ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    5B107C7C-120E-4C07-89AC-483F8891FC1A.jpeg

    ถ้าโยมมีโอกาสได้มาร่วมบุญร่วมกุศลไม่ว่าที่ใด ไม่เฉพาะเจาะจง ณ ที่แห่งนี้ ในการเจริญคุณงามความดี ขอให้โยมอย่ารั้งรอ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะการเจริญความดีถ้ามันเกิดขึ้นแล้วในจิต..โยมต้องรีบทำ หาไม่แล้วอกุศลมารนั้นแลมันจะเข้ามาเบียดเบียนบีฑา เข้าใจมั้ยจ๊ะ มาฆ่าฟันกุศลที่โยมได้ตั้งจุดหมาย

    นั้นขอว่าเรายังมีกิเลสอยู่ มีกรรมอยู่ ในขณะที่บุญกุศลมันแทรกขึ้นมา..โยมต้องรีบทำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทำเพื่ออะไร เพื่อให้มีกำลังที่จะเอาไปต่อต้านกับกิเลสตัณหาอุปาทานหรือแรงกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้เราไปต่อต้านมันไม่ได้ แต่เราสามารถสร้างกรรมดีได้ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันนี้แลมันเป็นอดีตกรรมที่โยมได้กระทำมา มันจะเกิดขึ้นมาตอนไหน หนึ่งในขณะที่โยมไม่มีสติ สองในขณะที่โยมนั้นขาดจากศีล สามขาดจากการพิจารณา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแลการที่เราทำผดุงกรรมไว้ในปัจจุบันนี้..ก็เพื่ออะไร เพื่อไปผดุงกรรมในอดีตไว้ ไม่ให้มันมีอำนาจบทบาท เข้าใจมั้ยจ๊ะ หากมันจะมี..กรรมในปัจจุบันนี้แลมันจะไปช่วยผดุงกรรมไว้ จากหนักก็ให้เป็นเบา จากเบาก็หลบหลีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นกรรมดีนี้ถ้าโยมไม่สร้างไว้แล้วจะทำยังไง เมื่อมันหมดดีแล้วมันก็เหมือนคนขอทาน หรือเรียกว่าไม่เหลืออะไร อาจจะรับไม่ได้ ขอให้เหลือดีไว้บ้าง เหลือกุศล เหลือต้นทุนไว้บ้าง เพื่อจะมาสร้างคุณงามความดีฝังกลบในพระศาสนา ฝังกลบในพระแม่ธรณี..จะไม่ไปไหน

    ฝากแม่ธรณีไว้..บุญนั้นจะไม่หายไปไหน คราเมื่อโยมอับจนขัดสนแล้วโยมอธิษฐานบุญกุศลบารมีโยมที่ทำเอาไว้..มันก็เกิดขึ้นมาอีก ที่โยมฝังกลบในพระแม่ธรณ๊เป็นอย่างไร ที่โยมอธิษฐานตั้งจิตไปในบุญกุศลในทาน ศีล ภาวนา ในบุญกุศลที่โยมมาเจริญพระกรรมฐานก็ดี ได้มาเจริญสละปัจจัยอัฐเบี้ยเป็นทานก็ดี ทอดผ้าป่ากฐินอะไรก็ดีแล้วไซร้ เสียทรัพย์อะไรก็ตามมาร่วมสร้าง..อย่างนี้เรียกว่า"ฝังกลบในธรณี"

    เมื่อเราขัดสนทำอย่างไร..ก็อธิษฐานบุญขึ้นมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไปอธิษฐานบุญกุศล ขอขมากรรมที่เราเคยล่วงเกินในพระรัตนตรัย ในบิดามารดา ครูบาอาจารย์ บรรพชน บรรพบุรุษทั้งหลาย เรียกเป็นการขอขมาให้เจ้าที่เจ้าทาง พระแม่ธรณี เจ้าป่าเจ้าเขา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ในกรรมชั่วไม่ว่ากาย วาจา ใจที่เรานั้นยังมีอยู่ ที่เรายังขาดสติ เผลอเรอ ปรามาสอะไรก็ดี ให้เราตั้งจิตอธิษฐานขอขมากรรมที่จะเป็นการระลึกตั้งใจเสียใหม่ ที่จะรวมใจตั้งใจใหม่ เพื่อจะไม่ล่วงเกินในกรรมชั่วทางกาย วาจา ใจให้เกิดขึ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อย่างนี้ก็เหมือนศีล ศีลเราไม่สามารถรักษาได้ตลอดได้ แต่เมื่อเราระลึกได้ มีสติสำรวมได้ในกาย วาจา ใจ เค้าเรียกว่าจิตของเราเป็นปรกติแล้ว ศีลมันก็กลับขึ้นมาใหม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ศีลมันเกิดได้..ตั้งอยู่..ก็ดับไปเช่นเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ถ้าศีลมันเกิดขึ้นแล้วในขณะที่เกิดขึ้น ในขณะที่ตั้งอยู่ ในขณะที่ดับไป..แต่เราก็ยังรู้อยู่ แสดงว่าดับไปกับศีล เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าเราขาดสติแล้วนั่นแล..ไม่มีศีล เราดับไปด้วยไม่มีศีล ไม่มีอะไรรักษา เห็นมั้ยจ๊ะ เกิดมาก็อาภัพ ทรัพย์สินเงินทองก็น้อย

    นั้นเมื่อเราเกิดมามือเปล่าแล้ว เราก็สร้างศีลขึ้นมาใหม่ได้ เจริญมันขึ้นมาให้มาก ทานถึงแม้เราจะมีน้อย ไม่มีอัฐเบี้ย ก็ใช้ร่างกายเป็นทาน..คือแรง เข้าใจมั้ยจ๊ะ จะมีรอยยิ้มก็เอารอยยิ้มเป็นทาน มีใบหน้าก็เอาใบหน้าเป็นทานอย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ การโมทนาจิตมันก็เป็นทานอย่างหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าได้เป็นคนเรียกว่าขี้เหนียวเสียดาย

    นั้นอะไรที่เราเสียไปแล้วอย่าได้ไปเสียดายมัน ถือว่าให้ทาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถือว่าให้ทานให้หมด เมื่อเราให้ทานได้อย่างนี้ อธิษฐานได้อย่างนี้..ใจเราก็เบาก็สบาย เริ่มต้นใหม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แสดงว่าที่มันเสียไปนั่นแล เรียกว่าเราได้ใช้หนี้กรรมไป ดังนั้นเมื่อเราใช้แล้วเจ้ากรรมนายเวรจะมาทวง..เราได้จ่ายหนี้เค้าไปแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ อุปสรรคมันก็ตัดกันไป เมื่อเราเสียไปมากเท่าไหร่ เราก็จะได้กลับคืนมามากเท่านั้น นี่เป็นเรื่องกฎของจักรวาล

    บางคนออกดอกออกเบี้ยไปหมด ไม่มีใครใช้เลย..เสีย..เสียดาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อยังมีแต่เสียดายอย่างนั้นไม่มีทางจะได้มาใหม่หรอกจ้ะ จมปลักกับกรรมนั้น..กรรมใหม่จะเกิดขึ้นได้ยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ ตั้งใจเสียใหม่ ให้อภัยเป็นทาน ให้อภัยทาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อใจเราสบายแล้วอะไรดีๆมันก็เข้ามา ถ้าใจเราเสียของเสียๆก็เข้ามาเช่นเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นขอให้โยมทำจิตให้เป็นกุศล ตั้งจิตให้ดี ใครที่เอาของของเราไป ถือว่าเรานั้นเคยล่วงเกินเค้ามา ต่างคนต่างไม่มีกรรมติดกัน ขอจงอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ไม่ต้องมีกรรมติดกันอีกต่อไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ ขอกรรมจงยุติด้วยอำนาจแห่งอภัยทานนี้..จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าในอำนาจวาสนาบารมี ให้เราอธิษฐานไปอย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าได้ไปเสียดาย

    คนที่เสียดายอยู่ไม่มีทางเจริญหรอกจ้ะ คนที่อิจฉาก็ไม่มีทางก้าวหน้า จำไว้นะจ๊ะ คนเสียดายไม่มีทางเจริญ คนที่อิจฉาก็ไม่มีทางก้าวหน้า..ย่ำอยู่กับที่ เพราะคิดอยู่แต่อย่างนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้นความคิดจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย แล้วมันจะทำความดีได้อย่างไร นั้นอย่าได้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยอิจฉา มันบั่นทอนบารมีของเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2019
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    ทำใจให้สงบก่อนทำการสวดมนต์

    กราบ ๖ ครั้ง
    ๑ พระพุทธ
    ๒ พระธรรม
    ๓ พระสงฆ์
    ๔ พระบิดามารดา
    ๕ ครู อาจารย์
    ๖ ไตรลักษณ์ ไตรสิกขา

    นั่งในท่าสำรวมและหลับตา
    "นับต่อจากนี้ไปข้าพเจ้า.................ขออนุญาตเป็นตัวแทนของเพื่อนๆที่ตกอยู่ในวิบากกรรมในการนำสวดมนต์เจริญภาวนาสักการะแด่พระรัตนตรัย เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา และสังฆบูชา เพราะในวัฎฏะสงสารใบนี้ไม่มีอำนาจใดแล้วที่จะช่วยให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้หลุดพ้นจากวัฎฏะสงสารนี้ไปได้ จงมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะเป็นอยู่ นับต่อจากนี้ไปสิ่งใดที่เป็นบุญ เป็นกุศล ข้าพเจ้าขอมอบให้กับเพื่อนๆที่ตกอยู่ในวิบากกรรมในวัฎฏะสงสารใบนี้ทั้งหมดทั้งสิ้น สิ่งใดที่เป็นบาป เป็นโทษ เป็นอกุศลข้าพเจ้า.................ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว"


    ข้าพเจ้า.................ขอน้อมระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๒๘ พระองค์ ด้วยจิตบูชา
    "ตัณ เม สะ ทิ โก มัง สุ เร โส อะ ปะ นา ปะ สุ สุ ปิ อะ ทะ สิ ติ ปุ วิ สิ เว กุ โก กัส โค นะมามิหัง

    ข้าพเจ้า.................ขอกราบนมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม พระองค์ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ค้นพบหนทางแห่งการพ้นทุกข์ ผู้ค้นพบหนทางแห่งการดับทุกข์ และผู้ค้นพบหนทางแห่งการไม่เกิดไม่ดับในวัฎฏะสงสารใบนี้อีกต่อไป เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมนำคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้พ้นจากวัฎฏะสงสารใบนี้อีกต่อไปด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
    กราบ๑ ประสูติ
    กราบ๒ ตรัสรู้
    กราบ๓ ปรินิพพาน


    ระลึกถึงคุณพระบิดาพระมารดา
    ๑ พระที่เป็นผู้ให้กำเนิดข้าพเจ้า
    ๒ พระที่คอยเลี้ยงดูข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน
    ๓ พระที่เป็นครูคนแรกที่คอยสอนสิ่งต่างๆให้กับลูกๆ
    ๔ พระที่ยอมเสียสละเพื่อให้ลูกๆได้มีกินมีใช้เหมือนกับคนอื่นๆเขา
    ๕ พระที่มีแต่ความเมตตาปราณี
    ๖ พระที่มีแต่ให้ โดยไม่คิดหวังสิ่งใดตอบแทนจากลูๆ
    ๗ พระที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับลูกๆ
    ๘ พระที่คอยปกป้องและคุ้มครองลูกๆตลอดเวลา
    ก้มลงกราบ บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ จงมามอบให้กับท่านทั้งหมดทั้งสิ้นด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

    ข้าพเจ้าขอระลึกจุดเทียนเพื่อสักการะแด่พระรัตนตรัย
    เทียนเล่มขวาพระหัตถ์ของพระพุทธองค์เป็นเทียนพระธรรม
    เทียนเล่มซ้ายพระหัตถ์ของพระพุทธองค์เป็นเทียนพระวินัย

    ข้าพเจ้าขอระลึกจุดธูปเพื่อสักการะแด่พระรัตนตรัย
    ธูปดอกที่๑ พระปัญญาธิคุณ
    ธูปดอกที่๒ พระบริสุทธิคุณ
    ธูปดอกที่๓ พระมหากรุณาธิคุณ

    นับต่อจากนี้ไปข้าพเจ้าจะทำการสวดมนต์เจริญภาวนา ขอให้ท่านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการสวดมนต์ภาวนาของข้าพเจ้าได้หลบไปก่อน หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทำการสวดมนต์เจริญภาวนาเสร็จแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายทั้งปวงได้กลับมารับผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำในครั้งนี้ด้วยเทอญ ถ้ามีผู้ที่ร่วมยินดีในการสวดมนต์เจริญภาวนาในครั้งนี้(ทั้งเก่าและใหม่) ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนาบุญด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

    [สิ่งศักดิ์ทั้งหลายทั้งปวง เจ้าที่เจ้าทาง รุกขเทวดา เทพเทวา นางฟ้า ท่านพญานาคราช ท่านพญาครุฑ คนธรรภ์ ฯลฯ รวมทั้งเพื่อนๆทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่บริเวณนี้ รอบๆบริเวณนี้ ทั้งที่เคยรู้จักและไม่เคยรู้จักก็ดี ถ้ายังไม่ได้สวดมนต์เจริญภาวนา ขอให้มาสวดมนต์เจริญภาวนาด้วยกัน เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา และสังฆบูชา ถึงแม้ว่าเราจะผิดพลาดไปแล้วในตอนเป็นมนุษย์ที่ไม่ทำตามคำสอนของพระรัตนตรัย แต่เมื่อเรามีโอกาสแล้วขอให้จำว่าถ้ามีโอกาสอีกครั้งเราจะปฏิบัติตามคำสอนของพระรัตนตรัย ขอเหล่าเทพเทวา จงเปิดสวรรค์วิมารให้เพื่อนๆที่ตกอยู่ในวิบากกรรม(นรกภูมิและโลกภูมิ)ได้เห็นว่าในการสรา้งกุศลกรรมตามคำสั่งสอนของพระรัตนตรัยนั้นย่อมส่งผลในทางความสุขที่ดีกว่าพวกเราๆแน่นอน]

    จากนั้นเริ่มทำการสวดมนต์ เริ่มด้วยการอัญเชิญเทวดา
    ปล. สำหรับผู้ที่สวดมนต์แบบไม่ต้องดูตำราก็หลับตาจนกระทั่งถึงตอนเลิกสวดเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2019
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    กราบ

    กราบ ๓
    ๑ พระพุทธ
    ๒ พระธรรม
    ๓ พระสงฆ์

    กราบ ๖
    ๑ พระพุทธ
    ๒ พระธรรม
    ๓ พระสงฆ์
    ๔ พระบิดามารดา
    ๕ ครู อาจารย์
    ๖ ไตรลักษณ์ ไตรสิกขา

    กราบ ๘
    ๑ พระพุทธ
    ๒ พระธรรม
    ๓ พระสงฆ์
    ๔ พระบิดามารดา
    ๕ พ่อหลวง พระมหากษัตริย์
    ๖ ครู อาจารย์
    ๗ เจ้ากรรมนายเวร
    ๘ ไตรลักษณ์ ไตรสิกขา


     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    การขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร เพื่อปฏิบัติธรรม ด้วยตนเอง

    จุดธูป ๓ ดอกหรือ ๕ ดอก ในที่แจ้ง
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    ตั้งจิตหรือความคิดให้นิ่ง
    ข้าพเจ้า................... ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง(ใช้ความคิดนึกไปถึงบุคคล สัตว์ ที่เราได้เคยล่วงเกิน อาฆาต พยาบาท ในชาติปัจจุบัน นึกให้ได้มากที่สุด โดยมีบิดามารดาเป็นจุดเริ่มต้น) สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินพวกท่านทั้งหลายทั้งปวงด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งที่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ข้าพเจ้าขอน้อมรับทุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น ขอให้ท่านทั้งหลายทั้งปวงจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า อย่าได้มีการจองเวรจองกรรมต่อกันเลย

    นับต่อจากนี้ไปข้าพเจ้า................. ขอปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระรัตนตรัย เพื่อเป็นที่พึ่งเป็นสรณะไปจนกว่าจะได้หลุดพ้นจากการไม่เกิดไม่ดับในวัฎฏะสงสารนี้อีกต่อไป

    สิ่งใดที่เป็นบุญเป็นกุศลที่ข้าพเจ้าจะได้รับ ข้าพเจ้าขอมอบให้กับพวกท่านทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้น นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

    ปล.ช่วงที่กำลังใช้ความคิดหรือระลึกอยู่นั้น หากมีน้ำตาไหลขึ้นมา ให้หยุดและปล่อยให้น้ำตาไหลไปเรื่อยๆ จนเมื่อดึงสติหรือมีสติแล้ว ค่อยใช้ความคิดหรือให้ระลึกต่อจนกว่าจะจบ

    ความละเอียดเรื่องของความคิดในการขอขมาเพื่ออโหสิกรรม ขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละบุคคล จุดสูงสุดคือการหลุดพ้นจากวัฎฏะสงสารหรือสังสารวัฏ
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    การปฏิบัติธรรม

    ถึงรู้ว่าควรปฏิบัติตามทางสายกลาง แต่ถ้าไม่เคยรู้ถึงความตึง ไม่เคยปฏิบัติให้ถึงความตึงนั้น ไม่ต่างอะไรกับรู้ไม่จริง ตัวเราเกิดมามุ่งหวังกับความสุข วิ่งหาแต่ความสุข เรียนรู้เพื่อหาความสุข และปฏิบัติให้ถึงซึ่งความสุข สิ่งที่ได้รับจากการแสวงหาความสุขคือ ความสุขเพียงชั่วคราว ไม่นานมันก็หายสุข มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดในภพชาติปัจจุบัน ดังนั้นเราจึงเพลิน(นันทิ)อยู่กับโลกธรรม ซึ่งเมื่อไหร่เราจะได้พบกับความเบื่อหน่าย(นิพพิทา)ที่เรียกว่าโลกุตระ

    ทางสายกลางฟังดูง่าย แต่การปฏิบัติมันไม่ง่าย เหตุที่ไม่ง่ายเพราะขันติมันต่ำ เหตุที่ขันติต่ำเพราะไม่เคยตึงหรือลำบากมาก่อน การที่จะเข้าใจในธรรมคำสอนของครู อาจารย์หรือพระรัตนตรัยนั้น สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกเลยคือ “ลงมือธรรม” ตำราเอาไว้สนใจในภายหน้าเมื่อใจ จิต หรือความคิดของเรานั้น มีอกุศลเบาบางลง หรือลดลงเรื่อยๆ จนเกิดความเคยชินในอารมณ์กลางๆ คือ สุขก็ไม่สุข ทุกข์ก็ไม่ทุกข์ เมื่อนั้นแหละเราจะเข้าใจในตำรา
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    ขอขมากรรม

    ขอขมาพระรัตนตรัย
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    วันทามิพุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเมภันเต(บูรพา) สาธุ สาธุ สาธุ
    วันทามิพุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเมภันเต(อาคเนย์) สาธุ สาธุ สาธุ
    วันทามิพุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเมภันเต(ทักษิณ) สาธุ สาธุ สาธุ
    วันทามิพุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเมภันเต(หรดี) สาธุ สาธุ สาธุ
    วันทามิพุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเมภันเต(ปัจจิม) สาธุ สาธุ สาธุ

    วันทามิพุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเมภันเต(พายัพ) สาธุ สาธุ สาธุ
    วันทามิพุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเมภันเต(อุดร) สาธุ สาธุ สาธุ
    วันทามิพุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเมภันเต(อิสาน) สาธุ สาธุ สาธุ
    วันทามิพุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเมภันเต(เหฎฐิมายะ) สาธุ สาธุ สาธุ
    วันทามิพุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเมภันเต(อุปริมายะ) สาธุ สาธุ สาธุ

    ข้าพเจ้า...................ขออโหสิกรรมต่อพระรัตนตรัย สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งที่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ขอให้พระรัตนตรัยจงอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
    ....................................................................................................................................

    ขอขมาพระบิดามารดา ครู อาจารย์ ญาติ เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    ข้าพเจ้า...................ขออโหสิกรรมต่อพระบิดาพระมารดา มนุษย์(ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) และอมนุษย์ทั้งหลาย(สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เทพเทวดาภูมิ นรกภูมิ) สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินพวกท่านทั้งหลายทั้งปวง ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งที่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ขอให้ท่านทั้งหลายทั้งปวงจงอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

    ....................................................................................................................................

    อนุโมทนาบุญ

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    ข้าพเจ้า...................ขออนุโมทนาบุญแด่ผู้ที่สร้างกุศลกรรมในช่วงกลางวัน/กลางคืนที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่เป็นมนุษย์ซึ่งได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และอมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง(สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เทพเทวดาภูมิ นรกภูมิ) ด้วยจิตบูชาต่อกฎแห่งกรรม ด้วยจิตบูชาต่อพระรัตนตรัย ด้วยจิตบูชาต่อท่านทั้งหลายทั้งปวงที่ต้องการหลุดพ้นจากวัฎฏะสงสารใบนี้ สาธุ สาธุ สาธุ

    อนุโมทนาบุญ(บูรพา)
    อนุโมทนาบุญ(อาคเนย์)
    อนุโมทนาบุญ(ทักษิณ)
    อนุโมทนาบุญ(หรดี)
    อนุโมทนาบุญ(ปัจจิม)
    อนุโมทนาบุญ(พายัพ)
    อนุโมทนาบุญ(อุดร)
    อนุโมทนาบุญ(อิสาน)
    อนุโมทนาบุญ(เหฎฐิมายะ)
    อนุโมทนาบุญ(อุปะริมายะ)

    ด้วยอำนาจบุญบารมีแห่งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ โปรดดลบันดาลให้บุญของข้าพเจ้า...................ที่ได้กระทำมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ มามอบให้กับมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหลายทั้งปวงจงได้รับผลบุญของข้าพเจ้า เพื่อที่พวกท่านทั้งหลายทั้งปวงจะได้มีอำนาจบุญบารมีที่สูงส่งและแข็งแกร่งยิ่งๆขึ้นไป และขอให้ท่านทั้งหลายทั้งปวงจงพ้นจากวิบากกรรมต่างๆได้ไปสู่ยังภพภูมิที่ดียิ่งๆขึ้นไปและได้พบหนทางแห่งการไม่เกิดไม่ดับในวัฎฏะสงสารนี้อีกต่อไปด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

    ....................................................................................................................................
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    5736C3B5-D562-4F6C-9A64-E5CD34286238.jpeg

    เรื่องความเจ็บป่วยมันเรื่องธรรมดาของกายสังขาร เค้าจึงบอกว่าอะไรที่เกิดขึ้นในขณะนี้กับตัวเราก็ดี กับใครก็ดีล้วนแต่เป็นกรรมทั้งนั้น แต่เค้าบอกว่ากรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว หากเรายังมีลมหายใจก็มีโอกาสรอดทั้งนั้น คือกำหนดรู้ในกรรมนั้นในวาระนั้นที่เกิดขึ้น..

    คนที่มันเกิดโรคเกิดภัยแล้ว แต่ไม่สามารถจะรอดพ้นจากวิบากกรรมนั้นได้เพราะอะไร..เค้าขาดกำลังใจ กำลังใจถ้าโยมไปเที่ยววิ่งหากับคนอื่นหรือหลวงพ่อองค์ใดก็ตาม แต่ไม่ได้ให้กับตัวเองเสียแล้ว..มันก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด ให้ยอมรับสภาวะที่เกิดขึ้นให้ได้เสียก่อนนั่นก็คือทุกข์ เกิดจากอะไร..เกิดจากการผิดปรกติ นั่นก็คืออำนาจของศีล

    เมื่อในขณะนั้นแล้วจิตเรานั้นยอมรับสภาวะความเป็นจริงของทุกข์ในกายที่เกิดขึ้นมา ไม่ว่าใครก็ตามต้องมีความเจ็บป่วยเป็นของธรรมดา เมื่อรู้ว่าเป็นของธรรมดาแล้วอย่าได้ดิ้นรนขัดขืน ก็เหมือนว่าถ้าเราไม่ดิ้นรนขัดขืนแล้ว ยอมให้ผู้รักษาสันติราษฎร์นั้นจับตัวเราไป แล้วไปพิจารณาโทษว่าเราผิดอะไรอย่างนั้น มันก็ยังได้รู้ชะตากรรมว่าเราต้องผิดจริงแค่ไหน ติดอีกเท่าไหร่ ออกอีกเท่าไหร่ แล้วคดีทั้งหลายถ้าเราพึ่งเริ่มทำใหม่อาจจะเป็นแค่ลงอาญาก็ได้

    เหมือนการที่เราเจ็บป่วยเช่นเดียวกัน อย่าได้ไปดิ้นรนขัดขืนมัน ยิ่งดิ้นรนยิ่งเจ็บป่วยยิ่งเจ็บมาก เหมือนโรคร้ายเมื่อเรานั้นขาดกำลังใจมันก็จะลุกลามเหมือนมะเร็งก็ดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นเราต้องมีสติกำหนดรู้ยอมรับสภาวะความเป็นจริง แล้วก็อยู่ในเวทนาอยู่ในทุกข์นั้น แล้วเมื่อเรากำหนดรู้ได้ยอมรับได้แล้ว ก็ให้ลองดูพิจารณาดูซิว่า ไอ้ทุกข์หรือโรคภัยที่มันเกิดขึ้นนั้น..มันเกิดจากอะไร มันเกิดจากความบกพร่องของอะไร

    เค้าบอกว่าเมื่อเรานั้นมีองค์ภาวนา ลมหายใจสามารถพิชิตโรคได้เกือบทุกโรค เข้าใจมั้ยจ๊ะ ในโลกใบนี้ลมหายใจมีแต่เชื้อโรคทั้งนั้น อาหารที่โยมบริโภคไปก็เป็นเชื้อโรค คำพูดของคนที่โยมเสพเข้าไปก็เป็นเชื้อโรค สิ่งที่โยมเสพเข้าไปด้วยวัตถุสิ่งที่ว่าพัฒนาแล้ว ของเล่นของโยมก็เป็นเชื้อโรค มีแต่เชื้อโรคทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นเราไม่เคยเอาออกเลย เมื่อมันหมักหมมมากๆเข้าเป็นอย่างไร..ติดโรค แล้วเราจะทำอย่างไรให้เราเอาออกบ้าง คือเจริญกำหนดสติ..อานาปานสติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่คือยารักษาโรคอย่างดี โอสถขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นไม่ว่าโยมจะมีทุกข์ไม่ว่าทางกายหรือทางใจก็ตาม ขอให้โยมวางทุกข์นั้นเสียก่อน ให้กำหนดรู้อยู่ในกายอยู่ที่ลมหายใจ อธิษฐานภาวนาจิตระลึกถึงพระรัตนตรัย

    คนเรานั้นถ้ายังไม่เห็นความตายอยู่เบื้องหน้า..จะไม่รู้คุณของศาสนา หรือวัดวาอารามครูบาอาจารย์ ดังนั้นก็ยังดีที่ยังระลึกได้ในขณะใดขณะหนึ่งก็ดี ให้ระลึกถึงว่าอีกไม่ช้าไม่นานเราจะตายแล้ว ขอให้โยมได้เจริญความดีสักนิดเอาติดจิตวิญญาณไป นั่นก็คือการเจริญรู้สติรู้ลมหายใจ

    ลมนี้มันอยู่ที่ไหน..ลมกำหนดรู้ได้อยู่ในกาย ก็ให้รู้อยู่ในกาย ทำจิตให้มันสงบตั้งมั่น รู้เข้ารู้ออก รู้สั้นรู้ยาว เมื่อเรารู้สั้นรู้ยาวรู้เข้ารู้ออก รู้ว่าลมกระทบเพดานก็ดี เมื่อเรารู้อย่างนี้เราก็วางรู้ ให้รู้ว่าลมมันอยู่ในกายเป็นของปรกติของมัน เมื่อเรารู้อยู่บ่อยๆจนลมนิ่งนั่นแล..นั่นเค้าเรียกว่าลมสงบ ระงับแล้วจากเวรภัยภายนอก ความฟุ้งซ่านรำคาญใจนั้นมันก็ดับแล้ว ก็ทรงกายนั้นให้เป็นปรกติ นั่นเค้าเรียกว่าทรงศีล แล้วธาตุดินน้ำไฟลมที่มันพิการอะไรมันก็จะปรับสมดุลธาตุเสียใหม่

    ร่างกายที่ผิดปรกติก็ดี น้ำเลือดน้ำหนองก็ดีที่มันผิดปรกติจนเกินไป ที่ทำให้ผิดปรกติเกิดโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของธาตุแปรปรวน หรือว่าธาตุพิการก็ดี อาหารการกินที่โยมบริโภคเข้าไปก็ดีเหล่านี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะว่าโยมนั้นไม่ได้มีสติเลย นั่นเค้าเรียกมีความโลภเข้าไปเกี่ยวข้องมีในความอยาก นั้นทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นอากาศ ดิน น้ำ ไฟ ลม ธัญพืช อาหารทั้งหลายทั้งปวง แม้แต่สิ่งที่โยมเสพอยู่ เสียงก็ดี ล้วนแต่เป็นโทษทั้งนั้น

    การที่เราจะไม่ให้เป็นโทษหรือเป็นโทษที่น้อยต้องทำอย่างไร นั่นก็เรียกต้องมีสติอยู่ทุกขณะนั่นเอง แล้วอะไรที่มันไม่เป็นสติแล้วมันพลัดพรากไปแล้วมันไม่เท่าทันแล้ว ก็เอาสตินี้กำหนดรู้อยู่ในปัจจุบัน กำหนดขึ้นมาใหม่ เราจะได้รู้ความผิดปรกติของเราเป็นอย่างไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แล้วสิ่งที่มันผิดปรกติไปแล้ว เมื่อเรากำหนดรู้ในปัจจุบันนั้นแล เมื่อเรารู้ในสิ่งที่เราผิดปรกติ ไอ้ตัวรู้สิ่งที่ผิดปรกตินั้นแล..นั่นเค้าเรียกว่าจะเป็นตัวที่มันจะมายับยั้งหรือตัวภูมิต้านทาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นขอให้โยมพิจารณาในการรักษาโรคของตัวเอง ก่อนนอนก็ดีก่อนตื่นนอนก็ดีขอให้โยมเจริญอานาปานสติ ระลึกรู้ลมอยู่ในกาย ความเจ็บป่วยก็ดีมันจะบรรเทาได้ ก็เหมือนที่โยมกำหนดรู้มีสติตั้งมั่นฟังธรรม แม้นมันจะมีน้ำค้างอะไรมากมายเพียงใดก็ตาม แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรโยมได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะจิตที่อยู่ในกายทรงอยู่ในกายนี้..มันเป็นที่ที่หลบภัย ถามว่าไอ้ภัยภายนอกจะเข้าได้มั้ยจ๊ะ เมื่อเราไม่เอาจิตเราส่งออกไปหามัน เราไม่เอาเท้าเราไปแกว่งหาเสี้ยน..เสี้ยนมันจะตำเราได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้) นั้นถ้าโยมรู้จิตรู้กายได้..โยมก็สามารถรักษากายได้ แต่เมื่อโยมสั่งกายได้..กายก็จะเป็นผู้ที่รักษาจิตอยู่ในตัวเหมือนกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็เหมือนกับศีล ถ้าโยมรักษาศีล..ศีลก็จะรักษาโยม เช่นเดียวกันอย่างนั้น

    กาย..เมื่อโยมสำรวมในกายมันเป็นศีลมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นค่ะ) ถูกต้องเมื่อในกายเป็นศีล..ศีลนั้นจะคุ้มครองกาย ไม่ให้กายนั้นมีภัยเข้ามา ดังนั้นฉันถึงพูดถึงอานิสงส์ของศีลว่ามันสำคัญอย่างไร โยมจงจำไว้ต่อไปในภายภาคหน้า ถ้ามันไม่เกิดขึ้นกับโยมหรือเกิดขึ้นกับใครก็ตาม เผื่อโยมจะให้สติได้บ้าง ฉันคงไปช่วยอะไรใครไม่ได้ทั้งนั้น แต่ฉันให้สติได้ว่า..ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดโรคภัยวิบัติอะไรก็ตาม โยมเสียอะไรก็ตาม แม้กระทั่งเสียใจแล้วหดหู่ใจ ขอให้โยมทำใจให้ได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ยอมรับหรือตั้งสติให้ได้เสียก่อน อย่าให้เตลิด ถ้าอะไรเตลิดไปแล้วก็ตาม..อำนาจแห่งเวรภัยแห่งกรรมในอดีตมันจะตามมาให้ผล เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้วขอให้มีสติกำหนดรู้และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทำจิตให้สงบ เมื่อจิตสงบตั้งมั่นดีแล้วให้อธิษฐานบุญกุศลและบารมีที่เราเคยได้กระทำมา แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ดวงจิตวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรที่เราเคยไปเบียดเบียนอาฆาตไว้นั่นแล เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่เรียกว่าจะเป็นการขจัดปัดเป่าอุปสรรคออกไปด่านแรกเสียก่อน

    เมื่อเราขจัดปัดเป่าด่านแรกออกไปแล้วในการเจริญเมตตาจิตออกไป ลำดับที่สองให้เรานั้นเจริญสร้างคุณงามความดีให้เกิดขึ้นมาใหม่ นั่นก็คือการภาวนาจิต การภาวนาจิตจะทำให้จิตนั้นมีกำลัง เมื่อจิตมีกำลังแล้วมันก็บ่งบอกได้เลยว่า..มันจะมีภูมิคุ้มกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ โรคที่เกิดขึ้นเกิดจากการบกพร่องเรียกว่าภูมิคุ้มกันบกพร่องทั้งนั้น ใช่มั้ยจ๊ะ บางคนก็บกพร่องทางหู ทางตา ทางประสาท..สิ่งที่ฉันกล่าวมานี้ต้องมีตัวรักษา ถ้าไม่มีอะไรรักษาเค้าเรียกบกพร่อง แล้วคำที่ฉันบอกว่าบกพร่องนั้นคืออะไร..ศีล เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    54142C41-5EAC-4AA1-BDC3-7D63D52C4314.jpeg
     
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    F3413ED7-6EC6-4B68-8B46-C0C33958C988.jpeg

    การเกิดแห่งบิดามารดาที่ให้กำเนิด ก็เพื่อให้โยมนั้นได้มาตอบแทนคุณมาระลึกถึงคุณ ถ้าไม่มีท่านให้เรามาเกิดแล้ว กายสังขารนี้ที่จะเกิดธรรมในภาคปฏิบัติในความเพียรนั้น..มันก็เกิดขึ้นได้ยาก นั้นไม่ว่าจะเป็นวันแห่งบิดาหรือมารดาก็ตาม ขอให้โยมจงมารำลึกอธิษฐานบุญกุศลในการเจริญภาวนาจิตให้กับท่านเหล่านั้น..ก็คือพระอรหันต์ของโยม จึงเรียกว่าเป็นการประพฤติภาวนาจิตอันบริสุทธิ์เพื่อส่งบุญกุศล เรียกว่าเป็นการตอบแทนค่าน้ำนมค่าการเลี้ยงดู สิ่งเหล่านี้ควรทำให้บังเกิดเป็นประจำ ติดเป็นนิสัยเป็นวาสนา

    หนี้อะไรที่ใช้ไม่หมด..ก็คือหนี้แห่งบุญกุศล หนี้แห่งการเกิด หนี้แห่งค่าน้ำนม ดังนั้นในการประพฤติปฏิบัติเพื่อตอบแทนอุทิศบุญกุศลนี้ถวายเป็นพระราชกุศลก็ดี ถวายพระบิดามารดา ที่ให้เราได้เกิดก็ดี สิ่งเหล่านี้ควรกระทำให้บังเกิด..มีอานิสงส์มาก เพราะได้เป็นการตอบแทนท่านอย่างแท้จริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นต้องเห็นค่า..ไม่ใช่ว่ามันไม่มีค่า

    นั้นเวลาใดที่เราได้กระทำความดีแล้วอย่าไปเร่งเวลา อย่าได้ไปสนใจเวลา แต่จงกำหนดรู้เวลาว่าเวลานี้เราทำอะไรอยู่ ถ้าผู้ใดนั้นไม่เห็นค่าของเวลาแล้ว นั้นบุญกุศลนั้นเราไปเร่งมันไม่ได้ แต่เรากำหนดบุญกุศลได้ เมื่อเรากำหนดบุญกุศลได้ก็เท่ากับว่าบุญกุศลที่เราทำนั้นมันจะสนองตอบ เรียกว่าสิ่งที่ว่าจะได้มามันก็จะทำให้เร็วขึ้น สิ่งนี้ต่างหากที่มันจะสนองโยม ก็คือการเจริญบุญกุศลให้มันเกิดขึ้นแล้ว นั้นด้วยการอธิษฐานมันก็สำเร็จสมในความตั้งใจของโยมได้

    แล้ววันนี้ก็เป็นวันดีที่โยมได้มาเจริญบุญเจริญกุศล ก็ด้วยว่าเห็นว่าเป็นการระลึกถึงคุณแห่งมหาบพิตรที่ทำคุณประโยชน์ให้กับชาติ ศาสนา เป็นการตอบแทนของแผ่นดินที่ทำให้โยมนั้นได้เกิด ได้อยู่ ได้อาศัย ได้แสวงหาบุญกุศล ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ให้โยมนั้นควรระลึกถึง ควรตอบแทนโดยไม่มีประมาณและไม่มีข้อสงสัยใดๆ

    ในการทางประพฤติปฏิบัติก็ตาม โยมอย่าได้สงสัยและขอให้ทำลงไป ยิ่งสงสัยก็ต้องยิ่งขวนขวายกิจนั้นกระทำสิ่งนั้นอยู่ในกายนี้ให้มากๆ ภาวนาให้มากๆ จนจิตนั้นมันตื่นรู้ ตื่นรู้ว่าในขณะนี้เราทำอะไรอยู่ แล้วสิ่งที่เราทำนั้นมันเป็นประโยชน์อันชอบหรือไม่ เป็นโทษหรือไม่ ให้คุณอย่างไร..นี่เรียกว่ามีสติ
    ฉันจึงถามว่าในขณะนี้โยมทุกข์อะไร เพื่อให้รู้อยู่ในปัจจุบัน..ว่าในขณะนี้อารมณ์ใดมันเกิด

    อารมณ์ใดมันเกิดนั่นแลก็เรียกว่าเหตุแห่งทุกข์มันเกิด มันเกิดที่ใด..ก็ใจโยมนั่นแลไปรับรู้ในหู ตา..เรียกว่าทวารที่ไปสัมผัสรู้ได้ที่มากระทบ นี้ก็ต้องเท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าวันหนึ่งๆนั้นจิตโยมไม่ว่าอารมณ์ใดจะมากระทบมากน้อยเพียงใดก็ตาม จะเป็นอารมณ์ดี อารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดีนั้น แต่เมื่อโยมมาเจริญภาวนาจิตแล้ว เจริญสติแล้ว ก็ให้กำหนดรู้อารมณ์เหล่านั้นที่เกิดขึ้น ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่โยมไปสัมผัสมา ไปกระทบมา ไปรับรู้มานั้น ก็เรียกว่าต้องละออกกำหนดรู้ เพราะว่ากรรมก็ดี อกุศลก็ดี..มันก็เข้ามาทางนี้

    ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามจะเป็นของสิ่งไม่ดีก็ตาม ล้วนแล้วก็เข้ามาทางนี้ทั้งนั้น คำว่า"ทวาร"นั้นก็คือทาง ช่องทางที่มันเข้ามา ก็ด้วยอำนาจของสติของจิตเรานั้นที่เราไม่ทันระวัง แต่การเจริญสติภาวนานี้ใครได้ละมาก ผู้นั้นก็ได้มีการสะสางล้างของเสียของอัปมงคลก็ดีออก เมื่อโยมภาวนาจนเข้าถึงในพระรัตนตรัยแล้ว กาย วาจา ใจโยมสงบแล้วนั่นแลพระรัตนตรัยก็บังเกิด สิ่งเหล่านี้เมื่อโยมเข้าถึงในพระรัตนตรัยอันมีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์แล้ว เค้าเรียกว่าเข้าถึงในศีล สมาธิ และปัญญา จิตนั้นแลที่เป็นกุศลจะผลักดันสิ่งที่เป็นอกุศลออกทางทวาร ทางรูขุมขน ทางกระหม่อม

    ดังนั้นขอให้โยมนั้นต้องมีจิตที่ตั้งมั่นในการเจริญสติ เค้าถึงได้บอกว่าอารมณ์นั้นที่ยังไม่สงบก็ดี ก็ให้กำหนดรู้แล้วละมันออก การจะละมันออกได้ มันก็ต้องมีวิตกคิดนึกสิ่งต่างๆ จึงเรียกว่าเป็นอุบายแห่งธรรมอย่างหนึ่ง เป็นการเจริญวิปัสสนาสมถะให้มันเกิดขึ้น เรียกว่าปลงละอารมณ์ เมื่อมันเกิดวิตกวิจาร..ถ้าโยมละมันได้อยู่บ่อยๆแล้ว อารมณ์แห่งความสงบมันก็บังเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติของมัน

    ในการเจริญสมาธิ..เมื่อสมาธิบังเกิดปัญญามันก็บังเกิด ก็เอาปัญญาแห่งความสงบที่มันบังเกิดขึ้นนั่นแลไปพิจารณาในเหตุทั้งปวงที่เรานั้นไปรับมันมา แม้เราจะระลึกได้ก็ดีระลึกไม่ได้ก็ดีในอารมณ์ต่างๆนั้น เมื่อถึงความสงบแล้วอารมณ์เหล่านี้มันจะเข้ามาในจิตเรา เช่นอารมณ์นี้ที่ไมพอใจมีคนด่าทอก็ดี นินทาว่าร้ายก็ดี สิ่งเหล่านี้เรียกเป็นอารมณ์แห่งโทสะ เราต้องกำหนดและพิจารณาละมันออกไป

    แล้วการละมันออกไปในอารมณ์นี้ก็เรียกว่าเราต้องอโหสิกรรมแผ่เมตตาจิตนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นอานิสงส์ของการแผ่เมตตานี้จึงไม่มีประมาณ ถ้าโยมมีเมตตาจิตแผ่เมตตาให้คนเค้าบ่อยๆแล้ว การจะทำความชั่วทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจนั้นมันก็เกิดขึ้นได้ยาก เรียกว่าอกุศลในจิตมันก็จะเหลือน้อย นั้นอานิสงส์ของการแผ่เมตตามันจึงสำคัญนัก..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    99822043-5031-4F3E-B8C4-E517DB360851.jpeg

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่ครับ ระดับของการทำบุญนี่มีข้อจำกัดมั้ยครับ.หรือมีตัวกำหนดมั้ยครับว่าระดับควรจะมีขนาดไหน

    หลวงปู่ : บุญใหญ่บุญเล็กบุญน้อย ถ้าโยมไม่สะสมจากเล็กน้อย..บุญที่โยมทำก็ยังไม่ใหญ่จริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ โอ้..บุญนี้น้อยนัก ไม่เหมาะสมกับบารมีเรา เรารอไว้บุญใหญ่ทีเดียว..โยมก็เข้าถึงบุญใหญ่นั้นไม่ได้ เพราะโยมไม่รู้ว่าบุญนั้นใหญ่แค่ไหน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นบุญอะไรก็ตามที่ทำแล้วเป็นความดี ไม่ทำให้โยมนั้นเดือดร้อนภายหลัง และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน นั่นแหล่ะจ้ะสมควรทำสะสมไป จะทำให้โยมนั้นเข้าถึงในบุญใหญ่ได้ อันที่แท้จริงบุญใหญ่ที่โยมเข้าถึง..ไม่ใช่ว่าโยมนั้นเห็นว่าเป็นบุญใหญ่ แท้ที่จริงแล้วโยมสะสมบุญเพียงเล็กน้อย จนมันมีกำลังเป็นกำลังที่เป็นบุญใหญ่ต่างหาก คือการภาวนาจิตก็ดี สาธยายมนต์ก็ดี เมตตาภาวนาจิตก็ดี สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นบุญใหญ่ทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ใช่ว่าบุญเล็กน้อยเลย

    แต่คนที่เห็นว่าบุญไหนเล่าที่จะใหญ่ได้ แล้วขอทำบุญใหญ่นั้น แล้วจักได้บุญใหญ่นั้นเลย..ไม่มี เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะถ้าคนมนุษย์ผู้ใดคิดแบบนั้นจะไม่เข้าถึงบุญเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะถ้าโยมไม่สัมผัสบุญแม้เพียงเล็กน้อย โยมจักไม่รู้ได้เลยว่าบุญใหญ่เป็นอย่างไร

    อย่าได้ประมาทแม้บุญเพียงเล็กน้อย เพียงโยมยิ้มให้กันก็เป็นบุญแล้ว โมทนาจิต มุทิตาจิต พลอยยินดีที่เค้ามีสุขก็เป็นบุญ พูดให้กำลังใจก็เป็นบุญ ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วตรงกันข้ามเล่าจ๊ะ ทำให้คนเค้าบั่นทอนคุณงามความดี สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอกุศลเช่นเดียวกัน นั้นกุศลกับอกุศลก็อยู่ตรงข้ามกันอยู่แล้ว

    ดังนั้นถ้าโยมให้กำลังใจแม้ใครสักคนที่เค้าขาดกำลังใจ แต่เมื่อเค้าได้กำลังใจจากโยม คำพูดของโยมอาจจะไม่สำคัญกับโยม แต่มันอาจจะเป็นความสำคัญสำหรับใครบางคน ที่เค้าขาดกำลังใจในขณะนั้น แล้วก็ได้ข้อคิดได้สติแล้วก็กลับขึ้นมาจากห้วงแห่งตรงนั้น นั่นแหล่ะจ้ะบุญใหญ่ที่สุดแล้ว..คือธรรมทาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เราจะรู้ได้อย่างไร ใช่มั้ยจ๊ะ คนที่มีกำลังใจที่ดีนั้นอาจจะมองไม่เห็นกับคนที่ขาดกำลังใจ นั้นโอกาสนั้นไม่สามารถเข้าถึงได้ทุกคน แม้เงินร้อยล้านพันล้านก็ไม่สามารถซื้อโอกาสดีๆได้ เช่นโอกาสแบบนี้ที่โยมได้มาเจริญกุศลคุณงามความดีกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเงินร้อยล้านพันล้านในขณะนี้ถ้าโยมตายตอนนี้..โยมก็ยังเอาไปไม่ได้ แต่สิ่งที่โยมทำไว้แล้วที่ผ่านหน้านี้ก็ดี ในขณะนี้ก็ดีมันจะติตจิตวิญญาณโยมไปได้โดยแท้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ลูกศิษย์ : แล้วการที่เราทำบุญด้วยทรัพย์กับด้วยแรงกายล่ะครับหลวงปู่..ถ้าเปรียบเทียบแล้ว

    หลวงปู่ : ถ้าทรัพย์นั้นโยมได้มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของโยม แล้วโยมทำในทรัพย์นั้นด้วยความเต็มกำลังอันบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ..บุญนั้นก็ให้ผลมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าทรัพย์โยมไม่มีแต่โยมทำกายของโยมนั้นให้เป็นทรัพย์เป็นทาน มันก็ให้ผลไม่ต่างกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะทรัพย์นั้นเป็นของสมมุติ แต่ถ้าโยมไม่มีทรัพย์โยมมีกาย เท่ากับว่าโยมนั้น..เอากายนั้นแปรเป็นสินทรัพย์ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะเค้าบอกว่าการเกิดนี้แล..คืออริยทรัพย์อย่างยิ่ง แต่เงินตราสมมุติขึ้นมาภายหลัง ถ้าใครทำอริยทรัพย์ให้บังเกิดมีคุณวิเศษแล้ว จะเนรมิตทรัพย์นั้นให้เป็นภูเขากี่ร้อยกองก็ย่อมได้ นี่เค้าเรียกว่ากายที่เป็นอริยทรัพย์นั้นจึงสำคัญมากกว่าเงินทอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อ้าว..โยมเกิดมามีเงินออกมาจากปากโยมมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่มี) ถูกต้องแล้ว โยมก็มาหาทีหลังใช่มั้ยจ๊ะ แล้วสิ่งไหนที่มันตามโยมมา..กุศลและอกุศลไงเล่าจ๊ะ บุญวาสนาที่โยมทำมาแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลิขิตได้ แต่สิ่งเหล่านั้นที่โยมได้ทำมาแล้วจะลิขิตโยม แต่เมื่อโยมสร้างบุญในปัจจุบันนั่นแล เมื่อโยมตายสิ่งนั้นแหล่ะจ้ะจะลิขิตโยมภายหลัง จากโลกวิญญาณหลังจากความตายแล้ว

    ดังนั้นเมื่อโยมตายไปแล้วโยมจะมาลิขิตอะไรไม่ได้ นั้นถ้าโยมยังมีลมหายใจอยู่จงลิขิตตัวเองซะ เพราะพระพรหมพระอินทร์ไม่ได้ลิขิตโยม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    6D74AFD9-DDEC-4696-9CA6-DE62E513C829.jpeg

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ ทางพ้นทุกข์ที่เราอธิษฐานนี่ มันจะต้องเจอบททดสอบมากแค่ไหนคะ ถ้าจะไปชาตินี้ค่ะ

    หลวงปู่ : โยมอยากเรียนสูงๆมั้ยจ๊ะ ก็จะมีบททดสอบว่าโยมนั้นรู้จริงหรือไม่ นั้นก็เป็นของธรรมดา ถ้าโยมยังรู้ไม่จริง ความรู้ที่โยมมีในสติปัญญาของโยมนั้น โยมก็ข้ามบททดสอบไปไม่ได้ เมื่อเราข้ามบททดสอบไปไม่ได้ ใครที่ไหนเค้าต้องการจะรับทำงาน มีมั้ยจ๊ะ (ไม่มี) นั้นบททดสอบทั้งหลายที่มันเกิดขึ้น ก็อยู่ที่โยมนั้นปรารถนาจะไปที่ใด

    แต่ในทางโลกและในทางธรรมนั้นมันแตกต่างกัน เมื่อโยมจะไปในทางธรรม..นั่นก็เรียกว่าประพฤติปฏิบัติอยู่ในกายนี้ เพราะกายนี้มันคือกายแห่งธรรม นั้นกายแห่งธรรมนี้มันขึ้นอยู่กับโยมมีความเพียรมากแค่ไหน เจริญมรรคมีองค์ ๘ แค่ใด ทาน ศีล ภาวนาโยมมียังไง เราก็ต้องมีการอบรมบ่มจิตอยู่บ่อยๆ

    การอบรมนี้เรียกการสั่งสอน การทบทวนตำรับตำรา ทบทวนอยู่ในกาย ในจิตนี้ ในสังขารที่มันคิดปรุงแต่งขึ้นมา นั้นก็เอาความคิดปรุงแต่งนี้มาพิจารณาให้ละความคิดนั้น ก็ต้องไปพิจารณาอยู่ในอารมณ์ที่มันสงบแล้ว

    แต่ถ้าไม่สงบก็ให้มีวิตกกำหนดรู้แล้วละอารมณ์นั้นออกไป แล้วก่อนจะละอารมณ์นั้นโยมก็ต้องพิจารณาอารมณ์นั้นอีกอยู่บ่อยๆ จนเห็นอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาด้วยจิตที่เราไปปรุงแต่ง แล้วโยมจะละวางอารมณ์นั้นได้ จนกว่าจิตโยมนั้นจะสงบ

    นั้นทางที่โยมจะบรรลุหรือพ้นจากทุกข์ไปได้นั้น..มันก็ต้องมีบททดสอบ ไอ้บททดสอบที่แท้จริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรหรอกจ้ะ มันมีอยู่ว่าโยมนั้นอยากพ้นทุกข์จริงหรือไม่ ถ้าโยมอยากพ้นทุกข์จริง โยมก็จะทำ..ขวนขวาย มีความเพียร มีสัจจะ มีขันติธรรมมาก มันอยู่ที่ว่าโยมจะทำจริงหรือไม่ ถ้าโยมทำจริงแม้บททดสอบมันมีมากแค่ไหน โยมก็ผ่านมันไปได้ แต่ถ้าโยมไม่อยากพ้นทุกข์จริง ให้อุปสรรคน้อยนิดโยมก็ทนมันไม่ได้หรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นทำอะไรแล้วอย่าไปต่อรองกับสิ่งใด ขอให้มีต้นทุนทำลงไปก่อน แล้วเอาต้นทุนนั้นอธิษฐานลงไป เมื่อโยมทำได้มีต้นทุนในบารมีแล้ว ในทาน ศีล ภาวนาแล้ว ก็ให้อธิษฐานเพื่อเอากายสังขารนี้ประพฤติปฏิบัติบูชาในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ บิดามารดา ในเทพเทวาและผู้มีคุณทั้งหลายทุกภพทุกภูมิ ทุกภพทุกชาติ ที่ข้าพเจ้าได้เวียนว่ายตายเกิดมานี้ ขอสัจจะบารมี ขันติบารมี เมตตาบารมี เรียกว่าอธิษฐานในบารมีทั้ง ๑๐ ให้บังเกิดขึ้น แล้วทำเจริญความเพียรลงไป นี่แหล่ะจ้ะคือทางที่โยมจะไปทางหลุดพ้นได้

    เพราะว่าเมื่อโยมอธิษฐานไปแล้ว..กำลังมันก็จะมีมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนโยมนั้นเป็นแม่ทัพแล้วมีบริวารตามหลังมา โยมจะมีความเพียร นั่งก็นั่งได้นาน เมื่อศัตรูมารุกรานทำให้จิตโยมนั้นเกิดฟุ้งก็ดี เวทนามารบกวนจิตก็ดี เมื่อกำลังมันมีมากแล้วโยมจะข่มและกำจัดอารมณ์นั้นได้ง่าย

    เมื่อโยมข้ามอารมณ์นั้นไปได้โยมก็ยิ่งมีความฮึกเหิมมีกำลังใจ โยมจะรู้ทันทีว่าเป้าหมายที่โยมนั้นจะไป..อีกไกลแค่ไหน ไปได้หรือไม่ได้ ไม่มีใครบอกโยมนอกจากโยมต้องบอกตัวเอง นั่นเรียกจึงเป็นของปัจจัตตัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ปัจจัตตังไม่ได้บอกว่าเข้าไม่ถึง ที่ปัจจัตตังนั้นเค้าเรียกว่าเข้าถึง แต่ต้องเข้าถึงด้วยตัวของตัวเอง เพราะมนุษย์มีกรรมเป็นของตัวเองเช่นเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    4151EC37-3DDF-482C-A868-C3D957FDA011.jpeg

    เมื่อโยมได้เกิดมาแล้ว ที่ได้ดำเนินรอยทางตามพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน แม้ท่านไม่ทรงอยู่แล้ว ไม่มีกายสังขารแล้วก็ตามที แต่เรายังอยู่ในยุคของท่านอยู่ ยังไม่ได้บอกว่าเรานั้นไม่ทันในยุคท่าน..ไม่จริง ก็คำสั่งสอน รอยพระพุทธบาทก็ดี พระองค์ปฏิมากรก็ดี นั่นคือตัวแทนแห่งธรรมทั้งนั้น พอเราเห็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่เป็นพระปฏิมากร เราระลึกถึงคุณของท่านที่เกิดมาก็ดี คิดถึงว่าพุทโธก็ดี พุทธัง สรณัง คัจฉามิก็ดี มันทำให้เราน้อมเข้าไปหาธรรม..นี่เรียกว่าเป็นตัวแทน หรือเรียกว่าศาสดา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อย่างนี้..มันทำให้เราหวนคิดถึงธรรมที่ท่านได้ตรัสไว้ว่า "ที่ใดมีรัก..ที่นั่นมีทุกข์" ก็จริงของท่าน ไม่มีเลยว่าที่ใดมีรักแล้วที่นั่นไม่มีทุกข์ โยมว่าจริงมั้ยจ๊ะ แต่ขอให้โยมจำไว้ที่ใดไม่มีรัก..ที่นั่นก็มีทุกข์อยู่ดี เพราะว่าเรามีอะไรยึดอะไรไว้สักอย่างหนึ่ง..นั่นก็คือทุกข์

    แต่ถ้าบุคคลใดรู้เหตุแห่งทุกข์ รู้ว่านี่คือตัวทุกข์ รู้ว่านี่คือทางดับทุกข์ รู้ในสิ่งนี้ว่าทางออกจากทุกข์เป็นอย่างไร ผู้นั้นชื่อว่าผู้ได้เรียนรู้แล้ว ผู้เรียกว่าสุขแล้ว ผู้เรียกว่าการเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว

    แต่ถ้าผู้นั้นมีรักมากมาย มีคู่มากมาย มีสุขมากมาย มีทุกข์มากมาย แต่ไม่รู้ว่าสุขหรือทุกข์นั้นมีมากกว่ากัน แล้วหาความเบื่อหน่ายความพอใจไม่ได้ หยุดไม่ได้อย่างนี้ ผู้นั้นจักไม่รู้เลยว่าชาติคืออการเกิดนี้จะสิ้นสุดเมื่อใด จำเอาไว้นะจ๊ะ ถ้าโยมยังวนเวียนอยู่อย่างนี้ ยังมีความชอบใจความไม่ชอบใจ..ภพชาติย่อมมีต่อไป

    แต่ถ้าโยมรู้แล้วว่าสุขเป็นอย่างไร ทุกข์เป็นอย่างไร การไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอย่างไร เมื่อโยมรู้ทุกข์ รู้โทษ รู้ภัยของมันแล้ว โยมจะรู้ชาติว่าการเกิดครั้งนี้จะเป็นชาติสุดท้ายได้หรือไม่ นี่คือเห็นทางออกของทุกข์ ดังนั้นทุกข์ทั้งหลายที่โยมเสวยอยู่ เหตุเพราะว่าอำนาจกรรมนั้นมันมีมาก..มันจึงเบียดเบียนบีฑาโยมให้กระทำลงไป ถ้าทุกข์มันยังไม่ถึงที่สุดแห่งอำนาจแห่งกรรม เราก็ไม่สามารถจะออกจากสิ่งนั้นได้

    บางคนไม่อยากเป็นโจรแต่ก็ต้องเป็นโจร ไม่อยากทำความชั่วลามกจกเปรตอะไรทั้งหลาย ก็ยังต้องถูกอำนาจแห่งกรรมเหล่านี้เบียดเบียนบีฑา เพราะอำนาจของความอยากของตัณหา สิ่งเหล่านี้เพราะเรานั้นยังขาดจากปัญญา ขาดจากการอบรมบ่มจิต คือการขาดสติอบรมหรือเรียกว่าขันติแห่งธรรม

    ดังนั้นแลเมื่อกรรมมันยังมีมากยังให้ผลอยู่ แต่เมื่อไหร่โยมประพฤติปฏิบัติมาก..แล้วละให้มากในสิ่งนั้น คือไม่เอาใจไปผูกพัน ไม่เอาใจไปเกี่ยวข้อง ละตัดบั่นทอนในความพอใจได้อย่างนี้แล จะทำให้โยมนั้นเข้าถึงและเห็นทางออกแห่งทุกข์ทั้งปวงได้

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    3E923312-7C2E-43E6-9B97-E293EF3F063C.jpeg

    ความดีทั้งหลายมันเกิดที่จิตใจของตัวเรา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งหลาย โยมก็รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ที่เราไปติดไปพอใจอย่างไร โยมตัดที่ใจได้..ไอ้รูป รส กลิ่น เสียงทั้งหลายนั้นก็ดับได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนว่าศีลมันมีมากมายหลายพันข้อก็ตาม ให้เราถือใจเราเป็นใหญ่เพียงข้อเดียว ไม่ให้ใจเราโลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้หลง ถ้าอาการ ๓ อย่างมันเกิดขึ้นในผัสสะในอารมณ์จิตที่เราเข้าไปเสวยนั้นแล ขอให้โยมมีสติรู้ เมื่อเรารู้อยู่บ่อยๆมันย่อมระงับดับได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นิโรธมันก็บังเกิด เมื่อเราเพ่งโทษในอารมณ์นั้นให้มากๆ

    แต่สิ่งที่ว่ามันเพ่งแล้วมันไม่เท่าทัน เพราะว่าอำนาจแห่งไฟโทสะ โมหะ โลภะนั้นมันมีอำนาจมาก..ก็เพราะอะไร เพราะเรายังมีความพอใจเกี่ยวข้องนั่นเอง ดังนั้นจะทำอย่างไรให้อำนาจไฟ ๓ กองเหล่านี้มันไม่ให้โทษมาก นั่นก็หมายถึงเราต้องละอารมณ์ในขันธ์ ๕ ให้มาก คือบั่นทอนเชื้อ ไม่เพิ่มเชื้อนั่นเอง นี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้อกุศล รากเหง้าของอกุศลนี้แลมันดับลงได้ ก็คือไฟในขุมนรกนี้

    ดังนั้นถ้าใจเราเร่าร้อนอยู่ นั่นแลเรากำลังเสวยทุกข์อยู่นั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเรารู้ทุกข์แล้วอย่างนี้..แล้วเราทนทุกข์ แล้วพิจารณาละออกจากทุกข์นั้น โยมก็ไม่ต้องกลับลงไปอยู่ข้างล่างอีกต่อไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมเอากายนี้แลเป็นขุมนรก และสวรรค์ และนิพพาน..โยมจะรู้ได้

    อาการของขุมนรกที่เราจะเสวยทุกข์เป็นอย่างไร จิตจะเร่าร้อน ใครที่มีทุกข์นั้นเวลานั้นผ่านไปยาวนานนัก เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็เหมือนที่สัตว์นรกทั้งหลายที่ต้องตกเสวยในวิบากกรรม ย่อมมีความยาวนานของเวลา ความสุขก็เช่นเดียวกันของสวรรค์ ผู้ใดมีความสุขก็จะเห็นว่าเวลานั้นมันยาวนานเช่นเดียวกัน ก็อยู่ที่เรานั้นพอใจ

    อันว่านิพพานถ้าจิตเรานั้นว่างทุกอย่าง หยุดคิดจากการปรุงแต่งของอารมณ์แล้ว ที่จิตนั้นเข้าไปสัมผัสรับรู้อยู่ในอุเบกขาอย่างนั้น จิตนั้นไม่มีการปรุงแต่งอย่างใดเสียแล้วอย่างนี้ ก็เหมือนเรานั้นเสวยอยู่ในนิพพานในอารมณ์นั้น

    ดังนั้นแล้วการว่ามีขันธ์ ย่อมมีชื่อว่ากองทุกข์อยู่ร่ำไป นั้นเราจะดับ ถ้าเมื่อเรายังมีอารมณ์อยู่ ไปเกี่ยวข้องในขันธมารอย่างนี้ ในรูป เวทนา สัญญา สังขารอยู่ ดังนั้นทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงย่อมดับลงไม่ได้ แต่เมื่อเราละอารมณ์ในขันธ์ ๕ อยู่บ่อยๆ ในอำนาจในไฟในกิเลส ๓ กอง คือโทสะ โมหะ โลภะ คือละให้มันเหลือน้อย

    เมื่อมันเหลือน้อยแล้วอำนาจแห่งอกุศลก็ดี เมื่อมันมีน้อย..สติเรามีมากกว่า เราย่อมเท่าทันและควบคุมมันได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อควบคุมมันได้เราก็จะอยู่กับมันได้ มันก็เหมือนว่าไอ้สรรเสริญเยินยอ นินทาของโลกธรรมทั้งหลาย เราไม่มีทางที่จะห้ามมันได้ แม้เวทนาในกายสังขาร เราก็ไม่สามารถห้ามมันได้ ความเจ็บป่วยก็ดี ความเสื่อมก็ดีเหล่านี้ เราไม่สามารถห้ามมันได้ ความตายเราก็ไม่สามารถห้ามมันได้ ถ้าเมื่อมันเกิดกับผู้ใดแล้วมันจะมีอำนาจมาก

    แต่เมื่อเราห้ามมันไม่ได้ เพราะว่าทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ทนได้ยาก แต่เราสามารถกำหนดรู้มันได้ ขอให้โยมฝึกอยู่ในจิตอยู่ในกายวาจา อยู่ในสติปัฏฐาน ๔ ให้มากๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วโยมจะหลุดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ เมื่อโยมทนในเวทนาทุกข์เวทนา สุขมันก็เป็นเวทนา ทุกข์มันก็เป็นเวทนา การวางเฉยในทุกข์และสุขก็เป็นเวทนา ดังนั้นการดับทุกข์ต่างหากโยมจะไม่มีเวทนาอีกต่อไป

    การดับทุกข์..ดับอย่างไร ทุกข์มันเกิดที่ไหน ถ้าเราบอกว่าเกิดที่กายแล้วมีใจที่เป็นประธานไปรับรู้ในกองอกุศล โยมก็เอากายนั้นแลเป็นที่ฝึก เป็นสนามรบ เป็นป่าแห่งกรรมฐาน เมื่อโยมเอาใจนั้นเป็นพระแล้ว ใจของโยมมีศีลแล้ว ก็เอากายสังขารนี้แลเป็นวัดวาอาราม แสดงว่าเมื่อใจเรามีศีล เมื่อใจเราเป็นพระ ใจเรานี้มีเมตตามีพรหมวิหารแล้ว โยมก็ทำกายเรานี้ให้เป็นเสนาเสนาะ เป็นที่สัปปายะที่สันโดษ

    ถ้าใจโยมยังไม่สงบเพียงใด แม้โยมจะประพฤติปฏิบัติที่ไหนก็หาความสงบไม่ได้ พระธุดงค์หรือผู้แสวงหาที่สัปปายะเพราะอะไร เพราะเมื่อจิตเค้าสงบมากๆยิ่งเข้าไปแล้ว ทีนี้เค้าจะแสวงหาที่สงบยิ่งเข้าไปอีก ที่วิเวกสันโดษเข้าไปอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าจิตผู้ใดนั้นยังไม่เคยทำให้จิตนั้นสงบได้เลย โยมไม่ต้องไปหาสถานที่สงบสันโดษสัปปายะที่ไหนอีกเลยในโลกนี้..จะไม่มีที่แห่งนั้นให้กับบุคคลผู้นั้นเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    โยมฝึกในกายนี้ให้มันระงับเสียก่อน ถ้ากายโยมยังไม่ระงับ ยังไม่เข้าถึงศีลได้ โยมอย่าได้ริอาจจะไปฝึกที่ใด เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะแสดงว่าโยมยังไม่มีครูบาอาจารย์ ยังไม่มีหัวใจพระกรรมฐาน เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วสติอาจวิปลาสได้ ฉันก็อยากจะบอกเตือนว่า..ถ้าโยมต้องการปรารถนาความก้าวหน้าของจิต ไม่ว่าโยมจะอยู่ที่ใดถ้าจิตโยมสงบตั้งมั่นแล้ว จิตเรานั้นจะปรารถนาหาที่สัปปายะ เมื่อนั้นแลจะเป็นการหาที่ฝึกจิตอยู่ตลอดเวลา เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ผู้ใดไม่ได้ปรารถนาหาความสงบความสัปปายะ มีแต่ความเกียจคร้าน โยมไปอยู่ที่ใดโยมก็ต้องไปหาแต่ความเกียจคร้านที่นั่น โอ้..ที่ตรงนี้มันสงบน่านอนดี อย่างนี้แลก็เป็นเช่นนี้

    ดังนั้นกายเรานี้แลเป็นถ้ำเป็นผา เป็นที่อยู่อาศัย เป็นที่เรียนรู้ เป็นที่สร้างกุศลและสร้างอกุศลมูลทั้งหลาย ดังนั้นนรกก็ดี สวรรค์ก็ดี นิพพานก็ดีก็อยู่ในกายนี้ ขอให้โยมจงรู้..นรกเมื่อเกิดขึ้น..ก็คือเกิดขึ้นที่ใจที่โยมรับรู้สัมผัสได้ อันว่าเวทนาที่เกิดขึ้นทางกายนั้นแล..ก็เรียกว่าตัวทุกข์ สิ่งที่ทนได้ยาก นี้เค้าเรียกว่าเป็นการชดใช้ในกรรมที่โยมต้องเสวย ดังนั้นการเสวยนี้อย่างน้อยเราก็ยังทนได้กำหนดรู้ได้

    อันว่าสวรรค์คือที่ตั้งของจิตอันที่ว่าสงบระงับแล้วในเวทนาทั้งหลาย มันก็จะเกิดสุขความพอใจเกิดปิติ อันว่านิพพานก็คือว่างจากอุปกิเลสทั้งหลายที่ทำให้จิตเรานั้นไม่เศร้าหมองอีก นี้แลเมื่อเราทำอยู่บ่อยๆ นั่นก็หมายถึงว่าทำจิตให้เรานั้นสะอาดอยู่บ่อยๆ ให้จิตเรานั้นเข้าถึงศีล ให้จิตเราตั้งมั่นอยู่บ่อยๆ..เหล่านี้ชื่อว่ากุศล ควรทำให้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    2B825096-5D72-47FB-B041-6E7CD4557B25.jpeg

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ การละอารมณ์..การละอุปาทานในขันธ์ ๕ นี่ เราได้จากการที่เรามีองค์ภาวนา หรือไปกำหนดรู้ในอารมณ์ใช่หรือไม่เจ้าคะ

    หลวงปู่ : ในขณะที่โยมภาวนาอยู่ โยมจะไปกำหนดรู้ยังไม่ได้ เพราะในขณะที่เราภาวนาอยู่ องค์ภาวนาเป็นตัวอาศัยให้เกิดความสงบให้จิตตั้งมั่น แต่ในขณะที่โยมตั้งมั่นแล้วนั่นแล โยมถึงจะไปกำหนดรู้ในอารมณ์ที่มาผัสสะมาเกิดขึ้น หรืออารมณ์เก่าๆค้างๆที่เรายังไม่ได้ละออก เข้าใจมั้ยจ๊ะ หรือเรียกว่าการพิจารณาธรรมเกิดขึ้น

    นั้นการภาวนาจิตนี้เพื่อรักษาจิตเรานั้นให้เป็นปรกติ เค้าถึงบอกว่าการภาวนาก็เป็นการรักษาศีลอย่างหนึ่ง เค้าเรียกว่าทำใจให้เป็นปรกติ เพราะอารมณ์จิตเรานั้นหวั่นไหวได้ตลอดเวลา ฟุ้งซ่านได้ตลอดเวลา การภาวนาจิตนี้เค้าเรียกว่าสะสมกำลังให้เกิดขึ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ สะสมสมถะ สะสมความสงบ เพื่อระงับดับเวรภัยจากภายนอก คือไม่ส่งจิตออกไปภายนอก เพราะขณะที่เราภาวนาอยู่..จิตเราจะอยู่กับกาย อยู่กับสติ อยู่กับองค์ตัวรู้องค์ภาวนา อยู่กับปัจจุบันจิตนั้นแล

    เมื่อเรารู้แต่ปัจจุบันจิตนั้นแล..เราย่อมหยั่งรู้ในอดีตในอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้ในผัสสะในอารมณ์ที่มากระทบ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นเค้าเรียกว่าธรรมารมณ์..เราถึงจะไปละอารมณ์ได้ ถ้าเราไม่รู้เท่าทันในอารมณ์..เราจะไปกำหนดรู้ในอารมณ์นั้นไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นแสดงว่าที่เราภาวนาจิตนี้แล..มันเป็นวิถีทางเป็นอุบายธรรมให้เราเข้าถึงความสงบ เข้าถึงสติ เข้าถึงตัวปัญญา

    ดังนั้นในขณะใดที่โยมมีความกลัวหรือมีอารมณ์ใดมาเกิดขึ้น ให้เราระลึกถึงองค์ภาวนา เพราะจิตโยมจะจับอยู่ เมื่อจิตจับอยู่แล้วสติมันจะเกิดขึ้นในขณะนั้นไม่มากก็น้อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อโยมจับเท่าทันอยู่บ่อยๆ ในขณะที่โยมกำลังจับเท่าทันในอารมณ์นั้นแหล่ะจ้ะ เมื่อโยมเท่าทันในอารมณ์นี้..อารมณ์อื่นที่จะเข้ามาแทรกโยมก็จะรู้เท่าทันเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นความหนาวเหน็บก็ดี เมื่อโยมมีองค์ภาวนาเข้าไปแทรก จิตเมื่อไม่เพ่งออกไปในอารมณ์ที่มากระทบแล้ว ความหนาวเหน็บนั่นแลมันก็จะเบาบางลงทันที เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่างนี้เค้าเรียกว่ามีองค์ภาวนาคุ้มกันภัยได้

    แต่"สติและปัญญา"นั้นแลจะเป็นหลักประกัน เพราะถ้าโยมไม่มีสติและปัญญา..โยมก็ไม่สามารถจะมีองค์ภาวนาได้ เพราะปัญญาต้องเป็นปัญญาที่ชื่นชอบแล้วว่า เราจะมีองค์ภาวนาไปทำอะไร เราจะภาวนาไปทำอะไร ภาวนาแล้วได้อะไร..อย่างนี้ นั้นความเชื่อศรัทธาอะไรก็ตามโยมต้องมีปัญญาพิจารณาลงไป โยมถึงจะรักษาความเชื่อความศรัทธาในสิ่งที่โยมได้กระทำอยู่นั้นได้ตลอด

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ ตัวอารมณ์น่ะเจ้าค่ะ บางครั้งเราตื่นขึ้นมาเราก็จะมีอารมณ์เศร้าหมอง บางครั้งก็หงุดหงิด บางครั้งก็รู้สึกเบื่อหน่ายในสุขที่มีอยู่ แล้วก็เห็นว่าเหมือนว่าสุขนั้นมันไม่ได้อยู่ตลอดไป อันนี้มันเป็นความปรุงแต่งของอารมณ์หรือว่าอะไรคะ

    หลวงปู่ : เค้าเรียกว่าอกุศลจิตนั้นมันยังมีอยู่ เค้าถึงได้บอกว่าก่อนที่เราจะนอนให้ล้างจิตล้างอกุศลแผ่จิตแผ่เมตตา..แล้วละปล่อยวางอารมณ์เสียก่อน ก่อนที่เราจะนิทราลงไป ถ้าเราไม่ได้ล้างอารมณ์แล้ว..มันภพต่อภพ มันก็มาเสวยอารมณ์เก่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ ตื่นขึ้นมามันไม่เบิกบานแจ่มใส อกุศลมูลมันก็ผุดขึ้นมา อย่างนี้ถ้าเราตายไปในขณะนั้นแล เค้าเรียกว่าไปสู่ที่ทุคติภูมิ ไปสู่ในภูมิที่ไม่ดี เพราะจิตที่เรานั้นตื่นขึ้นมา หรือการเกิดขึ้นมาของสภาวะจิตนั้นเป็นอกุศลมูล เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่เมื่อโยมมีสติกำหนดรู้แล้วพิจารณาละมันลงไปอย่างนี้อยู่บ่อยๆแล้ว เมื่อมันเกิดตัวปัญญาตัวรู้ รู้โทษรู้คุณของอารมณ์เหล่านี้แล้ว เราก็จะสามารถปรับจิตให้เรานั้นมันดีได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะไอ้สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีมันก็ทำให้เราไม่ดีได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมดีจิตเราจะดีมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ดีค่ะ)

    ดังนั้นแล้วการที่โยมได้มารวมตัวกัน ได้มาร่วมสร้างบารมี เค้าเรียกว่าโยมได้มาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่โยมก็ต้องพิจารณาอีกว่า ถ้าเรามาอยู่ในสิ่งนี้แล้วแต่จิตเราก็ยังไม่ดี เราจะต้องทำอย่างไร จะต้องทำยังไงจ๊ะ เราต้องอย่าไปติดอยู่ในหมู่คณะ ปลีกวิเวกออกไปแล้วพิจารณาเพ่งโทษในกายของตน พิจารณาโทษของตน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพ่งโทษตัวเอง
    แสดงว่าเรายังไม่ดีพอที่จะอยู่ในหมู่คณะนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วเราควรเกาะอาศัยในบุญบารมี เช่นในขณะที่เค้าสวดมนต์ทำวัตรก็ดี เราควรไปสวดมนต์เจริญมนต์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพื่ออาศัยบารมีบุคคลอื่นให้เรามีกำลังตั้งมั่นให้สวดมนต์ได้ อย่างนี้ก็ถือว่าเรานั้นอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เพราะในขณะที่เราไม่สวดเองเต็มกำลังก็ดี เราฟังคนอื่นสวดก็ดี มันจะทำให้จิตเรานั้นมีความดีเข้าไปในจิตเรา

    ดังนั้นเราอยู่ใกล้สิ่งใด..เราก็จะได้สิ่งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ มนต์นี้จะทำให้เราค่อยๆขจัดสิ่งที่ไม่ดีที่มันแฝงอยู่ในกายนี้ โรคภัยไข้เจ็บก็ดี คุณลมคุณไสยก็ดี มันจะออกทางกระหม่อมทางทวาร ออกทางปากที่เราได้เจริญมนต์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะในขณะที่เราเจริญมนต์อยู่ เรากล่าวแต่สิ่งที่ดี สรรเสริญในของมงคล นั้นของที่ไม่เป็นมงคลแล้วมันก็จะอยู่ไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นก็ขอให้โยมเชื่อมั่นในความดี ทำให้เป็นจริตเป็นวาสนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     

แชร์หน้านี้

Loading...