจิตจะรู้ตัว จิตจะรวมตัว จิตจะเป็นตัวของตัวเองและในที่สุด จิตจะกลับคืนไปสู่อนุตตรภาวะอันสูงแต่เดิมที นั่นคือ การเข้าสู้วิถีแห่งจิต ที่สุดของที่สุด คือ เข้าสู่วิถีอนุตตรธรรม

    การนี้นับเป็นมหาบุญวาระอันสำคัญที่สุดครั้งแรกในประวัติการณ์ของมนุษยชาติ พระโองการฟ้าประกาศิต ได้โปรดฯ ประทานผ่อนผันบาปเวรของพุทธบุตรทั่วหน้า พระโองการฟ้าประกาศิต ได้โปรดฯ ประทานอนุญาตให้ ประกาศเปิดเผยจุดสถิตชีวิตธรรมญาณ ให้ทุกคนได้บำเพ็ญจิตโดยแท้ เพื่อการหลุดพ้นโดยตรง เพราะการนี้มีผลทำให้จิตสำนึกดีของผู้ได้รับจุดเบิกเกิดขึ้น ทันที จิตสำนึกดีของเขาเองได้กล่อมเกลาใจหยาบ ของเขาเอง ให้ประณีตขึ้นทันที ที่สุดคือ ให้จิตสำนึกดีของเขาได้ก้าวเข้าไปสู่วิถีอนุตตรธรรม หนทางหลุดพ้นอย่างแท้จริง



    [​IMG]


    <center>พระวิสุทธิอาจารย์</center><center>จากพระโองการฟ้าประกาศิต</center><center> </center><center></center>การนี้ พระแม่องค์ธรรมได้โปรดฯ มอบหมายให้พระพุทธจี้กง พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย รับสนองพระโองการฟ้าประกาศิตร่วมกันแบกรับพระภาระหน้าที่ พระวิสุทธิอาจารย์ พระวิสุทธิอาจารย์ทั้งสองพระองค์แห่งธรรมกาลยุคขาวนี้ได้โปรด:


    ทำหน้าที่จุดเบิก ชี้ชัดจุดสถิตชีวิตสว่างดวงธรรมญาณให้แก่พุทธบุตรสาธุชนคนดี

    ทำหน้าที่ชี้ชัดเชื่อมโยงสายทองธรรมญาณระหว่างพุทธบุตรสาธุชนคนดีกับพระแม่องค์ธรรม

    • ทำหน้าที่สั่งสอนกล่อมเกลาผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วให้เข้าใจในสัจธรรมทุกวาระทุกขณะทุกโอกาส

    • ทำหน้าที่เชื้อเชิญพระพุทธะ, พระโพธิสัตว์, จอมเซียนผู้เป็นใหญ่, เทพพรหมองค์อินทร์, ทิพยกุมาร ทิพยกุมารี ทั้งหลาย ได้โปรดมาคุ้มครองรักษาและช่วยส่งเสริมผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วให้เกิดจิตศรัทธาปฎิบัติบำเพ็ญ

    • ทำหน้าที่ดลจิตดลใจประคองรักษา สอดส่องดูแลพุทธบุตร สาธุชนคนดีที่ได้รับวิถีธรรมแล้วให้ดำเนินชีวิตอยู่ในทำนองคลองธรรม

    • ทำหน้าที่ปะสานบุญสัมพันธ์ให้ผู้ได้รับวิถีธรรมแล้ว ได้สบโอกาสนำพาสาธุชนคนดีมารับวิถีธรรมอันเป็นการสร้างบุญทานบารมีอย่างวิเศษสุด

    • ทำหน้าที่เจรจาต่อรองลอมชอมกับเจ้ากรรมนายเวรของผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วให้ผ่อนหนักเป็นเบา ให้เขาอโหสิกรรม ให้เขาร่วมช่วยงานธรรมอยู่เบื้องหลัง

    • ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง ระหว่างผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วกับเจ้ากรรมนายเวร ให้ผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วอาศัยบุญบารมีวิเศษสุดครั้งนี้ชำระหนี้อย่างหมดสิ้นต่อกัน

    • ทำหน้าที่คอยสอดส่องปกป้องผองภัยแก่ผู้ได้รับวิถีธรรมแล้ว เพื่อชีวิตจะได้มีโอกาสในการปฏิบัติบำเพ็ญต่อไป

    • ทำหน้าที่ดูแลปู่ย่าตาทวด ฯลฯ และลูกหลาน เหลน โหลน ฯลฯ ของผู้ได้รับวิถีธรรมแล้ว ให้ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากผู้ปฏิบัติบำเพ็ญผู้นั้นโดยทั่วหน้ากัน

    • ทำหน้าที่ไถ่โทษไถ่บาปกรรมขอพระแม่องค์ธรรมได้ โปรดนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ได้รับวิถีธรรมที่พลั้งเผลอผิดพลาดไป

    • ทำหน้าที่ตามหาผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วที่หลงหายไปจากการปฏิบัติบำเพ็ญ

    • ทำหน้าที่ตามหาวิญญาณของผู้ได้รับวิถีธรรมที่ต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสีเนื่องจากผิดต่อธรรมบัญญัติอย่างยิ่ง จนไม่อาจกลับไปยังพุทธาลัยได้

    • ทำหน้าที่ปรกโปรดสามโลกให้ เทพเทวา ผู้คนวิญญาณ ได้รับวิถีธรรมบำเพ็ญให้สำเร็จไปด้วยกัน เรียกว่า การ โปรดสามโลกฯลฯ
    ภาระหน้าที่โปรดสามโลกครั้งนี้พระองค์ทรงรับงานหนักมากทั้งโดยตรงและโดยอ้อม




    ที่มา
    http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=145&page=19
     
  2. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>ตะวันเดือนร่วมส่องสว่างกลางใจ</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER>เหตุใดพระภาระศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่นี้จึงต้องตกอยู่กับพระพุทธะจี้กงและพระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย พึงรู้ว่าพระโองการฟ้าประกาศิตโปรดกำหนดมอบหมายการใด ๆ ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันสมควรซึ่งปุถุชนอย่างเราไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด เพียงแต่พิจารณาจากเหตุผลที่เห็นได้ชัดเจนคือ ก่อนอุบัติมาใหม่ในพระภาค พระพุทธะจี้กง พระองค์ คือ “ พระมหาพรหมราชเจ้าวิเสสสัทธธรรมญาณ หลิงเมี่ยว เทียนจุน ” หมายถึง พระมหาพรหมราชเจ้า ผู้สูงส่งด้วยพุทธญาณอันวิเศษสุด

    ในครั้งบรรพกาล พระสัญลักษณ์เดิมทีของพระองค์ คือ “ หั่วจิงจื่อ ” ธาตุไฟอันเจิดจรัสชัชวาลประมาณได้ดังดวงอาทิตย์ พระนามว่าจี้กงมีความหมายว่า พระผู้สงเคราะห์เกื้อกูลทั่วหน้า หรือในความหมายว่า “ มหาโพธิสัตว์ ” ปฏิปทาของพระองค์ในครั้งทรงพระชนม์ชีพอยู่เป็นที่เทิดทูนบูชาหาที่เปรียบมิได้ ในครั้งนั้นพระพุทธจี้กงซึ่งทรงพระภาระพระโพธิสัตว์อยู่ ได้โปรดท่องเที่ยวไปสงเคราะห์ฉุดช่วยผู้ได้รับทุกข์ภัย นับไม่ถ้วนจนเป็นที่แซ่ซ้องสาธุการ เป็นที่เคารพบูชามาจนทุกวันนี้

    พระองค์ทรงรู้ชัดว่ามนุษย์นั้นมีภัยอันใหญ่หลวงอยู่รอบตัวทุกขณะเวลา
    ด้วยพระมหากรุณาเอื้ออาทรเป็นล้นพ้นจนพระองค์ต้องตั้งปณิธานใหญ่ว่า
    “ สำหรับในชั้นโลกุตตรเหนือโลก หรือที่เรียกว่า อนุตตรภาวะ คือ การเข้าถึงจิตเดิมแท้ธรรมญาณเพื่อการหลุดพ้นนั้น จะโปรดฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ให้กลับคืนสู่ต้นธาตุต้นธรรมรากฐานเดิม ” ซึ่งบัดนี้พระองค์ก็ได้สนองรับพระโองการฟ้าประกาศิตรับพระภาระหน้าที่สูงส่งนั้นตรงตามมหาปณิธานที่เคยตั้งไว้

    พระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย ตามความหมายของพระนาม คือ “จันทรปัญญา” พระสัญลักษณ์เดิมทีของพระองค์ในครั้ง บรรพกาล คือ “สุ่ยจิงจื่อ” ธาตุน้ำ อันชุ่มชื่นเยือกเย็น ปรากฏให้เห็นเช่นจันทรา แจ่มกระจ่างสว่างใสในเวลากลางคืน ให้ความหมายของการแฝงพระองค์ไว้ในบางโอกาสอันควร และสำรวมระวังอย่างสุขุมงดงามเมื่อปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เป็นอุทาหรณ์ของจริยลักษณ์อันสูงส่งที่ผู้บำเพ็ญพึงสังวรณ์และเจริญรอยตาม

    พระพุทธะจี้กงสูงส่งด้วยพุทธญาณอันวิเศษสุดดั่งดวงตะวัน อักษรจีน เรียกว่า เอวี้ย อักษรจีน ยื่อ และ เอวี้ย รวมกันเป็นอักษร หมิง แปลว่า สว่างใส ในยุคปัจจุบันที่มีความมืดของอวิชชาตัณหาราคะเข้าครอบงำจิตใจของคนทั้งหลายทั่วไป พุทธญาณแต่เดิมมา หรือดวงปัญญาแจ่มกระจ่าง ต่างมืดมัวลง พระวิสุทธิอาจารย์ทั้งสองพระองค์ จึงต้องสนองรับพระโองการฟ้าประกาศิต ส่องแสงสว่างใสให้แก่จิตใจของคนทั้งหลายอย่างใกล้ชิด ในบุญวาระพิเศษนี้ เราจึงมีพระวิสุทธิอาจารย์ถึงสองพระองค์ทรงอุ้มชูดูแลอยู่ทุกขณะ

    พระองค์หนึ่งประทานพลังชีวิตดั่งแสงอาทิตย์อันอบอุ่น เป็นพลานุภาพอันเจิดจ้าที่จะนำพาตนและคนทั้งหลายให้พ้นความมืดได้

    พระองค์หนึ่งประทานความสุขุมคัมภีรภาพดังแสงจันทร์ อันอ่อนโยน เป็นบุญญานุภาพอันงดงามที่จะนำพาตนและคนทั้งหลายให้เข้าถึงธาตุแท้ธรรมญาณได้

    ดังนี้ผู้ศรัทธาจริงใจ จึงซึมซาบและเข้าถึงพระองค์กันได้ทั่วหน้า


    [​IMG]

    <CENTER>พุทธรัศมีฉาบฉายไปทั่ว</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER>พุทธานุภาพอันวิเศษล้ำลึกของทั้งสองพระองค์จึงซึมซาบอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของผู้ที่ได้รับวิถีธรรมแล้วกับคนรอบข้าง โดยเริ่มจากอาณาจักรธรรมไปสู่ครอบครัว จากครอบครัวไปสู่สังคม จากสังคมไปสู่ประเทศชาติ และกระจายทั่วไปในโลกกว้าง และนั่นคือ โลกเอกภาพอันสันติสุขอย่างแท้จริง

    กาลนี้ เมื่อเป็นพระโองการฟ้าประกาศิต พระพุทธะ พระโพธิสัตว์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ทั่วทุกสากลโลกจึงร่วมกันจรรโลงส่งเสริมนำพาสาธุชนมารับวิถีธรรมอีกทั้งเป็นบุญวาระที่พระองค์จะได้เสริมสร้างบารมีกันเป็นการใหญ่
    พระองค์จึงต่างแสดงบุญญาธิการ ด้วยการปรากฏพระองค์มาชี้นำทั้งในความฝันและในขณะที่ลืมตามองเห็นกัน พระองค์จึงประสานโอกาสให้ผู้มีบุญสัมพันธ์ต่อกันได้มาพบปะนำพากันหรือด้วยการดลจิตดลใจให้สาธุชนได้มาพบพุทธสถานและใคร่จะขอรับวิถีธรรมเอง เป็นต้น

    ด้วยเหตุนี้ ผู้มีโอกาสได้รับวิถีธรรมจึงตามติดกันมาไม่ขาดสาย จึงกล่าวได้ว่า ผู้ได้รับวิถีธรรมเป็นผู้ที่เคยมีบุญสัมพันธ์กับพระพุทธะ มีบุญสัมพันธ์กับพระโพธิสัตว์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์ใดมาก่อน งานนี้จึงไม่ใช่ความสามารถ หรืออิทธิพลของใครจะยับยั้งหรือบงการให้เป็นไปได้เลย พระพุทธะจี้กง และพระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย ทรงพระมหากรุณาเป็นล้นพ้น มหาปณิธานของทั้งสองพระองค์ในครั้งนี้ คือ ช่วยพระศรีอริยเมตตรัยแปรเปลี่ยนโลกโลกีย์ให้เป็นวิสุทธิแดนดิน ช่วยนำพาพุทธบุตรหญิงชายให้กลับคืนไปสู่พระแม่องค์ธรรม

    การนี้เป็นเรื่องยากยิ่ง เป็นภาระหนักหนา ซึ่งจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคจากผู้คนที่หลงอวิชชา อุปสรรคจากผู้คนที่มีมิจฉาทิฐิ อุปสรรคจากผู้คนที่ยึดติดจริตวิสัยความเคยชินทางโลกไว้อย่างเหนียวแน่นมากมายนานัปการ พระภาระศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองพระองค์จึงหนักหนาและต้องใช้เวลามากจริง ๆ


    [​IMG]

    <CENTER>พระธรรมจารย์ พระธรรมจาริณี </CENTER><CENTER>สนองพระโองการ</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER>หลังจากทิ้งกายสังขารบรรลุไปในสมัยราชวงศ์ซ้องแล้ว พระวิสุทธิอาจารย์จี้กงของเราจึงได้อุบัติมาใหม่ ในสมัยราชวงศ์ชิง เพื่อเจริญมหาปณิธานสืบสานงานปรกโปรดสามโลกต่อไป ในพระภาคพระธรรมจารย์ “ กงฉัง ” คู่กับพระโพธิสัตว์ เอวี้ยฮุ่ยในพระภาคพระธรรมจาริณี “ จื่อซี่ ” สนองพระโองการฟ้าแบกรับพระภาระหน้าที่พระวิสุทธิอาจารย์ จนกระทั่งบรรลุมรรคผลอีกครั้งหนึ่งในพระชาติปัจจุบัน ด้วยพระอริยฐานะ พระพุทธบรรพจารย์เทียนหยานและพระอริยมาตา จงฮว๋า

    พระภาคจากพระพุทธจี้กง คือ พระธรรมาจารย์ กงฉัง หรือที่สาธุชนเทิดพระคุณว่า ซือจุน พระภาคจากพระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย คือ พระธรรมจาริณี จื่อซี่ หรือที่สาธุชนเทิดพระคุณว่า ซือหมู่ นั้น ทั้งสองพระองค์ทรงสืบสานงานปรกโปรดสามโลกจนวาระสุดท้ายทิ้งพระสรีระกายสังขาร แม้ทั้งสองพระภาคเป็นสี่พระองค์จะทรงปรกโปรดเต็มที่ แต่คนบุญที่ยังหลงผิดอยู่ในชาตินี้ก็ยังเหลืออยู่อีกมากมาย ที่ไม่ได้รับวิถีธรรม เทพเทวาและวิญญาณที่น่าจะมีโอกาสอีกมากมายก็เช่นกัน

    ด้วยความห่วงใยเสียดายทุกชีวิตจิตญาณ ทั้งสองพระองค์จึงกราบขอประทานพระมหากรุณาธิคุณฯ พระแม่องค์ ธรรมได้โปรดประทานอนุญาตประสิทธิ์ประสาท พระโองการฟ้าประกาศิต (เทียนมิ่ง) มอบหมายภาระศักดิ์สิทธิ์ ให้นักธรรมผู้สูงส่งด้วยคุณธรรมบารมี ทำหน้าที่เป็นร่างแทนพระวิสุทธิอาจารย์ เรียกว่า อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม (เตี่ยน ฉวนซือ) ทำการถ่ายทอดวิถีธรรมสืบต่อไปอย่าได้ขาดสายจนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายที่ไม่อาจถ่ายทอดได้อีก ........


    [​IMG]

    <CENTER>สืบทอดพระโองการฟ้าประกาศิต</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER>การนี้ ทิพยญาณของพระธรรมจารย์พระธรรมจาริณีจะทรงอาศัยใช้ร่างของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทำหน้าที่สนองพระโองการฟ้าประกาศิตต่อไป ฉะนั้น สาธุชน เทพเทวา หรือวิญญาณบุญที่ได้รับ วิถีธรรม จึงล้วนแต่ได้รับจากพระวิสุทธิอาจารย์พระองค์เดียวกัน มิใช่ได้รับจากบุคคลแตกต่างกันออกไป ทุกคนจึงเป็นศิษย์ของพระพุทธะจี้กงหรือซือจุน (พระธรรมจารย์) เป็นศิษย์ของพระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย (จันทรปัญญา) หรือซือหมู่ (พระธรรมจาริณี) พระองค์เดียวกัน

    เป็นชีพจรสืบสายพงศาธรรมเดียวกันมาตั้งแต่พระอริยเจ้าฝูซี จนถึงบัดนี้เป็นเวลากว่าห้าพันปี พิธีการถ่ายทอดวิถีธรรมจึงดำเนินไปภายใต้บรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์วิเศษยิ่ง

    - ไม่มีอำนาจไสยศาสตร์ลี้ลับ
    - ไม่มีเวทมนต์คาถาอาคมของขลัง
    - ไม่มีบุคคลเป็นนายอยู่เบื้องหลังเบื้องหน้า
    - มีแต่พุทธานุภาพจากมหากรุณาธิคุณของพระแม่องค์ธรรมของพระวิสุทธิอาจารย์ พระพุทธะ พระโพธิสัตว์มากมาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มีแต่พุทธานุภาพจากจิตใจใสสะอาดของนักธรรมรุ่นพี่ที่ปรารถนาดี อยากให้ใคร ๆ ได้ขึ้นฝั่งธรรม


    [​IMG]

    <CENTER>พิธีถ่ายทอดวิถีธรรมอันศักดิ์สิทธิ์</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER>หลังจากพิธีถวายผลไม้อย่างสง่างามสำรวม อันเป็นการแสดงความเคารพบุชา สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณจากพระแม่องค์ธรรมเป็นล้นพ้นแล้ว อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมพร้อมด้วยเหล่านักธรรม จึงร่วมกันกราบอาราธนาหมื่นพันพระพุทธะพระโพธิสัตว์ กราบอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกฝ่ายในสากลโลกได้โปรดเสด็จมาสาธุการ ได้โปรดเสด็จมาปกป้องผองภัย เพื่อให้ชั่วขณะเวลาอันสำคัญยิ่งในชีวิตของผู้ขอรับวิถีธรรมดำเนินไปอย่างราบรื่นเรียบร้อย อย่าได้มีเจ้ากรรมนายเวรใด ๆ มาแผ้วพานขัดขวาง

    ต่อจากนั้นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมจะอ่านถวายใบคำขอประทานอนุญาตถวายรายชื่อผู้จะรับวิถีธรรม ซึ่งในใบคำขอนั้นจะต้องจารึก วันเดือนปี เวลานาที สถานที่ จารึกชื่อสกุลของผู้นำพารับรอง และจารึกชื่อแซ่สกุลของผู้ขอรับวิถีธรรมซึ่งได้รับการนำพารับรองให้ได้เข้ามาขอรับวิถีธรรมอย่างชัดเจนถูกต้อง
    สุดท้ายคือจารึกพระนามพระวิสุทธิอาจารย์ทั้งสองพระองค์

    ซึ่งตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พระองค์คือ พระวิสุทธิอาจารย์ผู้อุ้มชูดูแลชีวิตจิตญาณของเรา ในใบคำขอนั้นยังจารึกข้อความสำคัญยิ่งนักคือ พระวิสุทธิอาจารย์ทั้งสองพระองค์ ยินดีรับรองว่าผู้เข้าขอรับวิถีธรรมนี้ จะเป็นผู้รู้ผู้ตื่นจากความลุ่มหลงในโลกีย์วิสัย ขอพระแม่องค์ธรรมได้โปรดประทานหนทางสว่าง เพื่อเขาจะได้กลับคืนเบื้องบนไปตามบุญกุศลที่เขาจะได้ปฏิบัติบำเพ็ญต่อจากนี้ด้วยเถิด


    <CENTER> </CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>พระอาจารย์ชั่วชีวิต</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER>การนี้ ถ้าแม้พระวิสุทธิอาจารย์ทั้งสองพระองค์ไม่ทรงโปรดกรุณารับรอง โลกีย์ชนผู้มีบาปล้นท้นตัวทั้งหลาย จะเอาคุณสมบัติอะไรมาขอถวายชื่อไว้ยังเบื้องบน ถ้าแม้ทั้งสองพระแม่ ไม่ทรงโปรดกรุณาถ่ายทอดวิถีธรรมให้ โลกีย์ชนผู้มากด้วยกิเลสตัณหาทั้งหลายจะเอาคุณสมบัติอะไรมารับรู้จุดสถิตดวงธรรมญาณ ชีวิตสว่างอันเป็นต้นธาตุต้นธรรมของตน อันเป็นจุดหลุดพ้นในการบำเพ็ญของตน

    โลกีย์ชนทั้งหลายจะเอาคุณสมบัติอะไร มาขอต่อรองผ่อนผันกับเจ้าหนี้นายเวรที่จ้องจะขัดขวางการบำเพ็ญและจ้องจะล้างแค้นทำร้ายเราอยู่ทุกขณะเวลา โลกีย์ชนทั้งหลายจะเอาคุณสมบัติอะไรมาประคองรักษาตนจนบำเพ็ญให้สำเร็จได้ ฯลฯ พระวิสุทธิอาจารย์ของเราได้โปรดเสมอว่า

    “ เมื่อเป็นพระอาจารย์ของเจ้าวันใด ก็จะต้องเป็นพ่อตลอดไปชั่วชีวิต ”

    พระมหากรุณาธิคุณนี้ เราจะเอาอะไรมาตอบแทนพระองค์ได้ ความสนิทชิดเชื้อเอื้ออาทรอันวิเศษยิ่งจากพระอาจารย์ได้ก่อเกิดความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยให้แก่ศิษย์ พุทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ไม่เคยห่างไกลไปจากศิษย์ได้ก่อเกิดความมุ่งมั่นหาญกล้า ก่อเกิดจิตสำนึกดีมีความรักกรุณายิ่งใหญ่ให้แก่ศิษย์ ศิษย์ที่มีความศรัทธาจริงใจต่างรู้ชัดสัมผัสได้ จึงต่างได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ จึงต่างตั้งใจเจริญปณิธานความดีกันเต็มที่ มุ่งมั่นปฏิบัติบำเพ็ญกันเรื่อยไปจนกว่าจะบรรลุ



    <CENTER>วิถีธรรมจริง หลักสัจธรรมจริง </CENTER><CENTER>พระโองการฟ้าประกาศิตจริง</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER>ด้วยพระมหากรุณาธิคุณนี้ ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งร้อยปีที่วิถีอนุตตรธรรม ได้โปรดถ่ายทอดครั้งใหญ่ ผู้บำเพ็ญดีจึงต่างสำเร็จเป็นเซียนเป็นพระอริยะเป็นพระโพธิสัตว์ไปแล้วนับร้อยนับพัน บุญวาระนี้ ผู้ที่มีความสำคัญยิ่งต่อชีวิตของผู้รับวิถีธรรมอีกสองคนคือ ผู้นำพา – รับรอง (อิ๋นเป่าซือ) ผู้นำพาใครให้ได้รับวิถีธรรม คือ ผู้ปรารถนาดีอยากให้เขามีชีวิตสว่างรู้หนทางธรรม ส่วนผู้ทำหน้าที่รับรอง คือ ผู้ที่ได้รับวิถีธรรมมาก่อนและได้รู้ชัดแล้วว่าวิถีอนุตตรธรรมที่เบื้องบนได้โปรดถ่ายทอดเป็นการเฉพาะในครั้งนี้เป็นวิถีธรรมจริง เป็นสัจธรรมจริง และเป็นพระโองการฟ้าประกาศิตจริง

    ทั้งผู้นำพาและผู้รับรองต่างยินดีใช้ชีวิตของตนมายืนยันรับรองว่าหากนำเขาผู้ใดหลงผิดไปในมิจฉาศาสตร์ ลัทธิมาร หรือหวังหลอกลวงเงินทอง ผู้นำพารับรองทั้งสองยินดีรับโทษจากฟ้า หากผู้นำพารับรองไม่เข้าใจ ไม่รู้ชัด ไม่เคยสัมผัสได้ในคุณวิเศษแห่งวิถีธรรม ใครเลยจะยินดีทุ่มเทชีวิตจิตใจให้ใคร ๆ ได้ถึงเพียงนี้

    สำหรับผู้เข้าขอรับวิถีธรรมเองก็จะต้องแสดงความจริงใจว่าตนมิใช่คนชั่วช้าสามานย์และยินดีจะปรับปรุงแก้ไขความผิดพลาดของตนที่แล้วมาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกทั้งยินดีเจริญปณิธานเพื่อชีวิตสว่าง เพื่อหนทางหลุดพ้นของตนต่อไป


    [​IMG]

    <CENTER>หนึ่งนิ้วจุดเบิกจากพระวิสุทธิอาจารย์</CENTER><CENTER>สะเทือนเลือนลั่น</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER>จากนั้น พระวิสุทธิญาณของพระธรรมจารย์ในร่างของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมก็โปรดประทานไตรรัตน์.....(ศึกษารายละเอียดไดด้จากหนังสือไตรรัตน์ขั้นพื้นฐาน หนังสือไตรรัตน์ เล่มที่ 1 และหนังสือหนทางเบื้องต้นสู่สัมมาปัญญา) ณ บัดนั้นเอง จุดสถิตชีวิตธรรมญาณที่ผู้บำเพ็ญจริงต่างเพียรหากันมาตั้งแต่โบราณกาล สาธุชนคนบุญในบุญวาระนี้ จึงต่างน้อมรับกันได้ในฉับพลันจากลัดนิ้วมือเดียวของพระวิสุทธิอาจารย์ ลัดนิ้วมือเดียวจากพระอาจารย์ขณะนั้นสะเทือนสะท้านไปถึงสามโลก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวาพากันสาธุการ ญาติธรรมน้อยใหญ่ต่างอนุโมทนายินดีด้วย วิญญาณบรรรพบุรุษของผู้ได้รับวิถีธรรมต่างปลื้มปีติตื้นตันที่ได้อาศัยใบบุญ

    แต่ในขณะเดียวกัน ในอีกมิติหนึ่ง วิญญาณเจ้าหนี้นายเวรของผู้ขอรับวิถีธรรมต่างเรียกร้องขอความเป็นธรรมกันจ้าละหวั่นสะเทือนเลือนลั่น ทิพย์ญาณของพระอาจารย์ จะต้องต่อรองร้องขอเขาหนักตั้งแต่บัดนั้น เพื่อชลอการทวงถามขอเวลาให้ศิษย์ทั้งหลาย ได้มีโอกาสปฏิบัติบำเพ็ญสร้างบุญกุศลอุทิศไปให้
    หรือขอต่อรองผ่อนหนักเป็นเบาหรือขอให้อโหสิกรรมเลิกแล้วต่อกัน
    การต่อรองร้องขอกับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหมดนั้น พระอาจารย์ฝากความหวังไว้กับการที่ผู้เข้าขอรับวิถีธรรมจะเป็น ผู้รู้ผู้ตื่นจากความลุ่มหลงในโลกีย์วิสัย ให้ได้จริง ๆ ต่อไปอย่างที่พระองค์ได้โปรดรับรองไว้ก่อนแล้วนั้น


    [​IMG]

    <CENTER>เปิดประตูปัญญา</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER>ในขณะถ่ายทอดจุดสถิตชีวิตธรรมญาณให้แก่เพศชาย พระอาจารย์จึงโปรดประทานธรรมประกาศิตว่า “หนึ่งนิ้วตรงกลางปัญญา หมื่นแปดร้อยปีโลกีย์หลุดพ้น” (อี้จื่อจงเอียงฮุ่ย วั่นปาเต๋อเชาหยัน) พระอาจารย์โปรดแสดงธรรมประกาศิตขอให้เพศชายได้เข้าสู่ภาวะของปัญญาญาณอันสูงส่งล้ำเลิศประเสริฐยิ่งในตนทันที ขอให้เกิดสติปัญญายับยั้งชั่งใจ อย่าได้ทะนงหลงผิดอีก ทั้งขอให้ได้เจริญดวงธรรมปัญญาพาจิตให้หลุดพ้นให้ได้ เพราะการบำเพ็ญครั้งนี้ ผลสำเร็จคือ จะได้เสวยสุขพ้นโลกีย์วิสัย มิต้องเวียนเกิดเวียนตายรับทุกข์ต่อไปถึงหนึ่งหมื่นแปดร้อยปีทีเดียว

    ในขณะถ่ายทอดจุดสถิตชีวิตธรรมญาณให้แก่เพศหญิงพระอาจารย์ได้โปรดประทานธรรมประกาศิตว่า “ กลางดงไผ่ได้หนึ่งจุด รู้หลักชีวิตตนพ้นภัย ” “ หลิวจงโซ่ว อี้เตี่ยน จือจู่เป่า อู๋เอี้ยง ” พระอาจารย์ขอให้เพศหญิงรู้หลักชีวิตจริงให้เข้าถึงธาตุแท้ธรรมญาณตนให้มั่นคงโดยไว อย่าได้มีอารมณ์อ่อนไหวเหมือนไผ่ลู่ลม เมื่อบำเพ็ญจนรู้ธาตุแท้ธรรมญาณอันเป็นหลักชีวิตของตนแล้วจนสุขุมมั่นคง ก็จะสามารถนำจิตตนไปสู่หนทางตรงไม่สับสนวุ่นวายและในที่สุดจิตก็จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป

    ธรรมประกาศิตคำว่า “ ตรงกลางปัญญาณ ” สำหรับเพศชาย และ “ กลางดงไผ่......รู้หลักชีวิต ” สำหรับเพศหญิง ล้วนหมายถึงจุดพุทธจิตธรรมญาณ คือชีวิตสว่างแต่เดิมทีที่สถิตอยู่ ณ จุดนี้ ซึ่งขณะถ่ายทอดนั้นทิพยญาณของพระพุทธะจี้กงได้ใช้นิ้วกลางของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมปรากฏให้เห็น เป็นรูปธรรมแทนกุญแจทองของเบื้องบน เปิดประตูจิตญาณทวารให้เช่นเดียวกัน



    <CENTER>เช้าได้รับวิถีธรรม เย็นตายไปไม่ห่วงเลย</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER>เมื่อชีวิตสว่างแต่เดิมทีมีโอกาสได้ฟื้นฟูและมีหนทางกลับคืนไปสู่สภาวะเดิมทีได้ การนี้จึงได้ชื่อว่า “ ได้รับวิถีธรรม ” เมื่อจิตสำรวมบำเพ็ญอยู่ในวิถีธรรมเรื่อยไป จนในที่สุดจิตกลับคืนไปสู่สุญตาภาวะหรืออนุตตรภาวะ การได้รับวิถีธรรมจึงได้ชื่อว่า ได้รับ อนุตตรวิถี กลับคืนไปสู่ต้นกำเนิดดั้งเดิมแท้ที่มาของธรรมญาณ

    ฉะนั้น สำหรับผู้บำเพ็ญดีที่สูงส่งด้วยศีล, สมาธิ, ปัญญามาแล้ว ขณะได้รับถ่ายทอดวิถีธรรม ทันทีที่พุทธจิตเข้าสู่แระแสธรรมตรงต่ออนุตตรพระแม่องค์ธรรม บางคนจิตจะสว่างวาบฉันพลันจะบังเกิดความรู้สึกเยือกเย็นเห็นสิ่งรอบตัวสบายตา แล้วจึงตามมาด้วยความรู้สึกปีติตื้นตันท่วมท้นรู้ชัดต่อสัจธรรมที่ได้รับทันที คนระดับนี้มิต้องรอให้อธิบายก็รู้ได้ในธาตุแท้ธรรมญาณของตนเองทันที

    ผู้มีศีล, สมาธิ, ปัญญา อีกระดับหนึ่งรองลงมา การได้รับวิถีธรรมเหมือนได้จุดเพลิงไฟของชีวิตจิตญาณให้เจิดจรัสในบัดดล เมื่อได้สัมผัสรับรู้ว่าธาตุแท้ธรรมญาณของตนดีงามสูงส่งถึงปานนั้นก็จะบังเกิดปณิธาน เกิดความตั้งใจอยากจะประคองพาจิตญาณของตนให้พ้นผิด พ้นภัย พ้นเวียนว่ายในวัฏสงสารให้ได้

    สำหรับสาธุชนคนดี พอได้รับวิถีธรรม จิตก็เบิกบานแจ่มใส บ้างยินดี บ้างปลื้มใจ บ้างอยากช่วยใคร ๆ ให้ได้รับวิถีธรรมด้วยโดยเร็ว

    ส่วนคนทั่ว ๆ ไป ซึ่งอาจหลงผิดติดเหล้าติดยาติดอบายมุข..... เมื่อได้รับวิถีธรรม ก็จะบังเกิดความละอายอยากกลับตัว เปลี่ยนแปลงแก้ไข

    ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน เมื่อท่านจอมปราชญ์ขงจื้อได้รู้ชัดในธาตุแท้ธรรมญาณของพระองค์เองแล้วจึงได้อุทานว่า

    “ เช้าได้รับวิถีธรรม ตกเย็นจะตายไม่ห่วงเลย ”
     
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อย่างไรแล้ว ก็ขอให้รอบคอบ ศึกษาธรรมควรมีควรพิจารณาไตร่ตรอง
    ให้ถี่ถ้วน อย่าได้คิดไปเอง อย่างกรณี ของการจี้จุด โดยการตบหน้าพาก
    หรือ การเคาะศรีษะนั้น ต้องระมัดระวัง ในทางการแพทย์ เด็กที่พึ่งคลอด
    ถ้าเราไปเคาะกระโหลกศรีษะเขา หรือ เขย่าตัวเขา เส้นเลือดที่เกาะเยื่อบุใน
    กระโหลกของเด็กจะหลุดออก เมื่อไม่สามารถเกาะพนังได้ ก็จะทำให้ช้ำบวม
    และตกเลือด สามารถตายได้ภายใน 5 วินาทีเท่านั้น

    กรณีของผู้ใหญ่ผู้เฒ่าผู้แก่ เยื่อบุสมองที่เป็นที่เกาะของเส้นเลือดก็อ่อนแอลง
    เหมือนกับวัยเด็ก ถ้าได้รับการกระทบกระเทือน เส้นเลือดอาจจะไม่แตกเหมืน
    กรณีของเด็ก เพราะพนังเส้นเลือดหนากว่า แต่การบวมช้ำจะมี หรือเกิดขึ้นได้
    เมื่ออาการบวมช้ำไปกดไขสมอง ก็จะทำให้เป็นเจ้าชายนิทรา ถ้าการช้ำเกิด
    ขณะที่กำลังเข้าฌาณปฏิบัติธรรม โดนกระแทกศรีษะเพื่อหวังให้ทะลุจุด กว่า
    จะไหวตัวทัน ก็ถลำเข้าสู่ภวังคจิต หรืออาจจะขั้นฌาณที่ลมหายใจแผ่วเบา
    ระหว่างนั้น เส้นเลือดก็บวมไปด้วย จนกระทั่งได้เวลา ก็กดทับไขสมองไม่อาจ
    ฝื้นคืนสติขึ้นมา ก็เป็นได้
     
  4. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    ขอโทษนะครับผมสงสัย ขอถามได้มั้ยครับ ว่า พระอริยเจ้าเหลาจื้อ กับ ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อ เกิดก่อนพระพุทธเจ้าหรือ พระพุทธเจ้าเกิดก่อน แล้ว ใครตรัสรู้ ก่อนครับ ผมงงครับ แล้วที่ว่า เมื่อมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้เกิดขึ้นในโลกแล้วเมื่อศาสนาของพระองคืยังดำรงอยู่ ก็จะไม่มีพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้าเกิดขึ้น นอกจาก สิ้นพระศาสนาของพระพุทธเจ้าไปแล้วถึงจะมี พระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้าได้เรื่องนี้มันยังไงครับช่วยอธิบายทีครับ งง แล้ว พระอริยเจ้าเหลาจื้อ ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อ เป็นปราชญ์ศาสนาพุทธมั้ยครับ อยากรู้ ช่วยตอบทีนะครับ
     
  5. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    ตถาคต เป็นสัพพัญญู รู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่มีผู้ใดเป็นครูสอน



    ไม่มีใครชี้จุดญานทวารให้พระพุทธองค์หรอกครับ พระองค์บรรลุด้วยบารมีของพระองค์เอง


    เราเป็นสาวก รู้ตามพระองค์ท่าน เป็นอนุพุทธะ คือผู้รู้ตาม ต้องปฏิบัติตามท่าน


    หลักธรรมของลัทธิอนุตรธรรมผิด ไม่เป็นไปเพื่อวิชชา ไม่เป็นไปเพื่อรู้ แต่เป็นไปเพื่อหลง
    ศาสนาของพระพุทธองค์ กำลังจะหมดความหมายในบุคคลบางพวก ที่หวังจะสร้าง สัทธรรมปฏิรูป มาให้คนหลงจากพุทธศาสนา ทำให้หลักธรรม ของพระพุทธองค์ถูกค้าน สร้างหลักธรรมจอมปลอมขึ้นมา เพื่อให้คนหลง


    ลัทธินี้ เอาหลักธรรมของพระพุทธองค์มาพูดแบบหลักลอย อ้างคัมภีร์นั่น คัมภีร์นี่ แล้วแสดงอรรถาธิบายสนับสนุนความคิดของพวกตน ส่วนไหนที่ค้านความคิดของตน กลับไม่นำมาแสดง
    ใช้ความเชื่อพื้นฐานของชาวจีน มาเป็นตัวนำ แล้วใส่สัทธรรมปฏิรูปที่ มารบางตนหลอกลวง ว่าเป็นของจริงมาหลอกคน หลายกลุ่มให้ออกจากความดี จากศาสนาพุทธ ดูเผินๆ ดูจะดี แต่พินิจ พิจารณาหลักธรรมดีดีแล้ว มั่วมาก

    แค่เรื่องธรรมกาลทั้ง 3 ยุค ก็ผิดตามหลักพระไตรปิฏกแล้ว ทั้งมหายานและหินยาน
    เพราะธรรมกาลยุคแรกที่ลัทธินี้บอก พระพุทธเจ้า ทีปังกร องค์นี้ เป็นผู้พยากรณ์สุเมธดาบส(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ )เพราะบารมีถึงและท่านปรารถนาโพธิญาน ไว้แล้ว พระพุทธเจ้าทีปังกรท่านยืนยันให้รู้ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าแน่ แต่ไม่ได้ชี้จุดแน่นอน จากนั้นมา ผ่านพระพุทธเจ้าอีกตั้ง หลายพระองค์ ท่านก็พยากรณ์ให้ยืนยัน ไม่ได้ชี้จุด โปรดเข้าใจไว้ด้วยในที่นี้ หลักธรรมของลัทธินี้ เหมือนจับเอามารวมๆกันสนับสนุนความคิดของตนเอง ใช้แนวคิดแบบชาวบ้าน ไม่ใช่แนวคิดแบบผู้รู้จริงตีความ

    ผมจะเล่าเรื่องนึงให้ฟังเป็นข้อคิด

    สมัยจีนโบราณ มีลัทธิเต๋าและขงจื้อเป็นหลักปฏิบัติอยู่แล้ว มีนักพรตเต๋า เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้
    พอมาสมยหนึ่งมีศาสนาจากตะวันตก ชื่อว่าศาสนาพุทธเข้ามา ลัทธิเต๋ษและขงจื้อเริ่มถูกทอดทิ้ง นักพรตเต๋าเริ่มลดบทบาท บางพวกจึงแอนตี้พุทธศาสนา บางพวก เชื่อถือ แต่งพวก กลับเอามาผนวกกับความเชื่อในลัทธิเต๋าของตน และให้เต๋าอยู่สูงกว่าพุทธ ใหญ่กว่าพุทธ เชิดชูเต๋าให้เด่น แล้วค่อยๆลบล้างพุทธแบบ สังกราจารย์ในอินเดีย ที่เอาพระพุทธองค์เป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ เมื่อมีการใช้วิธีนี้กลืนกินพุทธศาสนา และสืบต่อมาเรื่อยๆจนกลายเป็นลัทธิหลากหลายในจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน หนึ่งในนั้นคือลัทธิอนุตรธรรม ....

    ฝากไว้ให้คิดและพิจารณาในหลักธรรมที่แท้จริง อย่าให้ลัทธิมารมาลวงชาวพุทธของพระพุทธองค์ให้ห่างจากความดีสูงสุดคือพระนิพพานได้
     
  6. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101
    ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วทำไมผู้ที่บุกเบิกธรรมะ ถึงสำเร็จกลับนิพพานกันไปแล้วหล่ะ แล้วยังได้ตำแหน่ง พุทธะ พระโพธิสัตว์ เซียน หลายคนเลยทีเดียว
    http://www.thailoon.com/webboard/view.php?category=board&wb_id=61
     
  7. paramitra

    paramitra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +180
    แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขาเหล่านั้นสำเร็จกลับนิพพาน ก็เขาเหล่านั้นเป็นผู้บอกอีกใช่ไหม
     
  8. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ทรงประกาศทุกเรื่องแหละจ๊ะ

    ที่สำคัญคือ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์มีอยู่ (นิโรธ)
    ทางดับทุกข์มีอยู่(อริยมรรค) จุดตรัสรู้ของจริง

    รวมไปถึงการสอนธรรมตามกำลังปัญญาบารมีของบุคคลนั้นๆ
    คนธรรมดาทั่วๆ ไป นี่แหละ รอเป็นอริยะก่อนได้ไง


    องค์ธรรม นี่ คำนี้ใช้มาก
    บางท่านอาจหมายไปถึง ภาวะของพระอรหันต์ ที่ไร้ตัวตนแล้ว
    ต้องดูเจตนาของเขาอีกที บางทีก็ว่าไปถึงพลังงานของจิตบริสุทธ์
     
  9. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101

    เหอะๆ เขาไม่มามั่วกันเอาเองหรอกนะครับ ว่าสำเร็จได้ตำแหน่งอะไร มีนามว่าอะไรมาเมื่อสำเร็จกลับไปแล้ว

    เขาก็ต้องทำพิธีอันเชิญมาประทับทรงในพิธีเปิดกระบะทราย แล้วกล่าวพระนามที่ท่านได้รับตำแหน่งมา เหมือนที่สิ่งศักสิทธิ์หลายๆองค์ลงมาประทับยาน แล้วมาพูดคุยกับคนที่ฟังธรรม

    ( ถ้าจะสงสัยอีกว่าคนที่ทรงนั่น มาทำเป็นสิ่งศักสิทธิ์หลอกคนอื่นนั่นไม่มีทางเป็นไปได้แน่ เพราะเป็นแค่คนธรรมดา ซึ่งไม่รู้ภาษาจีนเลยสักนิด แต่กลับพูดจีนได้คล่องแคล่ว เขียนหนังสือจีนได้อีก และยังเขียนโอวาทซ้อนโอวาท และยังรู้อีกว่่าเราคิดอะไรอยู่ในใจ ซึ่งกับคนธรรมดาๆแล้วมันทำไม่ได้แน่นอนถ้าไม่ใช่สิ่งศักสิทธิ์ลงมาประทับทรง

    ซึ่งผมก็อยู่ด้วยเช่นกัน และเห็นหลายองค์แล้วที่ลงมาประทับ เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม พระอาจารย์จี้กง 8 เซี่ยน ท่านเหล่าเซียนองค์(์ซิ่ว) ศิษย์พี่นาจา เซียนน้อย ซึ่งล้วนแล้วที่ลงมามีคำพูดและท่าทางแตกต่างกันไป
     
  10. paramitra

    paramitra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +180
    ที่สำนักทรงเจ้าทุกที่ ผมก็เห็นเค้ามีอิทธิปาฏิหารย์จริง อ่านใจ ทายใจผมได้ ถ้าเค้าบอกผมมีเคราะห์ ต้องทำบุญ 1 ล้าน นี่ผมควรเชื่อทันทีเลยใช่มั้ย เพราะเค้าทำสิ่งที่คนทำไม่ได้
     
  11. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101
    คนเรามันก็ต้องมีปัญญา ในการแยกแยะสิ มันมีทั้งจริงและปลอม ไม่ใช่เอะอะก็เชื่อไปซะทุกอย่าง มันต้องมาศึกษาอีกหลายอย่าง และหลักฐานอีกมากมายที่ให้เห็น ไม่มีคนไหนที่เชื่อเลยหรอกครับ เขาล้วนต้องศึกษาให้เข้าใจถึงแก่นแท้ ไม่อย่างนั้นคนนับหมื่นเขาจะบำเพ็ญและอุทิศตัวเพื่องานฟ้านี้ เพื่อสิ่งใดกัน??

    ลองไปอ่าน "พงศาธรรม" ดูนะครับประวัติความเป็นมาทั้งหมดและคำทำนายของ ศิราจารึก ล้วนตรงถูกต้องทุกอย่างทั้งสิ้น

    ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่คนคิดขึ้นมาเอง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่สิ่งศักสิทธิ ท่านลงมาบอกทั้งสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤษภาคม 2008
  12. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101
    จงอย่าศึกษาด้วย ทิฐิ ของตนเอง จงเปิดใจรับกับสิ่งที่เราไม่รู้ ควรอย่าศึกษาแบบคนฉลาด และอย่าคิดว่าตนเองรู้ดีแ้ล้ว ในสิ่งที่ตนเองไม่รู้จริง
     
  13. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    คุณ meedoo

    ขอถามเป็นความรู้นะครับ พอดีที่บ้านบูชาและนับถือองค์พระจี้กงอยู่เหมือนกัน

    บ้างก็กล่าวท่านเป็นพระอรหันต์จี้กง บ้างก็กล่าวว่าเป็นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์

    อีกอย่าง ไม่ทราบว่า วิถีอนุตตรธรรม อันนี้เป็นิกายหนึ่งในศาสนาเต๋า
    หรือเปล่าครับ
    เพระมีความรู้ในเรื่องนี้น้อยมาก แต่เห็นมีคนกล่าวขานกัน
    พอสมควร
     
  14. paramitra

    paramitra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +180
    อย่าคิดว่าตนเองรู้ดีแ้ล้ว ในสิ่งที่ตนเองไม่รู้จริง

    ผมเห็นด้วยกับประโยคนี้ที่สุด

    คนเรามันก็ต้องมีปัญญา ในการแยกแยะสิ มันมีทั้งจริงและปลอม ไม่ใช่เอะอะก็เชื่อไปซะทุกอย่าง

    อันนี้ก็เห็นด้วยครับ

    พูดถึงพงศาธรรมแล้ว เรื่องที่ พระพุทธเจ้าทรงถ่ายทอดวิถีธรรมแก่พระมหากัสสปะโดยยกดอกบัวขึ้นเสมอใบหน้าท่ามกลางพระอรหันต์ที่ประชุมอยู่ที่นั่น 1250 องค์ โดยมีพระมหากัสสปะ รู้ความหมายอยู่เพียงองค์เดียว

    ถามว่า พระอรหันต์ที่เหลือ 1249 องค์ บรรลุนิพพานมั้ยครับ ถ้าบรรลุทำไมถึงไม่รู้ถึงเรื่องจุดนี้ แสดงว่าพระอรหันต์อีก1249 องค์ บรรลุนิพพานได้โดยการทำกิเลสให้สิ้น โดยไม่ต้องรู้ถึงจุดนี้หรือเปล่าครับ
     
  15. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    อันนี้ ผมไม่เห็นด้วยนะครับ และขอแสดงความเห็นว่า...

    แท้จริงแล้วไม่มีใครลบล้างศาสนาพุทธหรอกครับ
    สิ่งที่จะลบล้างได้ ก็เพราะสาเหตุหลักมาจากภายใน
    ที่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก เพียงเพื่อจะแย่งชิงความเป็นใหญ่
    ทำให้ลัทธิต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ผลพวงจากการสังคนาครั้งที่สอง
    จะเห็นได้ว่า เกิดลัทธิต่างๆ มากถึง 18 ลัทธิ
    บ้างก็บอกว่ามากถึง 30 ลัทธิด้วยกัน ต่อมาได้จับขั้วแบ่งออกเป็น
    2 นิกายหลัก คือ นิกายเถรวาท และนิกายมหายาน
    เพียงเพราะความแตกแยกทางความคิด และข้อลดหย่อนในพระวินัย

    ส่วนสาเหตุอื่น อาจมีบ้างเหมือนกันที่ศาสนาพุทธถูกทำลายล้าง
    เพราะสงคราม ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ในการชิงผืนแผ่นดินในอดีต

    ส่วนที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเป็นอรตารขององค์พระนารายณ์
    อันนี้เป็นเพียงแค่ความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่เป็นหลักฐานยืนยัน
    เพราะศาสนาพุทธในสมัยนั้น ต้องการที่จะแย่งชิงศรัทธาจากประชาชน

    เช่นเดียวกันที่ศาสนาพุทธ พยายามที่เผยแพร่อิทธิพลไปยังจีน
    ซึ่งเดิมนับถือศาสนาดั้งเดิมอยู่แล้ว ทั้งเต๋าและขงจือ

    อย่าลืมว่าพุทธนิกายเถรวาทและพุทธนิกายมหายาน
    ต่างก็เป็นคู่ปฏิปักษ์กันมาตลอด ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน

    ในอารยธรรมเขมร ศาสนาพุทธมหายานก็ถูกกลืน
    โดยศาสนาพุทธเถรวาทด้วยเช่นกัน

    เวลาเราเผยแพร่ศาสนาตนเอง ไปยังแดนไกล ถึงยุโรป
    เราก็เกิดความภูมิใจ แล้วเหตุใดเวลาศาสนาอื่นมาเผยแพร่
    ธรรมะในประเทศเราบ้าง จะเป็นไรไป จะไปกีดกันกันทำไม

    ดังนั้น เราจะมาบอกว่าศาสนาเราดีกว่าเขา หรือไปข่มเขานั้น
    มันเหมาะสมแล้วหรือ?

    ก็ขอแสดงความคิดเห็นเพียงเท่านี้
     
  16. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    ทำไม ท่านทั้งสองไม่พูดด้วยเหตุผล
    มีอคติอะไรกันหรือ
    ในเมื่อเป็นนักปราชญ์ทั้งคู่

    หากแสดงความเห็นด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์
    ถือว่าเป็นการฝึกจิตนะครับ
     
  17. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101

    พระพุทธองค์ทรงเบื่อหน่ายการเกิด-ตาย ทรงเล็งเห็นเป็นความทุกข์อันแท้จริงจึงทรงสละฐานันดรกษัตริย์ ซึ่งปุถุชนเห็นเป็นความสุขสมบูรณ์อันสูงงสุดทิ้งเสีย และทรงค้นคว้าหาหนทางที่สามารถไปพ้นจากทะเลทุกข์ ทรงลำบากตรากตรำทั้งปฏิบัติและศึกษานานถึง 6 ปี เมื่อกลางคืนวันเพ็ญเดือนหก พระพุทธองค์ทรงค้นพบ "ญาณทวาร" และ "วิถีจิต" อันเป็น "อนุตตรสัมมาสัมโพธิ" "ญาณทวาร" เป็นประตูวิเศษอันเร้นลับ ซึ่งพระพุทธทีปังกรเคยพยากรณ์ว่าสุเมธดาบสจักสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัปน์ได้นิมิตเป็นแสงดาวสว่างวาบตรงจุดนั้น "วิถีแห่งจิต" เป็นหนทางอันตรงต่อประตูวิเศษซึ่งเป็นทางสายกลาง "อนุตตรสัมมาสัมโพธิ" เป็นปัญญาอันยิ่งเพราะรู้ถึง "ธรรมญาณ" ซึ่งพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดอันแท้จริง เพราะสภาวะแห่ง "ธรรมญาณ" นั้น มิได้ "เกิด" จึงมิได้ "ตาย" และไม่อาจนำเอาบัญญัติใดๆ ในโลกนี้มาเทียบเคียงหรืออธิบายให้ใครเข้าใจได้เลย เพราะสภาวะนั้นพ้นไปจาก "รูป" และ "นาม" "อนุตตรธรรม" ที่พุทธองค์ตรัสรู้จึงเป็นเรื่องรับรสได้เฉพาะตนแต่เหตุไฉนตลอด 45 พรรษา พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้ พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ชี้แนะหนทางเท่านั้น ส่วนการเดินไปสู่จุดหมายปลายทางล้วนต้องประคองจิตด้วยตนเองทั้งสิ้น และเพื่อมิได้ "อนุตตรธรรม" สูญหายไปจากโลกนี้ พระพุทธองค์ทรงถ่ายทอดประตูวิเศษนี้ไว้ด้วยวิธีอันเร้นลับ มิได้ถ่ายทอดโดยเปิดเผย สมกับคำกล่าวโบราณที่ว่า "ไม่รู้ถึงหูที่หก" สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางสงฆ์สาวกล้วนเป็นพระอรหันต์ 1,250 รูป ณ ภูเขาคิชฌกูฏ แห่งกรุงราชคฤห์ และมิได้ตรัสประการใด จึงมีผู้ทูลอาราธนาว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เหตุไฉนวันนี้ พระองค์จึงมิได้ตรัสเทศนาโปรดเวไนยสัตว์เลย" ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงชูดอกไม้ขึ้นดอกหนึ่งแล้วตรัสว่า "ตถาคตมีธรรมจักษุอันละเอียดอ่อนสุขุมคัมภีรภาพปราศจากรูปลักษณ์ใด ๆ อยู่ในครรโภทร…" ที่ประชุมสงฆ์สาวกทั้งนั้น มีแต่พระมหากัสสปะซึ่งเป็นผู้สูงอายุหน้าตายับยู่ยี่ด้วยเร่งบำเพ็ญเพียรจนไม่เคยยิ้มเลยตลอดเวลาที่ปฏิบัติธรรมอยู่ เมื่อเห็นพระพุทธองค์ทรงแสดงรหัสตรัสเช่นนี้จึงรู้ได้ด้วยไวปัญญา พระมหากัสสปะจึงยิ้มครั้งแรกในชีวิตและแสดงกริยาก้มหน้าเป็นการตอบรับ พระพุทธองค์ทรงกล่าวต่อไปว่า "ตถาคตได้ส่งมอบธรรมะนี้แก่พระมหากัสสปะแล้ว" พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระมหากัสสปะว่าเป็นผู้มีปัญญาอันเลิศ จึงทรงแลกบาตรและจีวรกับพระมหากัสสปะ ปัญหาที่น่าพิจารณาคือบรรดาพระอรหันต์ทั้ง 1,249 รูป นั้นมิได้รู้อนุตตรธรรม เหตุไฉนจึงสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์พ้นเวียนว่ายตายเกิดได้เล่า


    คำตอบอยู่ที่บรรดาสงฆ์สาวกทั้งปวงล้วนปฏิบัติตรงตามทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนและประคองจิตของตนเองมิได้พ้นไปจากเส้นทางสายนี้ เช่นเดียวกับพระมหากัสสปะจึงเป็นผู้ได้หนทาง แต่มิได้รู้ถึง "ประตูวิเศษ" แต่พระพุทธองค์ทรงรู้ถึง "ทวารวิเศษ" บรรดาสงฆ์สาวกซึ่งรักษาจิตของตนเองในหนทางสายกลางย่อมเดินไปจนถึง "ทวารวิเศษ" นี้ ในวันสุดท้ายของการทิ้งกายสังขาร เมื่อพระมหากัสสปะได้รับการถ่ายทอด "ทวารวิเศษ" และประคองจิตของตนเองอยู่ในหนทางสายกลาง จึงย่อมเสมอเหมือนพระพุทธองค์ เพราะฉะนั้น บาตรและจีวรของพระพุทธองค์จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการถ่ายทอด "ทวารวิเศษ ของอนุตตรธรรม" สืบต่อกันมาจนถึงพระธรรมาจารย์ หงเหยิ่น องค์ที่ห้า ในครั้งนั้นพระมหากัสสปะจึงเป็นพระธรรมาจารย์องค์ที่หนึ่งซึ่งได้รับรู้ "ประตู" ของ "ธรรมญาณ" อันเป็นหนทางแห่งอนุตตรธรรม นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤษภาคม 2008
  18. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101
    ส่วนพระโพธิสัตว์กวนอิม หรืออวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ก็ทรงเข้าใจปริศนาธรรม ถึงธรรมญาณเช่นกันอีกพระองค์หนึ่ง ดังคำกล่าวว่า " แยบยล คนโทน้ำใส ใส่กิ่งหยาง พระโพธิสัตว์ ประทับอยู่ท่ามกลาง ไม่เคยห่างแน่ชัด สัจธรรม " นี่คือการเข้าใจถึงปริศนาธรรมของเมี่ยวซ่านไต้ซือ (พระโพธิสัตว์กวนอิม) ท่านด้วยบุญวาระ มรรคผล ครบสมบูรณ์ พร้อมแล้ว จึงได้รับการถ่ายทอดวิถีแห่งจิต จากท่านอาจารย์เทพ คิ้วยาว ส่วนประวัติการบำเพ็ญของท่านเราหาอ่านได้จากหนังสือ พระโพธิสัตว์กวนอิม ทิ้งท้ายปริศนาธรรมจาก ปรัชญาปารมิตาสูตร บทหนึ่งที่ พระโพธิสัตว์กวนอิมได้บรรจุและพ้นจากโลกียภูมิ สู่สภาวะ ของพระโพธิสัตว์ " พระ อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เมื่อปฏิบัติได้ซึ้ง ซึ่งปัญญา ปารมิตา พาให้จิตพ้นจากห้วงทุกข์ รูปไม่ต่างจากว่าง ว่างไม่ต่างจากรูป รูปก็คือว่าง ว่างก็คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน สารีบุตร ธรรมทั้งปวงมีความศูนย์เป็นลักษณะ ไม่เพิ่ม ไม่ลด ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแพ้ว "
     
  19. paramitra

    paramitra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +180
    อืม ไม่ได้ต้องการว่าอนุตตรธรรมไม่ดีนะครับ ไม่ต้องการให้เป็นกระทู้โต้เถียงกันด้วย

    คนที่นับถือ อนุตตรธรรม แล้วปฏิบัติดี เป็นคนดีก็มีเยอะมากครับ ส่วนตัวแล้วคิดว่าการที่คนได้รับธรรมเป็นเรื่องดี เพราะสังคมตรงนั้นมันดี สามารถสอนให้คนกลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้จริงๆ ไม่ได้ต่อต้านว่าเป็นลัทธิปีศาจอะไรเลย เพียงแต่ผมมองว่าไม่ควรจะเชื่อทั้งหมด จุดไหนที่มันผิดไป(ในสายตาของผม ผู้ซึ่งยอมรับว่ายังเขลาอยู่มากมาย) ก็ขอท้วงติงให้พิจารณาบ้างอ่ะครับ ส่วนที่ดีๆที่มากมายก็นำมาปฏิบัติได้เลยครับ

    ส่วนปัญหาที่ถามไปและได้คำตอบมา ดังนี้

    คำตอบอยู่ที่บรรดาสงฆ์สาวกทั้งปวงล้วนปฏิบัติตรงตามทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนและประคองจิตของตนเองมิได้พ้นไปจากเส้นทางสายนี้ เช่นเดียวกับพระมหากัสสปะจึงเป็นผู้ได้หนทาง แต่มิได้รู้ถึง "ประตูวิเศษ" แต่พระพุทธองค์ทรงรู้ถึง "ทวารวิเศษ" บรรดาสงฆ์สาวกซึ่งรักษาจิตของตนเองในหนทางสายกลางย่อมเดินไปจนถึง "ทวารวิเศษ" นี้ ในวันสุดท้ายของการทิ้งกายสังขาร

    ถ้ามองในมุมของทวารทั้ง6 แห่งเวียนว่ายตายเกิด ผมก็ยังสงสัยว่า อย่างในเมื่อผมรู้ว่า ถ้าจิตออกทางกะหม่อม ก็ไปเกิดเป็นเทวดา ตอนผมใกล้ตาย อย่างน้อยๆ ผมคงไม่ออกทางอื่นที่ไปสู่อบายภูมิแน่ๆ ผมต้องออกทางดีๆ แต่คำถามคือ จิตที่จะออกทางทวารทั้ง6 เป็นทางไปสู่ภูมิภพต่างๆได้นั้น ได้ออกจากร่างผ่านทวารต่างๆได้ด้วยกรรมเป็นผู้กำหนดเคลื่อนใช่หรือไม่ครับ ถ้าอย่างนั้นถ้าเราทำกรรมชั่ว แม้เห็นทวารวิเศษตรงหน้า กรรมก็คงยังผลักเราออกทางประตูอื่นอยู่ดีใช่มั้ยครับ



    ขอคำชี้แนะด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2008
  20. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101

    ป่าวหรอกครับ ไม่ได้ใช้อารมณ์อะไรเลย คืออยากให้ทุกท่านที่อ่านดูแล้ว อยากให้ศึกษาก่อนนะ
    แต่้ถ้าพูดกันตรงๆแล้ว ยอมรับว่า ต่อให้อ่านศึกษามากเ่ท่าไร ก็ไม่สามารถทำให้เชื่อหรือไขข้อข้องใจได้ทั้งหมด เท่ากับไปรับวิถีธรรม และผ่านการประชุมธรรม 3 วันก่อน
    การประชุมธรรม 3 วัน นี้จะเป็นตัวไขข้อข้องใจทั้งหมดออกไปเลยครับ ไม่ใช่แค่รับธรรมะอย่างเดียวนะครับ ถ้าแค่นั้นไม่รู้เรื่องแน่ ต้องประชุมธรรม 3 วันด้วย

    ประมาณว่าต้องสัมผัสด้วยตัวเองจึงจะรู้แจ้งจริงๆ ( 10 คำบอกเล่าก็ไม่เท่าตาเห็น) แค่อ่านในหนังสือหรือตามเว็บหรือใครบอกเล่ามา มันคงไม่ได้แน่ๆ ซึ่งส่วนตัวผมก็ไม่ได้เชื่อเลย แต่เพราะไม่เชื่อก็เลยอยากรู้เลยไปรับดู เพราะธรรมะนี้ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ใน พระไตรปิฏก จึงทำให้ยากที่ใครจะเชื่อ ซึ่งไม่ใ่่ช่คำสอนของพระพุทธองค์ แต่ถ้าได้รู้จริงๆแล้ว จะรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกันทั้งหมด

    ลองอ่านดูครับ
    http://www.vithi.com/

    ปล. ถ้าใครมีโอกาสได้ไปรับธรรมะ แล้วถ้่าท่านข้องใจคาใจ ตรงไหน ถามกับอาจารย์ ที่นั้นได้เลยครับ เขาสามารถไขข้้อข้องใจได้หมด
     

แชร์หน้านี้

Loading...