เรื่องเด่น หลงคิดไปเองว่าได้ทิพยจักษุ ( สาระจากคำสอนหลวงพ่อฤาษีฯวัดท่าซุง)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 15 พฤษภาคม 2018.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    หมวดอภิญญาตอนที่ ๓
    ฉะนั้นพวกเราก็เหมือนกัน คณะของพวกเรานี่ผมทราบว่ายังมีการหลงผิดกันอยู่มาก บางท่านไปประสบพบอารมณ์อย่างที่ผมว่านี้ แต่ก็จิตคิดไปว่าเราได้ดีคือเราได้ทิพพจักขุญาน ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้รีบถอยหลังเสีย คำว่า ถอยหลัง หมายถึงถอนความรู้สึกนั้นเสีย มันจะเกิดความเสียหายกับท่าน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านจะไม่ก้าวเข้าไปสู่ความดี อารมณ์อุปจารสมาธินี่นักเจริญพระกรรมฐานจริงๆ เขาไม่ใช้ จะประสบพบภาพอะไร ได้ยินเสียงอะไรก็ตาม เขาไม่ใช้กันหรอก ยังถือว่าไม่ใช่สาระไม่ใช่แก่นสาร แต่ทว่าคนที่มีความทะนง จุดนี้แหละเป็นจุดสำคัญ ที่มีความทะนงทำลายตัวเองให้พินาศไปจากกำลังของความดีที่จะพึงได้ โดยเข้าใจว่าตนเองได้ดีแล้ว อันนี้จงจำไว้ให้ดีนะ จำไว้นะวันนี้จะพูดเฉพาะอาการ

    ทีนี้มาพูดถึงคนที่เขาได้ทิพพจักขุญาน ทิพพจักขุญานนี่ก็ต้องวัดระดับเป็นฌานโลกีย์ เป็นพระอริยเจ้า คือพระโสดาฯ พระสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสว่างไสวแจ่มใสชัดเจนมั่นคงไม่เสมอกัน แต่นั่นก็ช่างเถอะผมจะไม่อธิบาย จะอธิบายแต่เพียงว่าท่านที่ได้ทิพพจักขุญานนั้นต้องฝึกฝนโดยตรงเฉพาะ เพราะว่าวิชาเฉพาะทิพพจักขุญานเขามีอยู่ จะไปจับผลัดจับพลูอึกอักก็ให้มันได้โดยไม่ใช้วิชชาเฉพาะนั้นไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ใช่สัพพัญญูวิสัย เราเป็นสาวก มีพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่เมื่อถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วอะไรๆ ก็ได้หมด สำหรับพระสาวกนี่จะต้องเรียนเฉพาะกิจ เว้นไว้แต่ว่าท่านผู้นั้นเคยได้ญาณนี้มาแล้วในชาติก่อน แต่พอกำลังจิตเข้าถึงก็สามารถจะรู้ได้
    แต่อย่างนี้เป็นที่สังเกตไม่ยาก ผู้ที่เขาได้มาก่อน เจริญสมาธิพอจิตถึงฌานนิดเดียวของเก่ากลับมาหมด อันนี้สังเกตไม่ยาก เพียงได้ยินคำพูดคำเดียวก็รู้แล้ว ว่าท่านผู้นั้นมีทุนมาก่อนหรือไม่มีทุนมาก่อน ถ้าเขามีทุนมาก่อนจะไม่มีวาจาที่เฝือออกมาแม้แต่คำเดียว นี่เรามาพูดกันถึงการฝึก อาการที่เขาได้ทิพพจักขุญานจริงๆ น่ะเขารู้จริงๆ แต่ว่าอาการรู้นี่จะต้องระวัง ถ้าพวกเป็นพวกฌานโลกีย์นี่มีอารมณ์หลงมากและมีอุปทานกินมาก ถ้าบุคคลผู้นั้นยังใช้กำลังใจของตนเองเป็นเครื่องได้ยิน เป็นเครื่องรับทราบจากเสียง และเป็นเครื่องเห็นภาพ ถึงแม้ว่าจะได้ทิพพจักขุญานก็ยังถือว่ายังใช้ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ากำลังใจของท่านที่ยังไม่ถึงอรหัตตผลยังไงๆ ก็ตามกิเลสมันก็ขวางหน้าท่านได้ ถ้ายิ่งได้ฌานโลกีย์ยิ่งไปกันใหญ่ ของนิดเดียวภาพหลอนก็จะปรากฏ นี่ว่ากันถึงฌานโลกีย์

    แม้แต่พวกพระอริยเจ้าก็ตาม “ถ้ายิ่งเป็นพระอริยเจ้าด้วยแล้วเขายิ่งไม่ไว้ใจตัวเองอย่างยิ่ง เมื่อได้ทิพพจักขุญานแล้วนับแต่พระโสดาบันขึ้นไป เขาก็ใช้กำลังใจติดต่อเฉพาะ คำว่าเฉพาะในที่นี้เฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” หากว่าท่านจะถามว่าเราจะติดต่อพระพุทธเจ้าได้ยังไง ตอนนี้ผมก็ขอตอบว่าให้ท่านฝึกทิพพจักขุญานให้คล่องเสียก่อน แล้วก็ทำใจของท่านให้เข้าถึงพระโสดาบันเสียแล้วเวลาที่เราต้องการจะพบจะเห็นอะไรน่ะเขาใช้อารมณ์แบบนี้...ต้องสร้างนิมิตคือ ทิพพจักขุญานนั้นให้มีอารมณ์แจ่มใสคือ “ดูใจของเราเองให้มันแจ่มใส ต้องเห็นกระแสจิตของตนเอง เห็นกระแสจิตของตัวเองแจ่มใสจนกระทั่งไม่มีสีอื่นเจือปน มีสีเป็นแก้วใสเป็นประกายสวยสดงดงาม นี่แสดงว่าจิตว่างจากกิเลสแล้ว จิตตัวนี้ว่างจากกิเลส กิเลสไม่ยุ่ง ถ้าจิตมีกิเลสมันยุ่งนิดเดียว เดี๋ยวมันก็ถูกหลอก”

    เมื่อจิตว่างจากกิเลสมีกระแสใสผ่องเต็มที่ ตอนนี้เราจะพบองค์สมเด็จพระมหามุนีได้อย่างไม่ยาก และเราเห็นท่านก็แจ่มใส เห็นท่านได้แจ่มใส เวลาจะพูดจะคุย จะทูลถามอะไร พระองค์จะตรัสอะไรก็ชัดเจน จะนั่งอยู่นานแสนนานเท่าไรก็ได้ จะพูดกันมากเท่าไรก็ได้ นั่งอยู่ตรงนี้จะคุยกับสัตว์นรก คุยกับเปรต คุยกับอสุรกาย คุยกับพระยายม คุยกับเทวดา คุยกับพรหม คุยกับพระอริยเจ้าก็ได้ เหมือนกับนั่งอยู่ใกล้ๆ กัน แต่อารมณ์ของทิพพจักขุญานนี่เขาใช้ได้ทุกขณะ ไม่ใช่ต้องไปนั่งทำจิตให้เป็นสมาธิให้อารมณ์สบาย แล้วเห็นภาพว๊อบ ๆ แว๊บๆ ได้ยินเสียงบ้างอะไรบ้าง นี่เป็นอารมณ์เฝือ

    ((( โปรดติดตาม ตอนที่ ๔ ตอนจบ)))

    อ้างอิง – หนังสือ คือมือปฏิบัติคู่วัดท่าซุง เล่ม ๒ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) จ.อุทัยธานี


    32423291_959080590918688_2756039028754087936_n.jpg

    32459344_958554064304674_7235362319851585536_n.jpg


    ******************************************************************************************


     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    วิชชา ๘ ประการ
    ๑. วิปัสสนาญาณ
    [๒๓๔] เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก
    ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ภิกษุนั้น
    น้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ รู้ชัดอย่างนี้ว่า ‘กายของเรานี้คุมกันเป็นรูปร่าง
    ประกอบขึ้นจากมหาภูตรูป ๔ เกิดจากบิดามารดา เจริญวัยเพราะข้าวสุกและขนมสด
    ไม่เที่ยงแท้ ต้องอบ ต้องนวดเฟ้น มีอันแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา วิญญาณ
    ของเราอาศัยและเนื่องอยู่ในกายนี้’…ฯลฯ....

    ๒. มโนมยิทธิญาณ
    [๒๓๖] เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก
    ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ภิกษุนั้น
    น้อมจิตไปเพื่อเนรมิตกายที่เกิดแต่ใจ คือ เนรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปที่เกิดแต่ใจ
    มีอวัยวะครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง…ฯลฯ....

    ๓. อิทธิวิธญาณ
    [๒๓๘] เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก
    ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ภิกษุนั้น
    น้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธญาณ แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียวแสดงเป็นหลายคน
    ก็ได้ หลายคนแสดงเป็นคนเดียวก็ได้ แสดงให้ปรากฏหรือให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา กำแพง
    (และ)ภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นหรือดำลงในแผ่นดินเหมือนไป
    ในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำโดยที่น้ำไม่แยกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ นั่งขัดสมาธิเหาะไป
    ในอากาศเหมือนนกบินไปก็ได้ ใช้ฝ่ามือลูบคลำดวงจันทร์ดวงอาทิตย์อันมีฤทธิ์มาก
    มีอานุภาพมากก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกก็ได้…ฯลฯ....

    ๔. ทิพพโสตธาตุญาณ
    [๒๔๐] เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก
    ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ภิกษุนั้น
    น้อมจิตไปเพื่อทิพพโสตธาตุญาณได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์
    ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยหูทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์…ฯลฯ....

    ๕. เจโตปริยญาณ
    [๒๔๒] เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก
    ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ภิกษุน้อมจิต
    ไปเพื่อเจโตปริยญาณ กำหนดรู้จิตของสัตว์และคนอื่นด้วยจิตของตน คือ จิตมีราคะ
    ก็รู้ว่ามีราคะ หรือปราศจากราคะก็รู้ว่าปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่ามีโทสะ หรือ
    ปราศจากโทสะก็รู้ว่าปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่ามีโมหะ หรือปราศจากโมหะก็รู้
    ว่าปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าหดหู่ หรือฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหัคคตะ
    ก็รู้ว่าเป็นมหัคคตะ หรือไม่เป็นมหัคคตะก็รู้ว่าไม่เป็นมหัคคตะ จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้
    ว่ามีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิก็รู้ว่า
    เป็นสมาธิ หรือไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่าไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าหลุดพ้น หรือไม่
    หลุดพ้นก็รู้ว่าไม่หลุดพ้น…ฯลฯ....

    ๖. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    [๒๔๔] เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก
    ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ภิกษุนั้น
    น้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ ๑ ชาติบ้าง
    ๒ ชาติบ้าง ๓ ชาติบ้าง ๔ ชาติบ้าง ๕ ชาติบ้าง ๑๐ ชาติบ้าง ๒๐ ชาติบ้าง
    ๓๐ ชาติบ้าง ๔๐ ชาติบ้าง ๕๐ ชาติบ้าง ๑๐๐ ชาติบ้าง ๑,๐๐๐ ชาติบ้าง
    ๑๐๐,๐๐๐ ชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมาก
    บ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปและวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่า ‘ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น
    มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร เสวยสุขทุกข์ และมีอายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้นก็ไป
    เกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร เสวย
    สุขทุกข์ และมีอายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้นจึงมาเกิดในภพนี้’ เธอระลึกชาติก่อน
    ได้หลายชาติพร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติอย่างนี้…ฯลฯ....

    ๗. ทิพพจักขุญาณ
    [๒๔๖] เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก
    ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ภิกษุนั้น
    น้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ เห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังเกิด ทั้งชั้นต่ำและชั้นสูง
    งามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ รู้ชัดถึงหมู่
    สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า ‘หมู่สัตว์ที่ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต
    กล่าวร้ายพระอริยะ มีความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นผิด
    พวกเขาหลังจากตายแล้วจะไปบังเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แต่หมู่สัตว์ที่
    ประกอบกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ไม่กล่าวร้ายพระอริยะ มีความเห็นชอบ
    และชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบ พวกเขาหลังจากตายแล้วจะไป
    บังเกิดในสุคติโลกสวรรค์’ เธอเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังเกิด ทั้งชั้นต่ำและชั้นสูง
    งามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ รู้ชัดถึงหมู่
    สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมอย่างนี้แล…ฯลฯ....

    ๘. อาสวักขยญาณ
    [๒๔๘] เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก
    ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ภิกษุนั้น
    น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้
    ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้
    อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา’ เมื่อเธอรู้เห็นอยู่อย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นจากกามาสวะ
    ภวาสวะ และอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ‘ชาติสิ้น
    แล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็น
    อย่างนี้อีกต่อไป’ …ฯลฯ....
    ดูรายละเอียดใน สามัญญผลสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
    http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=2
    *****************
    วิชชา ๘ ประการ
    ๑. วิปัสสนาญาณ คือ ญาณที่เป็นวิปัสสนา
    ๒. มโนมยิทธิญาณ คือ ญาณที่ทำให้มีฤทธิ์ทางใจ
    ๓. อิทธิวิธญาณ คือ ญาณที่ทำให้แสดงฤทธิ์ต่างๆได้
    ๔. ทิพพโสตธาตุญาณ คือ ญาณที่ทำให้มีหูทิพย์
    ๕. เจโตปริยญาณ คือ ญาณที่ทำให้กำหนดใจผู้อื่นได้
    ๖. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
    ๗. ทิพพจักขุญาณ คือ ญาณที่ทำให้มีตาทิพย์
    ๘. อาสวักขยญาณ คือ ญาณที่ทำให้สิ้นอาสวะ



    ofxSbDWIDROOnWrv3-SCbhMnXEjZTMdlEqQcX9lI4u-2&_nc_ohc=BcOaR-Yi9NQAX8e9ZNU&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    vQuvDSHt8tEQovhwLbNmD97BNWs1oAe112&_nc_ohc=cUsoFaFcqC4AX-l6LGx&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.jpg


    269c.png #เมื่อจิตเข้าสู่อุปจราสมาธิก็จะมีปีติเกิดขึ้น 269c.png

    1f64f.png ... " #อาการของปีติมีอยู่5อย่าง " ...
    แต่ว่าไม่มีใครทุกคนผ่านถึง 5 หรอกนะ เว้นไว้แต่ปรารถนาพุทธภูมิ.!!
    1f64f.png ... #ถ้าไม่ใช่วิสัยพุทธภูมิไม่ผ่านทั้ง5อย่าง
    ... #ถ้าเป็นวิสัยพุทธภูมิต้องผ่านทั้ง5อย่างแล้วก็ผ่านช้าด้วย.!!

    1f64f.png #ถ้าเป็นสาวกภูมิเฉยๆบางครั้งบางท่านก็ผ่านอย่างสองอย่าง_บางคนก็ไม่ผ่านเลย.!!
    1f64f.png ... #ที่ไม่ผ่านก็เพราะว่าสั่งสมบารมีมามาก
    1f64f.png ... #เมื่อเข้าถึงจุดก็วิ่งไปถึงฝั่งเลยไม่ขังอยู่แค่อุปจารสมาธิ
    ... #ถ้าจะสัมผัสอุปจารสมาธิอย่างมากก็แค่วันสองวันก็ผ่านไปเลย

    1f64f.png #ก็จะขอพูดถึงอาการปีติ5อย่างไว้เพื่อเป็นความเข้าใจ เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทเห็นหน้าใหม่ๆมากันมากคือ ถ้าจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิจะมีปีติ

    269c.png ... #อาการของปีติมี5อย่างคือ... 269c.png

    1f9d8.png ... #1ขนลุกที่เขาเรียกว่าขนพองสยองเกล้า
    1f9d8.png ... #2น้ำตาไหล
    1f9d8.png ... #3ร่างกายโยกโคลง
    1f9d8.png ... #4มีอาการเต้นเหมือนกับปลุกพระหรือตัวลอยขึ้นไปบนอากาศ
    1f9d8.png ... #5มีอารมณ์ซาบซ่าน

    1f64f.png #อาการอย่างนี้ทั้งหมดถ้ามันเกิดกับท่านก็จงอย่าสนใจกับอาการนั้น.!!
    ... ขนมันจะลุกมันจะพองก็ปล่อยมันลุกมันพองไปตามเรื่องของมัน

    1f64f.png #น้ำตามันอยากจะไหลก็ให้มันไหลไปมันไหลเราก็เช็ดได้ บางท่านเกรงว่าถ้ายกผ้าขึ้นมาซับน้ำตาตัวเองว่าสมาธิจะเคลื่อน อันนี้ไม่เคลื่อน.!!

    1f64f.png #ถ้าร่างกายโยกโคลงก็โยกไปโยกมาอยู่ข้างหน้าโยกข้างหลังก็ไปให้มันโยกไปอย่าไปฝืนมัน.!!
    ... ถ้าฝืนมันจะเป็นการยั้งสมาธิไว้ มันจะไม่ก้าวหน้า
    ... มันจะโยกเท่าไรก็ตามใจมันเพราะใจจะเป็นสุข
    ... ถ้าอาการมันเลยไปมันดีขึ้นอาการตัวโยกก็หายไป

    1f64f.png #ประการที่4เรียกเพงคาปีติ_ท่านบอกว่ามีอาการตัวลอยไปบนอากาศ
    ... แต่ตัวนี้ไม่ใช่แค่ลอยอย่างเดียว ดีไม่ดีแกก็สั่นตึงๆ เหมือนกับปลุกพระ
    แต่บางครั้งก็นอนก็นึกพระกรรมฐานขึ้นมาจะจับอารมณ์ปั๊บก็ขึ้นทันที พอถึงปีติสมาธิก็ง่ายเส้นตึงตังๆ
    ... แต่ว่าบางทีก็ตัวลอยไปบนอากาศ
    ... บางทีก็ลุกขึ้นเอาขาข้างหนึ่งยืนขึ้นอีกขาข้างหนึ่งไขว้บนเขาทำท่าเหมือนนั่งเก้าอี้ลม ตามปกตินี่เราทำไม่ได้.!!
    ... ถ้าอาการปีติที่มันเกิดขึ้นมา มันป็นของมันได้ มันทรงได้นานเท่าไหร่ก็ได้ มันเป็นเรื่องแปลก

    1f64f.png #แล้วต่อไปปีติตัวที่5มีอาการแบบนี้ตามหนังสือเขาเขียนว่าซาบซ่านเราก็คิดว่ามีอาการซาบซ่าซู่ซ่า
    ... แต่จริงๆมันไม่ใช่แต่อาการจริงๆ เวลานั่งพักจิตเข้าถึงตอนนี้มันจะมีความรู้สึกแปลกๆเหมือนกับตัวเราโตขึ้น.!!
    1f64f.png ... #หน้าตาเราใหญ่โตมันสูงขึ้นมาตามความรู้สึกนะ
    ... แต่เนื้อแท้นี่มันไม่โตแล้วมันจะมีอะไรเหมือนกับไหลออกจากร่างกายทั้งหมด
    1f64f.png ... #เหมือนกับลมไหลออกไปนะเขาจะรู้สึกว่าข้างในโปร่ง

    1f64f.png #ที่สุดถ้ามันเต็มที่ของมันมันจะมีความสุขเพราะร่างกาย
    ... จะรู้สึกว่าร่างกายทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย
    ... มันจะมีส่วนที่คิดว่าเหลืออยู่บ้างคือหน้าเท่านั้นนอกนั้นมันโปร่งเหมือนกับหายไปหมด.!!
    1f64f.png ... #แต่จิตนี้จะดิ่งสงบสงัดมีความชุ่มชื้นเป็นพิเศษนี่เป็นอาการของปีติตัวที่5.


    1f58b.png 1f4da.png ธัมมวิโมกข์ นิตยสารเผยแพร่ธรรมปฏิบัติ ปีที่ 34 ฉบับที่ 390 หน้า 37-38
    269c.png พระราชพรหมยานเถระ 269c.png
    1f64f.png หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง 1f64f.png

    1f58b.png 1f4da.png คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย 269c.png
    1f9d8.png จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    vQuvDSHt8tEQovhwLbNmD97BNWs1oAe112&_nc_ohc=cUsoFaFcqC4AX-l6LGx&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.jpg


    269c.png #เมื่อจิตเข้าสู่อุปจราสมาธิก็จะมีปีติเกิดขึ้น 269c.png

    1f64f.png ... " #อาการของปีติมีอยู่5อย่าง " ...
    แต่ว่าไม่มีใครทุกคนผ่านถึง 5 หรอกนะ เว้นไว้แต่ปรารถนาพุทธภูมิ.!!
    1f64f.png ... #ถ้าไม่ใช่วิสัยพุทธภูมิไม่ผ่านทั้ง5อย่าง
    ... #ถ้าเป็นวิสัยพุทธภูมิต้องผ่านทั้ง5อย่างแล้วก็ผ่านช้าด้วย.!!

    1f64f.png #ถ้าเป็นสาวกภูมิเฉยๆบางครั้งบางท่านก็ผ่านอย่างสองอย่าง_บางคนก็ไม่ผ่านเลย.!!
    1f64f.png ... #ที่ไม่ผ่านก็เพราะว่าสั่งสมบารมีมามาก
    1f64f.png ... #เมื่อเข้าถึงจุดก็วิ่งไปถึงฝั่งเลยไม่ขังอยู่แค่อุปจารสมาธิ
    ... #ถ้าจะสัมผัสอุปจารสมาธิอย่างมากก็แค่วันสองวันก็ผ่านไปเลย

    1f64f.png #ก็จะขอพูดถึงอาการปีติ5อย่างไว้เพื่อเป็นความเข้าใจ เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทเห็นหน้าใหม่ๆมากันมากคือ ถ้าจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิจะมีปีติ

    269c.png ... #อาการของปีติมี5อย่างคือ... 269c.png

    1f9d8.png ... #1ขนลุกที่เขาเรียกว่าขนพองสยองเกล้า
    1f9d8.png ... #2น้ำตาไหล
    1f9d8.png ... #3ร่างกายโยกโคลง
    1f9d8.png ... #4มีอาการเต้นเหมือนกับปลุกพระหรือตัวลอยขึ้นไปบนอากาศ
    1f9d8.png ... #5มีอารมณ์ซาบซ่าน

    1f64f.png #อาการอย่างนี้ทั้งหมดถ้ามันเกิดกับท่านก็จงอย่าสนใจกับอาการนั้น.!!
    ... ขนมันจะลุกมันจะพองก็ปล่อยมันลุกมันพองไปตามเรื่องของมัน

    1f64f.png #น้ำตามันอยากจะไหลก็ให้มันไหลไปมันไหลเราก็เช็ดได้ บางท่านเกรงว่าถ้ายกผ้าขึ้นมาซับน้ำตาตัวเองว่าสมาธิจะเคลื่อน อันนี้ไม่เคลื่อน.!!

    1f64f.png #ถ้าร่างกายโยกโคลงก็โยกไปโยกมาอยู่ข้างหน้าโยกข้างหลังก็ไปให้มันโยกไปอย่าไปฝืนมัน.!!
    ... ถ้าฝืนมันจะเป็นการยั้งสมาธิไว้ มันจะไม่ก้าวหน้า
    ... มันจะโยกเท่าไรก็ตามใจมันเพราะใจจะเป็นสุข
    ... ถ้าอาการมันเลยไปมันดีขึ้นอาการตัวโยกก็หายไป

    1f64f.png #ประการที่4เรียกเพงคาปีติ_ท่านบอกว่ามีอาการตัวลอยไปบนอากาศ
    ... แต่ตัวนี้ไม่ใช่แค่ลอยอย่างเดียว ดีไม่ดีแกก็สั่นตึงๆ เหมือนกับปลุกพระ
    แต่บางครั้งก็นอนก็นึกพระกรรมฐานขึ้นมาจะจับอารมณ์ปั๊บก็ขึ้นทันที พอถึงปีติสมาธิก็ง่ายเส้นตึงตังๆ
    ... แต่ว่าบางทีก็ตัวลอยไปบนอากาศ
    ... บางทีก็ลุกขึ้นเอาขาข้างหนึ่งยืนขึ้นอีกขาข้างหนึ่งไขว้บนเขาทำท่าเหมือนนั่งเก้าอี้ลม ตามปกตินี่เราทำไม่ได้.!!
    ... ถ้าอาการปีติที่มันเกิดขึ้นมา มันป็นของมันได้ มันทรงได้นานเท่าไหร่ก็ได้ มันเป็นเรื่องแปลก

    1f64f.png #แล้วต่อไปปีติตัวที่5มีอาการแบบนี้ตามหนังสือเขาเขียนว่าซาบซ่านเราก็คิดว่ามีอาการซาบซ่าซู่ซ่า
    ... แต่จริงๆมันไม่ใช่แต่อาการจริงๆ เวลานั่งพักจิตเข้าถึงตอนนี้มันจะมีความรู้สึกแปลกๆเหมือนกับตัวเราโตขึ้น.!!
    1f64f.png ... #หน้าตาเราใหญ่โตมันสูงขึ้นมาตามความรู้สึกนะ
    ... แต่เนื้อแท้นี่มันไม่โตแล้วมันจะมีอะไรเหมือนกับไหลออกจากร่างกายทั้งหมด
    1f64f.png ... #เหมือนกับลมไหลออกไปนะเขาจะรู้สึกว่าข้างในโปร่ง

    1f64f.png #ที่สุดถ้ามันเต็มที่ของมันมันจะมีความสุขเพราะร่างกาย
    ... จะรู้สึกว่าร่างกายทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย
    ... มันจะมีส่วนที่คิดว่าเหลืออยู่บ้างคือหน้าเท่านั้นนอกนั้นมันโปร่งเหมือนกับหายไปหมด.!!
    1f64f.png ... #แต่จิตนี้จะดิ่งสงบสงัดมีความชุ่มชื้นเป็นพิเศษนี่เป็นอาการของปีติตัวที่5.


    1f58b.png 1f4da.png ธัมมวิโมกข์ นิตยสารเผยแพร่ธรรมปฏิบัติ ปีที่ 34 ฉบับที่ 390 หน้า 37-38
    269c.png พระราชพรหมยานเถระ 269c.png
    1f64f.png หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง 1f64f.png

    1f58b.png 1f4da.png คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย 269c.png
    1f9d8.png จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน
     
  6. สหายแห่งธรรม

    สหายแห่งธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2020
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +15
    06 หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง อารมณ์พระอรหันต์
     

แชร์หน้านี้

Loading...