เหรียญชินราชคุ้มเกล้า หลังภปร.พ.ศ. 2521

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 8 พฤษภาคม 2019.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ansPic_9365_1.jpg
    ลพ.ทองอยู่เป็นพระเถระยุคเก่าที่แก่กล้าด้วยอาคม ท่านเกิดในตระกูลสิงหเสนี อุปสมบทเมื่ออายุประมาณ 30ปี ที่วัดใหม่หนองพะองค์ ครั้นพอพรรษาแรกจิตใจรู้สึกสงบและทราบซึ้งในรสพระธรรมจึงได้อุปสมบทตลอดเรื่อยมา สมัยเมื่ออยู่ในวัยฉกรรจ์ ได้ธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร กว่า 30ปี ไปในที่ธุรกันดารต่างๆ ที่ใดที่มีพระอาจารย์เก่งกล้าทางคาถาอาคม หรือเก่งทางด้านปฏิบัติธรรมก็จะไปฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อขอศึกษาวิชาความรู้ต่างๆ โดยหลวงพ่อทองอยู่นี้ในสมัยที่ท่านยังหนุ่มอยู่ ท่านจะเดินธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมที่ภาคเหนือเป็นประจำทุกปี ซึ่งหลวงพ่อท่านก็มีโอกาสได้กราบนมัสการท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ยอดนักบุญแห่งล้านนาไทยอย่างใกล้ชิดด้วย อีกทั้งยังเป็นศิษย์ในกรรมฐานของครูบาศรีวิชัย ซึ่งท่านครูบาศรีวิชัย ได้เคยชักชวน ลพ.ทองอยู่ ให้อยู่กับท่านด้วยกัน แต่ ลพ.ทองอยู่ ยังติดภาระที่ต้องดูแลทางวัดอยู่จึงเดินทางกลับมา ซึ่งครูบาศรีวิชัย ท่านจะถวายปัจจัยสำหรับค่าเดินทางกลับให้อยู่เสมอมิได้ขาด
    ประวัติหลวงพ่อทองอยู่ (พระครูสุตาธิการี) วัดใหม่หนองพะอง จ.สมุทรสาคร หลวงพ่อทองอยู่ หรือ พระครูสุตาธิการี (ทองอยู่ ยโส) อายุ ๙๖ ปี ๙ เดือน ๙ วัน อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ ๘ วัดใหม่หนองพะอง จังหวัดสมุทรสาคร ท่านเป็นพระเถระ พระเกจิอาจารย์ยุคเก่าที่แก่กล้าด้วยอาคม มีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนาธุระ-คันถธุระ เขียนและอ่านภาษาขอมได้เป็นอย่างดี พ.ศ.2475 เป็นเจ้าอาวาสวัดใหม่หนองพะองพ.ศ.2481เป็นประทวนสมณศักดิ์ที่ พระครูทองอยู่ พ.ศ.2501 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูสุตาธิการี พ.ศ.2521 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทที่ พระครูสุตาธิการี พ.ศ.2522 เป็นพระอุปัชฌาย์ ชาติภูมิของหลวงพ่อ ชื่อ ทองอยู่ นามสกุล ชมปรารภ ต่อมาเปลี่ยนเป็น สิงหเสนี เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2430 ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ ปีกุน เป็นบุตรคนที่ 3 ของ นายคำ และนางปั่น ชมปรารภ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 5 คนคือ 1 นายหุ่น ชมปรารภ 2 นางจิบ ชมปรารภ 3 พระครูสุตาธิการี (ทองอยู่) ชมปรารภ (สิงหเสนี) 4นางหน่าย ชมปรารภ 5 นางรอด ชมปรารภ พระครูสุตาธิการีนั้นท่านเติบโตมากับวัดโดยสมัยที่ท่านยังเป็นเด็กได้มาช่วยสร้างอุโบสถของวัดหนองพะองด้วย และมาช่วยกิจการงานของวัดในเวลาว่างเสมอ ในวัยหนุ่มท่านเป็นคนโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนฝูงมาก และมีนิสัยชอบความยุติธรรม ถ้าอะไรไม่ถูกต้องท่านจะต้องเข้าไปช่วยแก้ไขเสมอ จึงเป็นที่รักของเพื่อนฝูง ท่านสนใจวิชาการเล่นแร่แปรธาตุศึกษาจนสามารถนำแร่ปรอทมาหุงให้เป็นทองคำได้ และท่านได้เรียนรู้วิชาอาคมจากพระอาจารย์แห ปัญจสุวัณโณ ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังด้านวิทยาอาคมในสมัยนั้นด้วย เมื่ออายุครบกำหนดเข้ารับการคัดเลือกเป็นทหารเรือ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระพุทธเจ้าหลวง ท่าน เข้ารับราชการเรื่อยมาจนถึงรัชกาลที่ 6 จึงลาออกจากราชการ มาประกอบอาชีพการทำนาอยู่ข้างวัดบึงพระยาสุเรนทร์ เขตมีนบุรี จังหวัดกรุงเทพฯ ท่านได้ช่วยพ่อแม่ประกอบอาชีพกสิกรรมและมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ด้วยการเลี้ยงดูท่านเป็นการสนองน้ำใจของพ่อแม่ หลวงพ่อได้ใช้ชีวิตการครองเรือนมีภรรยาคือ นางหนู ชมปรารถ มีบุตรธิดา 2 คน คือ นายย้อย ชมปรารถ และนางแย้ม ชมปรารถ จนกระทั่งเมื่อนางหนูเสียชีวิตจึงได้นางทองสุขเป็นภรรยามีบุตร 1 คน คือ นายหยด ชมปรารถ จนถึงอายุ 31 ปี หลวงพ่อท่านรู้รสชาติของการครองชีวิตคู่เป็นอย่างดี ท่านจึงกราบลาพ่อแม่เพื่อที่จะเข้ารับการ บรรพชาอุปสมบท โดยมีขุนหนองแขมเขมกิจ เป็นผู้ดำเนินการจัดการอุปสมบทให้ ณ วัดใหม่หนองพะอง ตำบลหนองแขม อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดธนบุรี ซึ่งตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 ตรงกับวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2461 โดยกราบนิมนต์ท่านพระครูสังวรศีลวัตร (หลวงพ่ออาจ) วัดดอนไก่ดี เป็นพระอุปัชฌาย์ กราบนิมนต์ท่านพระครูถาวรสมณศักดิ์ (หลวงพ่อคง) วัดหงอนไก่ มาเป็นพระกรรมวาจาจารย์ กราบนิมนต์พระอธิการ (หลวงพ่อแห) วัดใหม่หนองพะอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สถานะเดิม ตามใบสุทธิ นามเดิม ทองอยู่ ชมปรารถ นามบิดา นายคำ สีเนื้อดำแดง สัณฐานสันทัด ตำหนิ แผลเป็นเนือข้อมือขวา อายุ 31 เกิดปีกุน วันที่ 7 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2430 ตำบลหนองแขม อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดธนบุรี บรรพชาอุปสมบท นามฉายา ยสภิกขุ นามพระอุปัชฌาย์ พระครูสังวรศีลวัตร นามพระกรรมวาจาจารย์ พระครูถาวรสมณศักดิ์ นามพระอนุสาวนาจารย์ พระแห ปัญจสุวัณโณ เวลา 14.00 น. ณ วัดใหม่หนองพะอง ตำบลหนองแขม อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดธนบุรี ได้ให้ไว้ ณ วันจันทร์ที่ 15 เดือน กรกฎาคม พ.ศ.2461 ลงนามพระครูสังวรศีลวัตร (ตำแหน่ง) เจ้าคณะแขวง นามพระทองอยู่ ฉายา ยสภิกขุ สำนักวัดใหม่หนองพะอง ตำบลหนองแขม อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดธนบุรี
    ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง ลพ.ทองอยู่ได้กราบเรียนถามพระครูบาเจ้าฯว่า ปฏิบัติอย่างไรจึงมีเมตตามีบารมีและมีคนนับถือมากมายขนาดนี้ ซึ่งพระครูบาเจ้าศรีวิไชยก็ได้ตอบแก่ ลพ.ทองอยู่ อย่างเมตตาว่า

    ”พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี้แหละ ที่เฮาภาวนาเสมอ มิได้ขาด”

    และ ลพ.ทองอยู่ ได้เคยกล่าวถึงท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย ให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า

    ”ครูบาเจ้าศรีวิชัยนี้ ท่านมีญาณสูงมาก ด้วยเหตุนี้แหละ จึงมีผู้ตั้งอธิกรณ์ฟ้องท่านว่าเป็นผีบุญ เพราะไปไหน ก็มีคนติดตามไปเป็นจำนวนมาก บางครั้งก็เดินไปเหนือยอดหญ้า ฝนตกจีวรก็ไม่เปียกทั้งๆที่เดินฝ่าฝนไป แต่

    สุดท้าย ผู้ที่กล่าวหาท่าน ก็ถูกบาปกรรมตามสนองอย่างน่าสยดสยองที่สุด”

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อทองอยู่ 2519ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    ลพ.ทองอยู่.JPG ลพ.ทองอยู่หลัง.JPG
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    1451-2b36.jpg



    สถานะเดิม

    ชื่อ ฑูรย์ นามสกุล รัตนวราภรณ์ เกิดวันที่ 31 ก.ค. 2453
    บิดา นายเกีย มารดา นางฉัตร บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลตลิ่งชัน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี

    เคยรับราชการทหารหรือปฏิบัติงานสำคัญมาแล้ว

    บรรพชา
    วันที่ 1 ก.ค. 2470 วัดสุวรรณภูมิ
    พระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ ขวด วัดสุวรรณภูมิ ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี

    อุปสมบท
    วันที่ 27 มิ.ย. 2473
    วัดอนงคาราม ต.สมเด็จเจ้าพระยา อ.คลองสาน จ.ธนบุรี
    พระอุปัชฌาย์ พระโพธิวงศาจารย์(นวม) วัดอนงคาราม ต.สมเด็จเจ้าพระยา อ.คลองสาน จ.ธนบุรี



    วิทยฐานะ
    พ.ศ.2468 สำเร็จวิชาสามัญ ม.3 โรงเรียนประจำจังหวัดสุพรรณบุรี ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
    พ.ศ.2473 สอบได้ น.ธ.โห สำนักเรียนวัดอนงคาราม ต.สมเด็จเจ้าพระยา อ.คลองสาน จ.ธนบุรี

    งานปกครอง
    พ.ศ. 2493 เป็น เจ้าอาวาสพระอารามหลวง
    พ.ศ. 2522 เป็น เจ้าคณะแขวงตลาดพลู
    พ.ศ. 2524 เป็น เจ้าคณะแขวงบางยี่เรือ

    การศึกษา
    พ.ศ. 2494 เป็น เจ้าสำนักศาสนศึกษาวัดโพธินิมิตร
    พ.ศ. 2494 เป็น ผู้อุปถัมภ์อุปการะโรงเรียนวัดโพธินิมิตร
    พ.ศ. 2518 เป็น เจ้าสำนักเรียนวัดโพธินิมิตร

    สมณศักดิ์
    พ.ศ. 2494 เป็น พระครูเจ้าอาวาสพระอารามหลวงที่พระครูไพโรจน์วุฒิคุณ
    พ.ศ. 2501 เป็น พระราชาคณะสามัญที่ พระโพธิวรคุณ
    พ.ศ. 2517 เป็น พระราชาคณะวิสามัญที่ พระโพธิสังวรเถร

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญพระแก้วมรกรตหลวงพ่อฑูรย์2525ห้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    ลพ.ฑูรย์.JPG ลพ.ฑูรย์หลัง.JPG
     
  3. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,337
    ค่าพลัง:
    +6,402
    ขอจองครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    upload_2019-11-27_16-43-3.jpeg
    หลวงปู่ อวน อัจจาทโร แห่งวัดหนองพลับ จ.สระบุรี ผู้สร้างตำนานแห่งมีดฟ้าฟื้น และวิชาสูบปรอท
    หลวงปู่อวนนามเดิม ชื่อ อวน นามสกุล ปุเนติ เกิดวันอ้งคาร แรม4 ค่ำแดือน 6 ปีเถาะ ตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคม
    2446 บิดาชื่อจันทร มารดาชื่อสิม อ.ยางตลาด
    จ.มหาสารคาม มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน หลวงปู่อวนท่านเป็นคนที่5 ท่านบวชเป็นสามเณร ตอนอายุ9ขวบ ที่วัดบ้านโพนสว่าง จ.มหาสารคาม เมื่ออายุได้10 ขวบ พอออกพรรษาแล้วได้เดินทางไปกราบหลวงพ่อคำทีวัด บ้านโพนสว่าง จ.สุรินทร์ เพื่อศึกษาวิปัสสนากรรมฐานในป่าช้าผีดิบ ในเวลาต่อมาได้มาจำพรรษาอยู่กับ พระจันทร์ ที่วัดเหล่า แล้วได้ศึกษาธรรมอยู่นานถึง 2ปี โดยศึกษาจากหนังสือขอมลาว จนสำเร็จเข้าใจดี แล้วได้กราบลาพระครูจันทร์ ไปจำพรรษาที่วัดบ้านกุดปลาดุก อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ต่อมาหลวงปู่ได้เดินทางไปกราบหลวงพ่อคำ ซึ่งเป็นอาจารย์องค์แรก ของหลวงปู่อวน หลวงพ่อคำได้พาเดิน ธุดงค์ ซึ่งในขนาดนั้นท่านเป็นสัมเณรอยู่ ได้พาธุดงค์ หลายจังหวัด เช่น อุบล.สกลนคร
    และยังไปถึงประเทศ ลาว พม่า เขมร ท่านกล่าวว่าช่วงที่ท่านไปลาวได้ศึกษาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับอาจารย์ที่อยู่ภูเขาควาย และวิชาเจริญกสินไฟ และวิชาอาคมต่างๆกับอาจารย์ที่ภูเขาควายหลายท่าน หลวงปู่อวนได้กล่าวอีกว่า มีอาจารย์ท่านหนึ่งอายุท่านมากแล้ว
    แต่ท่านไม่แก่เลย หลวงปู่ก็เลยถาม พระอาจารย์ท่านนั้นว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงไม่แก่เลย ทำยังไงครับ อาจารย์ท่านนั้นตอบว่า ..ถ้าอยากเรียนให้มาอยู่ด้วยกันที่ภูเขาควายจึงจะให้เรียน และเมื่อปีพ.ศ.2540 ท่านบอกว่าอาจารย์ของท่านยังไม่ตาย แสดงว่าอาจารย์ของท่านองค์นี้น่าจะอายุ สองร้อยกว่าปีแล้ว
    เมื่ออายุครบ20ปี บริบูรณ์ท่านได้ทำการบวชบรรพชาอุปสมบท ณ วัดเหนือ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด โดยมีพระเทพเมธี เจ้าคณะมณฑล เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระศาสนดิลก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อปี 2466
    เมื่อบวชแล้วท่านได้เดินทางไปอยู่กับหลวงปู่คำอีกที่วัดท่าตูม จ.มหาสารคาม และท่านได้ศึกษาธรรมจนจบนักธรรมตรี แล้วท่านได้เดินมายัง กทม.เพื่อศึกษาธรรมแล้วได้ไปพักยังวัดปากน้ำ แต่ท่านก็ไม่ได้เรียน ได้แต่สวดมนต์ เมื่อครั้งอยู่วัดปากน้ำได้มีคนไข้ทับระดู มาหาท่านแล้วถามท่านว่ามียารักษาใหม หลวงปู่อวนจึงบอกตัวยาให้ไปซื้อมาต้มกินแล้วก็หายเป็นปรกติ แล้วก็ได้บอกกันต่อๆ ครั้งนั้นมีคนมาให้ท่านรักษามากขึ้น ชื่อเสียงของหลวงปู่อวนได้แพร่ขยายจนเป็นเหตุให้ท่าน ต้องออกจากวัดปากน้ำ ท่านได้เดินทางเพื่อหาที่เรียนหนังสือแล้วท่านได้ย้ายออกจากวัดปากน้ำ ไปอยู่ที่ วัดหนองน้ำสร้าง แล้วได้ข่าวว่าที่ วัดหนองพลับมีการเรียนการสอนนักธรรมท่านจึงอยากย้ายวัด แล้วท่านก็ย้ายวัดไปอยู่ที่วัดหนองพลับ สมัยนั้นหลวงพ่อบัว เป็นเจ้าอาวาส ท่านเรียนจนสอบนักธรรมโทและเอก แล้วเมื่อจบแล้วท่านก็ได้เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมประจำวัดหนองพลับเรื่อยมา หลวงปู่อวน ท่านได้ติดตาม หาผู้ที่สืบวิชาปรอทของ พ่อเสือรอด จากวัดประดู่ทรงธรรม สืบอยู่หลายปีพอสมควร จึงได้ทราบว่ามีอยู่ท่านหนึ่งชื่อ ปู่ทรัพย์ จึงได้ไปขอเรียนวิชาปรอทจากปู่ทรัพย์ อยู่นานถึง8ปี เจ้าของวิชาจึงประสิทธิ์ให้ แล้วบอกวิธีและขั้นตอนในการฝึกจากนั้นจึงได้นำมาฝึกเองติดต่อกันอยู่ 8 เดือน จึงได้เข้าใจวิชาครูเฒ่าผู้ที่สืบทอดเหลืออยู่เพียงท่านเดียวแล้ว คือปู่ทรัพย์ ปู่ทรัพย์ก็ได้ถ่ายทอดวิชาให้ จนท่านสำเร็จวิชาปรอท แล้วได้นำวิชานี้มาสงเคราะห์คนจนถึงทุกวันนี้ หลวงปู่อวนท่านทำงานเพื่อพระศาสนา และผู้มากด้วยเมตตาต่อบรรดาศิษยานุศิษย์จน
    วาระสุดท้ายก่อนที่หลวงปู่จะมรณภาพ ช่วงเวลาเช้าท่านได้เรียกหลานที่และพระอุปถากเข้าไปหา แล้วก็สั่งไว้ว่า ให้จัดงาน ให้เรียบร้อย ท่านย้ำถึงสองครั้ง
    จนเมื่อเวลา 19.00 น. โยมที่คอยอุปถากท่านอยู่ เห็นท่านนอนเงียบผิดปกติจึงได้ตามพระและหลานชายท่านเข้ามาดูอาการ จึงได้ไปตามแพทย์ที่โรงพยาบาลหนองแซง มาตรวจดูอาการ แล้วแพทย์ได้บอกว่าท่านได้มรณภาพแล้วประมาณ หนึ่งชั่วโมง ด้วยอาการสงบในกุฎิของท่านเอง ด้วยอิริยาบถนอนตะแคงซ้าย หันศรีษะไปทางทิศเหนือ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
    ตรงกับวัน เสาร์ แรม๙ เดือน๙ ปีเถาะ พศ.๒๕๔๒ รวมศิริอายุได้ ๙๖ ปี ๔เดือน ๑ วัน ๗๖ พรรษา
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่อวนวัดหนองพลับให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    ลป.อวน.jpg ลป.อวนหลัง.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    1-294-696x348.jpg

    วัดบางนา อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เป็นวัดที่มีอายุเก่าแก่ที่ชาวรามัญสร้างขึ้นมาใช้เป็นที่ประกอบศาสนกิจตามประเพณี และเป็นสถานศึกษาแก่บรรดาลูกหลานของชาวรามัญในย่านนั้น

    เดิมอยู่ห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางทิศตะวันตก ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนวัดบางนา ต่อมาย้ายร่นลงไปอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อความสะดวกในการสัญจรไปมา

    ในอดีตมีชื่อเสียงมีคนไปทำบุญ ที่วัดมากที่สุด เนื่องจากเป็นวัดเก่าแก่ มีพระไปบวชศึกษาเล่าเรียนมาก พระที่วัดต่างก็ถือปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างเคร่งครัด ชาวบ้านจึงศรัทธาเลื่อมใสเข้าไปทำบุญกัน

    โดยเฉพาะ “หลวงปู่เส็ง จันทรังสี” อดีตเจ้าอาวาส ถือว่าเป็นพระที่ได้รับสมณศักดิ์รูปแรก และเป็นผู้เริ่มทำพระเครื่องวัตถุมงคลของวัดบางนา จนโด่งดัง

    ชาติภูมิ เป็นคนพื้นเพละแวกวัด พ่อเป็นชาวจีนล่องเรือสำเภาจากเมืองจีนมาอยู่ที่สามโคกใช้ แซ่บุญเซ็ง แม่เป็นชาวรามัญ ครอบครัวมีพี่น้องทั้งหมด 7 คน

    บวชเมื่อปี พ.ศ.2465 โดยท่านเจ้าคุณพระรามัญมุนี วัดบางหลวง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูบวรธรรมกิจ หรือหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงปู่ทัด ลาหุโล เจ้าอาวาสวัดบางนา มีศักดิ์เป็นน้าชายของท่าน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า จันทรังสี

    เล่าเรียนอักขระเลขยันต์จากพระอาจารย์ต่างๆ และมีการเรียนภาษาขอมและภาษารามัญ ศึกษาเล่าเรียนทั้งสองภาษาจนแตกฉาน

    นอกจากนี้ ท่านยังไปศึกษาวิชาอาคมต่างๆ จากหลวงปู่เทียน ที่วัดโบสถ์อีกด้วย หลวงปู่เส็งมีปฏิปทาในการใฝ่หาวิชาความรู้มาก ใครแนะนำสั่งสอนท่านก็จดจำไว้เป็นอย่างดี หลวงปู่ท่านเชี่ยวชาญด้านภาษาขอมเป็นพิเศษ เรื่องอักขระเลขยันต์ต่างๆ

    กระทั่งปี พ.ศ.2486 หลวงปู่ทัด เจ้าอาวาสวัดบางนามรณภาพ หลวงปู่เส็ง ได้รับแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าอาวาสไปก่อน

    [​IMG]
    ในปี พ.ศ.2487 สามารถสอบนักธรรมชั้นเอก และ พ.ศ.2489 ได้รับการแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนาอย่างเป็นทางการ

    หลวงปู่ให้การศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรเป็นอย่างดี ขณะ เดียวกัน ท่านก็บูรณปฏิสังขรณ์วัดจนรุ่งเรือง รับงานการสร้างโบสถ์ต่อจากหลวงปู่ทัด เจ้าอาวาสองค์ก่อนที่ทำคั่งค้างไว้จนสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี

    หลวงปู่เส็ง เป็นพระปฏิบัติมักจะออกธุดงค์ไปปริวาสกรรม ทุกปีมิได้ขาด มีปฏิปทาในทางสมถะ หมั่นบริกรรมภาวนาเจริญพระคาถาวิชาต่างๆ

    เล่ากันว่าเวลาว่างจากงานที่ต้องกระทำ ท่านจะนั่งนับลูกประคำที่คล้องคออยู่ บริกรรมพระคาถาตลอดเวลา

    หลวงปู่เส็ง เป็นสมภารปกครองวัดเรื่อยมาจนกระทั่งอายุ 65 ปี จึงเริ่มทำวัตถุมงคล การทำวัตถุมงคลครั้งแรกนั้นท่านสร้างพระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกของวัดบางนา ในปี พ.ศ.2510 หลังจากสร้างพระผงสมเด็จ 3 ชั้นออก มาแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหาแล้ว

    หลวงปู่ยังสร้างพระกริ่งรูปเหมือนท่าน มีทั้งแบบหลังตรงและหลังค่อม เนื้อทองแดงผสม สร้างพระปิดตาเนื้อทองเหลืองผสม สร้างเหรียญรูปไข่ รุ่นขี่วัวเนื้อทองแดงผสม สร้างเหรียญจอบรูปหลวงปู่มีทั้งจอบเล็กและจอบใหญ่ สร้างเหรียญหยดน้ำเนื้อทองแดงผสม สร้างรูปหล่อเนื้อผงปิดทอง ที่กล่าวมานี้เป็นวัตถุมงคลรุ่นเก่าๆ ที่หลวงปู่สร้างขึ้นมา

    นำเงินไปสร้างวัดวังหิน อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง ได้ทำนุบำรุงหมู่กุฏิเสนาสนะวัดบางนาที่ชำรุดทรุดโทรมให้ดีขึ้น

    สาเหตุที่หลวงปู่ไปสร้างวัดวังหินอีกแห่งหนึ่งนั้น ก็เนื่องจากท่านเห็นว่าสมัยนั้นชาวบ้านยากจนมาก ถิ่นที่อยู่ก็ทุรกันดารเป็นแหล่งหลบซ่อนของเหล่าเสือปล้น เกรงว่าชาวบ้านและลูกหลานจะมีนิสัยดุร้ายกันไปหมด

    วันที่ 21 ม.ค.2531 หลวงปู่เส็ง มรณภาพอย่างสงบ สิริอายุ 87 ปี
    https://www.khaosod.co.th/amulets/news_522985
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่เส็ง วัดบางนา ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    ลป.เส็ง.JPG ลป.เส็งหลัง.JPG
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    02-_nc_ohc-g301benfa4aqkt4gahx1l38h713lf9xvh8zlrqmzmyczjg77j9yzfznq-_nc_ht-scontent-fbkk24-1-jpg.jpg

    ประวัติหลวงพ่อพิมพ์ วัดสนามชัย

    ประวัติวัดสนามชัย
    เรื่องราววัดสนามชัยในครั้งก่อน คนเก่าเล่าไว้ไม่แน่นอน จะตัดตอนเสริมต่อพอเข้าใจ
    วัดสนามชัยเป็นวัดเก่าแก่พอสมควรมีพระนอน ปางไสยาสน์ เก่าแก่อยู่กลางแจ้ง 1 องค์ ไม่มีมณฑปครอบ คำว่า สนามชัย คงหมายถึง สนามแข่งขันในสมัยก่อนนานมาแล้ว วัดสนามชัย ยังมีอีกวัดหนึ่ง เป็นวัดที่ สุรพล สมบัติเจริญนำไปร้องเพลง วัดสนามชัยนี้อยู่ห่างที่วัดหลวงพ่อกวย ประมาณ 5 กิโลเมตร ปัจจุบันรอบๆ วัด ชาวบ้านจะมีอาชีพทำนาและทำสวนส้มขาวแตงกวา ที่มีรสหวานยิ่งนัก สรุปคือไม่ได้ที่มาที่ไปที่แน่นอนจากคนเก่าเลย ประกอบกับในสมัยของท่าน ในสรรคบุรีมีเกจีอาจารย์ถึง 2 รูป คือ หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ กับหลวงพ่อกวย ซึ่งเปรียบเสมือนอาจารย์องค์หนึ่งของท่าน ท่านจึงไม่จำเป็นต้องสร้างวัตถุมงคลอะไรขึ้นมาเพื่อความดังหรือเพื่อลาภสักการะ สมัยที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดวิหารทอง ครั้งใดที่ท่านดำริก่อสร้างอะไรท่านจะจุดธูปบอกเล่า หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง เจ้าอาวาสองค์ก่อน แม้ในใบบอกบุญทอดผ้าป่าท่านก็ให้หลวงพ่อโตเป็นประธาน ท่านสามารถสร้างเมรุ, สะพานแขวน โดยให้หลวงพ่อโตเป็นประธาน และหลวงพ่อโตก็เป็นจริงมรณภาพไปแล้ว ยังสามารถดลจิตคลใจคนให้นำผ้าป่ามาทอดโดยไม่บอกมาก่อน ทั้งเมรุและสะพานแขวนข้ามแม่น้ำน้อย ทำได้สำเร็จ

    ประวัติหลวงพ่อพิมพ์
    ท่านเกิดที่บ้านวังขรณ์ ต.โพธิ์ชนไก่ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ตรงกับวันที่ 15 มิถุนายน 2458 เป็นบุตรของ พ่อขวัญ-แม่พัว อินทอง ที่บ้านวังขรณ์นี้อยู่ไม่ไกลจากวัดสนามชัย แต่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำ ชีวิตวัยเรียนจบชั้นประถม 4 ซึ่งถือว่าสมบูรณ์และสูงสุดแล้ว ในวัยหนุ่มท่านเป็นคนใจร้อน พูดน้อย ไม่เกรงกลัวผู้ใด รูปร่างล่ำป้อม ผิวสีค้อนข้างดำ แข็งแรง ทำจริงชอบยิงกระสุน (คล้ายธนู) และเรียนกระบี่กระบองจนจบ พูดจริง ทำจริง และไม่เคยข้องแวะกับสตรีเพศเลย จนกระทั่งบวช มีชื่อเล่นว่า นายพลุ เพราะเป็นคนจริง ลงถ้าโมโหแล้วจะไม่เกรงกลัวผู้ใดเลย นายพิมพ์ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์หอม ต. เชิงกลัด อ. บางระจัน จ. สิงบุรี เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2479 โดยมีท่านพระครูศรีวิริยะโสภิต (หลวงพ่อสี) วัดพระปรางค์ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีอาจารย์พัน เป็นพระกรรมวาจาจารย์และมหากราด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เป็นพระภิกษุสงฆ์ เวลา 15.00 น. ได้รับฉายาว่า สุวณ۪โณและได้จำพรรษาอยู่ที่วัดโพธิ์
    หอม 1 พรรษา เพื่อหัด

    ศึกษาวิชาอาคม
    หลังจากพรรษาที่ 1 ผ่านไป ท่ามเริ่มที่จะศึกษาวิชาอาคมวิปัสสนากรรมฐาน โดยไม่ทิ้งเวลาให้สูญเปล่า ท่านได้เดินทางมาเรียนวิชากับหลวงพ่อกวย วัดบ้านแค เพราะท่านเคยเป็นลูกศิษย์หาบสำรับให้หลวงพ่อกวย ตอนที่หลวงพ่อกวยไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิมถึง 7 ปี (แต่พักจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย) เมื่อพระพิมพ์แจ้งความจำนงว่าจะขอเรียนวิปัสสนาและวิชาอาคม หลวงพ่อกวยได้ตอบปฏิเสธ โดยบอกว่าให้ไปเรียนกับอาจารย์ของท่านโดยตรงเลยคือ หลวงพ่อสีวัดพระปรางค์ หลวงพ่อสีองค์นี้แก่กล้าอาคมยิ่งนัก สร้างเหรียญไว้ 1 รุ่น ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เต็มองค์ สวยงามยิ่งนักสนนราคาแพง มีลูกศิษย์หลายองค์ล้วนแต่แก่กล้าอาคม เช่น หลวงพ่อบัว วัดแสวงหา อาจารย์ดำรง วัดเขาขึ้น หลวงพ่อฟุ้ง หลวงพ่อเฟื่อง วัดแหลมคาง หลวงพ่อหร่ำ วัดวังจิก หลวงพ่อทอง วัดพระปรางค์ ที่โด่งดังทะลุฟ้า คือ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง และที่เก่งและรักลูกศิษย์เหมือนหลวงพ่อรักลูก ก็หลวงพ่อกวย วัดบ้านแค (ติดอันดับ 1 ใน 9 ยอดเกจิอาจารย์รัตนโกสินทร์ยุค 4) ขอเงินหมื่นให้เงินหมื่น ขอเงินแสนให้เงินแสน ขอเงินล้านให้เงินล้าน ฯลฯ อันตัวท่านหลวงพ่อสีนี้ สร้างโบสถ์โดยไม่ได้เรื่อไรใคร ท่านสามารถเรียกทรัพย์แผ่นดินได้ เป็นเหรียญเงินเก่าสมัย ร.5, ร.6 โดยไปตักเอาในบ่อเล็กๆ ในวันฌาปนกิจศพท่าน ดาวได้ขึ้นเวลากลางวันซึ่งอัศจรรย์มาก

    หลังจากที่หลวงพ่อพิมพ์ได้ศึกษาอาคมจากหลวงพ่อสีระยะหนึ่ง ท่านก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ได้พักอยู่วัดปากน้ำภาษีเจริญแต่ท่านไม่ได้เรียนวิชาธรรมกาย คงยึดมั่นในการปฏิบัติตามแนวของหลวงพ่อสีอยู่เหมือนเดิม ท่านมาอยู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ 8 ปี ท่านได้เรียนทางปฏิบัติ คือ นักธรรมตรี, โท และเอก แล้วท่านก็กลับมาวัดสนามชัย การกลับมาครั้งนี้ของท่านปรากฏว่าหลวงพ่อพ่อสี วัดพระปรางค์ องค์อาจารย์ได้มรณภาพแล้ว การกลับมาครั้งนี้ท่านได้ปฏิบัติทางจิตอย่างจริงจัง หลังจากฉันเช้าแล้ว ท่านก็เข้าไปนั่งสมาธิในป่าช้า จนมืดค่ำดึกดื่น จะว่าท่านเรียนวิปัสสนากรรมฐานได้ช้า ไม่เหมือนศิษย์พี่ คือ หลวงพ่อกวย ก็ไม่เชิง เพราะหลวงพ่อกวยมีหลักฐานว่าเรียนวิปัสสนากรรมฐานเพียงปีเดียวสำเร็จ โดยพักที่วัดหนองตาแก้ว ได้ขุดสระศักดิ์สิทธิ์เอาไว้และปลูกต้นสมอเอาไว้ ใครอาบน้ำในสระโดยไม่ตัดไปอาบจะเป็นขี้กลาก ใครปัสสาวะที่ต้นสมอจะชักดิ้นชักงอ แต่หลวงปู่พิมพ์ท่านกลับฝึกทางจิต โดยนั่งสมาธิถ้ามีเวลาว่าง ท่านปฏิบัติทางจิตจนกระทั่งบั้นปลายของชีวิต ในบั้นปลายของชีวิตของท่าน ท่านก็คงแข็งแรง ไม่กินหยุบกินยา ล่ำป้อมดำเหมือนเดิม ถามผมว่า หลวงพ่อกวยสอนมึงอย่างนั้นหรือ ผมบอกว่าเปล่า แต่คาถาของหลวงพ่อกวยกล่าวไว้ว่า พุทโธ คือลมหายใจเข้า -ออกของพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็ถามผมต่อ แล้วใครสอนมึง ผมตอบว่า อาจารย์ชา วัดหนองป่า

    เป็นอุปัชฌาย์
    หลวงปู่พิมพ์ ท่านไม่สนใจลาภยศ ชอบสงบ ชอบปฏิบัติทางจิต แต่พอพรรษาที่ 9 ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระปลัด พอพรรษาที่ 10 ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ ชื่อ พระครูสรรคภารวิชิตโดยได้รับคำสั่งจากเจ้าคณะภาคกรุงเทพฯ ท่านถึงกลับนิ่งอึ้งไป เพราะท่านไม่ได้ยินดีในลาภยศตำแหน่งใดๆ การได้มาซึ่งตำแหน่งยิ่งทำให้ท่านทำตัวสมถะ และเพื่อเห็นแก่ศาสนาท่านจึงรับไว้ ท่านปกครองพระภิกษุสงฆ์ในอำเภอสรรคบุรีอย่างจริงจัง ถ้าท่านได้ยินข่าวว่าพระภิกษุยุ่งเกี่ยวกับสีกา ท่านจะเรียกมาพบ โดยมากพระภิกษุที่มีเรื่องแบบนี้ท่านมักจะมีสตางค์ ท่านจะเอาปัจจัยข้าวของมาถวายท่านมากมาย แต่ท่านหลับพูดว่า ท่านเอาของของท่านกลับไปซะ แล้วไปหาที่อยู่ไกลๆ ให้พ้นจากเขตปกครองของจ้า ไม่อย่างนั้นจะหาว่าข้าไม่ดีไม่ได้นะ รีบๆ ไปซะไปให้ไวๆ ไปให้ไกลๆ ด้วย เนื่องจากตบะแล้วความแกกล้าอาคม ความสันโดษ ความไม่เกรงกลัวใครนี่เอง ลูกศิษย์ที่ท่านได้บวชให้ไปได้อนุญาตท่านเปลี่ยนนามสกุล จากนามสกุลเดิม “สรรคภารวิชิต” ได้ขอเปลี่ยนหลายคน

    ของคู่บุญ
    หลวงพ่อพิมพ์ ท่านชอบปฏิบัติทางจิต แต่ไม่ชอบเรียนวิชา แม้ศิษย์พี่คือหลวงพ่อกวย จะอยู่ไม่ไกล (ตอนที่ท่านเป็นอุปัชฌาย์ ท่านต้องไปจำพรรษาอยู่วัดวิหารทอง ซึ่งอยู่ติดที่ว่าการอำเภอ) แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านชอบคือคันกระสุน(คล้ายธนู) ใช้ลูกดินยิง คือ ท่านเคยเรียนกระบี่กระบองมาก่อน ท่านได้สั่งศิษย์หาไม่ไผ่ป่าที่ล้มอยู่มีโขลงช้างข้ามและมีผีตายทับ ถ้าได้ช่วยทำให้ท่านสัก 1 อัน อยู่ต่อมาลูกศิษย์ของท่านได้ไปดูเขายิงเสือ (คน) นอนตายทับลำไม้ไผ่เมื่อดูไปดูมา ได้เห็นรอยเท้าของโขลงช้างเดินข้ามไปมานานแล้ว ลูกศิษย์ของท่านเลยตัดเองมา แม้ว่าจะทำได้ 2 อันแต่ลูกศิษย์ของท่านกลับทำเพียงอันเดียว เพื่อให้เป็นของหนึ่งเดียว คันกระสุนนี่ยาวกว่าของหลวงพ่อกวยเกือบ 1 ฟุต แต่ของหลวงพ่อกวยไม้แก่กว่า ไม้แก่มากเกือบเป็นสีแดง แต่ท่านจะยิงกระสุนวิถีคดได้แบบหลวงพ่อกวยหรือเปล่าไม่รู้เพราะครั้งหนึ่งศิษย์รุ่นเก่าไปกราบท่าน เห็นท่านถือคันกระสุนอยู่ จึงแกล้งแหย่ท่านว่า หลวงปู่หันหน้าไปทางโน้น แล้วยิงให้โดนหัวผมที ท่านนิ่งเฉย ท่านพูดว่า กูไม่ใช่หลวงพ่อกวยนี่หว่า ภายหลังคันกระสุนนี้ได้ตกมาอยู่กับศิษย์ใกล้ชิดท่านนึง ปัจจุบันได้มอบให้พิพิธภัณหลวงพ่อกวยไปแล้ว

    ผู้สืบทอดอาจารย์ธรรมโชติ
    ที่อำเภอสรรค์บุรีนี้ ถ้าพระองค์ใดเป็นเจ้าคณะอำเภอจะต้องจำพรรษา หรือเป็นเจ้าอาวาสวัดวิหารทอง ซึ่งอยู่ติดหรือใกล้ที่ว่าการอำเภอ ท่านพระครูพิมพ์ก็เช่นกัน เดิมก็เป็นเจ้าอาวาสวัดวิหารทอง อยู่ๆ ท่านไม่ชอบใจกรรมการวัด ท่านก็มาจำพรรษาที่วัดสนามชัย บ้านเกิดของท่าน เหตุการณ์แบบนี้ได้เกิดขึ้นมา 3 ครั้ง ตั้งแต่พระครูปัตร, พระครูปุ่น ซึ่งสืบเชื้อสายเป็นญาติพี่น้องกันมาทั้ง 3 องค์ ได้มีการจดบันทึกเอาไว้ว่า สืบเชื้อสายมาจากขุนสรรค์ แต่ตัวพระครูพิมพ์นั้นกลับมีปฏิปทา เหมือนหนึ่งเป็นหน่อของท่านอาจารย์ธรรมโชติ คือใครเดือดร้อนของเหรียญรูปท่าน ท่านก็ให้ไป แต้ถ้าเป็นทหาร เป็น ตชด. ท่านต้องแจกตะกรุด เหรียญหันหลังชนกันกับขันสรรค์ ผ้ายันต์ ผ้ายันต์นี้แม้ไม่มีก็จะเขียนให้ จะค้างคือที่วัดก็จะเขียนให้ แม้ผืนขนาดใหญ่ ผู้พันให้ลูกน้องมาขอ เขียนด้วยปลุกด้วย 3 วัน 3 คืน เอาไว้ป้องกันบังเกอร์ก็เขียนให้ เงินไม่สำคัญ ทหารกินข้าววัด

    เป็นผู้มีเชื้อสายของคนจริง และเทพสังหาร
    พระครูพิมพ์ มีชื่อเล่นว่า นายพลุ มีศักดิ์เป็นน้องปู่ฉุ่น อดีตครูใหญ่คนแรกวัดสนามชัย ภายหลังได้ลาออกและโดนกักบริเวณที่บางขวางเป็นสิบปี และเป็นน้องของสางฉาว สางฉาวนี้ คำว่า สาง หมายถึงคนที่ตายไปแล้วจะเรียกว่าเสือฉาวก็ได้ เป็นที่ไม่กลัวคน ไม่ว่ามีดหรือปืน จะเดี๋ยวหรอหมู่ก็ได้ เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อกวย วัดบ้านแค หนังเหนียว ปืนยิงไม่ออก แถมล่ำป้อมแบบพระครูพิมพ์ เป็นเสือบุกเดี่ยว แต่ไม่ปล้นชิงบริเวณบ้าน เคยติดคุกที่บางขวาง ที่เกาะตะรุเตา ก็หนีมาได้ ตอนนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังได้รับจ้างทหารญี่ปุ่นซ่อมสะพานพุทธยอดฟ้าฯ ครั้งสุดท้ายติดคุกที่ชัยนาท พัศดีสั่งตีตัวแดง (สั่งตาย) โดยทั้งไม้ทั้งปืน ยังแหกคุกที่มีลวดไฟฟ้าออกมาได้ ท่านมีหลาน – เหลน อยู่คนสองคน คนแรกเป็นกำนัน ชื่อกำนันใส กำนันใสนี้ถ้าลูกบ้านทะเลาะกันอย่างรุนแรงท่านก็จะเตียน ถ้าเตียนไม่ฟัง แกจะฆ่าคนผิด โดยไม่คิดสตางค์ และไม่แย้มให้ใครรู้เลย

    จอมคน
    ในสมัยเสือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สุพรรณบุรี ได้ชื่อว่าเป็นถิ่นเสือปล้น เสือที่โด่งดังที่สุดที่ขนาดตั้งเป็นชุมเสือได้คือ เสือฝ้าย โดยมากก็จะมีของดี ทราบว่าเสือที่มีของดีและมีคุณธรรมคือ เสือมเหศวร ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ อยู่บ้านไพรนกยูง อ.หันคา จ.ชัยนาท ครั้งหนึ่งเสือฝ้ายได้มาตั้งชุมเสือที่บ้านล่องใหญ่ บ้านเดิมบางนางบวง สุพรรณบุรี ได้รู้ข่าวว่า บ้านนายยอด เดชมา (พ่อหมอเฉลียว เดชมา) มีปืน ร.ศ.ปืนพระราม อยู่ 5 กระบอก จึงได้ให้ลูกน้องมาเอาปืนที่บ้านโยมยอดโยมยอดได้มาบอกหลวงพ่อกวยให้ช่วย แต่หลวงพ่อกวยได้ไปเรียนวิชาเพิ่มเติมกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ โยมยอดเลยวิ่งแจ้นไปบอกพระครูพิมพ์ พระครูพิมพ์ท่านก็รับกิจนิมนต์ทันที ท่ารนเดินลัดตัดทุ่งไปทันทีที่หมู่บ้านสามเอก (ดงเสือ) ขณะที่ชุมเสือฝ้ายได้ตั้งชุมอยู่ ไม่รู้ว่าท่านพูดอย่างไร แล้วท่านก็สะพายปืนยาวรุ่นเก่า 5 กระบอก มาหน้าตาเฉย เรื่องนี้ท่านไม่ยอมเล่าให้ใครฟังถึงที่ไปที่มา ยังมีลูกหลานที่ทำนิสัยแบบนี้อีก คนคนนี้เป็นคนบ้าบิ่น (โหล่) ชื่อเชน (ปิ๊ด) ฉายาแหวนแขนเรดาร์ บ้านเดิมอยู่หัวเด่น ขณะบวชอยู่กับหลวงพ่อกวย วัดบ้านแค ปรากฏว่ามีพวกเสือได้วิ่งไล่จะปล้ำคุณยายม่าย (เป็นคนจีนเตี่ยเอามาขาย 2 คนพี่น้อง) ยายม่ายได้วิ่งมาหวังพึ่งหลวงพ่อกวย พอดีเจอพระเชนพอดี พระเชนโดดเหน็บมีดหมอหลวงพ่อกวย ห่มผ้าไปส่งยายม่าย พระเชนได้พูดว่า “ถ้ามันกล้าปล้ำผู้หญิงต่อหน้ากู กูก็ขาดจากพระวันนี้แหละวะ”

    เกียรติคุณปรากฏ
    ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงครามได้มีเสือตั้งชุมปล้นสะดมทรัพย์สิน วัวควาย ฯลฯ เอาไปเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านสนามชัยได้รวมตัวกันเข้าไปกราบพระครูพิมพ์ เล่าเรื่องให้ฟัง ท่านได้ถามว่า แล้วพวกมึงจะยอมเขาหรือจะสู้เขา ชาวบ้านสนามชัยได้ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าสู้ พอท่านได้ยินคำว่าสู้ ท่านก็ไปขุดหัวว้านขมิ้นอ้อย ที่ท่านปลูกเอาไว้ เอามาล้างน้ำ เสกและจารโดยฝานตรงยอกบนออก แล้วท่านก็ฝานเป็นแว่นๆ ให้กับชาวบ้านอมใส่ปากไว้ ชาวบ้านสนามชัยมีแค่ปืนแก๊ป ปืนลูกซอง ปืนไทยประดิษฐ์ (เมดอินไทยแลนด์) พร้า ดาบ ฯลฯ แล้วท่านก็ยังสั่งว่า เมื่อตามไปทันให้โห่ร้อง แล้วสู้ประจัญบานกับมัน ผลคือผู้นำชาวบ้านคือนายพวง โดนเสือเล็กยิงแต่ยิงไม่ถูก นายพวงได้ยิงมัน โดนเสือเล็กตัดขั้วหัวใจตายเลย ผลการสู้รบในวันนั้น เสือโดยการนำของเสือเล็กบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ชาวบ้านสนามชัยแค่บาดเจ็บเล็กน้อย เรื่องนี้โด่งดังมาก เพราะปืนที่ต่อสู้กันเป็นปืนคนละชนิดและพระครูพิมพ์ก็เพิ่งจะอายุไม่มาก อายุประมาณ 30 ปีเศษ เรื่องนี้ผู้เขียนเรื่องราวของหลวงพ่อพิมพ์ คือ คุณสมจิต เทียนวัน หรือคุณเฒ่า สุพรรณ ได้รับคำบอกเล่าและการสั่งเสียจากปู่ฉุน ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายของพระครูพิมพ์ ปู่ได้พูด 2-3 ครั้งว่าเมื่โตขึ้น อย่าลืมไปหาพระครูพิมพ์ ไปขอเรียนวิชาขมิ้นจากท่านให้ได้ ตอนนั้นคุณสมจิตยังเรียนอยู่ประถม 4 และย่าฉวนได้นำไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อกวยแล้ว ได้รดน้ำมนแล้ว คุณสมจิตได้แต่คิดในใจว่าพระลงเรียนทั้งมหาเปรียญและเรียนอาคมด้วย เป็นพระครูแบบนี้ถึงจะเก่งอย่างไร คิดว่าก็ไม่เท่าไรหรอก ขณะนั้น ครั้งหนึ่งคุณสมจิตไปกราบท่านที่วัดสนามชัย เตรียมขมิ้นอ้อยไปด้วย กะจะไปขอเรียนวิชาตามที่ปู่สั่ง เมื่อท่านเสกให้เสร็จ ได้อ่านดูภาษาขอม ที่ท่านจาร อ่านได้ว่า “นะโมพุทธายะ” จึงถามท่านว่า หลวงปู่ไปเรียนวิชาขมิ้นนี้มาจากไหน ท่านตอบว่า แลกเปลี่ยนวิชากัน ตอนไปอยู่รับใช้หลวงพ่อกวย ตอนที่หลวงพ่อกวยไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม คุณสมจิตได้เรียนถามว่า หลวงปู่แลกเปลี่ยนวิชากับใคร ท่านตอบว่า “ท่านอินทร์ วัดเกาะหงษ์”

    ผลงานสำคัญ
    หลวงพ่อพระครูพิมพ์ เป็นพระที่สมถะ มักน้อย สันโดษ ฉันอาหารมื้อเดียว ชอบภาวนา ไม่ชอบการสร้างวัตถุมงคลเพื่อหวังเงินทอง อายุประมาณ 30 พรรษา ได้สร้างอุโบสถร่วมกับหลวงพ่อเชื้อ น้องชายหลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ โดยได้ทำแหวนนิ้วตามตำราของหลวงพ่อสี วัดพระปรางค์ เพื่อสมนาคุณให้กับผู้ทำบุญพระอุโบสถหลังนี้คือ พระอุโบสถวัดวังขรณ์ ซึ่งที่วัดวังขรณ์นี้เดิมเป็นโรงเรียนปริยัติธรรม แหวนนิ้วที่เหลือนี้ยังได้ฝังไว้ที่วัดวังขรณ์ จำนวน 2 ไห ใต้ท้องวงเขียนว่า “อิ ติ” เป็นภาษาขอม นอกจากอุโบสถที่วัดวังขรณ์แล้ว ที่วัดวิหารทอง ท่านก็สร้างเมรุเผาศพ แลพสะพานแขวน ราคาหลายล้านบาท ภายหลังท่านมาอยู่วัดสนามชัย ท่านก็สร้างกุฏิกรรมฐาน

    มรณภาพ
    หลวงพ่อพิมพ์ เป็นพระที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน คนในตระกูลนี้ตั้งแต่ ชวด, ปู่ชวด ถ้าเป็นผู้ชายเวลาตายจะตายง่ายๆ เช่น เป็นลมตาย นอนตายเฉยๆ หลวงพ่อพิมพ์ท่านได้ถึงแก่มรณภาพตอนเช้า เวลา 08.00 น. ของวันที่ 4 กรกฎาคม 2536 ก่อนที่ท่านจะไปบาชนาคที่ ต.หัวกรด โดยก่อนไปท่านได้เขียนจดหมายทิ้งไว้บนโต๊ะ ถึงสมุห์แจ่ม เจ้าอาวาส โดยเขียนเป็นทำนอง ให้อยู่ดูแลวัดต่อไป มีงานอะไรก็ให้เร่งทำ เวลาของชีวิตเรานั้นไม่ยาวนัก แล้วท่านก็เอาหินทับไว้ ขณะที่ท่านนั่งรถมาถึงหน้าวัดสกุณาราม ห่างจากวัดสนามชัย ประมาณ 7 กิโลเมตร ศีรษะของท่านก็งุ้มลงไปข้างหน้าผิดสังเกต หลวงพ่อประเทืองซึ่งนั่งรถไปด้วยกับท่านก็ตกใจบอกให้รถหยุด มาจับดูตัวเองจึงได้รู้ว่าท่านมรณภาพ หลวงพ่อประเทืองจึงให้รถวิ่งกลับวัด ได้ตะระฆังบอกให้พระ-เณรและชาวบ้านรู้ แล้วให้คนไปนิมนต์พระอุปัชฌาย์เบิ้ม วัดสระไม้แดง ให้เป็นอุปัชฌาย์บวชแทนหลวงพ่อพิมพ์ จากนั้นก็เก็บศพไว้ 1 ปี จึงได้ขอพระราชทานเพลิงศพ สิริรวมอายุ 78 ปี พรรษา 58 นับเป็นการสูญเสียเกจิอาจารย์เมืองสรรค์ที่เป็นของจริง อาจเป็นองค์สุดท้ายของเมืองสรรค์ก็ได้

    อัฐิเป็นพระธาตุ
    เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ทางวัดได้อาบน้ำศพและเปลี่ยนผ้าให้ใหม่ ได้เก็บศพไว้ 1 ปี แต่พอจะขอพระราชทานเพลิงศพก็ได้เปลี่ยนผ้าให้ใหม่ โดยเก็บผ้าที่ท่านครองอยู่ในโลงพับเอาไว้และได้นำไปเผาด้วย ก่อนเผา ท่านอาจารย์สมาน ได้ให้ทางญาติสนิทหักโยกฟันเอาไว้บูชา ผลปรากฏว่า ไม่มีใครโยกหักฟันของท่านได้เลย มีแต่อาจารย์สมาน (เจ้าอาวาสวัดหัวเด่น มีศักดิ์เป็นหลานห่างๆ) ได้โยกฟันมาได้ 2 ซี่ คือ ฟันเขี้ยว 1 ซี่ อีกซี่หนึ่งเล็กมาก ท่านอาจารย์สมานได้กินซี่เล็ก เหลือแต่ฟันเขี้ยวแก้ว (ปัจจุบันเป็นของ คุณศิริชัย ชีรวณิชย์กุล) เมื่อพระราชทานเพลิงศพแล้ว จึงเปิดดูอัฐิของท่าน ผลคือ ผ้าจีวรที่ท่านครองอยู่แล้วนำไปเผาด้วยไม่ไหม้ไฟ เมื่อหยิบดูปรากฏว่าสะเก็ดของอัฐิเป็นเม็ดสีขาว เมื่อส่องดูให้ละเอียดจะเป็นเม็ดใสสีขาวเต็มไปหมด บางท่านว่าเป็นพระธาตุ นับว่าอัศจรรย์มาก

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญรุ่น๒หลวงพ่อบุญทันให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    5%E0%B8%9E-%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B9%8C-jpg.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    พระอาจารย์เฉลิมชัย ฐิตตธมโม หรือ พระอาจารย์นก ฐิตตธมโม แห่งวัดเขาบังเหยชุมพลสีมาราม หมู่บ้านซับมงคล ต.โป่งนก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เป็นพระสายปฏิบัติศิษย์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ แห่งดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ท่านบวชเณรมาจาก จ.ชัยภูมิ ไปอยู่ปรนนิบัติหลวงปู่แหวน สุจิณโน ที่เชียงใหม่ ก่อนที่หลวงปู่จะละสังขาร วิชาและความรู้หลวงปู่แหวนได้เมตตาถ่ายทอดให้พระอาจารย์นก เป็นอย่างมาก


    14470493_757834414355573_1318945726019334232_n.jpg



    หลังจากหลวงปู่แหวนละสังขาร มีการพระราชทานเพลิงศพแล้ว พระอาจารย์นกได้ธุดงค์เดินทางด้วยเท้ารอนแรมอยู่ในป่าทางภาคเหนือเพื่อทบทวนวิชาและความรู้ที่เล่าเรียนมา เมื่อเดินทางมาถึงเขาพังเหยบริเวณตำบลโปร่งนก ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดในปัจจุบัน ท่านเห็นว่าอาณาบริเวณนี้เป็นป่าที่สามารถฟื้นฟูเป็นป่าธรรมชาติได้ เป็นสถานที่สงบเหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญสติ ตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านศึกษาเล่าเรียนมา

    สิ่งหนึ่งที่พระอาจารย์นกได้ตั้งสัจจะและยึดปฏิบัติโดยถือว่าเป็นกฎประจำตัวตั้งแต่บวชจนถึงทุกวันนี้ คือ พระเครื่องและวัตถุมงคลตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นปัจจุบันที่สร้างมากว่า ๓๐ ปี คือ สร้างเพื่อแจกฟรีเพื่อเป็นทานเท่านั้น เพื่อให้คนจน คนไม่มีได้มีของดีไว้ใช้ มีของยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เพียงเพื่อให้เป็นบุญเท่านั้น ผู้ที่รับไปล้วนมีประสบการณ์เล่าขานกันมากมาย

    พระอาจารย์นกบอกว่า “วัตถุมงคลแม้ว่าจะขึ้นชื่อว่ามีพุทธคุณสูง แต่ไม่มีวัตถุมงคลชนิดใดในโลกกันตายได้แต่ช่วยเหลือไม่ให้ได้ตาย และไม่ได้หมายความว่าวัตถุมงคลชนิดเดียวกันจะช่วยเหลือคนได้ทุกคนเหมือนกัน หากต้องขึ้นอยู่กับความศรัทธาด้วย เมื่อมีศรัทธาปฏิหาริย์ย่อมเกิดขึ้นได้ เมื่อไร้ศรัทธาก็ไร้ปาฏิหาริย์ ไม่ว่าโจรหรือตำรวจหากมีศรัทธาปาฏิหาริย์ย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ต่างกัน”

    21685935_1409467599152573_9018119409729033516_n.jpg

    เมื่อถามว่า “การสร้างวัตถุมงคลเป็นเปลือกของพุทธศาสนาทำให้คนติดและหลงใหลในวัตถุมงคล” ทั้งนี้พระอาจารย์นกได้ตอบคำถามไว้อย่างน่าคิดว่า “ทุกอย่างมีเปลือก ต้นไม้อยู่ได้เพราะเปลือกที่คอยปกป้องเลี้ยงกระพี้และแก่นให้เจริญเติบโต ศาสนาก็มีเปลือกที่คอยปกป้องอุ้มชูเลี่ยงกระพี้และแก่น ถ้าศาสนามีแต่แก่นทุกคนมุ่งแต่หลุดพ้นอย่างเดียววันนี้คงไม่มีพุทธศาสนาแล้ว เพราะถ้าคนไม่ทำทานไม่ทำบุญซึ่งถือว่าเป็นเปลือกของศาสนา แล้วจะมีการสร้างศาสนสถานอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ถ้าพุทธศาสนาไม่มีเปลือกพระเณรก็จะอยู่ไม่ได้”






    อย่างไรก็ตามแม้ว่าพระอาจารย์นกจะเป็นหัวแรงสำคัญในการนำศรัทธาญาติโยมและลูกศิษย์ในการสร้างวัดเขาบังเหย แต่ท่านไม่ได้เป็นและรับตำแหน่งเจ้าอาวาส พระที่เป็นเจ้าอาวาสชื่อ “พระครูไพบูลย์ธรรมกิจ” ซึ่งมีชื่อเสียงมาก ญาติโยมในพื้นที่แถบนี้ไม่น้อยกว่า ๓ อำเภอ พากันหลั่งไหลไปกราบ กอปรกับวัดนี้มีพระภิกษุรูปหนึ่งเป็นพระหมอยา มีความสามารถ “ผสมยา” ในป่า ต้มให้ญาติโยมอาบ อบ รักษาโรคฟรี ไม่ต้องใช้เงินบูชาเอายาใดๆ คนป่วยส่วนใหญ่หายจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

    ความพิเศษของพระอาจารย์นกนอกจากสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลแจกฟรีแล้ว สิ่งหนึ่งที่พิเศษและแตกต่างจากวัดอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง คือ ในวัดก็ไม่ได้ตั้งตู้รับบริจาค เงินที่ได้มาเปิดโรงทาน (อาหารฟรีตลอดปี) ได้มาจากญาติโยมฐานะดีบริจาคเป็นกองทุน “ลอยเอาไว้” ทั้งปี รวมทั้งมีเศรษฐีบริจาคเงินสร้างศาลา สร้างกุฏิ และกำลังสร้างพระอุโบสถหลังใหญ่ ด้วยพลังศรัทธาในวัตรปฏิบัติและคำสอนในวัตรปฏิบัติของพระอาจารย์นก



    พุทธคุณแห่งเหรียญ “โหด เหี้ยม หด”

    https://www.tnews.co.th/religion/36...หลวงปู่แหวน...มากล้นด้วย-พุทธคุณและประสบการณ์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญพระอาจารย์นก วัดเขาบังเหย ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    อ.นก.JPG อ.นกหลัง.JPG
     
  8. PKongja

    PKongja Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +230
    ขอจองบูชา
    +พระผงรูปเหมือนรุ่นแรกหลวงปู่ศรีจันทร์ ให้บูชา 200 บาทค่า
    +พระขุนแผน กรรมการมวลสาร ครูบาเณรเงินให้บูชา200 บาทครับ
    +พระผงรูปเหมือนรุ่นแรกหลวงพ่อสายทอง วัดป่าห้วยกุ่ม ชัยภูมิ ให้บูชา300 บาทครับ


    ขอบคุณครับ

     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เบอร์บัญชีผมครับ
    เบอร์บัญชีธ.กรุงไทย KTB125-0-08923-9 supachai thu

    โอนเงินแล้วช่วยแจ้งวันเวลาที่โอนในกระทู้เพื่อง่ายในการตรวจสอบ หรือทางPMไม่ต้องโพสหลักฐานให้เสียเวลา สมัยนี้โลกออนไลน์ตรวจสอบง่ายหลอกกันยาก แล้วจะรีบดำเนินการจัดส่งEMSไปให้โดยด่วนนะครับ..หลายรายการก็ค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    ติดต่อได้ที่ 08..1.70..4..72..64
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    aqmbnf9dfksrbvae6p-hugisuvwv-b_rqkjcvhcjsceligpkubwmopcu7pnzzk2zirw-_nc_ht-scontent-fbkk24-1-jpg.jpg
    เกร็ดธรรมจากประวัติ!!!!ผู้มีภูมิทิพย์ภูมิธรรม!!!!
    (((หลวงปู่จำเนียร สำนักสงฆ์ต้นเลียบ สงขลา)))
    พระอริยะโพธิสัตว์ธรรมผู้ทรงญาณวิเศษหลวงพ่อทวด
    ....คำสอนจากวาจาตาหลวง(หลวงปู่จำเนียร)
    (((.... ขอให้ลูกยึดถือศีลธรรมให้เคร่งทำฌาณให้ได้ลูกจะพบเห็นสมเด็จเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์...)))
    พระหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด นอกจากรุ่นต่างๆ ที่สร้างขึ้นโดย พระอาจารย์ทิม อดีตเจ้าอาวาสวัดช้างให้ จ.ปัตตานี ที่มีความศักดิ์สิทธิ์จนเลื่องลือไปทั่วทั้งในและต่างประเทศแล้ว ก็ยังมีพระหลวงพ่อทวด อีกหลายรุ่นหลายสำนักที่ได้รับความศรัทธาเลื่อมใสจากพุทธศาสนิกชนและนักสะสมพระหลวงพ่อทวดโดยทั่วไป และหนึ่งในนั้นก็คือ พระหลวงพ่อทวด สำนักสงฆ์ต้นเลียบ อ.สทิงพระ จ.สงขลา อันเป็นสถานที่ฝังรกของหลวงพ่อทวด ถือได้ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความผูกพันกับหลวงพ่อทวดมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งทุกวันนี้มีชาวบ้านไปกราบไหว้สถานที่แห่งนี้เป็นประจำ

    พระหลวงพ่อทวด สำนักสงฆ์วัดต้นเลียบ เป็นพระเนื้อผงผสมว่าน สร้างเมื่อปี ๒๕๓๘ ปลุกเสกโดย หลวงปู่จำเนียร โชติธัมโม ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธาเลื่อมใสท่านมาก ด้วยความที่ท่านเป็นพระบริสุทธิสงฆ์ผู้ที่เมตตามหานิยม มีวาจาสิทธิ์ ให้ความสงเคราะห์อนุเคราะห์ผู้ที่ไปกราบไหว้ท่านตลอดมา
    ตามประวัติท่านได้ศึกษาศาสตร์วิชาอาคมหลายแขนงจากสำนักเขาอ้อ จ.พัทลุง พระเครื่องทุกรุ่นจึงมีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ มีพุทธคุณในทุกด้าน
    นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้รู้ด้วยญาณวิเศษถึงวันมรณภาพของตัวเอง โดยบอกกล่าวกับลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า ก่อนวันเข้าพรรษา 7 วัน ท่านจะละสังขารแล้ว และเมื่อถึงวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2539 เวลา 21.20 น. ท่านก็ได้จากไปอย่างสงบ ตรงกับที่บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าทุกประการ
    ####ประวัติหลวงปู่จำเนียร โชติธัมโม
    เจ้าสำนักสงฆ์ ผู้ที่มีสังขารเป็นหิน
    เกจิอาจารย์สายเขาอ้อ ผู้มีญาณวิเศษสามารถรู้วันมรณภาพของตัวเอง
    หลวงปู่จำเนียร โชติธัมโม มีนามเดิมว่า นายจำเนียรเรืองศรี เกิดเมื่อเดือน 4 ปีเถาะ พ.ศ.2440 ที่บ้านพังไทร ตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ท่านเกิดเบื่อหน่ายชีวิตฆราวาส ซึ่งท่านเห็นว่ามีแต่ความวุ่นวายสับสนจึงตัดสินใจเดินมุ่งสู่ร่มกาสวพัสตร์ เมื่อตอนอายุ 60 ปี หลังจากอุปสมบทแล้ว หลวงปู่จำเนียรได้ศึกษาปฏิบัติกรรมฐาน เจริญกสิณเวทวิทยาคม จากสำนักเขาอ้อ (เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันกับ พล.ต.ต.ขุนพันธ์ รักษ์ราชเดช) กับท่านอาจารย์ยู วัดปากพล จังหวัดพัทลุง และอาจารย์ทวดขาว ฆราวาสจอมขมังเวท จังหวัดพัทลุง จนมีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาคมจนเป็นเลิศ ร่ำเรียนวิชาอยู่ยงคงกระพัน วิชากำบังตัววิชาปลาไหลใครจับท่านไม่ได้
    หลังจากที่อุปสมบทแล้ว ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ ในขณะที่ท่านนั่งเจริญสมาธิภาวนา ปรากฏดวงวิญญาณขององค์หลวงปู่ทวดมาปรากฏต่อหน้าท่าน และได้ชี้มาที่ตัวท่านบอกให้ไปช่วยดูแลต้นเลียบ อันเป็นสถานที่ฝังรกขององค์หลวงปู่ทวด ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดดูแล มีสภาพที่รกร้าง
    เมื่อหลวงปู่จำเนียร มาจำพรรษาที่ต้นเลียบแห่งนี้แล้ว ก็ได้รวบรวมชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงมาช่วยกันพัฒนา เพื่อให้เหมาะเป็นสถานที่เจริญธรรม วิปัสสนากรรมฐาน
    ใครมีเรื่องเดือดร้อน ถูกคุณไสย หรือถูกผีเข้า ท่านจะช่วยรักษาประพรมน้ำมนต์ให้และใช้ไม้เท้าคดคู่กายของท่านชี้ไปที่หน้าผาก กลับหายเป็นปกติทุกรายไป อีกอย่างท่านสามารถดูดวง ผูกชะตาได้แม่นยำนัก ท่านจะมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ไม่ว่าไทยหรือเทศ โดยเฉพาะลูกศิษย์ทางมาเลเซีย สิงคโปร์ นั้นมีมากมายนัก
    หลวงปู่จำเนียร เป็นพระที่ถึงพร้อมด้วยความดี เป็นพระที่สมถะ สามารถกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ ไม่สะสมสิ่งใด มุ่งปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน ชาวบ้านเชื่อกันว่าท่านเป็นผู้ที่มีเมตตามหานิยม มีวาจาสิทธิ์ ท่านสามารถหยั่งรู้ได้ถึงวันมรณภาพของตัวเอง โดยท่านได้บอกกล่าวกับลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า ก่อนจะถึงวันเข้าพรรษา 7 วัน ท่านจะละสังขารแล้ว และท่านระบุไว้ในพินัยกรรมว่าร่างของท่านจะไม่เน่าเปื่อย จะแห้งไปเอง ปรากฏว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็เป็นจริงอย่างที่ท่านพูดเอาไว้ แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยการปฏิบัติและคุณงามความดีไว้ให้คนรุ่นหลังได้เจริญรอยตาม และยึดเป็นเยี่ยงอย่าง รวมอายุได้ 99 ปี 40 พรรษา
    ซึ่งปัจจุบันนี้ สรีระสังขารของท่าน ทางคณะศิษยานุศิษย์ได้เก็บไว้ในโลงแก้ว ณ สำนักสงฆ์ต้นเลียบ เพื่อให้สาธุชนได้เข้ากราบไหว้ เพื่อขอพรบารมี ถึงแม้ว่าท่านจะมรณภาพไปแล้ว แต่ปาฏิหาริย์ที่ท่านได้ปลุกเสกและสร้างวัตถุมงคลของสำนักสงฆ์ต้นเลียบ ก็ยังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยว แสวงหาของนักสะสมพระเครื่องหลวงพ่อทวด


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงเนื้อว่านหลวงปู่มวดพิมพ์เตารีดหลังท่านพ่อเนียน ต้นเลียบ ออกที่ปทุมธา่นี ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    99%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-jpg.jpg 88%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-jpg.jpg B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg

    เหรียญลป.ทวดหลังพ่อท่านเนียน ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3-jpg.jpg 5%E0%B8%9E-%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    วันนี้จัดส่ง

    EI381071505TH บางบัวทอง

    ขอบคุณครับ
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ระวัติหลวงพ่ออุทัยตาทิพย์ หรือพระครูสังฆรักษ์อุทัย ปภงฺกโร วัดศรีมฤคทายวัน (วัดเกาะตาพุด) อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เดิมชื่อ อุทัย ดอกเกตุ เกิดที่ ต.บ้านใหม่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี บิดาชื่อ นายทัพ มารดาชื่อ นางแสง อาชีพทำนา มีลูกทั้งหมด 6 คน หลวงพ่ออุทัย เป็นบุตรคนที่ 2 ปัจจุบัน พี่น้องเสียชีวิตหมด เมื่ออายุได้ 6 ขวบ เกิดเป็นโรคขึ้นที่ตาเรียกว่า ตาเกล็ดกระดี่ พิษของโรคทำให้ตาบอดทั้ง 2 ข้าง แต่ยังพอมองเห็นแสงเดือน แสงไฟฟ้าแลบบ้าง ไม่ได้เรียนหนังสือ

    ต่อมา โยมพ่อได้พา ด.ช.อุทัย ไปฝากไว้กับหลวงพ่อแทน ธมฺมโชติ เจ้าอาวาสวัดธรรมเสน และหลวงพ่อแทน เอามาฝากไว้ที่สำนักสงฆ์เกาะตาพุด เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฟุ้ง อยู่ 1 ปี พออายุครบบวช หลวงพ่อแทน ได้ให้ไปบวชที่วัดธรรมเสน ในปี 2497 และกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเกาะตาพุด เพราะหลวงพ่อแทน เห็นว่าถ้าอยู่ที่วัดนี้อาจจมน้ำตายได้ เพราะรอบๆ วัดเต็มไปด้วยน้ำ การเดินทางต้องใช้เรือพายตลอด ซึ่งพระอุทัย ตาบอดทั้ง 2 ข้าง ส่วนการเรียนหนังสือใช้วิธีต่อเอาจากพระด้วยกัน ช่วงแรกเป็นสำนักสงฆ์เกาะตาพุด ต่อมา เปลี่ยนเป็นวัดศรีมฤคทายวัน เมื่อปี 2506 ส่วนชื่อวัดเกาะตาพุด เป็นชื่อวัดที่ชาวบ้านเรียกกัน

    หลวงพ่ออุทัย ประพรมน้ำมนต์ในโบสถ์มีลูกศิษย์ที่เคารพนับถือไปหาทุกวัน ทั้งคนใน จ.ราชบุรีและต่างจังหวัด รวมถึงคนกรุงเทพฯ มากมาย เว้นเฉพาะวันพระเท่านั้นที่จะหยุดไม่พรมน้ำมนต์ให้ใคร นอกจากนี้ ยังมีเหรียญ และพระเครื่องบูชาโดยนำเงินที่ได้ไปสร้างสาธารณประโยชน์ให้แก่สังคม รวมทั้งนำไปช่วยเหลือองค์การการกุศล และช่วยเหลือทหาร และ ตชด.ตามชายแดน


    559000000525302-jpg.jpg

    559000000525304-jpg.jpg


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    รูปถ่ายจีวรก้อนแร่ เลี่ยมพลาสติคเดิมๆ หลวงพ่ออุทัยให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ(ปิดรายการ)

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2-jpg.jpg 5%E0%B8%9E-%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2019
  14. PKongja

    PKongja Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +230
    จองบูชา
    รูปถ่ายจีวรก้อนแร่ เลี่ยมพลาสติคเดิมๆ หลวงพ่ออุทัยให้บูชา 150 บาท
    ขอบคุณครับ
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    forumid0033742-pic1-jpg.jpg
    าติภูมิ หลวงพ่อสง่า อนุปุพฺโพ แห่งวัดบ้านหม้อจังหวัดราชบุรี มีนามเดิมว่า สง่า เวสสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2469 เป็นบุตรของนายเขี้ยมและนางเม้า เวสสุวรรณ ณ บ้านหม้อ ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี...... ชีวิตในวัยเยาว์ของท่านได้รับการศึกษาจากโรงเรียนวัดบ้านหม้อโดยมีบรรดาพระภิกษุสงฆ์ เป็นผู้อบรมสั่งสอนวิทยาวิชาการอีกทั้งบางวันยังต้องนอนค้างวัดเพื่อช่วยปรนนิบัติรับใช้ พระสงฆ์อยู่เสมอๆ ดังนั้นชีวิตของหลวงพ่อสง่าจึงอยู่ใกล้ชิดกับพระและวัดมาโดยตลอดจนกระทั่งจบชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 จึงได้ออกจากโรงเรียนมาช่วยครอบครัวทำไร่ทำนา
    อุปนิสัย
    ของท่านในวัยหนุ่มก็เหมือนกับวัยรุ่นส่วนใหญ่ทั่วไปที่เสร็จจากการทำงานก็มักไป เที่ยวเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ ไปตามเรื่อง บางครั้งท่านก็ไปเที่ยวยังหมู่บ้านอื่นเพื่อเสาะแสวงหาความรู้ด้านคาถาอาคมจากครูอาจารย์ที่เก่งๆ แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจจนกระทั่งทราบมาว่าที่วัดไทรอารักษ์มีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญคาถา อาคมอยู่รูปหนึ่งจึงดั้นด้นไปพบเพื่อขอเรียนวิชาแต่หลวงพ่อวัดไทรอารักษ์กลับตั้งคำถามว่า มาจากที่ใดและพอทราบว่ามาจากบ้านหม้อท่านจึงปรารภขึ้นว่า
    “หาหญ้ากินไกลคอกเหลือเกินนะเรา อย่าลืมหญ้าปากคอกดูบ้างว่าหญ้าปากคอกนั้นงามขนาดไหน”
    นายสง่าในขณะนั้นได้แต่คิดถึงถ้อยคำปริศนาที่หลวงพ่อวัดไทรฯได้พูดถึงแต่ก็คิดไม่ออก จนกระทั่งไม่นานท่านจึงไขปริศนาได้ว่าหญ้าปากคอกที่พูดถึงนั้นก็คือท่านพระครูเจ้าอาวาส วัดบ้านหม้อนั่นเองท่านจึงได้ปวารณาตัวเป็นศิษย์เพื่อเล่าเรียนวิชาอาคมนานนับปีจนมี ความรู้แคล่วคล่องในบทสวด คาถาอาคม อักขระเลขยันต์พอควร
    ต่อมาในปี 2481 ท่านได้ตัดสินใจอุปสมบทที่วัดบ้านหม้อ จ.ราชบุรี ขณะมีอายุได้ 22 ปีโดยมี พระอธิการกลิ่น วัดคงคาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เกลี้ยง วัดเฉลิมอาสน์เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เช้งและพระอาจารย์แป๊ะ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ (สมัยนั้นใช้พระคู่สวดในพิธีกรรมถึง 3 รูป) ได้รับฉายาว่า “อนุปุพฺโพ”
    ครั้นอุปสมบทแล้วท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดบ้านหม้อเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจนสามารถ สอบได้นักธรรมชั้นตรีและโทตามลำดับรวมถึงวิชาอาคมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก พระอาจารย์แป๊ะ พระอาจารย์เปีย วัดบ้านหม้อและวิชาการแพทย์แผนโบราณ วิชาสมุนไพร จนกระทั่งเรียกได้ว่ามีความเชี่ยวชาญยากหาใครเทียบในเวลานั้น
    ต่อมาในปี 2484 ทางวัดหนองม่วง อ.บางแพ จ.ราชบุรี ขาดพระสงฆ์ผู้นำที่จะดูแลวัด ชาวบ้านและไวยาวัจกรจึงได้พร้อมใจนิมนต์ท่านให้มาดูแลและพัฒนาวัดหนองม่วง หลวงพ่อสง่าพิจารณาดูแล้วเห็นด้วยกับเจตนาอันบริสุทธิ์ของชาวบ้านท่านจึงได้ย้ายมาอยู่ ที่วัดหนองม่วงตามคำขอและได้พัฒนาวัดให้ดีขึ้นตามที่ชาวบ้านต้องการดังที่เห็น ในปัจจุบันโดยได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาให้เกิดประโยชน์กับชาวบ้านอย่างสูงสุด จากนั้นจึงกลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านหม้อตามเดิม
    การศึกษาพุทธาคม
    หลวงพ่อสง่าเริ่มศึกษาคาถาอาคมและอักขระเลขยันต์ มาตั้งแต่ตอนสมัยเป็นหนุ่ม ทั้งวิชาสักยันต์ รดน้ำมนต์ ครั้นพออุปสมบทแล้วก็ยังให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ด้วยว่า
    “แม้ไม่ใช่กิจของสงฆ์แต่ก็เป็นความนิยมของคนสมัยนั้น เพื่อให้เกิดศรัทธายึดเหนี่ยวทางจิตใจ”
    โดยหลวงพ่อท่านได้เป็นอาจารย์สักอยู่หลายปีจนกระทั่งได้ข่าวว่าผู้ที่ท่านสักให้ส่วนมากไปกระทำชั่ว เป็นนักเลงเพราะฮึกเหิมลำพองในความคงกระพันของรอยสักที่หลวงพ่อสักให้ ท่านจึงได้เลิกพิธีกรรมการสักทั้งหมดเพราะเห็นว่าสิ่งนี้ไม่เกิดแก่นสารที่แท้จริง
    เมื่อมีเวลาว่างท่านได้ไปขอต่อวิชากับหลวงปู่ดี วัดบ้านยาง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งเก่งในด้านการสร้างพระปิดตามหาอุตม์ คงกระพันชาตรี, หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ จ.กาญจนบุรี โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาลบผงอิทธิเจ ปถมัง และการเขียนยันต์ 108, หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ได้วิชามหาอุตม์, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมได้ครอบครูนะเมตตาและได้รับการสอนวิชาเจริญวิปัสสนาและครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ อีกมากมาย
    ปฏิปทากิตติคุณและคุณธรรมของหลวงพ่อสง่าช่างมีเมตตาธรรมสูงส่งยิ่งนัก ท่านได้พัฒนาวัดและพัฒนาคนให้รู้จักหลักการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข สอนให้รู้จักอดทน เพียรพยายามพึ่งตนเอง เอาชนะใจตนเอง เน้นวิถีชีวิตอย่างชาวบ้าน ดังที่ท่านเน้นเสมอว่า
    “คนเราถ้าไม่รวยก็อย่าจน ให้มีหิริโอตัปปะ ให้มีความอดทนและเพียรพยายามจะไม่อดตาย ความจนความรวยเราไม่ได้เอามาตั้งแต่เกิด แต่เราทำตัวเราให้รวย ให้จนได้ทั้งนั้น เป็นหนี้ก็เอามาให้พระแก้ เราต้องแก้ที่ต้นเหตุคือตัวเราเอง หาได้ใช้เป็น ใช้ให้น้อย หาพอเพียงก็จะไม่จน”
    http://www.krusiam.com/community/fo...C7%A7%A1%D2%C3%BE%C3%D0&postid=ForumID0033742

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จหลังลพ.สง่า ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง EMS50 บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    91430826443764_view_resizing_images_1_-jpg.jpg

    หลวงปู่ลี อุตตโร
    วัดเอี่ยมวนาราม ต.คำเจริญ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี

    "พระครูพนาภินันท์" หรือ "หลวงปู่ ลี อุตตโร" อดีตเจ้าอาวาสวัดเอี่ยมวนาราม ต.คำเจริญ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี พระสายวิปัสสนา ศิษย์พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล-พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บูรพาจารย์สายพระป่า

    เกิดในสกุล จุใจล้ำ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 ม.ค.2449 ที่บ้านเลขที่ 82 หมู่ที่ 9 บ้านฮี ต.ขุหลุ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ครอบครัวเป็นเกษตรกร

    การศึกษาสำเร็จวิชาสามัญชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนบ้านอนันต์ อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เนื่องจากไปอาศัยอยู่กับอา ที่รับราชการครู

    อายุ 19 ปี บรรพชาที่วัดศรีบุญเรือง อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 16 มี.ค.2468

    ต่อมาอายุ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันที่ 20 ก.ค.2469 โดยมี พระอธิการพันธ์ วัดราษฎร์ประดิษฐ์ อ.ตระการพืชผล เป็นพระอุปัชฌาย์

    ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยจนสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท ในสำนักเรียนวัดโพธิ์ชัย อ.ตระการพืชผล ปีพ.ศ.2480-2481

    พ.ศ.2482 ได้รับพระราช ทานสมณศักดิ์พระครูสามัญชั้นตรี ที่พระครูพนาภินันท์ และปีพ.ศ.2524 เลื่อนเป็นพระครูชั้นโท ในราชทินนามเดิม

    ลำดับการปกครอง พ.ศ.2475 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง อ.ตระการพืชผล และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลกระเดียน พ.ศ.2500 ท่านจึงได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเอี่ยมวนาราม บ้านม่วงเดียด อ.ตระการพืชผล

    ภายหลังชราภาพท่านจึงลาออกจากตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ และเจ้าคณะตำบลกระเดียน

    สำหรับวัดเอี่ยมวนารามเป็นวัดป่าธรรมชาติ และเป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐานสำคัญของ อ.ตระการพืชผล สภาพวัดร่มรื่น มีน้ำล้อมรอบ เหมาะสำหรับพระนักปฏิบัติ และผู้แสวงหาความสงบ ผู้ที่อุปถัมภ์สำคัญ คือ นายง้วนเอี่ยม พ่อค้าชาวไทยเชื้อสายจีน

    หลวงปู่ลีเป็นพระสายปฏิบัติที่เคร่งครัดพระวินัยรูปหนึ่งของภาคอีสาน ด้วยความที่เป็นพระซึ่งรักความสงบ สมถะ ชอบป่า จึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ "พระครูพนาภินันท์" อันมีความหมายว่า "มีความรักความผูกพันกับป่า"

    ท่านเคยธุดงค์ไปตามป่าเขาทั้งในประเทศทั่วทุกภาคและข้ามไปถึงประเทศลาว แถบแขวงจำปาสัก แขวงสะหวันนะเขต รวมทั้งเดินเลยทะลุเข้าไปในประเทศกัมพูชา

    ด้วยความตั้งใจจะเอาจริงและเอาดีทางเจริญวิปัสสนาให้ได้ จึงเข้าฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่มั่น รับการฝึกวิชาวิปัสสนากรรมฐาน

    สามารถนั่งวิปัสสนานานถึง 48 ชั่วโมง หรือ 2 วัน 2 คืนติดต่อกัน

    ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาที่น่ายกย่อง คือ พัฒนาทั้งศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล และศาสนธรรม

    ผลงานสำคัญ อาทิ เป็นประธานสร้างอุโบสถวัดบ้านฮี วัดบ้านเวียง และวัดเอี่ยมวนารามแล้ว ยังบริจาคทรัพย์ส่วนตัวและร่วมกับข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน สร้างตึกหลวงปู่ลี อุตตโร (พระครูพนาภินันท์) มอบให้โรงพยาบาลตระการพืชผล

    ส่งเสริมการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม สละทรัพย์ตั้งทุนมูลนิธิวิทยาลัยอุบลราชธานี วัดมหาวนาราม และให้ทุนส่งเสริมปริยัติธรรม แผนกธรรม-บาลี สำนักเรียนวัดบ่อชะเนง อ.หัวตะพาน วัดศรีโพธิ์ชัย อ.ตระการพืชผล และอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก

    นอกจากนี้ ยังจัดตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่วัด เปิดอบรมเข้าปริวาสกรรม บวชสามเณรหมู่ภาค ฤดูร้อนประจำทุกปี เป็นหน่วยอบรมแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองประจำอำเภอ และสร้างวัดเอี่ยมฯ ให้เป็นสถานที่ให้ธรรมเป็นทาน เป็นที่พึ่งทั้งทางกายและใจแก่ชาวพุทธทุกหมู่เหล่า

    เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2544 หลวงปู่ลีมีอาการอาพาธ ศิษยานุศิษย์และญาติโยมจะพาท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลตระการพืชผล แต่ท่านไม่ยอมไป พร้อมกล่าวเป็นนัยว่า "แก่มากแล้ว รักษาก็ไม่หาย"

    วันที่ 9 มี.ค.2545 ศิษย์ทั้งหลายก็นำท่านเข้า โรงพยาบาลจนได้ เมื่ออาการอาพาธทรุดหนักจนน่าเป็นห่วง ถัดมา 2 วันแม้อาการไม่ดีขึ้น แต่สติของท่านมั่นคง และขอให้ศิษย์นำท่านกลับวัด

    สุดท้ายละสังขารด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2545 ด้วยวัย 96 ปี พรรษา 76

    อริยะโลกที่ 6

    http://www.ubonpra.com/board/?topic=43.0

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่ลีรุ่น๒ รุ่นประสพการณ์ มีรอยจารลายมือหลวงปู่สภาพสวยเดิมๆครับ

    ให้
    บูชา500บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%A5%E0%B8%B5-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    วันนี้จัดส่ง

    EI381049720TH อ่าวอุดม

    ขอบคุณครับ
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เหรียญสรงน้ำหลวงพ่อแสวง วัดหนองอีดุก สรรคบุรี ชัยนาท ศิษย์หลวงพ่อกวย วัดบ้านแคอีกองค์ครับที่ทันตัวหลวงพ่อ

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%87-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2019
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    02-_nc_ohc-g301benfa4aqkt4gahx1l38h713lf9xvh8zlrqmzmyczjg77j9yzfznq-_nc_ht-scontent-fbkk24-1-jpg.jpg

    ประวัติหลวงพ่อพิมพ์ วัดสนามชัย

    ประวัติวัดสนามชัย
    เรื่องราววัดสนามชัยในครั้งก่อน คนเก่าเล่าไว้ไม่แน่นอน จะตัดตอนเสริมต่อพอเข้าใจ
    วัดสนามชัยเป็นวัดเก่าแก่พอสมควรมีพระนอน ปางไสยาสน์ เก่าแก่อยู่กลางแจ้ง 1 องค์ ไม่มีมณฑปครอบ คำว่า สนามชัย คงหมายถึง สนามแข่งขันในสมัยก่อนนานมาแล้ว วัดสนามชัย ยังมีอีกวัดหนึ่ง เป็นวัดที่ สุรพล สมบัติเจริญนำไปร้องเพลง วัดสนามชัยนี้อยู่ห่างที่วัดหลวงพ่อกวย ประมาณ 5 กิโลเมตร ปัจจุบันรอบๆ วัด ชาวบ้านจะมีอาชีพทำนาและทำสวนส้มขาวแตงกวา ที่มีรสหวานยิ่งนัก สรุปคือไม่ได้ที่มาที่ไปที่แน่นอนจากคนเก่าเลย ประกอบกับในสมัยของท่าน ในสรรคบุรีมีเกจีอาจารย์ถึง 2 รูป คือ หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ กับหลวงพ่อกวย ซึ่งเปรียบเสมือนอาจารย์องค์หนึ่งของท่าน ท่านจึงไม่จำเป็นต้องสร้างวัตถุมงคลอะไรขึ้นมาเพื่อความดังหรือเพื่อลาภสักการะ สมัยที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดวิหารทอง ครั้งใดที่ท่านดำริก่อสร้างอะไรท่านจะจุดธูปบอกเล่า หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง เจ้าอาวาสองค์ก่อน แม้ในใบบอกบุญทอดผ้าป่าท่านก็ให้หลวงพ่อโตเป็นประธาน ท่านสามารถสร้างเมรุ, สะพานแขวน โดยให้หลวงพ่อโตเป็นประธาน และหลวงพ่อโตก็เป็นจริงมรณภาพไปแล้ว ยังสามารถดลจิตคลใจคนให้นำผ้าป่ามาทอดโดยไม่บอกมาก่อน ทั้งเมรุและสะพานแขวนข้ามแม่น้ำน้อย ทำได้สำเร็จ

    ประวัติหลวงพ่อพิมพ์
    ท่านเกิดที่บ้านวังขรณ์ ต.โพธิ์ชนไก่ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ตรงกับวันที่ 15 มิถุนายน 2458 เป็นบุตรของ พ่อขวัญ-แม่พัว อินทอง ที่บ้านวังขรณ์นี้อยู่ไม่ไกลจากวัดสนามชัย แต่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำ ชีวิตวัยเรียนจบชั้นประถม 4 ซึ่งถือว่าสมบูรณ์และสูงสุดแล้ว ในวัยหนุ่มท่านเป็นคนใจร้อน พูดน้อย ไม่เกรงกลัวผู้ใด รูปร่างล่ำป้อม ผิวสีค้อนข้างดำ แข็งแรง ทำจริงชอบยิงกระสุน (คล้ายธนู) และเรียนกระบี่กระบองจนจบ พูดจริง ทำจริง และไม่เคยข้องแวะกับสตรีเพศเลย จนกระทั่งบวช มีชื่อเล่นว่า นายพลุ เพราะเป็นคนจริง ลงถ้าโมโหแล้วจะไม่เกรงกลัวผู้ใดเลย นายพิมพ์ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์หอม ต. เชิงกลัด อ. บางระจัน จ. สิงบุรี เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2479 โดยมีท่านพระครูศรีวิริยะโสภิต (หลวงพ่อสี) วัดพระปรางค์ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีอาจารย์พัน เป็นพระกรรมวาจาจารย์และมหากราด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เป็นพระภิกษุสงฆ์ เวลา 15.00 น. ได้รับฉายาว่า สุวณ۪โณและได้จำพรรษาอยู่ที่วัดโพธิ์
    หอม 1 พรรษา เพื่อหัด

    ศึกษาวิชาอาคม
    หลังจากพรรษาที่ 1 ผ่านไป ท่ามเริ่มที่จะศึกษาวิชาอาคมวิปัสสนากรรมฐาน โดยไม่ทิ้งเวลาให้สูญเปล่า ท่านได้เดินทางมาเรียนวิชากับหลวงพ่อกวย วัดบ้านแค เพราะท่านเคยเป็นลูกศิษย์หาบสำรับให้หลวงพ่อกวย ตอนที่หลวงพ่อกวยไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิมถึง 7 ปี (แต่พักจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย) เมื่อพระพิมพ์แจ้งความจำนงว่าจะขอเรียนวิปัสสนาและวิชาอาคม หลวงพ่อกวยได้ตอบปฏิเสธ โดยบอกว่าให้ไปเรียนกับอาจารย์ของท่านโดยตรงเลยคือ หลวงพ่อสีวัดพระปรางค์ หลวงพ่อสีองค์นี้แก่กล้าอาคมยิ่งนัก สร้างเหรียญไว้ 1 รุ่น ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เต็มองค์ สวยงามยิ่งนักสนนราคาแพง มีลูกศิษย์หลายองค์ล้วนแต่แก่กล้าอาคม เช่น หลวงพ่อบัว วัดแสวงหา อาจารย์ดำรง วัดเขาขึ้น หลวงพ่อฟุ้ง หลวงพ่อเฟื่อง วัดแหลมคาง หลวงพ่อหร่ำ วัดวังจิก หลวงพ่อทอง วัดพระปรางค์ ที่โด่งดังทะลุฟ้า คือ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง และที่เก่งและรักลูกศิษย์เหมือนหลวงพ่อรักลูก ก็หลวงพ่อกวย วัดบ้านแค (ติดอันดับ 1 ใน 9 ยอดเกจิอาจารย์รัตนโกสินทร์ยุค 4) ขอเงินหมื่นให้เงินหมื่น ขอเงินแสนให้เงินแสน ขอเงินล้านให้เงินล้าน ฯลฯ อันตัวท่านหลวงพ่อสีนี้ สร้างโบสถ์โดยไม่ได้เรื่อไรใคร ท่านสามารถเรียกทรัพย์แผ่นดินได้ เป็นเหรียญเงินเก่าสมัย ร.5, ร.6 โดยไปตักเอาในบ่อเล็กๆ ในวันฌาปนกิจศพท่าน ดาวได้ขึ้นเวลากลางวันซึ่งอัศจรรย์มาก

    หลังจากที่หลวงพ่อพิมพ์ได้ศึกษาอาคมจากหลวงพ่อสีระยะหนึ่ง ท่านก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ได้พักอยู่วัดปากน้ำภาษีเจริญแต่ท่านไม่ได้เรียนวิชาธรรมกาย คงยึดมั่นในการปฏิบัติตามแนวของหลวงพ่อสีอยู่เหมือนเดิม ท่านมาอยู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ 8 ปี ท่านได้เรียนทางปฏิบัติ คือ นักธรรมตรี, โท และเอก แล้วท่านก็กลับมาวัดสนามชัย การกลับมาครั้งนี้ของท่านปรากฏว่าหลวงพ่อพ่อสี วัดพระปรางค์ องค์อาจารย์ได้มรณภาพแล้ว การกลับมาครั้งนี้ท่านได้ปฏิบัติทางจิตอย่างจริงจัง หลังจากฉันเช้าแล้ว ท่านก็เข้าไปนั่งสมาธิในป่าช้า จนมืดค่ำดึกดื่น จะว่าท่านเรียนวิปัสสนากรรมฐานได้ช้า ไม่เหมือนศิษย์พี่ คือ หลวงพ่อกวย ก็ไม่เชิง เพราะหลวงพ่อกวยมีหลักฐานว่าเรียนวิปัสสนากรรมฐานเพียงปีเดียวสำเร็จ โดยพักที่วัดหนองตาแก้ว ได้ขุดสระศักดิ์สิทธิ์เอาไว้และปลูกต้นสมอเอาไว้ ใครอาบน้ำในสระโดยไม่ตัดไปอาบจะเป็นขี้กลาก ใครปัสสาวะที่ต้นสมอจะชักดิ้นชักงอ แต่หลวงปู่พิมพ์ท่านกลับฝึกทางจิต โดยนั่งสมาธิถ้ามีเวลาว่าง ท่านปฏิบัติทางจิตจนกระทั่งบั้นปลายของชีวิต ในบั้นปลายของชีวิตของท่าน ท่านก็คงแข็งแรง ไม่กินหยุบกินยา ล่ำป้อมดำเหมือนเดิม ถามผมว่า หลวงพ่อกวยสอนมึงอย่างนั้นหรือ ผมบอกว่าเปล่า แต่คาถาของหลวงพ่อกวยกล่าวไว้ว่า พุทโธ คือลมหายใจเข้า -ออกของพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็ถามผมต่อ แล้วใครสอนมึง ผมตอบว่า อาจารย์ชา วัดหนองป่า

    เป็นอุปัชฌาย์
    หลวงปู่พิมพ์ ท่านไม่สนใจลาภยศ ชอบสงบ ชอบปฏิบัติทางจิต แต่พอพรรษาที่ 9 ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระปลัด พอพรรษาที่ 10 ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ ชื่อ พระครูสรรคภารวิชิตโดยได้รับคำสั่งจากเจ้าคณะภาคกรุงเทพฯ ท่านถึงกลับนิ่งอึ้งไป เพราะท่านไม่ได้ยินดีในลาภยศตำแหน่งใดๆ การได้มาซึ่งตำแหน่งยิ่งทำให้ท่านทำตัวสมถะ และเพื่อเห็นแก่ศาสนาท่านจึงรับไว้ ท่านปกครองพระภิกษุสงฆ์ในอำเภอสรรคบุรีอย่างจริงจัง ถ้าท่านได้ยินข่าวว่าพระภิกษุยุ่งเกี่ยวกับสีกา ท่านจะเรียกมาพบ โดยมากพระภิกษุที่มีเรื่องแบบนี้ท่านมักจะมีสตางค์ ท่านจะเอาปัจจัยข้าวของมาถวายท่านมากมาย แต่ท่านหลับพูดว่า ท่านเอาของของท่านกลับไปซะ แล้วไปหาที่อยู่ไกลๆ ให้พ้นจากเขตปกครองของจ้า ไม่อย่างนั้นจะหาว่าข้าไม่ดีไม่ได้นะ รีบๆ ไปซะไปให้ไวๆ ไปให้ไกลๆ ด้วย เนื่องจากตบะแล้วความแกกล้าอาคม ความสันโดษ ความไม่เกรงกลัวใครนี่เอง ลูกศิษย์ที่ท่านได้บวชให้ไปได้อนุญาตท่านเปลี่ยนนามสกุล จากนามสกุลเดิม “สรรคภารวิชิต” ได้ขอเปลี่ยนหลายคน

    ของคู่บุญ
    หลวงพ่อพิมพ์ ท่านชอบปฏิบัติทางจิต แต่ไม่ชอบเรียนวิชา แม้ศิษย์พี่คือหลวงพ่อกวย จะอยู่ไม่ไกล (ตอนที่ท่านเป็นอุปัชฌาย์ ท่านต้องไปจำพรรษาอยู่วัดวิหารทอง ซึ่งอยู่ติดที่ว่าการอำเภอ) แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านชอบคือคันกระสุน(คล้ายธนู) ใช้ลูกดินยิง คือ ท่านเคยเรียนกระบี่กระบองมาก่อน ท่านได้สั่งศิษย์หาไม่ไผ่ป่าที่ล้มอยู่มีโขลงช้างข้ามและมีผีตายทับ ถ้าได้ช่วยทำให้ท่านสัก 1 อัน อยู่ต่อมาลูกศิษย์ของท่านได้ไปดูเขายิงเสือ (คน) นอนตายทับลำไม้ไผ่เมื่อดูไปดูมา ได้เห็นรอยเท้าของโขลงช้างเดินข้ามไปมานานแล้ว ลูกศิษย์ของท่านเลยตัดเองมา แม้ว่าจะทำได้ 2 อันแต่ลูกศิษย์ของท่านกลับทำเพียงอันเดียว เพื่อให้เป็นของหนึ่งเดียว คันกระสุนนี่ยาวกว่าของหลวงพ่อกวยเกือบ 1 ฟุต แต่ของหลวงพ่อกวยไม้แก่กว่า ไม้แก่มากเกือบเป็นสีแดง แต่ท่านจะยิงกระสุนวิถีคดได้แบบหลวงพ่อกวยหรือเปล่าไม่รู้เพราะครั้งหนึ่งศิษย์รุ่นเก่าไปกราบท่าน เห็นท่านถือคันกระสุนอยู่ จึงแกล้งแหย่ท่านว่า หลวงปู่หันหน้าไปทางโน้น แล้วยิงให้โดนหัวผมที ท่านนิ่งเฉย ท่านพูดว่า กูไม่ใช่หลวงพ่อกวยนี่หว่า ภายหลังคันกระสุนนี้ได้ตกมาอยู่กับศิษย์ใกล้ชิดท่านนึง ปัจจุบันได้มอบให้พิพิธภัณหลวงพ่อกวยไปแล้ว

    ผู้สืบทอดอาจารย์ธรรมโชติ
    ที่อำเภอสรรค์บุรีนี้ ถ้าพระองค์ใดเป็นเจ้าคณะอำเภอจะต้องจำพรรษา หรือเป็นเจ้าอาวาสวัดวิหารทอง ซึ่งอยู่ติดหรือใกล้ที่ว่าการอำเภอ ท่านพระครูพิมพ์ก็เช่นกัน เดิมก็เป็นเจ้าอาวาสวัดวิหารทอง อยู่ๆ ท่านไม่ชอบใจกรรมการวัด ท่านก็มาจำพรรษาที่วัดสนามชัย บ้านเกิดของท่าน เหตุการณ์แบบนี้ได้เกิดขึ้นมา 3 ครั้ง ตั้งแต่พระครูปัตร, พระครูปุ่น ซึ่งสืบเชื้อสายเป็นญาติพี่น้องกันมาทั้ง 3 องค์ ได้มีการจดบันทึกเอาไว้ว่า สืบเชื้อสายมาจากขุนสรรค์ แต่ตัวพระครูพิมพ์นั้นกลับมีปฏิปทา เหมือนหนึ่งเป็นหน่อของท่านอาจารย์ธรรมโชติ คือใครเดือดร้อนของเหรียญรูปท่าน ท่านก็ให้ไป แต้ถ้าเป็นทหาร เป็น ตชด. ท่านต้องแจกตะกรุด เหรียญหันหลังชนกันกับขันสรรค์ ผ้ายันต์ ผ้ายันต์นี้แม้ไม่มีก็จะเขียนให้ จะค้างคือที่วัดก็จะเขียนให้ แม้ผืนขนาดใหญ่ ผู้พันให้ลูกน้องมาขอ เขียนด้วยปลุกด้วย 3 วัน 3 คืน เอาไว้ป้องกันบังเกอร์ก็เขียนให้ เงินไม่สำคัญ ทหารกินข้าววัด

    เป็นผู้มีเชื้อสายของคนจริง และเทพสังหาร
    พระครูพิมพ์ มีชื่อเล่นว่า นายพลุ มีศักดิ์เป็นน้องปู่ฉุ่น อดีตครูใหญ่คนแรกวัดสนามชัย ภายหลังได้ลาออกและโดนกักบริเวณที่บางขวางเป็นสิบปี และเป็นน้องของสางฉาว สางฉาวนี้ คำว่า สาง หมายถึงคนที่ตายไปแล้วจะเรียกว่าเสือฉาวก็ได้ เป็นที่ไม่กลัวคน ไม่ว่ามีดหรือปืน จะเดี๋ยวหรอหมู่ก็ได้ เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อกวย วัดบ้านแค หนังเหนียว ปืนยิงไม่ออก แถมล่ำป้อมแบบพระครูพิมพ์ เป็นเสือบุกเดี่ยว แต่ไม่ปล้นชิงบริเวณบ้าน เคยติดคุกที่บางขวาง ที่เกาะตะรุเตา ก็หนีมาได้ ตอนนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังได้รับจ้างทหารญี่ปุ่นซ่อมสะพานพุทธยอดฟ้าฯ ครั้งสุดท้ายติดคุกที่ชัยนาท พัศดีสั่งตีตัวแดง (สั่งตาย) โดยทั้งไม้ทั้งปืน ยังแหกคุกที่มีลวดไฟฟ้าออกมาได้ ท่านมีหลาน – เหลน อยู่คนสองคน คนแรกเป็นกำนัน ชื่อกำนันใส กำนันใสนี้ถ้าลูกบ้านทะเลาะกันอย่างรุนแรงท่านก็จะเตียน ถ้าเตียนไม่ฟัง แกจะฆ่าคนผิด โดยไม่คิดสตางค์ และไม่แย้มให้ใครรู้เลย

    จอมคน
    ในสมัยเสือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สุพรรณบุรี ได้ชื่อว่าเป็นถิ่นเสือปล้น เสือที่โด่งดังที่สุดที่ขนาดตั้งเป็นชุมเสือได้คือ เสือฝ้าย โดยมากก็จะมีของดี ทราบว่าเสือที่มีของดีและมีคุณธรรมคือ เสือมเหศวร ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ อยู่บ้านไพรนกยูง อ.หันคา จ.ชัยนาท ครั้งหนึ่งเสือฝ้ายได้มาตั้งชุมเสือที่บ้านล่องใหญ่ บ้านเดิมบางนางบวง สุพรรณบุรี ได้รู้ข่าวว่า บ้านนายยอด เดชมา (พ่อหมอเฉลียว เดชมา) มีปืน ร.ศ.ปืนพระราม อยู่ 5 กระบอก จึงได้ให้ลูกน้องมาเอาปืนที่บ้านโยมยอดโยมยอดได้มาบอกหลวงพ่อกวยให้ช่วย แต่หลวงพ่อกวยได้ไปเรียนวิชาเพิ่มเติมกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ โยมยอดเลยวิ่งแจ้นไปบอกพระครูพิมพ์ พระครูพิมพ์ท่านก็รับกิจนิมนต์ทันที ท่ารนเดินลัดตัดทุ่งไปทันทีที่หมู่บ้านสามเอก (ดงเสือ) ขณะที่ชุมเสือฝ้ายได้ตั้งชุมอยู่ ไม่รู้ว่าท่านพูดอย่างไร แล้วท่านก็สะพายปืนยาวรุ่นเก่า 5 กระบอก มาหน้าตาเฉย เรื่องนี้ท่านไม่ยอมเล่าให้ใครฟังถึงที่ไปที่มา ยังมีลูกหลานที่ทำนิสัยแบบนี้อีก คนคนนี้เป็นคนบ้าบิ่น (โหล่) ชื่อเชน (ปิ๊ด) ฉายาแหวนแขนเรดาร์ บ้านเดิมอยู่หัวเด่น ขณะบวชอยู่กับหลวงพ่อกวย วัดบ้านแค ปรากฏว่ามีพวกเสือได้วิ่งไล่จะปล้ำคุณยายม่าย (เป็นคนจีนเตี่ยเอามาขาย 2 คนพี่น้อง) ยายม่ายได้วิ่งมาหวังพึ่งหลวงพ่อกวย พอดีเจอพระเชนพอดี พระเชนโดดเหน็บมีดหมอหลวงพ่อกวย ห่มผ้าไปส่งยายม่าย พระเชนได้พูดว่า “ถ้ามันกล้าปล้ำผู้หญิงต่อหน้ากู กูก็ขาดจากพระวันนี้แหละวะ”

    เกียรติคุณปรากฏ
    ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงครามได้มีเสือตั้งชุมปล้นสะดมทรัพย์สิน วัวควาย ฯลฯ เอาไปเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านสนามชัยได้รวมตัวกันเข้าไปกราบพระครูพิมพ์ เล่าเรื่องให้ฟัง ท่านได้ถามว่า แล้วพวกมึงจะยอมเขาหรือจะสู้เขา ชาวบ้านสนามชัยได้ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าสู้ พอท่านได้ยินคำว่าสู้ ท่านก็ไปขุดหัวว้านขมิ้นอ้อย ที่ท่านปลูกเอาไว้ เอามาล้างน้ำ เสกและจารโดยฝานตรงยอกบนออก แล้วท่านก็ฝานเป็นแว่นๆ ให้กับชาวบ้านอมใส่ปากไว้ ชาวบ้านสนามชัยมีแค่ปืนแก๊ป ปืนลูกซอง ปืนไทยประดิษฐ์ (เมดอินไทยแลนด์) พร้า ดาบ ฯลฯ แล้วท่านก็ยังสั่งว่า เมื่อตามไปทันให้โห่ร้อง แล้วสู้ประจัญบานกับมัน ผลคือผู้นำชาวบ้านคือนายพวง โดนเสือเล็กยิงแต่ยิงไม่ถูก นายพวงได้ยิงมัน โดนเสือเล็กตัดขั้วหัวใจตายเลย ผลการสู้รบในวันนั้น เสือโดยการนำของเสือเล็กบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ชาวบ้านสนามชัยแค่บาดเจ็บเล็กน้อย เรื่องนี้โด่งดังมาก เพราะปืนที่ต่อสู้กันเป็นปืนคนละชนิดและพระครูพิมพ์ก็เพิ่งจะอายุไม่มาก อายุประมาณ 30 ปีเศษ เรื่องนี้ผู้เขียนเรื่องราวของหลวงพ่อพิมพ์ คือ คุณสมจิต เทียนวัน หรือคุณเฒ่า สุพรรณ ได้รับคำบอกเล่าและการสั่งเสียจากปู่ฉุน ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายของพระครูพิมพ์ ปู่ได้พูด 2-3 ครั้งว่าเมื่โตขึ้น อย่าลืมไปหาพระครูพิมพ์ ไปขอเรียนวิชาขมิ้นจากท่านให้ได้ ตอนนั้นคุณสมจิตยังเรียนอยู่ประถม 4 และย่าฉวนได้นำไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อกวยแล้ว ได้รดน้ำมนแล้ว คุณสมจิตได้แต่คิดในใจว่าพระลงเรียนทั้งมหาเปรียญและเรียนอาคมด้วย เป็นพระครูแบบนี้ถึงจะเก่งอย่างไร คิดว่าก็ไม่เท่าไรหรอก ขณะนั้น ครั้งหนึ่งคุณสมจิตไปกราบท่านที่วัดสนามชัย เตรียมขมิ้นอ้อยไปด้วย กะจะไปขอเรียนวิชาตามที่ปู่สั่ง เมื่อท่านเสกให้เสร็จ ได้อ่านดูภาษาขอม ที่ท่านจาร อ่านได้ว่า “นะโมพุทธายะ” จึงถามท่านว่า หลวงปู่ไปเรียนวิชาขมิ้นนี้มาจากไหน ท่านตอบว่า แลกเปลี่ยนวิชากัน ตอนไปอยู่รับใช้หลวงพ่อกวย ตอนที่หลวงพ่อกวยไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม คุณสมจิตได้เรียนถามว่า หลวงปู่แลกเปลี่ยนวิชากับใคร ท่านตอบว่า “ท่านอินทร์ วัดเกาะหงษ์”

    ผลงานสำคัญ
    หลวงพ่อพระครูพิมพ์ เป็นพระที่สมถะ มักน้อย สันโดษ ฉันอาหารมื้อเดียว ชอบภาวนา ไม่ชอบการสร้างวัตถุมงคลเพื่อหวังเงินทอง อายุประมาณ 30 พรรษา ได้สร้างอุโบสถร่วมกับหลวงพ่อเชื้อ น้องชายหลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ โดยได้ทำแหวนนิ้วตามตำราของหลวงพ่อสี วัดพระปรางค์ เพื่อสมนาคุณให้กับผู้ทำบุญพระอุโบสถหลังนี้คือ พระอุโบสถวัดวังขรณ์ ซึ่งที่วัดวังขรณ์นี้เดิมเป็นโรงเรียนปริยัติธรรม แหวนนิ้วที่เหลือนี้ยังได้ฝังไว้ที่วัดวังขรณ์ จำนวน 2 ไห ใต้ท้องวงเขียนว่า “อิ ติ” เป็นภาษาขอม นอกจากอุโบสถที่วัดวังขรณ์แล้ว ที่วัดวิหารทอง ท่านก็สร้างเมรุเผาศพ แลพสะพานแขวน ราคาหลายล้านบาท ภายหลังท่านมาอยู่วัดสนามชัย ท่านก็สร้างกุฏิกรรมฐาน

    มรณภาพ
    หลวงพ่อพิมพ์ เป็นพระที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน คนในตระกูลนี้ตั้งแต่ ชวด, ปู่ชวด ถ้าเป็นผู้ชายเวลาตายจะตายง่ายๆ เช่น เป็นลมตาย นอนตายเฉยๆ หลวงพ่อพิมพ์ท่านได้ถึงแก่มรณภาพตอนเช้า เวลา 08.00 น. ของวันที่ 4 กรกฎาคม 2536 ก่อนที่ท่านจะไปบาชนาคที่ ต.หัวกรด โดยก่อนไปท่านได้เขียนจดหมายทิ้งไว้บนโต๊ะ ถึงสมุห์แจ่ม เจ้าอาวาส โดยเขียนเป็นทำนอง ให้อยู่ดูแลวัดต่อไป มีงานอะไรก็ให้เร่งทำ เวลาของชีวิตเรานั้นไม่ยาวนัก แล้วท่านก็เอาหินทับไว้ ขณะที่ท่านนั่งรถมาถึงหน้าวัดสกุณาราม ห่างจากวัดสนามชัย ประมาณ 7 กิโลเมตร ศีรษะของท่านก็งุ้มลงไปข้างหน้าผิดสังเกต หลวงพ่อประเทืองซึ่งนั่งรถไปด้วยกับท่านก็ตกใจบอกให้รถหยุด มาจับดูตัวเองจึงได้รู้ว่าท่านมรณภาพ หลวงพ่อประเทืองจึงให้รถวิ่งกลับวัด ได้ตะระฆังบอกให้พระ-เณรและชาวบ้านรู้ แล้วให้คนไปนิมนต์พระอุปัชฌาย์เบิ้ม วัดสระไม้แดง ให้เป็นอุปัชฌาย์บวชแทนหลวงพ่อพิมพ์ จากนั้นก็เก็บศพไว้ 1 ปี จึงได้ขอพระราชทานเพลิงศพ สิริรวมอายุ 78 ปี พรรษา 58 นับเป็นการสูญเสียเกจิอาจารย์เมืองสรรค์ที่เป็นของจริง อาจเป็นองค์สุดท้ายของเมืองสรรค์ก็ได้

    อัฐิเป็นพระธาตุ
    เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ทางวัดได้อาบน้ำศพและเปลี่ยนผ้าให้ใหม่ ได้เก็บศพไว้ 1 ปี แต่พอจะขอพระราชทานเพลิงศพก็ได้เปลี่ยนผ้าให้ใหม่ โดยเก็บผ้าที่ท่านครองอยู่ในโลงพับเอาไว้และได้นำไปเผาด้วย ก่อนเผา ท่านอาจารย์สมาน ได้ให้ทางญาติสนิทหักโยกฟันเอาไว้บูชา ผลปรากฏว่า ไม่มีใครโยกหักฟันของท่านได้เลย มีแต่อาจารย์สมาน (เจ้าอาวาสวัดหัวเด่น มีศักดิ์เป็นหลานห่างๆ) ได้โยกฟันมาได้ 2 ซี่ คือ ฟันเขี้ยว 1 ซี่ อีกซี่หนึ่งเล็กมาก ท่านอาจารย์สมานได้กินซี่เล็ก เหลือแต่ฟันเขี้ยวแก้ว (ปัจจุบันเป็นของ คุณศิริชัย ชีรวณิชย์กุล) เมื่อพระราชทานเพลิงศพแล้ว จึงเปิดดูอัฐิของท่าน ผลคือ ผ้าจีวรที่ท่านครองอยู่แล้วนำไปเผาด้วยไม่ไหม้ไฟ เมื่อหยิบดูปรากฏว่าสะเก็ดของอัฐิเป็นเม็ดสีขาว เมื่อส่องดูให้ละเอียดจะเป็นเม็ดใสสีขาวเต็มไปหมด บางท่านว่าเป็นพระธาตุ นับว่าอัศจรรย์มาก

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญรุ่น๒หลวงพ่อบุญทันให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    5%E0%B8%9E-%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B9%8C-jpg.jpg
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    upload_2019-12-3_15-52-25.jpeg
    images?q=tbn%3AANd9GcTHGANQqS-qhSwgCfaBiV2oEqjs6q2ERaZTZToq65zigtkIix_A.jpg


    พระครูพิพิธกิจจานุรักษ์ หลวงพ่อฝุ่น(เตี้ย) อตฺตทโม
    วัดสามเอก อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี
    สถานเดิม ชื่อฝุ่น นามสกุล จูงาม เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๗ ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ ณ หมู่ ๖ ต.โพงาม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท บิดาชื่อ พ่อมะลิ จูงาม มารดาชื่อ คุณแม่แกละ จูงาม โดยมีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกันทั้งหมด ๑๒ คน
    ปฐมวัย สมัยเด็กนั่นหลวงพ่อมีรูปร่างเล็ก จึงได้ชื่อว่าฝุ่น แต่จะเรียกติดปากกันว่า“เตี้ย” ลูกศิษย์ใกล้ชิดได้เล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อบอกว่า“เตี้ย” คือ ไม่สูง ไม่ต่ำ อยู่กลางๆ ท่านได้รับการศึกษาจนจบชั้น ป.๔ จากโรงเรียนวัดค้างคาว เมื่ออายุประมาณ ๑๐ ขวบ จึงได้ออกจากโรงเรียนโดยขออนุยาตจากโยมบิดาและมารดา
    บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดพระแก้ว อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท โดยมีพระอาจารย์โปร่ง เจ้าอาวาสวัดพระแก้ว ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงอาของท่าน เป็นผู้บรรพชาเป็นสามเณรให้ ในช่วงที่เป็นสามเณรอยู่นั้นก็ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมและวิชาการต่างๆอยู่พอสมควร โดยท่านนั้นชอบศึกษาและแสวงหาความรู้เกี่ยวกับวิชาและคาถาอาคมต่างๆ มีเรื่องเล่ากันว่าท่านท่อง อิติปิโส ถอยหลังจนสามารถสะเดาะกุญแจได้
    อุปสมบทเมื่อครั้นอายุได้ ๒๑ ปีบริบูรณ์ จึงได้ญัตติจากสามเณรและอุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๘ เวลา ๑๓.๑๕ น. ณ วัดโบสถ์ ต.โพงาม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท โดยมีพระครูวิฑูรชัยกิจ(หลวงพ่อเทียน)เป็นพระอุปัชฌาย์และมีพระครูวิชัยวรคุณ(หลวงพ่อป่วน) วัดโพงาม ต.โพงาม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า“พระฝุ่น อตฺตทโม”
    ในปี พงสง๒๕๒๘ ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสามเอก รับพัดยศเป็นพระครูปลัดฝุ่น อตฺตทโม และในปี พ.ศ.๒๕๓๓ ก็ได้สร้างเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกของท่าน เพื่อหาปัจจัยสร้างโบสถ์ เมรุเผาศพและกุฏิ ที่พักอาศัยของพระ เณร เหรียญรุ่นแรกปลอดภัย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า“เหรียญปิดตา”(พระควัมบดี) สร้างไว้หลายแบบด้วยกัน มีทั้งเนื้อทองคำ เนื้อเงิน(ต้องสั่งจอง) เนื้อทองแดงธรรมดา รมดำ กะไหล่นาก และกะไหล่ทอง สำหรับแจกกรรมการและยังมีรูปเหมือนบูชา ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว รุ่นแรกอีกด้วย ในวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๗ ท่านก็ได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์พัดยศ เป็นพระครูพิพิธกิจจานุรักษ์ ตลอดเวลาท่านได้บำรุงและพัฒนาวัดสามเอกเรื่อยมา ทั้งหล่อพระประธาน สร้างกุฏิ วิหาร ศาลา ห้องน้ำ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
    นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๖ เป็นต้นมา สุขภาพของหลวงพ่อได้ร่วงโรยไปตามกาลเวลา โรคภัยไข้เจ็บเข้ามารบกวนบ่อยครั้ง ตามวิสัยของทางโลก หลวงพ่อเตี้ยท่านได้ป่วยเป็นโรคความดัน เบาหวาน ได้มีคณะศิษย์ยานุศิษย์พาไปรักษายังโรงพยาบาลมิชชั่น กรุงเทพฯ และท่านได้มรณภาพลงด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ รวมสิริอายุได้ ๗๑ ปี พรรษาที่ ๕๐ โดยที่สังขารของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย จนถึงปัจจุบันทางวัดโดย พระอธิการอำนาจ และคณะกรรมการวัดได้ตั้งศาลาบรรจุสรีระของท่านไว้ให้สาธุชนสักการบูชาจนถึงทุกวันนี้
    วิสินธ์ ดอน สามเอก ข้อมูลประวัติ
    http://www.watkositaram.com/forum/index.php?topic=10712.0
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จหลวงพ่อเตี้ย วัดสามเอกให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ(ปิดรายการ)
    upload_2019-12-3_15-53-39.jpeg
    images?q=tbn%3AANd9GcQV-eUZ_oVzgD3X090gIgS12hODoMAFkeAxy3PNTOLmYtxK1ILH.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2019

แชร์หน้านี้

Loading...