กว่าพระโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย พระศุภกิจ ปภัสสโร, 22 เมษายน 2008.

  1. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    [​IMG] กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ กว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าให้เรากราบไหว้บูชานั้น ล้วนแต่ตั้งความปรารถนามาเนิ่นนาน เริ่มตั้งแต่ความปรารถนาในใจก่อนนับเวลาอย่างน้อย ๗ อสงไขย ปรารถนาด้วยวาจา ๙ อสงไขย ประกาศด้วยกายและวาจาอีก ๔ อสงไขยแสนกัปพระพุทธเจ้าเคยเสวยชาติเป็นโพธิสัตว์ประเภทปัญญาธิกะ เพราะมีกำลังบารมีแรงมาก จากที่ได้ตั้งความปรารถนาไว้กับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ จนนับชาติไม่ถ้วนด้วยจิตคิดว่า เราตรัสรู้แล้วจะให้ผู้อื่นตรัสรู้ด้วย เราพ้นแล้ว จะให้ผู้อื่นพ้นด้วย เราข้ามได้แล้ว จะให้ผู้อื่นข้ามด้วย

    ดังนี้...ย้อนหลังไปเมื่อ ....สี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป มีพระนครหนึ่งนามว่า อมร เป็นเมืองสวยงามน่าดู น่ารื่นรมย์ สมบูรณ์ด้วยข้าว และน้ำ อึกทึกไปด้วยเสียง ๑๐ เสียง. คือ เสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง เสียงสังข์ เสียงกังสดาล เสียงที่ ๑๐ ว่า เชิญกิน เชิญขบเคี้ยว เชิญดื่ม พระนครอันสมบูรณ์ด้วยคุณลักษณะทุกประการ ที่มีสิ่งต้องการทุกชนิด สมบูรณ์ด้วยแก้วเจ็ดประการ ขวักไขว่ไปด้วยเหล่าชนต่างๆ
    มั่งคั่งเป็นดุจเทพนารี เป็นที่อาศัยอยู่ของเหล่าผู้มีบุญ. พราหมณ์ชื่อสุเมธ มีสมบัติสะสมไว้นั้นได้หลายโกฏิ มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงมนต์ได้มาก เรียนจบไตรเพท ถึงความสำเร็จบริบูรณ์ในลักขณศาสตร์ อิติหาสศาสตร์ และในสัทธรรม.
    ต่อมาวันหนึ่ง สุเมธบัณฑิต นั้นไปในที่เร้น ณ พื้นปราสาทชั้นบน นั่งขัดสมาธิคิดความประกอบด้วยเนกขัมมะนี้ ด้วยอุปมาต่างๆ แล้ว สละกองแห่งโภคสมบัตินับไม่ถ้วน ในเรือนของตน แก่เหล่าชนมีคนกำพร้า และคนเดินทางไกลเป็นต้น ตามนัยที่กล่าวมาแล้วแต่หนหลัง ถวายมหาทาน ละวัตถุกามและกิเลสกามแล้ว ออกจากอมรนครคนเดียวเท่านั้น อาศัยภูเขาชื่อธรรมิกะในป่าหิมพานต์ สร้างอาศรม เนรมิตบรรณศาลาและที่จงกรม เนรมิตขึ้นด้วยกำลังแห่งบุญของตน เพื่อจะละเว้นเสียจากโทษแห่งนิวรณ์ทั้งห้า นำมาซึ่งกำลัง กล่าวคืออภิญญาที่ประกอบด้วยเหตุ อันเป็นคุณ ๘ อย่าง ละทิ้งผ้าสาฎกที่ประกอบด้วยโทษ ๙ ประการสำหรับผู้ที่บวชเป็นดาบส .
    เมื่อบวชเป็นฤาษีดำเนินไปหาโคนต้นไม้ซึ่งประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการ เลิกละข้าวต่างๆ หันมาบริโภคผลไม้ที่หล่นจากต้นเอง เริ่มตั้งความเพียรด้วยอำนาจการนั่ง การยืน และการจงกรม ในภายในเจ็ดวันนั่นเอง ก็ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘. ท่านได้บรรลุกำลังแห่งอภิญญาตามที่ปรารถนาไว้นั้น ด้วยประการฉะนี้.
    เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เราคิดอย่างนี้แล้วได้ให้ทรัพย์นั้นได้หลายร้อยโกฏิ แก่คนยากจนอนาถา แล้วเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ ในที่ไม่ไกลแห่งป่าหิมพานต์มีภูเขาชื่อธรรมิกะ เราสร้างอาศรมอย่างดีไว้ เนรมิตบรรณศาลาไว้อย่างดี ทั้งยังเนรมิตที่จงกรมเว้นจากโทษ ๕ ประการไว้ในอาศรมนั้น เราได้กำลังอภิญญาประกอบด้วยองค์แปดประการ. เราเลิกใช่ผ้าสาฎกอันประกอบด้วยโทษ ๙ ประการ หันมานุ่งผ้าเปลือกไม้อันประกอบด้วยคุณ ๑๒ ประการ. เราเลิกละบรรณศาลาที่เกลื่อนกล่นไปด้วยโทษ ๘ ประการ เข้าไปสู่โคนไม้อันประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการ.พระมหาสัตว์กล่าวว่า เราห้ามที่มุงบัง เข้าหาโคนต้นไม้ที่ประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการ เราเลิกละข้าวที่หว่านที่ปลูก โดยไม่มีส่วนเหลือเลย หันมาบริโภคผลไม้หล่นเอง ที่สมบูรณ์ด้วยคุณเป็นอเนกประการ. เราเริ่มตั้งความเพียรในที่นั่ง ที่ยืน และที่จงกรมในอาศรมบทนั้น ภายในเจ็ดวันก็ได้บรรลุ กำลังแห่งอภิญญา เราเลิกละข้าวที่หว่านที่ปลูกโดยเด็ดขาด มาบริโภคผลไม้ที่หล่นเอง ที่สมบูรณ์ด้วยคุณเป็นอันมาก เราเริ่มตั้งความเพียรในการนั่ง การยืน และการเดินจงกรมที่โคนต้นไม้นั้น ในภายในสัปดาห์หนึ่ง ก็ได้บรรลุอภิญญาพละ ดังนี้.

    [​IMG]

    (*) เมื่อสุเมธดาบสบรรลุอภิญญาพละอย่างนี้แล้ว สุข อันเกิดจากสมาบัติ. พระศาสดาทรงพระนามว่า ทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ในการถือปฏิสนธิ การอุบัติขึ้น การตรัสรู้และการประกาศพระธรรมจักร โลกธาตุหมื่นหนึ่งแม้ทั้งสิ้นหวั่นไหว สั่นสะเทือนร้องลั่นไปหมด บุรพนิมิต ๓๒ ประการ ปรากฏขึ้นแล้ว. สุเมธบัณฑิตให้เวลาล่วงเลยไป ด้วยสุขอันเกิดแต่สมาบัติ ไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย ทั้งไม่ได้เห็นนิมิตแม้เหล่านั้นด้วย. ในกาลนั้น พระทศพลทรงพระนามว่า ทีปังกร มีพระขีณาสพสี่แสนห้อมล้อมแล้ว เสด็จจาริกไปตามลำดับ เสด็จถึงนคร ชื่อรัมมกนคร เสด็จประทับ ณ สุทัสนมหาวิหาร. พวกชาวรัมมกนครได้กล่าวว่า ได้ยินว่า พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร ผู้เป็นใหญ่กว่าสมณะ ทรงบรรลุอภิสัมโพธิอย่างยิ่ง ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร เสด็จจาริกไปโดยลำดับ เสด็จถึงรัมมกนคร แล้วเสด็จประทับอยู่ที่ สุทัสนมหาวิหาร. ต่างพากันถือเภสัช มีเนยใสและเนยข้นเป็นต้น และผ้าเครื่องนุ่งห่ม มีมือถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ ณ ที่ใด ก็หลั่งไหลพากันติดตามไป ณ ที่นั้นๆ เข้าไปเฝ้าพระศาสดา แล้วถวายบังคม บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนา แล้วทูลนิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น พากันลุกจากที่นั่ง แล้วหลีกไป.
    (*) ในวันรุ่งขึ้น ต่างพากันตระเตรียมมหาทาน ประดับประดานคร ตกแต่งหนทางที่จะเสด็จมาของพระทศพล. ในที่มีน้ำเซาะก็เอาดินถมทำพื้นที่ดินให้ราบเสมอ โรยทรายอันมีสีดังแผ่นเงิน โปรยปรายข้าวตอกและดอกไม้ ปักธงชายและธงแผ่นผ้า พร้อมด้วยผ้าย้อมสีต่างๆ ตั้งต้นกล้วยและหม้อน้ำเต็มด้วยดอกไม้เรียงรายเป็นแถว.
    (*) ในกาลนั้น สุเมธดาบสเหาะจากอาศรมบทของตน มาโดยทางอากาศ เบื้องบนของพวกมนุษย์เหล่านั้น เห็นพวกเขาร่าเริงยินดีกัน คิดว่า มีเหตุอะไรกันหนอ. จึงลงจากอากาศยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ถามพวกเขาว่า ท่านผู่เจริญ พวกท่านพากันประดับประดาทางนี้ เพื่อใคร ดังนี้. พวกมนุษย์จึงเรียนว่า "ข้าแต่ท่านสุเมธผู้เจริญ ท่านไม่ทราบอะไร พระทศพลทีปังกร ทรงบรรลุสัมโพธิญาณแล้ว ประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จจาริกมาถึงนครของพวกเราแล้ว เสด็จพำนักที่สุทัสนมหาวิหาร. พวกเรานิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นมา จึงตกแต่งทางนี้ที่จะเป็น ที่เสด็จมาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
    เมื่อได้ฟัง สุเมธดาบสก็คิดว่า "แม้เพียงคำประกาศว่า พุทฺโธ(พระพุทธเจ้า) ก็หาได้ยากในโลก จะป่วยกล่าวไปไย ถึงการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า แม้เราก็ควรจะร่วมกับมนุษย์เหล่านั้น ตกแต่งทางเพื่อพระทศพลด้วย. "

    [​IMG]

    ท่านจึงกล่าวกะพวกมนุษย์เหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าพวกท่านตกแต่งทางนี้เพื่อพระพุทธเจ้า ขอจงให้โอกาสส่วนหนึ่งแก่เราบ้าง แม้เราก็จักตกแต่งทาง เพื่อพระทศพลพร้อมกับพวกท่าน. พวกเขาก็รับปากว่า ดีแล้ว. ต่างรู้ว่า สุเมธดาบสมีฤทธิ์ จึงกำหนดที่ว่างซึ่งมีน้ำเซาะให้กล่าวว่า " ท่านจงแต่งที่นี้เถิด แล้วมอบให้ไป.
    สุเมธดาบสยึดเอาปีติ ซึ่งมีพระพุทธเจ้า(พุทฺโธ)เป็นอารมณ์ คิดว่า เราสามารถจะตกแต่ง ที่ว่างนี้ด้วยฤทธิ์ได้. แต่เมื่อเราตกแต่งเช่นนี้ ใจก็จะไม่ยินดีนัก. วันนี้ เราควรจะกระทำการรับใช้ด้วยกาย ดังนี้แล้ว ขนดินมาเทลงในที่ว่างนั้น. เมื่อที่ว่างแห่งนั้น ยังตกแต่งไม่เสร็จเลย

    [​IMG]

    พระทศพลทีปังกร มีพระขีณาสพผู้ได้อภิญญา ๖ มีอานุภาพมาก สี่แสนรูปห้อมล้อม. เมื่อเหล่าเทวดาบูชาอยู่ ด้วยของหอมและดอกไม้ทิพย์ เมื่อสังคีตบรรเลงอยู่ เมื่อเหล่ามนุษย์บูชาอยู่ ด้วยของหอมและดอกไม้ เสด็จเยื้องกรายบนพื้นมโนสิลา ด้วยพระพุทธลีลาอันหาที่สุดมิได้ ประดุจราชสีห์ เสด็จดำเนินมาสู่ทาง ที่ตกแต่งประดับประดาแล้วนั้น.
    สุเมธดาบสลืมตาทั้งสองขึ้น มองดูพระวรกายของพระทศพล ผู้เสด็จดำเนินมาตามทางที่ตกแต่งแล้ว ซึ่งถึงความเลิศด้วยพระรูปโฉม
    ประดับด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ สวยงามด้วยพระอนุพยัญชนะ (ลักษณะส่วนประกอบ) ๘๐ ประการ แวดวงด้วยแสงสว่างมีประมาณวาหนึ่ง เปล่งพระพุทธรัศมีหนาทึบมีสี ๖ ประการออกมาดูประหนึ่งสายฟ้าหลายหลาก ในพื้นท้องฟ้ามีสีดุจแก้วมณี ฉายแสงแปลบปลาบอยู่ไปมาและเป็นคู่ๆ กัน จึงคิดว่า "วันนี้เราควรกระทำการบริจาคชีวิตแด่พระทศพล. เพราะฉะนั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าได้ทรงเหยียบเปือกตม แต่จงทรงย่ำหลังของเรา เสด็จพร้อมกับพระขีณาสพสี่แสน เหมือนทรงเหยียบสะพานแก้วมณีเถิด ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่เราตลอดกาลนาน "
    [​IMG]
    พระมหามุนีทีปังกรผู้เป็นพระชินเจ้า พร้อมกับพระขีณาสพสี่แสน ได้อภิญญา ๖ ผู้คงที่ ปราศจากมลทิน เสด็จดำเนินมาทางนั้น การต้อนรับต่างๆ ก็มีขึ้น กลองมากมายบรรเลงขึ้น เหล่าคนและเทวดาล้วนร่าเริง ต่างทำเสียงสาธุการลั่นไปทั่ว เหล่าเทวดาเห็นพวกมนุษย์ และแม้เหล่ามนุษย์ก็เห็นเทวดา. แม้ทั้งสองพวกนั้นต่างประคองอัญชลี เดินตามพระตถาคตไป. เหล่าเทวดาที่เหาะมาทางอากาศ ก็โรยปรายดอกมณฑารพ ดอกบัวหลวง ดอกปาริฉัตรอันเป็นทิพย์ไปทั่วทุกทิศ. เหล่าคนที่อยู่บนพื้นดินต่าง ก็ชูดอกจำปา ดอก (สัลลชะ) ดอกกระทุ่ม ดอกกากะทิง ดอกบุนนาค ดอกการะเกดไปทั่วทุกทิศ.
    (*) สุเมทดาบส เปลื้องผ้าเปลือกไม้และหนังเสือในที่นั้น ลาดลงบนเปือกตม นอนคว่ำหน้าบนหลังเปือกตมเหมือนสะพานแผ่นแก้วมณี พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยศิษย์จงทรงเหยียบเรา เสด็จไป อย่าได้เหยียบบนเปือกตมเลย. ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เรา ดังนี้. สุเมธดาบสนั้นนอนบนหลังเปือกตมนั้นแล ลืมตาทั้งสอง เห็นพระพุทธสิริของพระทศพลทีปังกร จึงคิดว่า ถ้าเราพึงต้องการ ก็พึงเผากิเลสทั้งปวงหมด แล้วเป็นพระสงฆ์นวกะเข้าไปสู่รัมมกนครได้ แต่เราไม่มีกิจด้วยการเผากิเลส ด้วยเพศที่ใครไม่รู้จัก แล้วบรรลุนิพพาน. ถ้ากระไร เราพึงเป็นดังพระทศพลทีปังกร บรรลุพระอภิสัมโพธิญาณอย่างสูงยิ่ง แล้วขึ้นสู่ธรรมนาวา ให้มหาชนข้ามสงสารสาครได้ แล้วปรินิพพานภายหลัง ข้อนี้สมควรแก่เรา..."เมื่อดำริว่าตนเองมีความพร้อมในการตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเพราะมีความพร้อมด้วยธรรม 8 ประการ จึงกระทำความปรารถนาอันยิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจึงนอนลงทอดกายเป็นสะพานเพื่อพระพุทธเจ้าจะได้ก้าวพระบาทผ่านไปโดยเท้าไม่เปื้อนโคลนตม
    (*) องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรเสด็จมาแล้วทรงยืนที่เบื้องศีรษะของสุเมธดาบส ทรงลืมพระเนตรทั้งสองอันสมบูรณ์ด้วยประสาทมีวรรณะ 5 ประการ ประหนึ่งว่าเปิดสีหบัญชรแก้วมณี ทรงเห็นสุเมธดาบสนอนอยู่เหนือหลังเปือกตม จึงทรงดำริว่าดาบสนี้กระทำความปรารถนาอันยิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าจึงได้นอนอยู่ ความปรารถนาของดาบสนี้จะสำเร็จหรือไม่หนอ จึงทรงส่งอนาคตังสญาณ ใคร่ครวญอยู่ ทรงทราบว่าล่วงสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปแต่กัปนี้ไป ดาบสนี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม พระทีปังกรพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ในท่ามกลางบริษัทว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2008
  2. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า

    [​IMG]

    สุเมธดาบสครั้นได้รับพุทธพยากรณ์ ก็ได้ชื่อว่าเป็น โพธิสัตว์ นับแต่นั้มา ท่านแสดงว่า อภินิหาร ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จักสำเร็จเพราะผู้ตั้งความปราถนา ประกอบด้วย ธรรสโมธานแปดประการ ได้แก่
    1. เป็นมนุษย์
    2. เป็นบุรุษเพศสมบูรณ์
    3. มีเหตุสมบูรณ์ คือ มีนิสัยบารมี พร้อมทั้งการปฎิบัติประมวลกัน เป็นเหตุที่จะให้บรรลุพระอรหัตต์ในอัตภาพนั้นได้แล้ว แต่เพราะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า จึงยังไม่สำเร็จก่อน
    4. ได้เห็นพระศาสดา คือ ได้เกิดทัน และได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
    5. บรรพชา คือ ถือบวชเป็นนักบวช เช่น ฤษี ดาบส ไม่ใช่เป็นคฤหัสถ์
    6. ถึงพร้อมด้วยคุณ คือ ได้อภิญญา 5 สมาบัติ 8 หมายถึงการได้สมาธิจิตอย่างสูง จนจิตบังเกิด ความรู้ ความเห็น อย่างมีตา มีหู รับรู้เห็นเกินมนุษย์สามัญ ที่เรียกว่า ตาทิพย์ หูทิพย์
    7. ถึงพร้อมด้วยอธิการ คือ การกระทำอันยิ่งจนถึงอาจบริจาคชีวิตของตน เพื่อพระพุทธเจ้าได้
    8. มีฉันทะ คือ มีความพอใจ มีอุตสาหพยายามยิ่งใหญ่ จนเปรียบเหมือนว่า ยอมแบกโลกทั้งโลก เพื่อนำไปสู่แดนเกษมได้ หรือเปรียบเหมือนว่ายอมเหยียบย่ำโลกทั้งโลกที่เต็มไปด้วยขวากหนาม หอกดาบ และถ่านเพลิงไปได้ ท่านผู้ประกอบด้วยธรรมสโมธานแปดนี้ ทำอภินิหาร
    ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในสำนักของพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ความปรารถนาของท่านย่อมสำเร็จได้ สุเมธดาบส มีธรรมสโมธานแปดประการบริบูรณ์ จึงมีอภินิหารปราถนาพุทธภูมิได้ ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์ก็ได้บำเพ็ญ พุทธการธรรมสิบประการ ได้แก่
    1. บำเพ็ญทาน สละบริจาคสิ่งทั้งปวงจนถึงร่างกาย และชีวิตให้ได้หมดสิ้น เหมือนอย่างเทภาชนะใส่น้ำคว่ำจนหมดน้ำ
    2. บำเพ็ญศีล รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต เหมือนอย่างเนื้อทรายรักษาขนยิ่งกว่าชีวิต
    3. บำเพ็ญเนกขัมม์ ออกจากกาม จากบ้านเรือน เหมือนอย่างมุ่งออกจากพันธนาคาร
    4. บำเพ็ญปัญญา เข้าหาศึกษา ไต่ถามบัณฑิต โดยไม่เว้นว่าจะเป็นบุคคลมีชาติชั้นวรรณะต่ำ ปานกลางหรือสูง เหมือนอย่างภิกษุเที่ยวบิณฑบาตรับไปตามลำดับ ไม่เว้นแม้นที่ตระกูลต่ำ
    5. บำเพ็ญวิริยะ มีความเพียร ไม่ย่อหย่อนทุกอิริยาบท เหมือนอย่างสีหราชมีความเพียรมั่นคงในอิริยาบททั้งปวง
    6. บำเพ็ญขันติ อดทนทั้งในคำยกย่อง ทั้งในการดูหมิ่นแคลน เหมือนอย่างแผ่นดินใครทิ้งของสะอาด หรือไม่สะอาดก็รองรับได้ทั้งนั้น
    7. บำเพ็ญสัจจะ รักษาความจริงไม่พูดเท็จทั้งที่รู้ แม้ฟ้าจะผ่าเพราะเหตุไม่พูดเท็จ ก็ไม่ยอมพูดเท็จ เหมือนอย่างดาวโอสธี ดำเนินไปในวิถีของตน เที่ยงตรงทุกฤดู
    8. บำเพ็ญอธิฐาน ตั้งใจมุ่งมั่นไม่หวั่นไหว คือเด็ดเดียวแน่นอนในสิ่งที่อธิษฐานใจไว้ เหมือนอย่างภูเขาหิน ไม่หวั่นไหวในเมื่อถูกลมกระทบทุกทิศ
    9. บำเพ็ญเมตตา แผ่มิตรภาพไมตรีจิต ไม่คิดโกรธอาฆาต มีจิตสม่ำเสมอเป็นอันเดียวทั้งในผู้ให้คุณ ทั้งในผู้ไม่ให้คุณหรือให้โทษ เหมือนน้ำแผ่ความเย็นไปให้อย่างเดียวกันแก่คนทั้งชั่วทั้งดี
    10. บำเพ็ญอุเบกขา วางจิตมัธยัสถ์เป็นกลาง ทั้งในคราวสุขในคราวทุกข์ เหมือนอย่างแผ่นดิน เมื่อใครทิ้งของสะอาดหรือไม่สะอาดลงไปก็มัธยัสถ์เป็นกลาง พุทธการธรรมสิบประการนี้เรียกว่า บารมี แปลว่าอย่างยิ่ง หมายถึงว่าเต็มบริบูรณ์ บำเพ็ญจนเต็มบริบูรณ์ เมื่อใดก็สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อนั้น พระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบารมี นับตั้งแต่ได้รับพยากรณ์ จากพระทีปังกรพุทธเจ้า ตลอดเวลาสี่อสงไขยแสนกัป ผ่านพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้ในกัปนั้นๆ
    นับแต่พระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นต้นมาถึง 24 พระองค์ พระองค์นั้น เป็นการนับแต่พระองค์แรกที่พระโคดมพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
    ได้ทรงพบและทรงได้รับการพยากรณ์ว่าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
    มีดังนี้ *1.พระทีปังกร* 2.พระโกณฑัญญะ 3.พระมังคละ 4.พระสุมนะ 5.พระเรตวะ 6.พระโสภิตะ 7.พระอโนมทัสสี 8.พระปทุมะ 9.พระนารทะ 10.พระปทุมมุตตระ 11.พระสุเมธะ 12.พระสุชาตะ 13.พระปิยทัสสี 14.พระอัตถทัสสี 15.พระธัมมทัสสี 16.พระสิทธัตถะ 17.พระติสสะ 18.พระปุสสะ 19.พระวิปัสสี 20.พระสิขี 21.พระเวสสภู 22.พระกกุสันธะ 23.พระโกนาคมน์ 24.พระกัสสปะ
    จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า บารมีที่บำเพ็ญมาโดยลำดับ แบ่งเป็น 3 ขั้น
    ขั้นสามัญเรียกบารมีเฉย ๆ ขั้นกลางเรียกว่าอุปบารมี และขั้นสูงสุดเรียกว่าปรมัตถบารมี แต่นั้นมาก็ทรงบำเพ็ญบารมี 10 ประการ มีทานบารมีเป็นต้น อุเบกขาบารมีเป็นที่สุด ได้บำเพ็ญบารมีเป็นเวลานานนับด้วยกัลป์ สิ้นภพสิ้นชาตินับประมาณมิได้ ในภพชาติสุดท้ายได้บังเกิดเป็น
    พระเวสสันดร ทรงสร้างทานบารมีอย่างยอดเยี่ยม เมื่อสิ้นจากชาตินั้น ก็ได้ไปอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต
    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ - พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
    พระพุทธเจ้ามี 3 ประเภท ได้แก่
    1.ปัญญาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ
    2. ศรัทธาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ
    3. วิริยะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ
    โดยแบ่งการบำเพ็ญเพียรออกเป็น 3 ระยะ
    ระยะแรก ตั้งพระปณิภาณในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อนำสัตว์โลเข้าสู่นิพพาน ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะได้เป็นหรือไม่ใช้เวลาบำเพ็ญธรรม ต่อเป็นเวลา
    ปัญญาพุทธเจ้า 7 อสงไขย
    ศรัทธาพุทธเจ้า 14 อสงไขย
    วิริยะพุทธเจ้า 28 อสงไขย
    จึงเข้าสู่ระยะที่สอง แสดงความปรารถนาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าองค์ก่อน จะกลายเป็น อนิยตะโพธิสัตว์ ซึ่งจะถึงนิพพานแน่นอน แต่อาจจะล้มเลิกการเป็นพระพุทธเจ้าแล้วเป็นพระอรหันต์ หรือ พระปัจเจกพุทธเจ้าใช้เวลาบำเพ็ญธรรมต่อเป็นเวลา
    ปัญญาพุทธเจ้า 9 อสงไขย
    ศรัทธาพุทธเจ้า 18 อสงไขย
    วิริยะพุทธเจ้า 36 อสงไขย
    จึงเข้าสู่ระยะที่สาม รับพุทธพยากรณ์ต่อหน้าพระพุทธเจ้า จะกลายเป็น นิยตะโพธิสัตว์ ซึ่งพุทธพยากรณ์นั้นจะจริงแท้ไม่เคยเท็จ นั่นคือ นิยตะโพธิสัตว์ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อมา
    ใช้เวลาบำเพ็ญธรรม ต่อเป็นเวลา
    ปัญญาพุทธเจ้า 4 อสงไขยกำไรแสนกัป (หมายถึงเศษแสนกัป)
    ศรัทธาพุทธเจ้า 16 อสงไขยกำไรแสนกัป (หมายถึงเศษแสนกัป)
    วิริยะพุทธเจ้า 32 อสงไขยกำไรแสนกัป (หมายถึงเศษแสนกัป)
    จึงเป็นพระพุทธเจ้ารวมการบำเพ็ญบารมี
    ปัญญาพุทธเจ้า 20 อสงไขยกำไรแสนกัป (หมายถึงเศษแสนกัป)
    ศรัทธาพุทธเจ้า 40 อสงไขยกำไรแสนกัป (หมายถึงเศษแสนกัป)
    วิริยะพุทธเจ้า 80 อสงไขยกำไรแสนกัป (หมายถึงเศษแสนกัป)
    จึงเป็นพระพุทธเจ้า
    ------------------------------------------
    การนับเวลา
    กัป คือ การที่โลกและจักรวาล เกิดและดับไป 1 ครั้ง
    อสงไขย คือ นำจำนวน 10กัป ยกกำลัง 104
    ------------------------------------------
    ผู้พ้นทุกข์ เข้าสู่นิพพานมี 3 ลักษณะ
    1. พระอรหันต์ คือ พระสาวกของพระพุทธเจ้าในแต่ละกาลสมัย
    2. พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ด้วยตนเอง แต่มิได้บำเพ็ญเพียร เพื่อสั่งสอนผู้ใด
    3. พระพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ด้วยตนเอง และ ตั้งสัตยาบารมีธิษฐาน เพื่อโปรดสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2008
  3. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    พุทธพยากรณ์ 24 พระองค์

    นับตั้งแต่เริ่มตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ๑ ดำริอยู่แต่ในพระทัย ๑ และทรงเปล่งพระวาจา ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ๑ ได้พบ ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติธรรมในสำนักของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในที่นี้จะขอกล่าวเริ่มตั้งแต่พระองค์ได้อัตตภาพเป็นสุเมธดาบส ทรงบำเพ็ญบารมีมาแล้ว ๑๖ อสงไขยกำไรอีกแสนกัปมาแล้ว และได้รับการพยากรณ์ในสำนักของพระพุทธเจ้าว่า นับต่อแต่นี้ อีก ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป จะได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ดังจะพรรณนาต่อไปนี้ <TABLE id=table1 height=25 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG] </TD><TD class=nor2 height=25>สุเมธดาบส พระทีปังกรพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG] </TD><TD class=nor2 height=25>กษัตริย์วิชิตาวี พระโกณฑัญญพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>พราหมณ์สุรุจิ พระมงคลพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>พญานาคราชมีฤทธิ์มากอตุละ พระสุมนพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>พราหมณ์อติเทพ พระเรวตพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>พราหมณ์สุชาติ พระโสภิตพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>ยักษ์มีฤทธิ์มาก พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>พญาราชสีห์ พระปทุมพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>ชฏิลผู้มีตบะ พระนารทพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>ชฎิลชื่อว่ารัฏฐิกะ พระปทุมุตรพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>อุตรมาณพ พระสุเมธพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>พระเจ้าจักรพรรดิผู้มีพลนิกายมาก พระสุชาตพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>กัสสปมาณพ พระปิยทัสสีพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>ชฎิลสุสิมะ พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>ท้าวปุรินททสักกเทวราช พระธรรมทัสสีพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>ดาบสมงคล พระสิทธัตถพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>พระมหากษัตริย์สุชาต พระติสสพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>พระมหากษัตริย์วิชิต พระปุสสพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>พระยานาคราชอตุละ พระวิปัสสีพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>กษัตริย์อรินทมะ พระสิขีพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>กษัตริย์สุทัสนะ พระเวสสภูพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>กษัตริย์เขมะ พระกกุสันธพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>กษัตริย์บรรพต พระโกนาคมนพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>มาณพโชติปาละ พระกัสสปพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25>[​IMG]</TD><TD class=nor2 height=25>เจ้าชายสิทธัตถะ พระโคตมพุทธเจ้า </TD></TR><TR><TD align=right width=82 height=25></TD><TD class=nor2 height=25></TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระโพธิสัตว์ทรงสร้างคุณงามความดีในสำนัก ของพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ มีพระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นต้น มาถึงตลอด ๔ อสงไขยยิ่งด้วย แสนกัป ต่อจากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า "กัสสปะ" ไม่มีพระพุทธเจ้า องค์อื่น เว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นี้ ก็พระโพธิสัตว์ได้รับคำพยากรณ์ ใน สำนักของพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ มีพระทีปังกรเป็นต้น ดังได้พรรณนามานี้
     
  4. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    พระพุทธเจ้าทุกๆองค์เข้าถึงความไม่มีรูปกาย
     
  5. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ธรรมมะที่สวน มะขาม ที่กระท่อมหน้าสวนมะม่วง
    กับหูทิพย์ ตาทิพย์ ใจแก้ว ได้ยินได้เห็นความคิดในห้องความคิด ของพี่สะใภ้คนโตในห้องพระ พี่ป้อมถามพระพุทธรูปว่า หลวงพ่อค่ะ รวิพันธุ์จะสำเร็จไหมค่ะ ได้ยินเต็มสองรูหู พระพุทธรูป ตอบคำอธิฐานของพี่สะใภ้ ว่ารวิพันธุ์จะสำเร็จ และตัวของรวิพันธุ์เอง
    เหละจะเป็นพระเจ้า



    ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลกหรือไม่ก็ตาม ธรรมทั้งหลายก็มีอยู่ก่อนแล้วพระพุทธเจ้าทั้งหลายแค่ทรงค้นพบ และนำออกตีแผ่ให้เข้าใจง่ายขึ้น
     
  6. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เพชรบูรณ์หนองไผ่

    ธรรมมะที่สวน มะขาม ที่กระท่อมหน้าสวนมะม่วง
    กับหูทิพย์ ตาทิพย์ ใจแก้ว ได้ยินได้เห็นความคิดในห้องความคิด ของพี่สะใภ้คนโตในห้องพระ พี่ป้อมถามพระพุทธรูปว่า หลวงพ่อค่ะ รวิพันธุ์จะสำเร็จไหมค่ะ ได้ยินเต็มสองรูหู พระพุทธรูป ตอบคำอธิฐานของพี่สะใภ้ ว่ารวิพันธุ์จะสำเร็จ และตัวของรวิพันธุ์เอง
    เหละจะเป็นพระเจ้า


    ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลกหรือไม่ก็ตาม ธรรมทั้งหลายก็มีอยู่ก่อนแล้วพระพุทธเจ้าทั้งหลายแค่ทรงค้นพบ และนำออกตีแผ่ให้เข้าใจง่ายขึ้น
     
  7. ครุกแชง

    ครุกแชง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +67
    คนบางคนปรารถนาพุทธภูมิในชาตินี้ แล้วก็ลาในชาตินี้ แต่ใจยังนึกเสียดายอยู่แล้วก็สับสนว่าจะปรารถนาดีหรือไม่ปรารถนาดี แสดงว่าคนๆนี้เคยปรารถนามาในอดีตชาติหรือเปล่าคะ
     
  8. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่เพียรสร้างบุญบารมีเพื่อเข้าสู่แดนทิพย์พระนิพพานบรมสุข ไม่ว่าท่านจะปรารถนาพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ หรือสาวกภูมิ เมื่อบุญบารมีถึงพร้อมแล้ว ขอท่านจงได้บรรลุธรรม มรรค 4 ผล 4 โดยฉับพลันเทอญ สาธุๆๆ
    ................................................................................
    "นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ"
     
  9. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เป็นที่น่าเสียดายพี่ขาวผู้หญิงที่ลาพุทธภูมิ แต่ถ้าไปต่อก็อยู่กับสิ่งที่ไปไม่รอด

    แสดงว่า คนนี้ตั้งความปรารถนา มายังไม่เต็มขีด พุทธภูมิก็สามารถกลับคำลา
    พุทธภูมิ ขอแค่สาวกภูมิ ได้ครับ นานไปอารมณ์ ก็จะไม่แข่งบารมีกับพระพุทธเจ้า และจะยอมให้พระพุทธเจ้านำพาชีวิต

    อย่างที่ว่า พระพุทธเจ้าทุก ๆ องค์ไม่ได้สอนให้ใครเป็นทาสพระพุทธเจ้า
    มีแต่ท่านสอนให้พระสาวกเป็นไทย

    คำกล่าวลาพุทธภูมิ

    <HR>[​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    สวดมนต์สรรเสริฐ พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วกล่าวว่า "ข้าพระพุทธเจ้า.........ชื่อ-นามสกุล........ ขอกราบพระยุคลบาท ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมโลกนาถ จอมไตรบรมครู ต่อองค์พระโพธิสัตว์ทั้งปวง อันมีองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเป็นประธาน ต่อองค์สหัมบดีพรหมซึ่งเป็นอธิบดีพรหม ต่อองค์ท่าวสักกะเทวะราช องค์อินทราชผู้เป็นใหญ่ในกามาวจร ต่อองค์จตุโลกบาลผู้คุ้มครอง
    ข้าพระพุทธเจ้าขอตั้งสัตย์ปฏิญาณต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมโลกนาถ จอมไตรบรมครู ไม่ปรารถนาพระพุทธภูมิ ไม่ปราถนาพระโพธิสมบัติ ไม่ปราถนาพระโพธิญาณเป็นที่หมายอีกต่อไป
    ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมนมัสการสักการะต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพรพุทธะสมณโคดมบรมครู ว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายตัวเป็นพุทธสาวกต่อเบื้องพระยุคลบาท ขอจงทรงพระราชทานพร สติปัญญาให้มีอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา สำเร็จมรรคผล พระนิพพาน ตามพระธรรมเจ้าของพระพุทธองค์ในปัจจุบันนี้เเถิด
    แล้วต่อท้ายด้วยบท อิติปิโส 8 ทิศ บารมี 10 ทัศ แล้วไหว้พระทำสมาธิ 10 นาที ถ้ามีอะไรอย่าฝืน


    เมื่อสองวันก่อน เป็นที่น่าเสียดายได้มีผู้ละพุทธภูมิ ไปหนึ่ง
    ผมได้ทดสอบอารมณ์ ว่ามีความเสียดายอาลัยเพราะว่าในใจยังคงอาลัยอาวรณ์ต่อ พระสัพพัญญุตญาณหรือไม่ พี่ขาวก็ยืนยัน สามครั้งว่าไม่เอาแล้ว<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD class=j>

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD class=j>พระสัพพัญญุตญาณ หมายถึง พระญาณที่รู้สิ่งทั้งปวง พระญาณนี้ไม่มีแก่บุคคลทั่วไป คือ มีเฉพาะบุคคลผู้เลิศผู้เดียวในแต่ละยุค คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น พี่ขาวก็ว่าไม่เอาแล้ว ทุกข์ก็ทุกข์คนเดียว บททดสอบแต่ละครั้งมีแต่โหด ๆ อะไร ๆ ก็เราอีกแล้ว ผมก็อนุญาตให้เธอลาพุทธภูมิได้
    พี่ขาวก็กลับคำ ลดกำลังลงขอจบ ลงแค่สาวกภูมิ ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธโคดมบรมครู


    ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลกหรือไม่ก็ตาม ธรรมทั้งหลายก็มีอยู่ก่อนแล้วพระพุทธเจ้าทั้งหลายแค่ทรงค้นพบ และนำออกตีแผ่ให้เข้าใจง่ายขึ้น



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 เมษายน 2008
  10. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    พระผู้มีพระภาคทรง
    พระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เอง
    โดยชอบ ที่ว่าตรัสรู้ ก็คือพระองค์มาเห็นความเกิดดับอยู่ ทุกขณะจิต
    ส่วนที่พุทธบริษัทว่าพระองค์ ทรงคิดออก
    ความรู้ของมนุษย์นั้นมีสองลักษณะ คือ ความรู้ที่เกิดจากการคิดในแนวเหตุผล และความรู้ที่ผุดขึ้นในใจหรือญาณทัศน์
     

แชร์หน้านี้

Loading...