ไม่รู้จักกัน

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย อนัตตา, 4 มกราคม 2019.

  1. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ดวงจิตที่เจือปนอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์ นั่นก็เหมือนกับเรือที่ถูกลมพายุอันพัดมาจากข้างหลัง ข้างหน้า ข้างซ้าย ข้างขวาทั้ง ๘ ด้าน ๘ ทิศ มันก็จะไม่ทำให้เรือตั้งตรงอยู่ได้ มีแต่จะทำให้เรือจมลง ไฟที่จะใช้สอยก็ดับหมดด้วยอำนาจความแรงของกระแสลมที่พัดมานั้น
    .
    สัญญานี้เหมือนกับระลอกคลื่นที่วิ่งไปมาในมหาสมุทร ใจนั้นก็เปรียบเหมือนปลาที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ ธรรมดาของปลาย่อมเห็นน้ำเป็นของสนุกเพลิดเพลินฉันใด บุคคลผู้หนาแน่นไปด้วยอวิชชาก็ย่อมเห็นเรื่องยุ่งๆ เป็นของเพลิดเพลิน เป็นของสนุกเหมือนกับปลาที่เห็นคลื่นในน้ำเค็ม เป็นของสนุกสนานสำหรับตัวมันฉันนั้น
    .
    ตราบใดที่เราทำความสงบ ให้เรื่องต่างๆ บรรเทาเบาบางไปจากใจได้ ก็ย่อมทำอารมณ์ของเราให้เป็นไปใน “กัมมัฏฐาน”
    .
    คือ ฝังแต่ พุทธานุสติ เป็นเบื้องต้น จนถึง สังฆานุสติ เป็นปริโยสานไว้ในจิตใจ เมื่อเป็นไปดังนี้ก็จะถ่ายอารมณ์ที่ชั่วให้หมดไปจากใจได้ เหมือนกับเราถ่ายของที่ไม่มีประโยชน์ออกจากเรือ และนำของที่มีประโยชน์เข้ามาใส่แทน
    .
    ถึงเรือนั้นจะหนักก็ตาม แต่ใจของเราเบาอย่างนี้ ภาระทั้งหลายก็น้อยลง สัญญาต่างๆ ก็ไม่มี นิวรณ์ก็ไม่ปรากฏ ดวงจิตก็จะเข้าไปสู่ “กัมมัฏฐาน” ได้ทันที
    .
    คัดลอกมาจากหนังสือ+แนวทางวิปัสสนา กัมมัฏฐาน ๒.+เรื่อง..."อบรมสมาธิตอนบ่าย" วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๙

    พระสุทธิธรรมรังสี คัมภีรเมธาจารย์
    (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)
    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  2. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    จิตผู้ให้นี้มันอิ่มจริงๆ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนคืนมา จิตอิ่มกุศล กายจะเบา จิตจะเบา ภาวนาได้ดี พรหมวิหาร4 ทรงตัว ปราบริษยา มานะ ได้หมด เป็นจาคะบารมี

    จาคะบารมี มี 3 ระดับ เริ่มจากเสียสละภายนอก ไปจนถึงเสียสละภายใน จิตพอชำนาญด้านการสละออกดีแล้ว จะสละกิเลส อารมณ์อกุศลที่เหลือ ออกไปทั้งหมด ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นะ แต่เป็นที่แน่นอน

    เป็นขั้นตอนของจิตที่สั่งสมเหตุปัจจัยไปสู่มรรคผล ทุกขั้นตอนล้วนเริ่มต้นจากหยาบๆ ไปสู่ละเอียด จนละเอียดถึงที่สุด

    การบำเพ็ญทานมีผล
    การรักษาศีลมีผล
    การภาวนามีผล

    อย่าไปยึดที่บุคคล ตัวตน เราเขา ให้ยึดที่ความดี ทำดีแล้วไม่ยึดผลดี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    สติระลึกรู้เห็นในกาย ในจิต ระลึกรู้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ระลึกรู้เห็นธรรมตามคำสอน เห็นภายในที่เป็นปัจจุบันขณะ สัมปชัญญะตัดสิ่งที่ไม่ตรงคำสอนออกไป

    หน้าที่ของสติคือสอดส่องและระลึกรู้
    หน้าที่ของสัมปชัญญะคือตัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อธรรม

    สติจึงเชื่อมโยงกับสังขาร สัญญา และวิญญาน
    ถ้าไม่มีสมาธิ สติก็ไม่ตั้งมั่นและไม่เป็นกลาง
    สติจึงเป็นกุศลธรรมอันเป็นปัจจุบันเสมอ
    จึงได้ชื่อว่า...สติเป็นธรรมเอก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    _/|\_ _/|\_ _/|\_

     
  5. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
     
  6. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ผู้ถาม : หลวงตาครับ รู้จากวิญญาณขันธ์ ซึ่งเป็นการทำงานตามธรรมชาติของขันธ์ห้า และรู้จากวิญญาณธาตุหรือจิตเดิมแท้ ซึ่งมารู้การทำงานของขันธ์ห้าอีกที ซึ่งรู้จากจิตเดิมแท้นี้ ถ้าไม่ยึดว่าขันธ์ห้าเป็นเรา ก็จะเป็นรู้ที่บริสุทธิ์

    แสดงว่าการรับรู้แต่ละครั้งของทุกคนมีการทำงานของรู้สองอย่างพร้อมกันใช่ไหมครับหลวงตา

    หลวงตา : รู้ที่เป็นวิญญาณขันธ์ในขันธ์ห้า จะมีเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขารเข้าประกอบทุกดวง ดังนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร จึงไม่เที่ยง เกิดดับ

    ส่วนวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ ใจ หรือจิตเดิมแท้แม้จะมีอยู่เดิมแล้ว แต่ยังไม่บริสุทธิ์ เพราะมีอวิชชาห่อหุ้มอยู่ จึงไม่ปรากฏความรู้ที่บริสุทธิ์ที่ไม่เกิดดับ เพราะมีความหลงยึดถือขันธ์ห้าเป็นตัวตน เป็นเรา ตัวเรา ของเรา มาบังใจหมด ทำให้จิตตสังขาร วาจาสังขาร กายสังขารทุกปัจจุบันขณะออกมาจากอัตตาเสียทั้งหมด

    เมื่อสิ้น “อวิชชา” ใจ หรือ จิตเดิมแท้ หรือ วิญญาณธาตุ หรือ ธาตุรู้ จึงเป็นความรู้ที่บริสุทธ์ ไม่เกิดดับ

    ส่วนรูปนาม หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นสังขาร จะเกิดดับในใจหรือจิตหรือธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่ใช่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ ไม่ใช่อรูปฌาณ เป็นความรู้ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีเครื่องหมายไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการหยุดนิ่ง ไม่มีการเกิดดับ ไม่อาจถูกทำลายได้ เป็นอมตธาตุ อมตธรรม
    .
    .
    ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2562
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เอากายเป็นมรรค เอากายเป็นผล ผู้ให้ทานเอาทานเป็นมรรค เอาทานเป็นผล พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ท่านก็บัญญัติชี้ลงสู่กายสู่ใจ เอาอย่างอื่นก็เป็นธรรมเมาไป
    .
    อุปัชฌาย์อาจารย์ท่านสอน เกสา โลมา นขา ท่านก็สอนชี้ใส่กายใส่ใจนี้แหละ น้อมมาปฏิบัติ กายวาจาใจให้บริสุทธิ ฟังแต่น้อยต้องอาศัยความหมั่นความเพียรทําให้มาก เจริญให้มาก ถ้าฟังมากฟังเอาแต่คําพูด เลยกลายเป็นสัญญาไป
    .
    เอา พุทโธ เป็นอารมณ์ของใจ พุทโธ เป็นมรรคของใจ อุปัชฌาย์อาจารย์ให้อุปสมบทสอนกัมมัฏฐานแก่พวกเรา ท่านก็สอนชี้ใส่กายเรานี้แหละเป็นหลัก มัวไปแล่นแต่แผนที่ ใช้ไม่ได้ แผนที่ปริยัติธรรม ไม่เข้าหากาย ไม่เข้าหาใจ กลายเป็นธรรมเมาไปเสีย ตั้งอยู่ในศีลชี้ใส่กายเรานี้ ชี้ใส่ใจเรานี้ อันนี้แหละคือศีลแท้ กายใจนี้แหละเป็นบ่อเกิดของกุศลและอกุศล เพราะฉะนั้น
    .
    พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านสอนธรรม ท่านจึงชี้ลงสู่เหตุ กายของเราเป็นเหตุอันสําคัญ ท่านจึงสอนยํ่าให้พุทธบริษัท พิจารณากายคตาสติกัมมัฏฐาน ฐานเป็นที่ตั้งของธรรมทั้งปวง
    .
    คัดมาจากหนังสือ
    +หลวงปู่แหวน สุจิณโณ (กฟผ.)+
    เรื่อง +ปาฏิโมกข์สังวร วินัยทั้ง๕+
    พระอาจารย์แหวน สุจิณฺโณ
     
  8. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ความดีคือกุศล ความชั่วคืออกุศล กุศลส่งผลให้ใจเป็นสุข อกุศลส่งผลให้ใจเป็นทุกข์ สั้นๆ ง่ายๆ สอนลูกหลานง่ายๆ เห็นเป็นรูปธรรม

    จิตหยาบๆ สอนให้เห็นแบบหยาบๆ ก่อน เพราะของหยาบมันเห็นง่าย

    วิ่งชนกำแพง เจ็บไหม เจ็บแล้วทำยังไง จะรักษาตัวก่อน หรือว่าไปพังกำแพงก่อน ถ้าไม่รู้จักเหตุของปัญหา ก็แก้ปัญหาไม่จบ

    ก๋วยจั๊บอร่อยดี แค่เติมน้ำส้มกับพริกป่น ถั่วงอกดิบกรอบๆ เต้าหู้ทอดกรอบๆ ได้แทคเจอร์ มีเสียงดังกรุบกรอบในปากเวลาเคี้ยว เวลาเสพรสอาหารมันก็เสพได้แค่ตอนที่อาหารอยู่ในปากสัมผัสลิ้น พอเลยโคนลิ้นไปแล้ว ก็ไม่มีรส อะไรๆ ถ้ามันเลยจุดของมันไปแล้ว มันก็ไม่สุขไม่ทุกข์

    สันตติสั้นหรือยาว มันก็ขึ้นอยู่กับกุศลปัจจัยหรืออกุศลปัจจัย ใครเป็นคนใส่เหตุลงไปล่ะ รถไม่มีน้ำมันๆ ก็แล่นไม่ได้ จะให้มันแล่นต้องเติมน้ำมัน

    คนเรามักชอบแสวงหาสิ่งที่ไม่มี ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีอยู่แล้วก็มากมาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    อย่าหลงดี จนไปตำหนิผู้อื่นว่าไม่ดี ทุกชีวิตมีวิบากกรรมให้ต้องดำเนินไปอย่างนั้น
    :):):)
     
  10. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    มรรควิถีของพระอริยะ
    อวกาศสีขาว

    . . . . . มรรค เส้นทาง ทางที่มุ่งไปสู่จุดหมายหรือผลลัพท์ของทางนั้น ส่วนผล หรือเป้าหมาย คือจุดหมายปลายทางของเส้นทาง เป็นประดุจรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับหลังภารกิจในการเดินทางนั้นจบสิ้นลง โดยไม่หลงทาง . . .

    ใครหลายคนอาจนึกอยากเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไม่สะเทือนกับโลก เป็นผู้มีจิตนิ่งประดุจภูผา ไม่หวั่นไหวกับอารมณ์ใดๆ ..หรือไม่ ก็อยากเป็นพระโสดาบัน เพราะเป็นผู้เข้าถึงกระแส มีทิฏฐิดีแล้ว มีความเห็นชอบดีแล้วในระดับหนึ่ง สะเทือนกับโลกน้อยลง มีแต่จะเจริญขึ้น ในทางที่จะก้าวไปสู่ความจริงสูงสุด คือ ไปนึกเอาถึงผลหรือจุดหมายปลายทาง หวังจะได้ผลแทนจะออกเดินทางไปหาผล

    แต่คนเราหากไม่เดินทาง ..ย่อมไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง การนึกเอา-ปรารถนาเอา-ฝันเอา แล้วบอกว่าจะได้จะเป็น มันก็เป็นได้ แต่เป็นได้แค่ฝันแค่ปรารถนาแค่นึกเช่นกัน บางคนออกเดินทางจริงแต่เดินไปในอีกทาง หลงทาง แต่ทั้งคนที่นึกเอาปรารถนาเอาและคนที่หลงทาง กลับมั่นใจว่าตนมาถึงจุดหมายปลายทาง จะเห็นได้ว่าคนที่คิดว่าตนเป็นพระอริยะนี่มีจำนวนไม่น้อย ไปหวังเอาผล ศึกษาผล รู้ผล อยากได้ผล แต่ไม่รู้ทาง.. อาจเพราะยังรักอัตตาไว้อย่างเหนียวแน่น อยากจะเป็นพระอริยะขึ้นมาเพราะอัตตา หากถ้าจะให้ปล่อยอัตตาจริงๆ จะทำได้หรือเปล่า ?

    มรรคญาณผลญาณของพระอริยะเกิดขึ้นได้จริงๆ เมื่อลงมือเดินทางจริง คือปฏิบัติจริง การเดินทางนี่ไม่ใช่เดินเล่นๆ แต่ต้องเอาจริง เดินให้ถูกทาง อริยมรรคนี่มีอยู่ แค่คิดฝันแล้วอ้างว่าจิตมีพลังจะทำให้เกิดผลอะไรแบบนั้นมันหลงทางนะ ฤทธิ์เดชนี่ก็ทำลายกิเลสไม่ได้ คือการบรรลุธรรมนี่ ไม่ได้กลายเป็นคนวิเศษขึ้นมา แล้วก็ไม่ได้บรรลุถึงสิ่งใดเลย นอกจากดับกิเลสไป

    และหากจะตัดกิเลสนั้นต้องใช้ สติ-สมาธิ-ปัญญา หรือที่จริงก็คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา คือมีกำลังทั้งห้าพร้อม แล้วคนจะมีกำลังได้ก็ต้องออกกำลังบ่อยๆ คือลงมือทำจริง มรรคนี่ต้องเจริญบ่อยๆ ทำให้แจ้ง คือ อริยมรรคมีองค์แปด สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ..หมั่นเจริญแล้วมันต้องมีกำลังขึ้นมา อริยมรรคนี่ถ้าทำแล้วก็ต้องมีกำลังอย่างอริยะ

    อริยมรรคมีองค์แปดหรือศีลสมาธิปัญญาหรือสติปัฏฐานสี่นี่เอง ที่จะสร้างกำลัง ไม่ใช่ไปทำบุญแล้วมาทำบาป ช่วยพระแล้วมาด่าคนอะไรแบบนั้น ไม่ได้ประโยชน์ นอกจากขึ้นๆ ลงๆ ตามภพภูมิไม่รู้จบ เดี๋ยวขึ้นสวรรค์เดี๋ยวลงนรก ไม่ได้เป็นกุศลคือหลุดจากการเวียนว่าย เมื่อไม่ได้เข้าทางเข้ามรรคมันก็จะไม่เกิดผล หรือไปหวังเอาผลแล้วไม่ลงมือทำ แล้วผลมันจะเกิดได้อย่างไร อริยมรรคนั้นต้องพากเพียร สติอย่าให้ขาด ปัญญาก็จะเกิด

    ไม่ใช่อยากเป็นพระโสดาบันเพราะจะได้มีศีลห้าบริบูรณ์ แต่กลับไม่เจริญมรรค แทนที่จะรักษาศีลคือลงมือทำก่อน เพราะเห็นโทษในการผิดศีลซึ่งทำให้เกิดกิเลสอย่างหยาบ ทั้งฆ่ากันทำร้ายกันลักขโมยกันผิดคู่กันโกหกกันขาดสติ รังแต่จะทำให้ตนเองและคนอื่นเดือดร้อนเป็นทุกข์มาก เพราะเห็นโทษแบบนั้น ก็ข่มใจไม่ผิดศีล ไม่มุสา เป็นผู้รักษาสติ ตั้งใจจะไม่ผิดศีลไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เดินทางก่อน เจริญมรรคก่อน พอถึงจุดนึงจิตมันมีกำลังประหารกิเลส ผลมันต้องได้ กลายเป็นพระโสดาบันมีศีลรักษาตัวเองขึ้นมา คือมีความเป็นปกติ ..ชีวิตไม่เดือดร้อนเพราะผิดศีล

    หรือไม่ใช่อยากเป็นพระสกทาคามีเพราะจะให้กิเลสราคะโทสะโมหะลดลง แต่เพราะเห็นโทษของการผิดศีลและโทษของกิเลสที่รุนแรง ก็ตั้งสติ เอาชนะกิเลสตัวเองให้ได้ ไม่ใช่เอาชนะคนอื่นด้วยกิเลสของตัว แต่ต่อสู้กับกิเลสของตัว เอาชนะความโกรธโลภหลงของตน มรรคของพระสกทาคามีเกิดขึ้นในใจ พอวันนึงจิตมันมีกำลังพร้อมเพราะเจริญมรรคบ่อยเข้า กำลังมันก็สมังคีประหารกิเลสไป กิเลสแห้งไป ผลมันก็ต้องเกิด คือเป็นพระสกทาคามีขึ้นมา

    แล้วไม่ใช่อยากเป็นพระอนาคามีเพราะจะได้ไม่มีกามราคะหรือเป็นผู้ไม่หวั่นไหวกับโลก แต่เป็นเพราะเห็นโทษของกามว่าเป็นของร้อน เห็นโทษของความมีอารมณ์หวั่นไหวไปกับโลก เดี๋ยวหวาดกลัว กลัวตาย กลัวนั่นกลัวนี่ ชีวิตมีแต่ความกลัว เดี๋ยวพอใจไม่พอใจ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวชอบชัง หงุดหงิดรำคาญใจราวคนบ้า หาความสงบมั่นคงในใจไม่ได้ คนรักษาอารมณ์ไม่ได้ก็ต้องเต้นไปตามกิเลสตัวเอง เป็นทุกข์ร้อนใจมิได้ขาด เมื่อเห็นดังนี้ ก็หมั่นเจริญมรรคสูงขึ้น มีสติรอบคอบในการรักษาอารมณ์ไม่ให้หลงโลก เมื่อเจริญมรรคละเอียดขึ้น กำลังพร้อมเมื่อไหร่มันก็ประหารกิเลสตัณหาได้ เป็นผู้ไม่มีกามไม่มีปฏิฆะ เป็นพระอนาคามีขึ้นมา

    สุดท้าย.. ไม่ใช่อยากเป็นพระอรหันต์เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ดับกิเลสได้หมด แต่เพราะเบื่อในความไม่บริสุทธิ์ ยังมีกิเลสยังไม่พ้นการเกิด เห็นโทษในวัฏฏะสังสารอันนองไปด้วยน้ำตา มีความเกิดแก่เจ็บตายไม่เที่ยง มีความพลัดพรากโศกเศร้าเสมอ จึงหาทางพ้นไปจากการเกิด แม้นแต่สังโยชน์เบื้องสูงอันน่ายินดี คือความสุขในรูปราคะและอรูปราคะ ก็ไม่ปรารถนา ความถือตัวก็ไม่ปรารถนา มีสติในการปล่อยวางเครื่องร้อยรัดใจอยู่เสมอ เมื่อมีสติบริบูรณ์ มรรคญาณมีกำลังมาก กิเลสตัณหาทั้งมวลก็ประหารได้ขาด หมดอาสวะกิเลสสิ้นเชิง เป็นผู้มีอิสระเหนือโลก ไม่มีความยินดีในโลกแห่งทุกข์อีก เป็นผู้บริสุทธิ์เหนือบุญบาป

    พุทธพจน์ "ดูก่อนอานนท์ บุคคลใดจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกาก็ตาม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือปฏิบัติธรรมถูกทาง ปฏิบัติตามตรงตามเป้าหมายแท้จริง บุคคลนั้นชื่อว่าสักการะ บูชาตถาคตด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม"

    หากมีการเดินเข้ามรรคเข้าทางถูกแล้ว ย่อมเห็นสมมุติสัจจะอันไม่เที่ยง เมื่อเข้าใจสมมุติสัจจะแจ่มแจ้ง ก็ย่อมทะลวงเข้าสู่ปรมัตถ์สัจจะได้ หลุดจากสมมุติได้

    เพราะความที่เห็นสมมุติสัจจะจนเบื่อหน่าย จิตก็เจริญอริยมรรคบ่อยๆ ในกรรมฐานก็ดี นอกกรรมฐานก็ดี หากเจริญมรรคจนถึงขั้นจิตทรงตัวอยู่ในอารมณ์โคตรภูญาณ คือมีนิพพานเป็นอารมณ์ แต่ทว่ายังอยู่ระหว่างสองฝั่งคือโลกียะกับโลกุตตระ ส่วนจะข้ามฝั่งไปยังโลกกุตตระได้หรือไม่นี่ ย่อมอยู่ที่มรรคญาณจะกล้าแกร่งและมีกำลังประหารกิเลสหรือไม่ ถ้ากำลังไม่พร้อมก็ข้ามไปไม่ได้ แต่ถ้าเจริญสติต่อเนื่องมีกำลังพร้อมขึ้นมาเมื่อไหร่ แค่เสี้ยววินาทีมันได้ทันที คืออริยมรรคสมังคีนี่ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม กิเลสมันถูกประหารขาดได้ตามกำลัง ทุกที่ทุกเวลาทุกอิริยาบถ

    ส่วนผลญาณคือจะเป็นอริยบุคคลขั้นไหนนี่ มันก็ตามแต่กำลังของมรรคญาณที่เจริญมานั่นเอง บางคนนั่งสมาธิภาวนาอยู่ก็อาจได้เห็นผลญาณคือจิตสว่างไสวที่ขาดจากสังโยชน์เพราะยังทรงตัวอยู่ในโลกุตตระฌาน แต่ถ้าเดินอยู่ หรืออยู่ในอิริยาบถทั่วไป ก็รู้สึกได้ว่าตัวมันเบา-จิตมันเบา กิเลสมันวูบขาดไป มันมีแต่วิชชาปัญญาเข้ามาแทน ถ้าขนาดตัดสังโยชน์สิบได้ขาดหมดนี่ มันเหมือนกับหลุดจากมายาภาพทั้งปวง มีแต่ความประจักษ์แจ้ง พิจารณาธรรมได้เข้าใจตลอดสาย ถ้าเป็นอริยะชั้นต้น มันก็เข้ากระแสนิพพาน ความเข้าใจมันเกิดขึ้น ความเห็นชอบคิดชอบมันก็ตามมา

    http://www.oknation.net/blog/whitespace/2007/10/01/entry-1
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpeg
      images.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      8.4 KB
      เปิดดู:
      36
  11. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    อยู่ๆ ก็คิดถึง...ศาลเจ้าเกียนอันเกง กุฎีจีน

    ศาลเจ้าเกียนอันเกงตั้งอยู่ในชุมชนกุฎีจีน ติดกับวัดกัลยาณมิตร ริมฝั่งขวาของเจ้าพระยา ศาลเจ้าเกียนอันเกงมีอายุใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร เล่ากันว่าชาวจีนฮกเกี้ยนที่ตามเสด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นผู้สร้างขึ้น

    เดิมศาลเจ้าแห่งนี้มีจำนวน 2 ศาลติดกัน คือ ศาลเจ้าโจวซือกง และศาลเจ้ากวนอู ต่อมาศาลเจ้าทรุดโทรมลงไปมาก ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีชาวฮกเกี้ยนกลุ่มหนึ่งเข้ามารื้อศาลเจ้าทั้งสองแล้วสร้างใหม่เพียงศาลเดียว ซึ่งก็คือศาลเจ้าปัจจุบัน มีเทพองค์ประธานคือเจ้าแม่กวนอิม ภายในศาลเจ้ามีสิ่งของล้ำค่าที่ได้รับการอนุรักษ์คือไม้แกะสลักที่มีความประณีตงดงามซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวฮกเกี้ยนไม่ได้เก่งแค่เรื่องเหล็กเท่านั้น ภายนอกศาลเจ้ามุงด้วยกระเบื้องโค้งตามแบบจีนแท้ ศาลเจ้าได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยาม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    อยู่กับคนก็จะคนๆ
    คน ระคน ระคาย
    พอระคายก็ต้องคาย
    พอคายออกไป ก็มีคนเคืองขุ่น
    พอเคืองขุ่นแล้วทำไง ก็ต้องคาย คายกันไปเป็นทอดๆ...ออกแนวๆ อุปาทานหมู่:D

    จงทำอารมณ์ให้ปรากฏ อย่าเบี่ยงเบนอารมณ์จากหนึ่งไปสองไปสาม...สี่

    นกมันตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ทุกวันนะ ตีสี่ตีห้ามันส่งเสียงคุยกันแล้ว...คืนไหนฝนตกนะ แต่เช้ามืดเลยแหละ นกมันอารมณ์ดี

    ขันธ์ห้ามีปัจจุบันด้วยหรือ?
    ตัวรู้วิ่งตามขันธ์ หรืออยู่กับขันธ์?

    วันนี้เราอารมณ์ดีแต่เช้ามืด นอนฟังนกคุยกันเจื้อยแจ้ว มันคุยกันน่ารักดี เกาะอยู่บนหลังคา ได้ยินแต่เสียง ก็อุปาทานไปว่ามันสนทนากันแบบน่ารักๆ ถึงเรื่องราวต่างๆ....แต่ในความจริง เสียงนั้นอาจจะเป็นเสียงด่าทอกันก็ได้ เพราะได้ยินเพียงเสียง โทนสูง-ต่ำ มีหางเสียงเล็กๆ...อุปาทานลากไปกินตั้งแต่อายตนะผัสสะเลย:D

    อย่างว่าล่ะนะ คนจิตใจดีเมื่ออายตนะกระทบรูป ก็มักอุปาทานไปในทางที่ดี ดีจากก้นบึ้ง ไม่ต้องปรุงแต่งก็ได้...ฮาๆๆ:rolleyes:
     
  13. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    จาก...มูลนิธิอุทยานธรรม

    กราบอาจารย์ค่ะ สิ่งหนึ่งที่กลัวที่สุดทั้งในชาตินี้และในชาติที่ต้องเกิดอีกในอนาคตคือ มีมิจฉาแล้วไม่รู้ตัว

    ช่วงหลังมานี้ได้พิจารณาว่า มิจฉาตัวไหนที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วคนเราจะหลงผิดแบบไม่รู้ตัวมากที่สุดทั้ง ๆ ที่มีสัมมาทิฏฐิประกบอยู่ระดับหนึ่ง ก็เห็นว่ามิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ แล้วก็มิจฉาวิมุตติ น่าจะเป็นสามตัวที่น่ากลัวที่สุดเพราะเป็นสิ่ง (พิเศษ) ที่ผู้ปฏิบัติประจักษ์ด้วยการปฏิบัติของตนเองที่ทำให้บางคนเข้าใจว่าตัวเองพิเศษกว่าผู้อื่นหรือว่าได้บรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งแล้วหรือเปล่า

    จึงขอเรียนถามอาจารย์ว่า มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ แล้วก็มิจฉาวิมุตติ เกิดขึ้นได้อย่างไร มีอาการเป็นอย่างไร แล้วเราจะรู้ตัวเองได้อย่างไรว่าเรามิจฉาอยู่ เพื่อว่าหากเกิดขึ้นกับตัวเอง จะได้มีปัญญารู้ตัวแก้ไขได้ทันค่ะ
     
  14. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ตอบ...
    ☘️มิจฉาสมาธิ มีหลายลักษณะ คือ

    1. เข้าสมาธิด้วยเป้าหมายที่ผิด เช่น เข้าสมาธิเพื่อจะถอดจิตไปหาแฟน ณ แดนไกล ในโลกนี้บ้างในโลกอื่นบ้าง ก็ทำได้นะ แต่ยังวนเวียนอยู่ในทุกข์เหมือนเดิม และสมาธิก็จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ เดี๋ยวได้เดี๋ยวหาย

    2. ใช้สมาธิสนองกิเลส เมื่อได้สมาธิระดับหนึ่งมีกำลังจิตพอประมาณ เอาพลังสมาธินั้นมาสร้างวิชาอาคมข่มผู้อื่น สมาธิจะแข็ง ใจจะกระด้าง ถึงจุดหนึ่งสติแตกได้ แม้ไม่แตก ก็เกิดกรรมมากมาย

    3. ใช้สมาธิสร้างอัสมิมานะ พอจิตดีแล้วสร้างตัวตนว่า 1) ฉันดีกว่าเขา ฉันสูงกว่าเขา พยายามทำตัวให้ใหญ่กว่าเขา 2) ฉันเสมอเขาทั้งโลกทั้งจักรวาล ทุกคนทุกจิตใจเสมอกันหมด พยายามตีตนเสมอทุกคน 3) ฉันด้อยกว่าเขา ต่ำกว่าเขา พยายามทำตัวให้เล็กกว่าเขา

    สัจธรรม คือ สัพเพธัมมา อนัตตาติ สิ่งทั้งปวงไม่เป็นตน ไม่มีตัวตนที่จะให้ใครปั้นให้สูงใหญ่ ต่ำเล็ก หรือเสมอกันได้ การปั้นตนไม่ว่า เล็ก ใหญ่ หรือเสมอ ทำให้ปิดกั้นสัจธรรม ทำให้บรรลุธรรมไม่ได้

    เหล่านี้คือมิจฉาสมาธิ

    ดังนั้น เมื่อได้จิตตั้งมั่นดีแล้ว พระพุทธองค์ทรงให้รักษาสติบริสุทธิ์ เข้าอเนญชสมาบัติ วิปัสสนาเจริญญาณ เข้าพระนิพพาน ซึ่งว่างอย่างยิ่ง สุขอย่างยิ่ง
     
  15. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ☘️มิจฉาญาณะ มีหลายอาการ

    1. เห็นแต่ภาวะที่ตนเป็น ไม่รู้ไม่เห็นสภาวะอันเป็นที่สุด จึงคิดว่าที่ตนเป็นอยู่นี้ดีที่สุดแล้ว เลยสร้างความพึงพอใจแค่นี้ ไม่พัฒนาต่อ
    2. รู้เห็นแต่ธรรมบัญญัติ ไม่เห็นสภาวธรรม จึงตีความไปตามที่เข้าใจ
    3. รู้เห็นจริง แต่กำลังไม่พอที่จะเข้าถึง จึงสรุปผิด
     
  16. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ☘️มิจฉาวิมุตติ

    สืบเนื่องมาจากมิจฉาญาณะ จึงนำสู่มิจฉาวิมุตติ มีอยู่สองที่ที่ประณีตที่สุด คือ

    1. มิจฉาญาณะเข้าใจว่า พระนิพพานขาดสูญ จึงดับนามทั้งหมดโดยไม่ได้ดับกรรม ศีลยังไม่หมดจด จึงดับจิต แต่เหลือกายที่กรรมครองอยู่ เป็น อสัญญีพรหม เทียบเท่าพรหมฌานสี่ อายุยาวนาน ๕๐๐ มหากัป เมื่อหมดอายุขัย กรรมกระตุ้นเตือน ก็ต้องไปเกิดอีก มักจะเกิดในพรหมชั้นที่มีกายใกล้ ๆ นั่นเอง

    2. มิจฉาญาณะเข้าใจว่า พระนิพพานคือจิต จึงดับกายทั้งหมด ดับสัญญาเกือบหมด เหลือไว้แต่จิตรู้กอปรอทุกขมสุขเวทนา เป็นอรูปพรหมชั้นสูงสุด เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม มีอายุ ๘๔,๐๐๐ มหากัป ยาวนานที่สุดในจักรวาล เมื่อหมดอายุขัย จิตคลายกำลังฌาน ก็ต้องไปเกิดอีก
     
  17. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    " ร่างกายที่อาศัยอยู่นี่ก็ดี มันเป็นของสำหรับโลกเหมือนกันทุกคนน่ะแหละ

    สัพเพธัมมาอนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ของใคร ก็แม่นร่างกายนี่แหละ หมดก้อนเท่านี้ เป็นตัวสมุทัย
    เป็นเหตุให้ยึดถือ นั่นแหละอัสมิมานะ คนถือเราว่าตัวตน

    นั่นแหละอันนี้แหละ ความมานะนี่แหละคือความว่าเขาว่าเรา

    พระพุทธเจ้าว่าอัตภาพสังขาร มันหลงสมมติ ท่านให้พิจารณาให้รู้ ให้รู้ทุกขสัจจ์ ทุกขังอริยสัจจัง ปริญเญญยันติเม ภิกขเว ทุกขสัจจ์ ควรกำหนดให้มันรู้ ทุกขังอริยสัจจัง ปริญญาตันติเม ภิกขเว อันนี้แหละให้ศึกษาหาเหตุมัน."

    หลวงปู่ขาว อนาลโย
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ร่างกายเป็นรังของโรคอยู่แล้ว ป่วยก็ตาย ไม่ป่วยก็ตาย อย่าไปโทษอะไรเลย โทษที่ดันมาเวียนเกิด เวียนตายเองดีกว่า

    เกิดมาแล้วก็ต้องตายทุกคน จะเข้าใจธรรม หรือไม่เข้าใจธรรม ก็ตายเหมือนกัน ระลึกถึงความตายไว้ จะได้ไม่ฟุ้งซ่านคิดมากเรื่องอื่นๆ

    มีพระรัตนตรัย มั่นคงในพระรัตนตรัย จะไม่ทุกข์กับสิ่งแวดล้อม หรือหากทุกข์เกิดขึ้นก็ดับได้เร็ว

    ผลของการฝึกหัดดัดใจ เกิดที่ใจ...คือใจเราเป็นสุข มันวางเรื่องราวต่างๆ ได้เอง สติปัญญาจะแยกแยะว่าอะไรคือสาระ อะไรไม่ใช่สาระ มันต้องปฏิบัติเอง จึงจะรู้เอง ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่มีวันเข้าถึง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    แวะมาบอกว่า...ยังไม่ติดนะจ๊ะ:D
     
  20. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ญาณ แปลตามศัพท์ว่า “เครื่องช่วยรู้” “สิ่งที่เป็นเหตุให้รู้” “รู้สิ่งที่พึงรู้” หมายถึง ความรู้, ปัญญา, การหยั่งเห็น, ความเข้าใจ, การหยั่งรู้, การรับรู้, ความคงแก่เรียน, ทักษะ, ความฉลาด

    “ญาณ” ในความหมายพิเศษ หมายถึงปัญญาหยั่งรู้หรือกําหนดรู้ความจริงอย่างใดอย่างหนึ่งได้อย่างแจ่มชัดจนเกิดความสว่างไสวในดวงจิต หรือความสามารถหยั่งรู้เป็นพิเศษถึงเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

    ญาณวิถี แปลทับศัพท์ว่า “วิถีแห่งญาณ” หมายถึงช่องทางการรับรู้ทางจิต, ช่องทางแห่งปัญญา คือวิธีฝึกให้เกิดปัญญาและวิธีใช้ปัญญาเพื่อรับรู้สิ่งต่างๆ
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:

    เวลาเข้าถึง วิปัสสนาญาณ ประตูแห่งอมตธรรม มันเปิดออกแล้ว

    สรรพสิ่ง เป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา ท่ามกลางเนื้อความว่างของอมตธรรม

    อมตธรรมเป็นแบ็กกราวนด์ที่โอบอุ้มทุกสรรพสิ่ง เวลาโยมฝึกวิปัสสนาญาณจะเจอสภาวะแบบแยกธาตุ แยกขันธ์ คลื่น ความสั่นสะเทือนทุกอย่าง แยกออกหมดเลย แล้วการสัมผัส รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่างๆ เราไม่ได้สัมผัสด้วยอายาตนะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจด้วย เรารับรู้ด้วยญาณวิถี

    แม้กระทั่งสรรพสิ่ง ลมเคลื่อนไหว สิ่งที่ต่างๆรับรู้ได้หมดและเลือกรับรู้ได้ด้วย

    อันนี้ใครฝึกมาก่อน มีสติตั้งมั่นได้เปรียบ จะพาสัมผัสเรื่องพวกนี้ ญาณเหมือนเรด้า เวลาข่ายกางไปเป็นไง? มันตรวจจับได้หมด แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของญาณของแต่ละท่านด้วย ถ้ากำลังสูง เวลาพาสัมผัสละเอียด จะสามารถสัมผัสได้หมดและเลือกรับได้ด้วย เสียงนก เสียงแมลง เสียงต่างๆ มันเลือกรับได้

    เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสว่า..
    รูปนามใกล้ รูปนามไกล
    รูปนามหยาบ รูปนามละเอียด
    รูปนามเลว รูปนามประณีต
    รูปนามอดีต รูปนามอนาคต
    รูปนามปัจจุบัน ก็รับรู้ได้

    สำหรับผู้ที่มีสติตั้งมั่น เราจะมาฝึกวิปัสสนาญาณกัน ไม่ว่าจะเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ใกล้ไกล มันเรียกดึงเข้ามาได้หมด

    เพราะว่าสรรพสิ่ง..มันคือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาภายใต้เนื้อของความว่าง ของจักรวาล หรือของอมตธรรม

    นี่คือการเรียนรู้ด้วยภาษาพระท่านเรียกว่า ญาณทัศนะ การรู้เห็นนตามความเป็นจริง

    มันจะต่างจาก หูทิพย์ ตาทิพย์
    หูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นเรื่องของโลกียธรรม
    จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ หูทิพย์ ตาทิพย์หรอก
    มันคือใจเป็นทิพย์

    แต่ญาณมันต่างออกไป

    การรับรู้ด้วย ญาณ จะไร้การยึดติด

    พอฝึกถึงตรงนี้ จะแยกสิ่งที่สังขตธรรม สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง กับ อมตธรรม ธาตุบริสุทธิ์ที่มันไม่ปรุงแต่ง จนสงัดคืนเข้าไปสู่เนื้อของอมตธรรมล้วนๆ ที่เป็น วิสังขารธรรม

    โยมจะชัดเจนในสภาวะนี้มาก สำหรับคนที่กำลังดีนะ

    ระหว่างฝั่งของทุกข์ คือฝั่งของสังขตธรรม กับฝั่งนิโรธหรือพ้นทุกข์ คือฝั่งของอสังขตธรรม (อมตธรรม) สามารถอยู่ทั้งสองฝั่งหรือเห็นทั้งสองฝั่ง ได้

    แล้วจะรู้แจ้งด้วยตนเองเลยว่า..ฝั่งไหนมันสบายกว่ากัน?

    มันเป็นสัจธรรมเดียวกัน

    สิ่งที่ปรุงแต่ง..ต่อให้วิจิตรพิสดารสักเพียงใด มันก็ยังปรุงแต่งอยู่วันยังค่ำ แล้วโยมจะพบว่า..โลกเราที่ต้องสะสม มีเงินมาก เป็นมหาเศรษฐี มีทรัพย์สมบัติมาก อะไรก็มีมาก

    แต่พอเนื้อแท้จริงๆแล้ว มันไม่มีอะไรเลยโยม มันคือความบริสุทธิ์

    นั่นแหล่ะ ธรรมชาติแท้ๆ
    มันไม่มีอะไรเลย
    มันเป็นความว่างที่บริสุทธิ์
    มันคือความสมบูรณ์แบบด้วย
    ไม่ต้องแสวงหา..ไม่ต้องดิ้นรน
    มีความบริบูรณ์อยู่ตลอดกาล

    แม้เวลาที่เราจมอยู่กับความทุกข์ทรมาน
    จมอยู่กับความมืดมิด
    ธรรมชาตินี้ก็ยังดำรงอยู่..

    แล้วทางโลก มันไม่มีพอหรอก
    อยากได้ ก็อยากได้มากไปเรื่อยๆ
    ไม่มีที่สิ้นสุด..!!

    ตราบใดที่เรายังจมอยู่กับสังขารการปรุงแต่ง เราจะไม่มีทางที่จะพบเจอความสุขที่แท้จริงได้เลย

    จนกว่าเราจะสามารถสลัดคืน หลุดจากความยึดมั่น ถือมั่น คืนสู่อมตธรรม จึงจะพบกับความสงบสุขที่แท้จริงของชีวิตได้

    เพราะฉะนั้น..โอกาสทองของเราที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เราไม่ได้เกิดมาจมกับความทุกข์ทรมาน แต่ก็มาเพื่อพัฒนาตัวเอง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จนเป็นอิสระจากการยึดมั่น ถือมั่น หลุดออกจากการยึดมั่น ถือมั่น คืนสู่อมตธรรม คืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ พบกับความสงบสุขที่แท้จริง

    คือ.. พระนิพพานได้

    พระมหาวรพรต กิตติวโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...