พุทธทำนายพระสุบินพระเจ้าปเสนทิโกศลฯ

ผมถามว่าสติเป็นธาตุไหม
ท่านตอบได้ท่านก็ตอบคับ
ผมจะได้รู้ว่าท่านธรรมชาติเป็นผู้เปิดกว้าง
หรือคับแคบ,การศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า
มีห้ามถามด้วยหรือคับ
หรือว่าท่านธรรมชาติพูดอะไรเขียนอะไรก็ให้เชื่อท่านธรรมชาติทั้งหมดห้ามโต้แย้งหาเหตุหาผลอย่างนั้นหรือคับ
สติเป็นธาตุไหม,แค่ตอบว่าใช่,กับไม่ใช่,
ไม่ยาวคับ

 

รู้ศีลวัตรของภิกษุ เพื่อประโยชน์ในการประคับประคอง ตักเตือนพระลูกพระหลาน
ให้ประพฤติอยู่ในกรอบมันก็เป็นคุณ
แต่หากรู้มาเพื่อจับผิดพระทุศีลมันจะเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ(เพราะเราขุ่นใจมากกว่าเบิกบาน)นะฮับ

 

โยมวางใจได้..

ส่วนอาตมา "วางใจโยม"

ใจอาตมา หรือ ใจโยม ล้วนเป็นของกลาง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ..

เหมือนกับอารมณ์ขุ่นเคือง ขัดเคือง ที่เกิดกับใจโยมนั้นแล..

วางมันลงเถิดโยม อย่ายึดมาผูกตนของตนไว้อยู่เลย..

แล้วโยมจะได้สัมผัส "สุขบรมสุข สุขอย่างยิ่ง"

ณ. กลางในกลางใจ..

 

ใจ คือ กลาง..

 

ธรรมชาติ เป็น เอก

ไม่เกี่ยวข้องกัน..

เมื่อไม่มีมาไม่มีไปแล้วจะอยู่ได้อย่างไร?

นิพพานไม่ใช่ที่อยู่ นิพพานไม่ใช่สถานที่..

นิพพาน เป็นเพียง สมมุติบัญญัติ..

"สภาวะสิ้นตัณหา" นั้นละนิพพาน..

 

ที่ผมเขียนไม่ใช่ผมขุ่นใจ
แต่กำลังหาทางช่วยให้พระภิกษุสงฆ์
ที่ออกนอกลู่นอกทางกลับตัวกลับใจ
ตั้งใจปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าคับ
เผื่อพระภิกษุสงฆ์รูปใดอ่านแล้วเกิดความละอายแก่ใจในการทุศีลโดยไม่จำเป็น
จะได้สำรวจระมัดระวังกายวาจาให้น่าเคารบเลื่อมใส

 

อะไร คือ ทุศีล..

ตามความเข้าใจของโยม..

ศีลปาติโมกข์ เป็นอินทรีย์สังวรณ์ศีล เป็นเรื่องเกี่ยวกับใจ เกี่ยวกับจิตโดยตรง..

ถ้าโยมไม่สามารถรู้วาระจิตใครได้ โยมก็ควรสังวรณ์ระวังรักษาใจโยมเอง นั้นแล..

นั้นละทางที่จะช่วยทำนุบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา..

มองแต่เขา ตัวเราไม่มอง..

เห็นแต่เขา ตัวเราไม่เห็น..

แก้ไขคนอื่นไม่ได้ แต่ แก้ไขตัวเองได้

"เห็นใจตนจึงเห็นใจเขา"

นะ โยม นะ..

 

ศีลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
เปรียบเหมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้า
ภิกษุรูปใดไม่เคารบยำเกรงในศีลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
ก็เท่ากับไม่เคารบยำเกรงในพระพุทธเจ้าไม่เคารบยำเกรงในพระศาสดา
อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ทำตัวทุศีลไม่อยู่ในศีลในธรรมก็เท่ากับเนรคุณพระพุทธเจ้าคับ

 

ทำอุบาสิกาท้องอ้างบอกศีลอยู่ที่ใจ
ศาสนาของพระพุทธเจ้าก็จักบรรลัยเพราะคนพวกนี้คับ
ทำผิดศีลผิดวินัยมากมายหนักหนาสาหัสเพียงใดก็จะอ้างว่าศีลอยู่ที่ใจ

 

มองแต่เขา ตัวเราไม่มอง..

เห็นแต่เขา ตัวเราไม่เห็น..

แก้ไขคนอื่นไม่ได้ แต่ แก้ไขตัวเองได้

"เห็นใจตนจึงเห็นใจเขา"

นะ โยม นะ..

เอวัง..

 

หากต้องการหลุดพ้นจากความหลงใน
โลกเฉาฉุ่ย
ก็ไม่ต้องไปตั้งความปรารถนา
ให้ใครเป็นคนดีหรือเป็นคนเจริญ
เพราะหากเค้ายังเสพความ
เพลินอยู่กับโลกสมมุติ คงไม่มีใครสามารถ
ทำให้ใครข้ามมาฝั่งโลกวิมุติได้ง่ายๆ
หรอกฮับ
ต้องปล่อยไปตามธรรมชาติฮับ
ต่อเมื่อเค้าชดใช้กรรมหมดแล้ว เค้าคง
เกิดสัมมาทิฏฐิได้เองฮับ

 

ท่านคิดดูนะคับหากทุกคนคิดแบบท่าน
ก็จะไม่มีใครปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าคับ

 

เปรียบเหมือน กลองที่ถูกตะปูตอกเข้าไป

 

อธิบายเพิ่มได้ไหมคับหมายถึงอะไร

 

มันเป็นไปบ่ได้ที่คน 7000 ล้านคนจะคิดตรงกันหมด มันจะผิดธรรมชาติคับ

 

ก็ด้วยเหตุที่ท่านกล่าวมานี้
ใครปราถนาสิ่งใดก็ให้ทำตามความปราถนาที่ตัวเองตั้งความปราถนาเอาไว้คับ
ใครปราถนาเป็นพระอรหันต์ก็ระงับดับกิเลสในชาติปัจจุบัน
ใครปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องทำปัจจัยให้ถึงพร้อมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าคับ

 

+++ คำพูด ประโยคนี้ของคุณ มีลักษณะเป็น "ศัตรู" ชัดเจน
+++ แล้วคุณ เข้ามา พูดในลักษณะนี้ ทำไม

 

+++ นี่ก็ "ส่อเจตนา" ชัดเจน
+++ สันดาน "พุทธภูมิ" นี่ ประหลาด
+++ เข้ามาถึงก็ "เพ่งโทษ อุตลุต"
+++ แถมชอบ "ยัดเยียด" กล่าวโทษ อีกด้วย
+++ แล้วคุณ "เป็นพระพุทธเจ้า" มาเองหรือป่าว...

+++ สมัครมาเมื่อ 3 มิถุนายน 2020
+++ แต่เจตนาการโพสท์ คล้าย ๆ บางคน 2008

+++ เพ่งโทษลูกเดียว "ส่อ สันดานศัตรู" ตั้งแต่โพสท์แรก
+++ มันมี ไม่กี่คนในเวปนี้ ที่เป็นลักษณะแบบนี้
+++ สันดาน "เหมือนกันเป๊ะ" แค้นฝังหุ่น หึหึหึ...

 

+++ ยาวแน่นอน ถ้า "หาเรื่องมา" ก็ได้เรื่องกลับไป "แน่นอน" หึหึหึ...

 

คุมอารมณ์ตัวเองยังไม่ได้
แต่กลับแนะนำธรรมะสูงลิ่ว
ไม่พอใจใครก็หาเรื่องออกนอกธรรมะ
แสดงความเป็นอันทพาลออกมา
คนแบบนี้หรือที่แสดงธรรมะสูงลิ่ว
แต่การกระทำสวนทางกับการแสดงธรรม