ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    E727B024-6D58-460C-89E3-02552B9443C7.jpeg

    จักรวาลนี้ก็ดีมันก็อยู่ในกายเรานี้นี่เอง นั้นถ้าโยมนั้นละอารมณ์ในขํนธ์ ๕ ให้มากเท่าไหร่ ละสุขออกมากเท่าไหร่..กรรมโยมก็จะเหลือน้อย นั้นว่ากรรมเหลือน้อยเป็นอย่างไร อ้าว..เมื่อกรรมเหลือน้อยแล้วอุปสรรคในชีวิตโยมก็มีน้อย เมื่ออุปสรรคมันเหลือน้อย โยมก็ได้เจอแต่สิ่งที่ดีๆทีนี้

    ทำไมเราต้องมาเจริญภาวนาจิต ก่อนเรามาเจริญภาวนาจิตเจริญสมาธิก็ดีทำไมต้องแผ่เมตตา ทำไมต้องมาขอขมากรรมก่อน มันมีอานิสงส์อย่างไร มันมีอานิสงส์ว่าเมื่อโยมแผ่เมตตาไปแล้วอานิสงส์คือว่า..ในกรรมเก่าในอดีตที่โยมมีมา ที่โยมได้สร้างเวรพยายาทกับใคร..นั่นก็เรียกเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือศัตรูคู่อาฆาต แต่เมื่อโยมเจริญเมตตาอยู่เป็นนิตย์นี่แล หากเจ้ากรรมนายเวรที่มองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ดี เมื่อกรรมเค้าไม่ได้ให้ผลมาสบช่องที่จะเล่นงานเรา ก็ด้วยอำนาจความเมตตาที่เราแผ่ไปเจริญไปนี้..มันจะปกป้องเรา ให้เค้านั้นเมตตาเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ จากเป็นศัตรูก็เรียกว่าเป็นมิตรได้

    แล้วการที่เราขอขมากรรมไปนี้ ขออโหสิกรรมไปนี้ เค้าเรียกว่าเพื่อลดกรรมลง เข้าใจมั้ยจ๊ะ จากกรรมที่หนักก็จะเบาลง แต่ทว่ากรรมที่โยมทำไปแล้วมันไม่สามารถลบล้างไปได้ แต่ว่าเมื่อมันเบาลงแล้วก็เรียกว่าเมื่อกรรมมันให้ผล ก็เรียกว่า"หนักก็จะเบา" หรือว่าถ้าเป็นเบาเลยก็จะไม่รู้สึกอะไร อย่างนี้..นี่ถือว่าเป็นอานิสงส์ของการเจริญแผ่เมตตาขอขมากรรมขออโหสิกรรม

    ก็อยากให้โยมนั้นได้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาศีลว่ามันให้ประโยชน์อย่างไร ถ้าโยมต้องการเจริญถึงความก้าวหน้าในทางเดินแห่งมรรคนี้ ขอให้โยมเจริญรักษาศีลให้ได้อยู่บ่อยๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อศีลบังเกิดแล้วคุณธรรม คุณวิเศษมันก็จะบังเกิดตามมาเอง แต่แม้มีคุณวิเศษในตัวมีธรรมในตัว..แต่ศีลโยมนั้นบกพร่อง คุณธรรมก็ดี คุณวิเศษเราก็ดีมันก็เสื่อม เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมรักษาศีล..คุณวิเศษที่โยมมีมาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นปัญญาอะไรก็ดี ธรรมอะไรก็ดี มันจะผุดขึ้นมาเองในตอนที่โยมเจริญสมาธิภาวนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่า"ของเก่ามันจะมารวมตัวกันเอง"

    ดังนั้นศีลมันจึงสำคัญอย่างนี้ โยมไม่ต้องไปเรียกร้องไปแสวงหา อยากได้นั่นได้นี่ อยากได้วิขานั้นวิชานี้ เพียงโยมรักษาศีล คนจะรักษาศีลได้ต้องมีสัจจะบารมี ต้องมีอธิษฐานบารมี ถ้าโยมไม่มีสัจจะบารมี..โยมอธิษฐานอะไรก็ไม่ขึ้น จำไว้นะจ๊ะ ทำไมเราอธิษฐานอะไรไปแล้วมันจึงเกิดมรรคเกิดผลได้ยาก ขอให้จำไว้ เรานั้นขาดจากสัจจะคือความจริง นั่นก็คือศีลนั่นเอง ดังนั้นโยมลองไปแก้ไขในสิ่งนี้ ว่าทำอะไรแล้วไม่เกิดสัมฤทธิ์ผลเพราะอะไร หรือมันเกิดแล้วมันก็เกิดไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือเกิดไม่เต็มกำลัง ขอให้โยมไปตั้งจิตตั้งใจใหม่

    นั้นการรักษาศีล..จิตที่โยมสงบเพียงขณะจิตเดียวที่โยมว่างจากความอาฆาตพยาบาทผู้ใด..มันมีอานิสงส์มาก เท่ากับโยมนั้นปล่อยนกปล่อยปลาเป็นแสนเป็นล้านตัว ยังสู้จิตที่โยมปล่อยวางให้อภัยจากศัตรูหมู่มารไม่ได้เพียงขณะจิตเดียว เห็นมั้ยจ๊ะ นั้นถ้าโยมจะไปทำสังฆทานอะไร โยมทำสังฆทานให้กับตัวเองเสียก่อน..ให้อภัยเป็นอภัยทาน ให้เป็นมั้ยจ๊ะ นี่เค้าเรียกว่าเป็นสังฆทานชั้นเลิศ ถ้าโยมถวายสังฆทานมากมายมากมายเท่าไหร่ แต่โยมไม่เคยให้อภัยทานเลย มันก็เกิดผลได้ยากในทานที่โยมทำลงไป

    นั้นขอให้รู้ว่าศีลนี้มีความสำคัญอย่างไร นั้นก่อนที่โยมจะมาเจริญพระกรรมฐานหรือไปเจริญบุญที่ไหนก็ดี โยมต้องเอาศีลไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ เอาศีลไป เตรียมศีลให้ดี คือสำรวมกาย วาจาไป อ้าว..ศีลมันคือความปรกติ

    โยมต้องเตรียมศีลยังไงบ้างจ๊ะ โยมจะมาเจริญพรหมจรรย์โยมต้องรักษาศีลพรหมจรรย์ใช่มั้ยจ๊ะ อะไรที่โยมเคยทำอยู่เป็นนิตย์ด้วยความเพลิดเพลินใจด้วยความอยากด้วยความเพลิน ที่โยมนั้นติดสุขนั้นแล..ขอให้โยมละ โยมละแค่เพียงครั้งเดียวก็ดี วันหนึ่งก็ดีก็มีอานิสงส์มาก เพราะผู้ทรงศีลหรือสมณะบรรพชิตนี้เจริญศีลบริสุทธิ์มามากมายเพียงใด แต่ไม่เจริญสมาธิภาวนาจิตยังไม่ได้ แต่ผู้ที่ศีลเค้าไม่สมบูรณ์ก็ดี แต่เค้าภาวนาจิตให้สงบได้แค่สักครู่หนึ่งของจิต..ก็มีอานิสงส์มาก เห็นมั้ยจ๊ะ

    แต่ถามว่าบุคคลถ้าไม่ได้สำรวมศีลมาอยู่เป็นนิตย์แล้ว การจะมาเจริญภาวนาจิตให้มันสงบ..มันทำได้ยากมั้ยจ๊ะ เพราะว่าศีลนี้เป็นบรรทัดฐานของการเจริญความเพียร เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะถ้าโยมมีศีลที่ดี..โยมจะมีความองอาจ มีกำลังจิตกำลังใจดี โยมจะสามารถฝ่าฟันนิวรณ์ได้โดยง่าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    FCF043E4-CF1A-43AE-9148-8111F882704A.jpeg

    อันว่า"ลอยกระทง"จัดว่าเป็นอามิสบูชา ถามว่าสำคัญหรือไม่..ก็อย่างที่ฉันบอก ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะทำให้เป็นอุบายให้มนุษย์ได้ทำกิจอันเป็นมงคล เป็นหมู่คณะแล้วไซร้ ให้เกิดความสามัคคี ล้วนแล้วแต่สำคัญทั้งนั้น จึงเรียกว่าเป็นพุทธประเพณี

    ทำไมถึงเรียกว่าพุทธประเพณี ก็เรียกว่าเป็นประเพณีของชาวพุทธ จึงจัดว่าเป็นพุทธประเพณีได้ แล้วถามว่าสำคัญหรือไม่..ต้องบอกว่าสำคัญ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะว่าทำให้โยมน้อมระลึกถึงในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ อันนี้ก็จะทำให้จิตของเราเข้าถึงกุศล ทำให้จิตเรามีความสงบ และทำให้โยมนั้นรู้จักความสมัครสามัคคี ความเมตตา ให้เกิดกิจกรรมในทางด้านความสามัคคีเป็นหมู่คณะ ดังนี้จึงเรียกว่าเป็นหลักใหญ่ของรากฐานของศาสนาอย่างหนึ่ง จึงบอกว่าสำคัญ

    แม้ว่าประเพณีลอยกระทง หรือว่าจะเป็นสงกรานต์ก็ตาม ก็จัดว่าเป็นประเพณีที่สำคัญเช่นเดียวกัน เพราะล้วนแล้วเป็นอุบายให้เข้าถึงกุศล แต่เมื่อถึงแล้วบุคคลทั้งหลายที่เข้าถึงในทาน ศีล ภาวนาแล้ว ต่อไปแล้วก็หาว่าจำเป็นไม่ จึงเรียกว่าเป็นประเพณี แต่ถ้ายังไม่เข้าถึงจึงจัดว่าเป็นพุทธประเพณี นั้นชาวพุทธสมควรที่ควรจะกระทำ แล้วถามว่าภิกษุสงฆ์หรือสมณะนั้นลอยกระทงได้หรือไม่ อันนั้นเค้าเรียกว่าจัดเป็นพุทธประเพณี..ย่อมว่าเหมาะสมแก่สมณะ ก็ต้องมีการที่ว่าลอยอยู่ในเขตพุทธาวาส เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหล่านี้เรียกว่าเป็นการบูชา

    มนุษย์จะเข้าถึงทาน ศีล ภาวนาได้ เค้าเรียกต้องมีการน้อมจิต น้อมกาย วาจา ใจให้เข้าถึง ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่ามันเป็นประเพณี เป็นวันที่หาคู่แลกคู่ก็ดี หรือเป็นการลอยทุกข์ลอยโศก อันนั้นเรียกว่าไม่ใช่พุทธประเพณี แล้วก็ไม่เรียกว่าประเพณีด้วยซ้ำแบบนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ อันนั้นเค้าเรียกว่าไม่มีสาระบบใดๆที่จะเกิดขึ้น เพราะว่าคำว่าประเพณีคือวัฒนธรรมอันดีงาม หากว่าทำไปในทางที่ผิดศีลผิดธรรมหรือทางที่ไม่ดีงามแล้ว จึงไม่เรียกว่าวัฒนธรรมประเพณี นั้นเค้าเรียกว่าเป็นผู้ทำลายขนบธรรมเนียมประเพณี หรือเรียกว่าเป็นการดูถูกย่ำยีบรรพชน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ถ้าโยมรักษาขนบประเพณีได้มารู้ว่าการจะมาลอยกระทง..มาทำอะไร และอาศัยประเพณีนี้แลให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีกัน เฉกเช่นเดียวกับวันสงกรานต์ก็ดี ที่โยมได้มารดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ได้มาขอขมา ได้กลับมาสู่เหย้าสู่เรือน ได้เข้าวัดเข้าวา ไปก่อเจดีย์เหล่านี้ เพื่อเป็นอุบายให้ใฝ่เข้าหาธรรมทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อยังไม่เข้าถึงในทาน ศีล ในธรรม จึงจัดว่าไม่ว่าสิ่งการใดที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามแล้วที่บรรพชนลูกหลานได้ทำสืบๆกันมาแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีงามทั้งนั้น ควรจรรโลงให้คงอยู่ไว้ อย่างน้อยมันก็ยังทำให้จิตใจมนุษย์นั้นมีหลักอยู่ในศีลในธรรม ดีกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยที่จะดึงยึดเหนี่ยวจิตใจได้

    โดยธรรมชาติของจิตจะให้เข้าถึงในพระรัตนตรัยโดยตรงนั้นเป็นไปไม่ได้ ก็เหมือนมนุษย์ทั้งหลายที่จะเข้าถึงศีลได้ทุกครา โยมก็ต้องสร้างทานบารมีเสียก่อน คือสละอารมณ์อาฆาตพยาบาท ความริษยา..สิ่งเหล่านี้..คือสละเป็นทาน จึงเรียกว่าเป็นการให้ทานบารมีเพื่อจะให้เข้าถึงศีล

    นั้นผู้ใดจะรักษาศีลหรือจะเจริญภาวนาแล้ว ต้องเป็นผู้เจริญทานบารมีเสียก่อน คือเป็นผู้ที่รู้จักให้ สละอารมณ์ในความขุ่นเคืองหมองใจทั้งหลายเหล่านี้ เฉกเช่นเดียวกันในขณะที่โยมตั้งจิตที่จะลอยพุทธประทีปโคมไฟ หรือลอยกระทงเหล่านี้เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา น้อมในพระมหากรุณาธิคุณที่ท่านได้ทำให้เกิดแสงสว่างแห่งโลกนี้..เกิดแสงธรรม ให้เป็นรอยนำทางให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายที่ยังตกทุกข์ได้ยาก ที่ยังมืดมิดอยู่ ก็เรียกว่ายังเป็นประโยชน์เป็นแสงสว่างของโลก นี้เรียกว่าการได้มาระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเหล่านี้ จึงเรียกว่าเป็นประเพณีอันดีงาม จึงเรียกว่าพุทธประเพณี เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เหมือนเหล่านางฟ้านางสวรรค์นางอัปสรทั้งหลายเค้าก็เรียกว่าไปลอยโคมประทีปที่จุฬามณีเช่นเดียวกัน ดังนั้นเรียกว่าเป็นสิ่งที่จำลองลงมาทั้งนั้น ดังนั้นก็เหมาะและควรอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดและสืบสานขนบธรรมเนียมอันดีงามนี้ไว้..แฝงด้วยธรรม ให้เข้าถึงในมรรคในทางเดิน ฉันก็ต้องขอโมทนาสาธุ...

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    ในวัฏฏะสงสารนี้ ไม่มีอำนาจใดๆที่จะช่วยให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารไปได้นอกจากอำนาจของพระรัตนตรัย โดยมีตนเป็นที่พึง มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ และมีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ เป็นอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2019
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    87E16068-24FC-43EB-B554-8C1C1CD97068.jpeg

    แม้เราจะถอนออกจากสมาธิก็ดี แต่เมื่อเรายังสำรวมสติอยู่..สมาธิก็ยังคงอยู่ เมื่อสมาธิยังคงอยู่บุญกุศลคุณงามความหรือปิติและสุขที่เราได้แผ่จิตออกไปในกุศลนี้แล ก็ยังความปิติและสุขให้เรานั้นได้บังเกิดอยู่ตลอดเวลา

    ดังนั้นเมื่อจิตมีความปรารถนาที่จะให้ หรือในขณะนั้นมีบุคคลเข้ามาในจิตที่จะเป็นอารมณ์ที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม ขอให้เรานั้นแผ่บุญกุศลออกไปอีก..ได้ตลอดในขณะจิตที่เรานั้นมีความสงบอยู่ เป็นบุญเป็นกุศลอยู่..อย่างนี้แล นั้นบางครั้งที่เรานั้นเจริญบุญกุศลอยู่ แม้เราจะนอนก็ดี นั่งเจริญภาวนาอยู่ก็ดี ก็อาจจะมีวิญญาณใดวิญญาณหนึ่งที่เค้ามีบุพกรรมกับเราเข้ามาโคจรในจิตเรา ให้เราตั้งจิตแผ่เมตตาออกไป นี้เค้าเรียกว่าได้มาเกี่ยวพันเกี่ยวเนื่อง เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่มีบุพกรรมกับเราไม่ว่าทางใดทางหนึ่งก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นญาติเผ่าพันธุ์พี่น้องในวงศา ที่เคยร่วมมีบุพกรรมกันมา ขอให้โยมตั้งจิตเป็นบุญกุศลแผ่ออกไป..

    นั้นการจะแผ่บุญกุศลเราจะตั้งจิตตั้งใจแผ่อย่างไร ก็บุญกุศลที่เราได้เจริญทาน ศีล ภาวนานี้ ที่มีอำนาจแห่งพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่เรานั้นได้เชื่อมั่นศรัทธาแล้ว ก็เอาแสงสว่างแห่งพระรัตนตรัยนี้แล จงนำพาดวงจิตวิญญาณทั้งหลายเหล่านั้น แล้วเพ่งกำหนดจิตนั้นให้ตั้งมั่นออกไป นั้นแลเค้าก็จะได้รับบุญกุศล

    ดังนั้นไม่ว่าโยมจะไปอยู่ที่ใด เมื่อโยมระลึกถึงบุญกุศล จิตโยมตั้งมั่นทำให้เกิดสุขแล้ว เมื่อระลึกถึงโยมก็เกิดสุข ปิติมันก็บังเกิดนี้แล จึงเรียกว่าจิตนั้นตั้งมั่นเป็นกุศล เหมาะแล้วแก่การที่เรานั้นจะเจริญจิตแผ่เมตตาออกไปให้ทุกสรรพสัตว์ ทุกดวงวิญญาณจิต

    แม้เราจะอยู่บ้านเรือนเคหสถานใดก็ตาม ถ้ามันเกิดขึ้นในจิตเรานั้นก็ขอให้โยมนั้นได้แผ่เมตตาจิตไปโดยไม่มีประมาณ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในตอนไหนก็ตาม เราก็สามารถแผ่บุญกุศลได้ตลอดเวลา ยิ่งแผ่มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น จนที่เรานั้นไม่มีความรู้สึกไม่มีความสงบแล้ว หรือเรานั้นได้หลับไปแล้วก็ดี

    แต่ถ้าเราในขณะใดจิตเรายังอยู่ในความสงบอยู่ จิตเราก็ยังเพลิดเพลินอยู่ในความสุขนั้นแล ในชั่วขณะจิตนั้นอาจจะมีดวงจิตวิญญาณที่เค้านั้นปรารถนาที่จะได้บุญกุศลจากเรา ดังนั้นเราก็สามารถกำหนดจิตแผ่ให้เค้าได้อยู่ตลอดเวลา เมื่อกระทำอย่างนี้ได้บ่อยๆนั้นแล ไม่ว่าโยมจะไปที่ใดอยู่ที่ใด เจริญการงานใดก็ตาม ก็จะเป็นที่รักของเทวดา อมนุษย์ทั้งหลาย..อย่างนี้ก็เรียกว่ามีคนคอยดูแลติดตามรักษา

    อันว่ากรรมฐานบรรพชนก็หมายถึงว่า ให้ชนรุ่นหลัง หรือเป็นลูกหลานเหลนโหลนแล้ว ได้มาร่วมรำลึกน้อมจิตเป็นกุศล ให้ถึงปู่ย่าตายาย บิดามารดา ทวดหญิงชาย วีรบุรุษ และสถานที่ที่เราได้ประกอบคุณงามความดี นั่นก็เรียกว่าเค้าได้รักษาไว้ให้เราได้มาเจริญบุญเจริญกุศล จึงมีการควรตอบแทนโดยที่ไม่มีข้อแม้ใดๆ อย่างนี้

    นั้นเราเสียสละเวลาไม่มากนัก เสียสละเวลาความสุขส่วนตัว เสียสละเวลาอันที่มีค่าของเรา ที่ว่ามีค่าของเรา แต่ที่เค้าเสียสละเลือดเนื้อมันมีค่ายิ่งกว่า ที่เรานั้นก็ไม่สามารถที่จะทำได้ แต่ในขณะที่เรามีโอกาสได้มาเสียสละแล้ว ก็ควรมาเจริญบุญเจริญกุศลให้เกิด นั้นคือการละอารมณ์ให้เป็นอภัยทาน คือสละ มันสละออกมาจากภายใน..มันจึงมีอานิสงส์มาก

    เมื่อสละแล้วภาวนาจนจิตตั้งมั่นแล้ว จิตเราสงบถึงความดีแล้ว ก็เอาความดีนั้นแลส่งไปให้อุทิศไปให้กับบรรพบุรุษทั้งหลาย วีรชนผู้กล้า เทพยดาเจ้า วีรชนวีรบุรุษแล้วบางทีก็อาจจะเป็นเทวดาแล้วก็ได้ ที่เค้ายังไม่ได้เกิดก็มี หรือเรียกว่าโลกแห่งทิพย์วิญญาณ

    โลกแห่งทิพย์วิญญาณนี้เค้าก็อยู่แบบโลกเดียวกับเรา แต่เค้าไม่สามารถจะประพฤติปฏิบัติธรรมเองได้โดยตามใจชอบได้ ดังนั้นแล้วเค้ายังมีกฎแห่งกรรม ยังมีวิบากกรรมที่ยังรอการไปผุดไปเกิด ที่ยังรอเปลี่ยนภพภูมิ นั้นภพภูมิที่ดีที่สุดคือภพภูมิแห่งการเกิดเป็นมนุษย์

    นั้นเราเป็นมนุษย์แล้ว เมื่อเราได้มีโอกาสมาเจริญศีลเจริญธรรมแล้วนี้แล โยมมีโอกาสที่ดีที่สุดที่จะสร้างบารมีได้ นั้นการที่โยมได้สละเวลาที่โยมคิดว่ามันมีค่า แล้วมาสละอารมณ์ละอารมณ์ต่อความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท ต่อความโลภ ความหลงเหล่านี้ให้มันมีน้อย..นั่นเรียกว่าโยมได้ทำมาก เมื่อโยมได้ทำมาก โยมตั้งจิตแผ่ออกไปกุศลบารมีมันก็มีมาก นั้นดวงจิตเหล่านั้นแลเค้าก็ได้อาศัยบุญกุศลที่โยมได้เป็นสะพานบุญเชื่อมต่อดวงจิตทั้งหลายนั้นให้เค้ามาโมทนา ให้เค้ามากล่าวสาธุ มารับศีลรับพร

    เมื่อเป็นอย่างนั้น จิตที่มีความอาฆาตพยาบาทมีความลุ่มหลงอันใดก็ตาม เมื่อเค้าได้เข้าถึงในพระรัตนตรัยแล้ว จิตใจเค้าก็ได้เย็นชุ่มชื่นชุ่มฉ่ำในบุญกุศล เค้าจะได้อธิษฐานในบุญกุศลนั้นเพื่อในการปรับเปลี่ยนภพภูมิของเค้า ดังนั้นแลต่อไปก็จะเป็นกำลังสำคัญในภายภาคหน้า ให้เค้าทั้งหลายเหล่านั้นทุกดวงจิตดวงวิญญาณได้มีโอกาสมาร่วมบุญกุศลกับโยม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    89F64396-77B1-44A3-80F1-23FCDD1808E7.jpeg

    ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา ลูกผัว ทรัพย์สมบัติ สิ่งการใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นข้ออาศัยสมมุติขึ้นมาให้โยมนั้นได้เรียนรู้ โลกใบนี้คือเรียกว่าโรงเรียนใหญ่ หรือเรียกว่าโรงเรียนแห่งกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ว่าโยมจะทำอะไร..แม้เล็กน้อย แม้ไม่เจตนาก็ตาม..ก็เป็นกรรมทั้งนั้น

    กรรมไม่เจตนาให้ผลหรือไม่..ก็ให้ผลแบบไม่เจตนา กรรมแบบเจตนา..ก็ให้ผลแบบเจตนา กรรมที่ไร้เจตนาต่างหาก..ที่จะไม่มีผล เข้าใจมั้ยจ๊ะ แสดงว่ากรรมไม่เจตนานี้..แสดงว่าโยมรู้มั้ยจ๊ะ รู้แต่ไม่เท่าทันในอารมณ์นั้นจึงเรียกว่าไม่เจตนา โยมว่าจริงมั้ยจ๊ะ

    ที่ว่านินทาเค้าไปแล้วบอกว่า โอ้..ฉันไม่ตั้งใจจะนินทา แต่ว่าได้ทำนินทาไปแล้ว ได้กล่าวไปแล้ว ว่าร้ายไปแล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ จนกว่าที่เค้ารู้แล้ว..ไอ้โทษนั้นกรรมนั้นก็มาให้ผล ใช่มั้ยจ๊ะ ถูกติเตียนกล่าวร้ายเช่นเดียวกัน เห็นมั้ยจ๊ะ นี่ก็ไม่เจตนาเหมือนกัน ไม่เจตนาอย่างไร อ้าว..อยู่ๆก็มีคนมาว่าร้าย ใช่มั้ยจ๊ะ โยมก็บอกว่าฉันไม่เคยไปว่าร้ายใครเลย..

    โยมต้องจำไว้ว่า อะไรที่เกิดขึ้นกับเรา จะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ดี ล้วนแล้วแต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น..เราได้กระทำมาแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าบอกว่าฉันไม่เคยทำ..ไม่มีหรอกจ้ะ ถ้าโยมไม่เคยทำจะไม่มีใครไปล่วงเกินอะไรโยมได้เลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะ"กรรมรับแทนกันไม่ได้" นั้นถ้าเราไม่เคยทำอะไร..มันจะมาบังเกิดกับเราไม่ได้ นั้นขอให้รู้ไว้ เจตนาหรือไม่เจตนาก็เป็นกรรม แต่ถ้าไร้เจตนา..จะไม่เป็นกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๑ พ.ย.๖๒ โทร 095-5695199 ,081-9293222
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    เสียดาย สัตว์ทั้งหลายที่หลงวนเวียนอยู่แต่โลกธรรม ๕
    เสียดาย สัตว์ทั้งหลายที่ไม่รู้จักโลกุตรธรรม ๔
    เสียดาย สัตว์ทั้งหลายไม่ได้เรียนรู้หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ๓
    เสียดาย สัตว์ทั้งหลายที่ไม่ได้ปฏิบัติหนทางแห่งการพ้นทุกข์ ๒
    เสียดาย สัตว์ทั้งหลายที่เรียนรู้ ปฏิบัติ แต่ไม่ทำอย่างต่อเนื่อง ๑


    วิบากในอนาคต เพราะกรรมในปัจจุบัน

    วิบากในปัจจุบัน เพราะกรรมในอดีต
    วิบากในอดีต. เพราะกรรมคือการกระทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2019
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๒ พ.ย.๖๒ โทร 095-5695199 ,081-9293222
     
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    DBAA4550-8572-4F15-94E8-DAA87F4029E3.jpeg

    ลูกศิษย์ : มีคนฝากมาถามว่า ในแต่ละจักรวาลก็มีพระพุทธเจ้าอยู่บังเกิดขึ้นในแต่ละที่น่ะค่ะ แล้วก็มีมนุษย์ก็ดี มีสัตว์อะไรก็ดีน่ะค่ะ ที่นี้เค้าถามว่านิพพานนี้เป็นที่เดียวกันมั้ย นรกเป็นที่เดียวกันมั้ย แล้วก็สวรรค์..พรหม..อะไรอย่างนี้ค่ะ อยู่ที่เดียวกันมั้ย ในขณะที่ว่าในแต่ละจักรวาลมันก็แยกกันออกไป แต่ว่าเมื่อไปอยู่ที่ๆไม่ใช่เมืองมนุษย์น่ะค่ะ เมื่อบรรลุธรรมแล้วไปนิพพานมันเป็นที่เดียวกันหรือเปล่าอย่างนี้ค่ะ แล้วนรกมันเป็นที่เดียวกันหรือเปล่าน่ะค่ะ ในแต่ละจักรวาล

    หลวงปู่ : โยมต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าจะอยู่จักรวาลหรือแกแลคซี่ไหน ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอยู่อุบัติมาที่ใดโลกใดก็ตาม ล้วนแล้วเป็นบริวารของโลกธาตุทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วว่านิพพานน่ะ..ในกระแสจิตที่คนประพฤติปฏิบัติในพรหมจรรย์อยู่..นรกก็ดี สวรรค์ก็ดี เมื่อเขาปฏิบัติไปในทางเดียวกันมันย่อมไปถึงจุดหมายเดียวกัน ความชั่วคนชั่ว..เมื่อทำความชั่ว..มันก็ต้องไปสู่จุดหมายเดียวกัน ไม่มีที่อื่นที่จะไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นสวรรค์นรกก็ดี นิพพานก็ดี มันก็เป็นที่ๆเดียวกัน เมื่อมีคนตั้งใจหรือปรารถนาที่จะไป แต่ถ้าโยมไปคนละทางแสดงว่าเป็นคนละที่กัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมปรารถนาการพ้นทุกข์ ไม่เกิด ไม่เจ็บ ไม่ตาย..นั่นเรียกว่านิพพาน ย่อมไปที่เดียวกันหมด ดังนั้นในห้วงแห่งจักรวาล ไม่ว่ามันจะมีกี่แสนจักรวาลพิภพ คือภพมันซ้อนกันอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    คำว่าซ้อนกันอยู่ ถามว่ามันอยู่ในระนาบเดียวกันหรือไม่..มันอยู่ในระนาบเดียวกัน อยู่ในเส้นศูนย์สูตรเดียวกัน หรือเรียกว่าอยู่ในจักรวาลเดียวกันนั่นเอง มันไม่ใช่ว่าจะออกนอกจักรวาลพิภพไปได้ นั่นก็หมายถึงว่ากฎแห่งกรรม แรงเหวี่ยงของโลก แรงโน้มถ่วงก็ดี..ในบุญและบาปไม่สามารถออกไปได้

    ที่จะออกไปได้ก็คือ..การออกจากสมมุติบัญญัติ โยมเข้าใจมั้ยจ๊ะ คนที่ยังออกจากสมมุติบัญญัติไม่ได้ ยังไม่พ้นเวียนว่ายตายเกิด ยังไม่พ้นจักรวาลพิภพได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็ยังมีภพยังมีจักรวาลต้องให้เกิดอยู่ ไม่ว่าโยมไม่เกิดในโลกนี้โยมก็ต้องไปเกิดโลกอื่น

    คำว่าเกิดก็คือตัวทุกข์อยู่ร่ำไป โยมก็ต้องรอวันตายอยู่อย่างนี้ รอพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้น มาตรัสรู้ แล้วประกาศธรรมให้โยมนั้นได้เจริญรอยตามได้พิจารณาได้ปฏิบัติ แล้วถ้าโยมเกิดมาว่างเว้นจากศาสนาเล่า..จะเป็นอย่างไร

    โลกใดจักรวาลใดชาติใดยุคใดที่เกิดมาแล้วว่างเว้นจากศาสนา..เค้าเรียกว่ายุคทมิฬ คนทั้งหลายจะขาดจากศีลจากธรรม จะเข่นฆ่าเหมือนผักเหมือนปลา โยมลองพิจารณาซิว่าขนาดนี้ยังมีศีลมีธรรม โยมยังเดือดร้อน สมณะชีพราหมณ์ยังเดือดร้อนทุกเข็ญขนาดนี้ แล้วลองไม่มีศาสนาไม่มีศีลเยียวยาจะรักษาจะเป็นยังไง โยมอยู่ได้มั้ยจ๊ะ

    ตอนนี้ขณะนี้ผู้ถือศีลถือพรหมจรรย์ ประพฤติปฏิบัติธรรม วัดวาอารามมันจึงเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เมื่อมันเข้าถึงกลางกลียุคแล้วนี่แล เค้าถึงได้บอกว่าเมื่อนั้นแลโลกนี้มันเข้าถึงความเสื่อม หรือเรียกว่าเข้าถึงความวิบัติ เพราะว่าศีลนั้นธรรมนั้นมันเริ่มเสื่อม เริ่มวิบัติ คนไม่ค่อยตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม ใช่มั้ยจ๊ะ ธรรมก็เอาธรรมจอมปลอมเรียกว่าจาบจ้วงในธรรม ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามรอยธรรมอย่างจริงจัง อย่างนี้แล้วไซร้ ศีลมันก็เลยเสื่อม

    ดังนั้นเมื่อมันเสื่อมอย่างนี้ มันจึงเรียกว่าโลกมันก็เริ่มทรุดลง เอียงลง พอมันหนักแล้ว แต่ก่อนที่มันหมุนปรกติ โคจรปรกติ เดี๋ยวนี้มันเริ่มหนักแล้ว..มันก็จะช้าลงมั้ยจ๊ะ ตอนที่โยมเดินไปโดยที่โยมไม่มีของที่แบกที่เป็นสัมภาระ โยมเดินเร็วมั้ยจ๊ะ พอถ้าโยมถือของหนักขึ้นหนักขึ้นโยมจะเดินเร็วได้เหมือนเดิมมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้)

    โลกใบนี้เป็นเช่นเดียวกันแบบนั้น มันจะช้าลง ช้าลง ช้าลง จนมันอ่อนล้าแล้วมันก็จะหยุด ตอนในขณะที่มันหยุดนั่นแหล่ะจ้ะ ทุกอย่างในสรรพสิ่งในโลกนี้จะแปรปรวนทั้งหมด เหมือนว่าโยมหยุดหายใจไปแค่ ๑๐ นาทีโยมเป็นยังไงจ๊ะ ตายมั้ยจ๊ะ อะไรตายบ้าง แกนสมองโยมตายมั้ยจ๊ะ แกนโลกมีปัญหา เอียงเป็นองศา แค่องศาเดียวก็เกิดวิบัติมากมายมหาศาลแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    โยมนั้นโชคดีมาก..โชคดีอย่างไร อ้าว..สมเด็จฯท่านได้ทิ้งพระคาถาไว้ให้ไม่ใช่เหรอจ๊ะ..ชินบัญชร เป็นเกราะเป็นกรงแก้ว จะคอยปกป้องกันภัยโยม ให้จิตโยมนั้นได้เข้าถึงในความหลุดพ้นได้ เพราะในนั้นที่ท่านบอกไว้ เป็นการสรรเสริญพระอรหันต์ไว้ทั้ง ๘๐ พระองค์ จะมารายล้อมในกายโยมนั้นให้ปลอดภัย

    นั้นไม่ว่าโยมจะนั่งกรรมฐานเจริญกรรมฐานก็ดี ให้โยมภาวนาคาถานี้ให้ขึ้นใจ เอาเป็นอารมณ์ เป็นสมาธิ เป็นสมถะ เป็นกรรมฐานไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    9AA2858C-278E-4378-94C2-F52531D43B2F.jpeg

    ในชีวิตประจำวันของโยม อะไรที่เป็นทุกข์นั่นแหล่ะจ้ะให้พิจารณาดูตามเหตุตามปัจจัย ชื่อได้ว่าผู้นั้นเจริญสติเจริญปัญญาอยู่ ขณะใดผู้ใดเจริญสติเจริญปัญญาเพื่อให้เกิดโมกขธรรมอยู่..ก็ขึ้นชื่อว่าผู้นั้นแล ชื่อว่ากำลังทรงศีลอยู่ ทรงฌานอยู่ ทรงญาณอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ใช่ว่าโยมต้องมาเจริญพระกรรมฐานอยู่ตลอดเวลา ต้องมานั่งหลับตาอยู่ตลอดเวลา

    แต่การหลับตาเพื่ออะไร เพื่อเป็นการข่มจิต เพื่อให้จิตนั้นมันสงบ แต่คนที่มันสงบอยู่แล้วมันไม่ต้องหลับตาก็ได้ เห็นอะไรมันรกมันวุ่นวาย..มันก็รู้มันก็วาง เห็นอะไรไม่ชอบใจมันก็รู้มันก็วาง แต่ถ้าตัวรู้ตัวนั้นไม่ได้เกิดจากพิจารณาอบรมบ่มจิตแล้ว ไม่รู้สภาวะตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่ไปเห็นนั้นมันคืออะไร มันก็จะไปหลง เค้าจึงเรียกว่าต้องมาข่มตาข่มจิตข่มใจหลับตาเพื่อหาความวิเวก หาความสงบ

    แต่เมื่อจิตผู้ใดเมื่อสงบอยู่ภายในอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องหลับตา แต่ที่หลับเพราะว่ามันเมื่อย มันลืมมาทั้งวัน เพราะโยมมันไม่ค่อยหลับตา ไม่ค่อยปิดหู ไม่ค่อยปิดปาก พอเปิดซะหมดพลังงานเลยหมด พอมาเจริญกรรมฐานทีนี้หลับสนิท

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ ผู้รู้กับจิตมันอันเดียวกันรึเปล่าคะ
    หลวงปู่ : อ้าว..จิตมันก็เป็นตัวรู้อยู่แล้ว แต่ว่าตัวรู้ของโยม โยมรู้อะไรแล้วโยมรู้จริงรึเปล่า ถ้าโยมรู้ไม่จริงโยมก็เรียกว่าหลง บางคนก็หลงจิต นี้ถ้าโยมรู้แล้วโยมก็ต้องเอาตัวรู้นั้นมาคัดกรองมาพิจารณา ว่าสิ่งที่โยมรู้น่ะรู้จริงหรือเปล่า รู้ด้วยปัญญาหรือรู้ด้วยความจำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็เหมือนโยมไปเล่าเรียนมา รู้ด้วยอาจารย์เค้าสอน บางคนก็รู้ด้วยอ่านตำรา บางคนก็รู้ด้วยการฟังมา รู้มั้ยจ๊ะ..มันรู้ทั้งนั้น เรียกว่าสัญญาทั้งนั้น แต่ยังไม่ใช่ว่าปัญญา

    นอกจากโยมรู้ที่โยมรู้ แล้วไปพิจารณาว่ามันเป็นอย่างไร ไม่อาศัยความจำ แต่ไปอาศัยว่าปัญญาไปเห็นตามความเป็นจริง จนไม่ติดในรู้นั้น นั่นแหล่ะจ้ะชื่อว่าปัญญา ถ้าโยมยังติดยึดในรู้อยู่ยังไม่ชื่อว่าปัญญา บางคนก็รู้ในพระไตรปิฎก อ่านจบมาหมด พอจบหมดก็เลยไม่ต้องปฏิบัติกันเพราะรู้แล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ ไอ้นี่เรียกว่านิพพานในตำรา เพราะมันรู้แล้ว บางทีถามผู้รู้ถามอาจารย์แต่ละองค์น่ะ ถามมาลึกซึ้งหมดเลย ไม่ผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎกเลย เลยไม่รู้จะตอบยังไง

    ดังนั้นการรู้ถ้ารู้แล้วไม่ลงมือปฏิบัติ มันจะติดรู้ ยึดรู้อยู่อย่างนั้น ก็จะพ้นทุกข์ไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คนที่รู้จริงเค้าจะวางรู้ ถ้าเค้ารู้จริงเค้าจะไม่ถามอะไรอีกแล้ว เค้าจะลงมือแต่ปฏิบัติอย่างเดียว อ้าว..รู้แล้วก็ต้องลงมือปฏิบัติได้ ใช่มั้ยจ๊ะ ถึงจะดับความสงสัยได้ทุกอย่าง แต่ถ้ารู้แล้วไม่ลงมือปฏิบัติ ตัวรู้นั้นเมื่อโยมปล่อยไปนานๆแล้ว..ลืมมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าเกิดจากปัญญามันจะไม่มีทางลืมเลย นั่งมาตั้งนานเป็นยังไง..ปวดไปหมดแล้ว อาการแบบนี้มันเป็นอย่างนี้ มันปวดอย่างนี้ อาการแบบนี้เหมือนองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์สาวกทั้งหลายก็เจอแบบนี้ ทุกข์มีอยู่จริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่แล้วมันเป็นแบบนี้มันเจ็บอย่างนี้

    ขึ้นชื่อว่าด้วยปัญญาแล้ว มันจะรู้มันจะเข้าใจ ฉันถึงบอกว่าผู้ใดมีธรรมแล้วเกิดขึ้นแล้ว ได้ลงมือปฏิบัติจริงแล้ว ธรรมนั้นจะไม่มีวันเสื่อมเลย เหมือนที่ฉันบอกถ้าใครได้กรรมฐาน ไม่ว่าโยมจะอยู่สภาวะการณ์ใด จะสุขหรือทุกข์ก็ดี ผู้นั้นจะได้เจริญปัญญาเจริญสติได้อยู่ตลอดเวลาไม่มากก็น้อย คือธรรมนั้นจะไม่มีวันเสื่อม เพราะว่าได้ธรรมแล้ว หรือเรียกว่าได้กระแสพระนิพพานชั้นต้นแล้ว จะมีแต่ว่าการพัฒนาธรรมหรือจิตนั้นให้สูงๆยิ่งขึ้นไป

    แต่ผู้ที่ว่าศึกษาตำรับตำรามาจนเจนจบในพระไตรปิฎกก็ตาม พอคิดว่ารู้แล้วก็วางรู้นั้น ถือว่าสำเร็จแล้ว ไม่นานมันก็ลืม เฉกเช่นเดียวกับการประพฤติปฏิบัติโยม ถ้าโยมปล่อยวางไม่ประพฤติปฏิบัติฝึกฝนจิต ทีนี้การจะเข้าไปค้นหาจิตให้อยู่สภาวะความสงบนี้ก็ทำได้ยาก ใช่มั้ยจ๊ะ ก็ต้องอาศัยความรื้อฟื้นกันขึ้นมา

    ดังนั้นการที่ทำให้อยู่บ่อยๆเกิดความเคยชิน การที่เคยชินอยู่บ่อยเค้าเรียกว่าการเจริญฌาน เพราะฌานเป็นเบื้องบาทแห่งสมาธิ ผู้ที่มีสมาธิตั้งมั่นก็ต้องเป็นผู้เจริญฌานอยู่บ่อยๆ คือเพ่งอารมณ์อยู่บ่อยๆ แม้จะเป็นวิตกอยู่ก็ดี อารมณ์ใดก็ดี เรียกว่าเพ่งอยู่อารมณ์เดียวให้จิตมันตั้งมั่นจดจ่อ นี่เรียกว่าเป็นผู้เจริญฌานอยู่..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    115F89AB-C846-4968-A7AB-C7C99D4659E1.jpeg

    หลักของศาสนาก็คืออะไร การชำระกิเลสให้สะอาด การทำความดีให้ถึงพร้อม ถึงพร้อมด้วยอะไร..ถึงพร้อมด้วยทาน ศีล ภาวนา ถึงรึยัง ทาน..เราสละ เราให้อภัยทานรึยัง ให้อโหสิกรรมรึยัง การให้ทานนี้แลคือเรียกว่าการละอัตตาตัวตน เพื่อจะน้อมจิตเข้าหาในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ นั่นคือการเจริญศีลให้บังเกิด

    เค้าบอกว่าศีลที่เราจะรักษา..เราสามารถรักษาได้ตลอดรึเปล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้ค่ะ) แสดงว่าไม่มีใครบริสุทธิ์ทั้งหมดใช่มั้ยจ๊ะ เค้าถึงบอกว่าวันพระวันเจ้า เค้าถึงต้องมาชำระศีล ใช่รึเปล่าจ๊ะ เค้าเรียกเป็นการมาตั้งใจใหม่ นั้นทุกครั้งที่โยมมาเจริญพระกรรมฐาน ศีลเราจะบกพร่องยังไง ชำรุดยังไง ขาดวิ่นยังไง ให้เราระลึกว่าเราไปทำอะไรมาในกรรมชั่วในอกุศลในความโสมมทั้งหลาย..ให้สมาทาน

    สมาทานคืออะไร ให้เรารับศีลใหม่ เหมือนที่โยมมาเข้ากรรมฐาน มาเจริญศีล ๘ ศีลพรหมจรรย์ ศีลอุโบสถอย่างนี้ เพื่อให้เราละให้เข้าถึงในการเจริญความเพียร มีความอดทนอดกลั้น ให้มีความละอาย มีหิริโอตัปปะ มีความเกรงกลัวต่อบาปอย่างนี้ เพื่อให้เข้าถึงพรหมจรรย์

    นั้นในสิ่งที่เราทำไปแล้ว ที่เราบกพร่องไปแล้วก็ตาม ขอให้เราตั้งใจใหม่ แม้มันจะเป็นเวลาไม่นาน แต่ชั่วขณะหนึ่งถ้าจิตเราบริสุทธิ์ได้..มันก็มีอานิสงส์มาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วเมื่อโยมทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ ทำอยู่บ่อยๆ มันจะค่อยๆชำระล้างจิตที่สกปรก สกปรกออกไป นั่นก็หมายถึงว่าเมื่อโยมมาเจริญละอกุศลมากเท่าไหร่ จิตโยมก็สะอาดมากเท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นโยมอย่าไปถามหาเลยว่า..ฉันนั้นยังไม่เป็นคนดี ยังไม่เหมาะที่จะเจริญในทาน ศีล ภาวนา ยังไม่เหมาะที่จะมาประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะยังเป็นคนชั่วคนเลวอยู่..อย่างนี้ อย่าไปคิดอย่างนั้น..ก็หาไม่ แท้ที่จริงแล้วไม่มีใครบริสุทธิ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่เรานั้นจะทำอย่างไร ให้เราสามารถเข้าถึงความบริสุทธิ์ของจิตได้มาก มากเท่าไหร่..ก็มีอานิสงส์มากเท่านั้น อย่างนี้ต่างหาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นโยมอย่าคิดว่าโยมมาแล้วไม่ได้อะไร เพียงโยมมามันก็ได้ในความตั้งใจ เอากายมาเป็นทานมันก็เป็นกุศล โยมละสละออกจากเรือน ละจากความสุขการหลับนอน ความเพลิดเพลินอย่างนี้..นี่แหล่ะเค้าเรียกว่าเป็นกุศลอย่างยิ่ง คือละออกจากสุข เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ทีนี้สุขที่โยมจะละนี้..มันต้องรักษาด้วยอะไร..มันต้องรักษาด้วยศีล โยมต้องเอาศีลไปรักษาเพื่ออะไร เพื่อให้มันคลายระงับจากอารมณ์ทั้งปวง นั่นเค้าเรียกว่าความเป็นปรกติ เพราะจิตเรานี้มันไม่ค่อยปรกติ หรือเรียกว่ามันหาความสงบนิ่งได้ยาก เราจะทำยังไงให้จิตเราสงบนิ่งได้นานๆ นั่นก็หมายถึงว่าการเพ่งอารมณ์ให้จิตนั้นเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตา เค้าเรียกเป็นอุบายแห่งธรรม เรียกเป็นการเจริญสมถะ การภาวนาก็เป็นสมถะอย่างหนึ่ง การเพ่งดูอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี เรียกว่าเป็นสมถะทั้งนั้น

    หากเรามีปัญญาขึ้นมาหน่อย มีกำลังมีสติ..เราก็เจริญสมถะกรรมฐานไป เพื่อเป็นอุบายให้เราละสักกายทิฏฐิได้ง่าย เมื่อกายเราสงบกายระงับแล้ว..ศีลมันก็บังเกิด สมาธิมันก็บังเกิดโดยธรรมชาติของมัน อย่างนี้แลเรียกว่าเรามารักษาศีล แต่ไม่ได้มาถือศีล ศีลเราไม่สามารถถือได้ เพราะศีลจับต้องไม่ได้ หากจะจับต้องได้ต้องสัมผัสด้วยใจหรือจิตวิญญาณ เพราะศีลเป็นนามธรรม เราต้องเอาจิตที่เป็นนามธรรมเหมือนกันนี้แลไปจับต้องไปสัมผัส จึงเรียกว่าจิตวิญญาณ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เค้าเรียกว่าเอากายมาสร้างให้เกิดประโยชน์กับจิตวิญญาณเรา อย่างนั้น..กายเรามาเจริญรักษาศีล ให้จิตเราเข้าถึงความบริสุทธิ์..แม้ชั่วขณะจิตเดียวก็มีอานิสงส์เป็นกัปป์เป็นกัลป์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าได้ดูถูกในบุญกุศลที่โยมมาเจริญรักษาศีล เจริญกรรมฐาน เจริญภาวนา..มันมีอานิสงส์มาก

    มันมีอานิสงส์ยังไง มันสามารถปิดอบายภูมิได้ ไม่ให้โยมไปเกิดเป็นเปรตวิสัย เป็นสัตว์นรกได้อีก มันมากอย่างไร มันสามารถช่วยบิดามารดาโยมที่ยังตกนรกได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วมันช่วยกรรมที่จะหนักให้เป็นเบาได้ หากจะต้องแลกด้วยชีวิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะถ้ากายสังขารโยมมีประโยชน์ก็ดี เทพเทวดาเค้าจะรักษากายโยมไว้

    ดังนั้นเมื่อโยมมีความเชื่อศรัทธาในพระรัตนตรัย จิตโยมจะตั้งมั่นเค้าเรียกว่าเข้าถึงกระแสพระนิพพาน บุคคลใดที่เข้าถึงกระแสพระนิพพานแล้ว..บุคคลนั้นจะตกไปในอบายภูมิจะตกไปในสิ่งที่ชั่ว หรือตายโดยกระทันหันก็เป็นไปได้ยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นขอให้โยมรู้ว่าเราไม่สามารถรักษาศีลได้ตลอดเวลา หรือไม่สามารถให้จิตเรานั้นบริสุทธิ์ได้ตลอด

    แต่เราสามารถมาเจริญจิตให้เรานั้นบริสุทธิ์ให้เข้าถึงในความเป็นพรหมจรรย์ให้ได้มากเท่าที่เราจะทำได้ ตามกำลังของเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่สำคัญอยู่ตรงนี้ จึงเรียกว่าเราค่อยๆละ ค่อยๆกำจัด เพราะว่าเชื้อโรค ความสกปรกของจิตนี้ เรานั้นสะสมมาเนิ่นนาน การที่เราจะชำระล้างเลยทีเดียว มันก็เป็นไปได้ยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นเราก็ต้องค่อยๆละค่อยๆทำความสะอาดมัน ค่อยๆหาอุบาย ถ้าเรามีหลักแล้ว เรามีความเชื่อมั่นว่ามันสามารถจะกำจัดได้ เราต้องมีการเจริญรอยตามองค์ครูบาอาจารย์ที่ท่านสามารถพ้นไปได้เช่นเดียวกัน หากโยมมีความเชื่อมั่นศรัทธาในครูบาอาจารย์ โยมก็สามารถไปได้ สัตว์เดรัจฉานเค้ายังสามารถมาฝึกได้ นับประสาอะไรกับจิตมนุษย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    40FE47B5-1607-493C-838B-729264095A07.jpeg
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    817700D7-84F9-425D-B794-F623F9CBAD72.jpeg

    ๕ ใจ ๔ เพียร..
    มีอะไรบ้างจ๊ะ ใจแรกมันต้องมี"ศีล"คือใจที่สะอาดแล้ว อย่างน้อยก็คือศีล ๕ เมื่อโยมมีศีลแล้วโยมต้องมี"สมาธิ"คือใจตั้งมั่น แล้วเมื่อใจตั้งมั่นแล้วต้องมีใจอะไรอีก (ลูกศิษย์ : ใจหนัก) ทำไมถึงต้อง"หนักแน่น" คือไม่คลอนแคลนสงสัยในพระรัตนตรัย ในศีลในธรรม

    อ้าว..พอใจหนักแล้วใจอะไรอีกจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ใจกว้าง) ใจ"กว้าง"กว้างยังไง คือใจที่มีเมตตา ไม่คับแคบ ไม่คิดน้อยอกน้อยใจ ไม่หดหู่ใจ ไม่เศร้าหมองใจ นี่เรียกว่าใจกว้างหรือใจใหญ่ ใจไม่คิดเล็กคิดน้อย คือใจที่มีแต่ให้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อใจโยมกว้างแล้วใจสุดท้ายคือต้องใจอะไร (ลูกศิษย์ : ใจถึงค่ะ) ใจ"ถึง"นี้คือใจเด็ดเดี่ยว คือไม่กลัวต่อภัยข้างหน้าหรือทุกข์ข้างหน้า

    ดังนั้นโยมจงรักษาใจคือ ๕ ใจนี้ให้ดี ทำใจให้มันสะอาด เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อใจโยมสะอาดแล้วใจโยมตั้งมั่นน่ะสมาธิก็บังเกิด เมื่อบังเกิดใจโยมก็ต้องหนักแน่นคือรักษาอารมณ์แห่งบุญหรือกุศล หรือใจโยมที่มันดีๆนั้นน่ะ..รักษาไว้อย่าให้มันเสีย

    ถ้าใจโยมมันไม่เสียซะแล้วโยมเดินทางไปไหนน่ะมันก็ปลอดภัย ไม่ต้องเสียเวลาคอยซ่อมคอยแซมมัน คือโยมต้องมีใจหนักแน่นคือเชื่อมั่นในบุญกุศลบารมึที่โยมกระทำ หรือเชื่อมั่นในทางเดินแห่งมรรคนี้..นี้เรียกว่าใจหนัก ใจใหญ่คือใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่ลังเลสงสัยประการใด เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้น ๕ ใจนี้ก็คือกำลังใจที่จะประพฤติปฏิบัติ สร้างบุญกุศลบารมี

    คำว่า ๔ เพียร
    ๔ เพียรก็คือความอดทนอดกลั้นที่เอามาประพฤติพรหมจรรย์ มีอะไรบ้างจ๊ะ..เพียรแรก (ลูกศิษย์ : เพียรกระทำก่อน) เพียรแรกต้องเพียร"กระทำ"ก่อนสิจ๊ะ ถ้าโยมไม่กระทำโยมจะรู้ได้อย่างไร พอเพียรกระทำแล้วต้องเพียรอะไรอีกจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เพียรละ) อ้าว..พอเพียรกระทำก็เรียกว่าที่เรามาสร้างความเพียร..นี่เขาเรียกว่าหัวใจขอองกรรมฐานคือเพียร"ละ"ใช่มั้ยจ๊ะ

    กระทำขึ้นมาก่อนคือต้นทุนบุญกุศลบารมีเรามีเท่าไหร่เราถึงจะไปละได้มากน้อยแค่ไหน ก็อยู่ที่กำลังต้นทุนของเราตั้งแต่แรก อันที่สองเขาเรียกเพียรละ ละอะไรบ้าง ก็ละอกุศลมูลทั้งหลายที่มันหมักดองในดวงจิตในดวงใจให้เหลือน้อย หรือให้มันเบาบางลง นั่นเขาเรียกว่าเพียรละ..กรรมชั่วหรืออกุศลมูลทั้งหลายที่เป็นต้นเหตุต้นตอให้เรานั้นติดบ่วงแห่งกรรมนี้ สลัดออกไปไม่ได้สักที

    เมื่อมีเพียรละแล้วต่อไปต้องทำอะไรจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เพียรระวัง) ทำไมถึงต้องเพียร"ระวัง"เล่าจ๊ะ เหมือนที่โยมได้รักษาคุณงามความดีและหาทรัพย์มาได้แล้วน่ะ โยมก็ต้องมีระวังว่าทรัพย์เหล่านั้นจะหายจะหมดไปไหน หรือมีใครขโมยเอาไป ใช่มั้ยจ๊ะ คือเพียรระวัง..ระวังอะไร..ไประวังที่ไหน ก็ไประวังที่กายวาจาใจ คือระวังศีลของตัวเอง ไปถึง ๕ ใจคือใจสะอาด

    ๕ ใจ ๔ เพียรนี้มันต้องสัมพันธ์กัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ อ้าว..เมื่อเพียรละแล้ว เพียรระวังแล้ว ต้องเป็นเพียรอะไรอีกจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เพียรรักษา) ทำไมถึงต้อง"รักษา"ไว้ล่ะจ๊ะ บุญกุศลน่ะ..เหมือนทุกวันนี้ที่โยมมีน่ะ โยมมีบุญทุกวันแต่โยมก็หมดทุกวัน ถ้าโยมไม่รักษากายวาจาใจ ไม่รักษาทานศีลภาวนา

    การว่าหมดบุญดูอย่างไร หนึ่งเริ่มหมดบารมีคนไม่นับถือ สองการอยู่ทางโลกอัตคัต สามโรคภัยเบียดเบียน เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่เขาเรียกว่าบุญเริ่มหมดบารมีเริ่มหด ดังนั้นโยมจะไม่มีการปฏิเสธได้เลยว่าโยมทำไมต้องสร้างบุญกุศล..ไม่มีข้อแม้ เพราะเหตุนี้โยมจักได้ประโยชน์โดยตรง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทานศีลภาวนานี้ทำให้มาก กรรมฐานเจริญให้มาก เมื่อเจริญมากแล้วก็ละให้มาก

    ๕ ใจมันมาอย่างไร ๔ เพียรมันมาอย่างไร นั้นแหล่ะจ้ะ..นี่คือหัวใจของกรรมฐาน จะได้หัวใจของมรรคคือทางเดิน..นี่แหล่ะ"หัวใจแห่งนิพพาน"

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    96A22898-9747-41A5-9FDF-5AF56659EB25.jpeg

    อันว่าทาน ศีล ภาวนาเราทำได้มากหรือยัง ทานเราได้สละให้บ้างหรือยัง ทานถ้าเรายังสละไม่ถึง ยังมีความตระหนี่ถี่เหนียว อันว่าความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาในพรหมวิหาร ๔ ละความอาฆาตพยาบาท ละความหลงความโกรธเหล่านี้ เราละมากถึงที่สุดหรือยัง..นี่คือทาน ถ้ายังละไม่ถึงที่สุด..ความจนก็ดี ความขัดสนก็ดี ความขัดข้องก็ดี..มันก็จะหมดไปได้ยาก

    เมื่อทานเรายังให้ไม่ถึง..อันว่าศีลนี้ที่มันจะบังเกิด มันก็บังเกิดได้ไม่นาน เพราะว่าอารมณ์ทั้งหลายในโทสะ โมหะ โลภะ..เดี๋ยวมันก็เข้ามารุมเร้าอีกอยู่อย่างนี้ ทำให้จิตเรานั้นฟุ้งซ่านรำคาญใจ เมื่อศีลมันไม่สงบไม่ตั้งมั่น..สมาธิมันก็ก่อตัวได้ไม่นาน ดังนั้นแล้วเราไม่สามารถจะให้ศีลนั้นบังเกิดได้ตลอดเวลา ย่อมเป็นธรรมดาที่ยังมีอารมณ์เข้ามาปนเปื้อนอยู่ตอลดเวลา นั้นจึงบอกให้เรามีอุบายในการภาวนาบริกรรมก็ดี ไปเดินก็ดีอย่างนี้ ไปตามหาจิต ไปตามหาผู้รู้ หรือเรียกว่าพุทโธ รู้ว่าในขณะนี้ทำอะไรอยู่

    ตัวระลึกได้นี้แลเรียกว่า"ตัวสติ" หรือเรียกว่าเดินอยู่ก็ดี ให้รู้อยู่ก็ดีว่านั่งอยู่ ให้รู้อยู่ก็ดีว่าคิดอยู่ ทำอะไรอยู่ก็รู้ อย่างนี้เรียกตัวระลึกได้ ถ้าเราทำอะไรแล้วเราระลึกไม่ทัน อย่างนี้เค้าเรียกว่าเผลอสติ เมื่อเผลอสติเมื่อไหร่ ความคิดอุปาทานแห่งขันธ์มันก็เข้ามาครอบงำ ทุกข์เวทนามันก็เข้ามาทีนี้ นี้เราต้องกำหนดรู้ ประพฤติปฏบัติแล้วให้รู้เท่าทันในความเพลิน อย่าได้ยึดเพลิน ถ้าเพลินเมื่อไหร่สุขมันก็มาเมื่อนั้น เมื่อสุขมันมาแล้วทุกข์มันก็มา จึงแยกกันไม่ออก แล้วจะไปเจริญวิปัสสนาญาณได้อย่างไรเล่าถ้าอย่างนั้น มันก็ยึดกายหลงกายอยู่ เดี๋ยวนิมิตต่างๆก็เกิดขึ้น

    ดังนั้นถึงบอกว่าให้รู้กาย รู้ใจ รู้จิต หรือเรียกว่ามีสติปัฏฐาน ๔ ที่ตั้งมั่นของฐานของสมาธิ รู้กาย เวทนา จิต ธรรมอย่างนี้คือตัวเดียวกัน คือมาจากกาย เมื่อดับกายได้ละที่กายได้มันก็เป็นธรรม ถ้าละกายไม่ได้ ดับที่กายไม่ได้..สภาวะธรรมมันก็เกิดยาก นั้นขอให้รู้ไว้ว่า หากโยมเจริญความเพียร คราใดเมื่อเราเกิดสุขให้เราละเสีย

    เมื่อขาดจากสติแล้วก็ให้เราไปเริ่มต้นใหม่ ออกเดินย่ำเดินต่อไปใหม่ ไปกำหนดรู้ตามหาผู้รู้ ตามหาพุทโธ ถ้ายังหาไม่เจอก็เดินไป เดินอยู่อย่างนั้น กำหนดจุดหมายปลายจงกรมไป จะเดินกลับไปกลับมาหรือจะเดินไปไหนก็ได้ ก็ให้รู้แต่องค์ภาวนาของเรา ถ้าอย่างนั้นเรียกชื่อว่าการเจริญความเพียร ในความเพียรมันมีที่สิ้นสุดของมัน ไม่ใช่มัวแต่มานั่งอย่างเดียว หรือมานั่งหลับตา สุดท้ายก็ไม่พ้นนิวรณ์มาครอบงำ กิเลสตัณหาเอาไปกินหมด

    การเจริญความเพียรนั้นมันต้องมีสติ เมื่อสติและความเพียรมาคู่กันแล้วมันก็จะมีปัญญา เมื่อมีปัญญาแล้วโยมก็เอาปัญญานั้นไปพิจารณาธรรมให้เกิดขึ้น ให้มันเกิดธรรมอะไรขึ้นบ้าง ไหนลองบอกหน่อยสิจ๊ะ ที่ฉันเคยบอกไป ธรรมอะไรที่มาวนเวียนอยู่ ไม่พ้นธรรมพวกนี้ โยมพิจารณาธรรมอะไรกัน มีธรรมอะไรบ้างที่เข้ามา ไอ้โลภ โกรธ หลงนี้เรียกธรรมอะไรบ้าง (ลูกศิษย์ : ธรรมที่เป็นกุศล กับธรรมที่เป็นอกุศลเจ้าค่ะ)

    ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วก็คือธรรมสังเวช ๓ ข้อใหญ่ของหลักธรรมนี้โยมต้องพิจารณาอย่างนี้อยู่บ่อยๆ "อกุศลธรรม"ก็คือธรรมหรือการกระทำความชั่วของเรา มันก็อาจจะผุดขึ้นมาในสมาธิก็ดี แล้วถ้ามันไม่ผุดขึ้นมา เราก็กำหนดธรรมอกุศลนี้ขึ้นมาพิจารณาละอกุศลลงไป คือเพ่งโทษดูในความชั่วช้าเลวทรามของเรา

    "ธรรมกุศล"มันคืออะไร ธรรมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ทำให้เรานั้นเจริญคุณงามความดี เพื่อจะเอาไปเจริญในกำลังจิตกำลังใจเข้าไปประพฤติปฏิบัติ ระลึกถึงกุศลที่เราทำมา ทาน ศีล ภาวนา..เราทำมากพอหรือยังอย่างนี้

    อันว่า"ธรรมสังเวช"เป็นอย่างไร ธรรมฝ่ายใดก็ตาม ในหัวข้อใดอารมณ์ใดที่เราระลึกแล้วทำให้เรารู้สึกว่ามันจะปลง สละ เกิดสังเวช สลดหดหู่ใจ เศร้าหมองใจ ที่เบื่อหน่ายคลายจากความกำหนัด จิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นมากอย่างนี้ เรียกว่าธรรมสังเวช

    ถ้าตัว ๓ ตัวนี้โยมไม่มาพิจารณา..นิพพิธาญาณมันก็บังเกิดขึ้นได้ยาก ความเบื่อหน่ายในตัณหาอุปาทานที่มันซ่อนเร้นอยู่ในกายในจิตเรานี้มันก็ถอดถอนออกไปยาก ถ้าเราไม่ละมันลงไป อย่างนี้แลเค้าเรียกว่าละอารมณ์ความพอใจในขันธ์ ๕ เพื่อที่จะตัดตรงเข้าไปสู่นิพพาน

    การที่จะตัดตรงเข้าไปสู่นิพพาน เราต้องรู้จักการพิจารณา โยมว่าเมื่อสมาธิบังเกิดแล้ว..ธรรมอกุศลเกิดได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ได้เจ้าค่ะ) อะไรที่เรายังละไม่ได้ หรือละยังไม่หมด มันก็ย่อมผุดขึ้นมาเป็นธรรมดา เหมือนสิ่งที่เราทำไปแล้วในอดีต ในกรรมชั่วหรือกรรมดีก็ตามว่าถึงเวลามันจะให้ผล มันก็ต้องมาสนองเป็นธรรมดา ถามว่ามันได้หายไปหรือเปล่า..ก็เปล่าเลย

    นั้นธรรมอกุศลที่เราทำไว้แล้ว อย่างที่เกิดขึ้นไปแล้ว ที่เรายังพอใจยังติดใจอยู่ ยังละไม่ได้ในความโลภ โกรธ หลง..เหล่านี้มันก็จะผุดขึ้นมา นั้นเมื่อผุดขึ้นมาแล้วก็ยกอกุศลหรือธรรมใดที่มันเกิดขึ้นมาพิจารณา มาเพ่งโทษ มาละ มาเจริญเมตตา พิจารณามันดูไป ถ้าไม่งั้นเราก็ไม่ได้ละมันเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    F742318A-151A-45AC-B1C0-C5825B9B4B3B.jpeg

    การที่เรามาเจริญกรรมฐานนี้เราได้ประโยชน์อย่างไร ประโยชน์ที่แท้จริงก็คืออาศัยกายสังขารนี้มาสร้างประโยชน์ นั้นการที่เมื่อมีสังขารแล้วเราจะต้องรักษาสังขารอย่างไร เพื่อตอบแทนสังขาร เพื่อไม่เบียดเบียนตัวเอง

    "การเบียดเบียนตัวเอง"ก็ชื่อว่าเป็นบาปอย่างหนึ่ง นั้นการไม่เบียดเบียนตัวเองเป็นอย่างไร ที่จะเรียกว่าการรักษาพรหมจรรย์ อย่างหนึ่งก็คือการไม่ฆ่าสัตว์อย่างนี้ เรียกว่าไม่เบียดเบียนตัวเอง เมื่อเราเบียดเบียนใครก็เท่ากับว่าเราเบียดเบียนตัวเอง เมื่อเราสาปแช่งใครก็เท่ากับว่าเรานั้นสาปแช่งตัวเองอย่างนี้

    นั้นศีลนั้นต้องเรียกว่าความละเอียดของกฎแห่งกรรม เมื่อเราไปละเมิดแล้วไปล่วงเกินแล้ว..เมื่อกรรมนั้นที่เราทำให้ผล เมื่อเสวยวิบากกรรมนั้น ก็จะทำให้เรานั้นเป็นทุกข์ เดือดร้อนในภายหลัง นั้นเราควรสำรวมระวังเอาไว้ นี่คือการเบียดเบียนพรหมจรรย์..คือการทำลาย ขอให้โยมพิจารณาศีลให้เกิดขึ้น

    การไม่เบียดเบียนสัตว์ เมื่อเราไม่เบียดเบียนเค้า ก็จะทำให้เราห่างจากโรคภัย ส่วนมากแล้วภัยทั้งหลายทั้งปวงในความเจ็บป่วยไข้ก็ดีในกายสังขาร ล้วนเกิดจากภัยในปาณาติบาตทั้งนั้น คือการเบียดเบียนสรรพสัตว์ อทินนาทานา..การเบียดเบียนทรัพย์ผู้อื่น ข้อนี้จะทำให้เรานั้นขาดแคลน หรือมีทรัพย์ที่หามาได้ก็รักษาทรัพย์ไว้คงไม่อยู่คงไม่นานอย่างนี้ การเป็นหนี้แล้วไม่ชดใช้นี่ก็เรียกเบียดเบียน เหล่านี้ให้ระลึก เป็นการเบียดเบียนเช่นเดียวกัน

    นั้นข้อใดข้อหนึ่งที่เราเบียดเบียนแล้วถือว่าเรานั้นละเมิดในกฎแห่งกรรม ขอให้โยมระลึกถึงชำระล้างจิตของตัวเอง เพื่อที่จะแก้ไข การล่วงเกินประพฤติผิดในภรรยาหรือสามีผู้อื่นก็เช่นเดียวกัน นี่ก็เป็นการเบียดเบียน ให้เราระลึกถึง ให้มีความละอายในข้อศีล

    ในความสัตย์ที่เรานั้นไม่ได้พูดความจริง นี่คือสัจจะบารมี ก็ให้ระลึกรู้ การพูดเท็จ พูดเพ้อเจ้อทั้งหลาย สิ่งที่พูดไม่เป็นความจริง เมื่อไม่เป็นความจริงแล้วสิ่งที่เราจะทำอธิษฐานอะไรแล้วมันก็ไม่เป็นความจริง สิ่งที่เราจะเบียดเบียน..สุราเมรัยเหล่านี้..คือการเบียดเบียนตัวเอง เบียดเบียนกายสังขาร ทำลายสติและปัญญา ก็เป็นโทษอย่างหนึ่ง นี่เรียกว่าเป็นการล่วงเกินในกฎของกรรม

    ดังนั้นเมื่อเรามาเจริญพรหมจรรย์ก็คือการเจริญศีลให้บังเกิด ศีลคือการสำรวมกาย วาจา ใจให้ตั้งมั่น คือไม่นำกายเราไปนั้นให้เกิดทุจริต วาจาเราไม่ทุจริต มโนเราก็ไม่ทุจริต คือรักษากาย วาจา ใจเรานั้นอยู่ในความเป็นปรกติ ความไม่เบียดเบียน นี้แลจิตสภาวะเราจะเข้าถึงธรรมได้

    เมื่อเป็นอย่างนี้เรามาเจริญกรรมฐาน ละความอาฆาตพยาบาท ละความเบียดเบียน ไม่มุ่งร้ายต่อผู้อื่นอย่างนี้แล้ว จิตเราเข้าถึงความสงบ เข้าถึงความดี เข้าถึงกุศล ก็เอากุศลและความดีนี้เจริญจิตแผ่เมตตาไปให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ทุกดวงจิตดวงวิญญาณ ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใด แม้ในขณะนี้ที่จะเข้ามาข้องเกี่ยวกับจิตเรา ที่เรารู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ไม่ว่าจะรู้นามไม่รู้นาม ไม่รู้หน้าไม่รู้ตา ขอให้เค้าเหล่านั้นได้รับเสวยผลบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้เจริญจิตภาวนา

    ขอให้ทุกสรรพสัตว์ทุกดวงจิตทั้งหลายจงอย่าได้มีเวรภัย ละความอาฆาตพยาบาทมาดร้าย ขอให้ยุติกรรมอกุศลทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้มีเวรพยาบาทซึ่งกันและกันเลย ขอบุญกุศลนี้จงหนุนนำค้ำชูทุกดวงจิตดวงวิญญาณได้พ้นจากการเป็นทุกข์ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากการทรมาน พ้นจากสภาพการเป็นเปรตวิสัย สัตว์เดรัจฉาน แห่งสัตว์นรกก็ดี ขอให้ทุกดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้นจงได้สมบัติของมนุษย์สมบัติ เทวดาสมบัติ นิพพานสมบัติ ให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมทั้งหลาย

    แม้กรรมใดๆที่เรานั้นได้เคยล่วงเกินก็ให้เขาทุกดวงจิตเหล่านั้นอโหสิกรรม ที่เรานั้นรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัย แห่งคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คุณพระบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ทั้งหลาย คุณเทพเทวดา จงช่วยนำทางให้ดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้นจงพ้นจากทุกข์เวรภัยทั้งหลาย อย่าได้มีความอาฆาตพยาบาทมาดร้ายต่อกัน จนตราบสิ้นการพ้นทุกข์ทุกรูปทุกนาม ทุกตัวทุกตนด้วยเทอญ

    ด้วยอำนาจแห่งอานิสงส์ผลบุญนี้ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งจิตอุทิศไปให้นี้ ขอให้ผลบุญเหล่านี้จงกลับมาปกปักรักษาจิตวิญญาณกายสังขาร ให้ข้าพเจ้านั้นได้เจริญคุณงามความดี อยู่ในศาสนาก็ดี อยู่ในทาน ศีล ภาวนาก็ดี อยู่ในทางเดินแห่งมรรค เพื่อจะให้เกิดประโยชน์ต่อแผ่นดิน ต่อครูบาอาจารย์ ต่อศาสนา ต่อบรรพชน ต่อบิดามารดา ต่อผู้มีคุณทั้งหลาย ต่อจิตวิญญาณของตัวเราเอง จนกว่าจะสิ้นการพ้นทุกข์พระนิพพานเบื้องหน้าที่เรานั้นปรารถนา ก็ให้โยมนั้นตั้งจิตอธิษฐานเอา..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    C883983A-9146-4CB5-B999-AD71B901908D.jpeg
     
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    9F9DF924-4110-406F-AB2F-B541FB06ED14.jpeg

    อะไรก็ตามที่เรานั้นไม่สามารถครอบครองและยึดถือไว้ได้..จึงเรียกว่าสิ่งนั้นมันไม่ใช่ของเรา แล้วมันก็ไม่สามารถอยู่ในบังคับบัญชาของเราได้ สิ่งนั้นเราเอาไปไมได้ แล้วสิ่งไหนเล่าที่เราเอาไปได้..นั่นคือของจริง บุญ กุศลและอกุศลไงเล่าจ๊ะที่เราเอาไปได้ ทานแม้ข้าวทัพพีเดียวที่โยมให้ทานกับพระภิกษุสงฆ์..ในนั้นจิตที่โยมนอบน้อมในพระรัตนตรัยที่จะอุดหนุนค้ำชูเนื้อนาบุญ ให้ยังประโยชน์เพื่อไปเผยแผ่ศาสนาก็ดี ข้าวทัพพีนั้นจะตามส่งผลให้โยมไป มีกินมีใช้ไม่ขัดสนไม่อดอยาก ไม่ว่าโยมจะอยู่ในสัมปรายภพใด เกิดในภพใดชาติใดก็ตาม ก็จะส่งผลอยู่อย่างนี้..แค่ทัพพีเดียวก็ตาม..นี่ติดตามไปได้จริง

    การภาวนาจิต จิตที่เข้าถึงความสงบนิ่ง ไม่มีจิตอกุศลในขณะนั้น ย่อมทำให้โยมนั้นได้เข้าถึงการหลุดพ้นในขณะนั้น ก็มีอานิสงส์ที่โยมจะสามารถผลักดันให้จิต นั่นก็หมายถึงว่าแม้เราจะเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ดี อยู่ในห้อมล้อมของภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง ถ้าบางคนได้เคยอบรมปัญญาภาวนามา..ย่อมเห็นทางออกเสมอ ไม่มีคำว่าอับจนหนทาง

    ดังนั้นการที่เราได้มาพบพระพุทธศาสนานี้ เรียกว่าเราได้มาพบดวงแก้ว ใครได้พบดวงแก้วแล้วอธิษฐานจิตอยู่บ่อยๆ ก็คือผู้ใดเห็นจิตของตัวเอง..นั่นแลเค้าเรียกว่าดวงแก้ว เมื่อใครอธิษฐานดวงจิตดวงแก้วของตัวเองอยู่บ่อยๆ พิจารณาอยู่บ่อยๆ เพ่งรู้อยู่บ่อยๆนั่นแล ดวงแก้วดวงจิตนั้นมันจะเป็นผู้รู้คอยสอนในตัวของมันเอง

    แล้วใครบอกว่าจะแคล้วภัยจากบ่วงมารทั้งหลาย แล้วจะทันยุคของพระศรีอริยเมตไตรยคือพระศรีอาริย์ที่จะมาจุติในเบื้องหน้า แต่ก่อนที่ท่านจะมาจุติ ขอให้มนุษย์ทั้งหลายและเหล่าเทวดาเทพพรหม ณ ที่แห่งเมืองแห่งนี้จงสดับไว้ว่า ต่อนี้อีกจากไปเมื่อเข้าถึง ๕,๐๐๐ วัสสา หลังจากสิ้นพระศาสนาแล้วขององค์สมณโคดมจักว่างเว้นในศาสนา..นั่นเรียกว่าพุทธันดร

    หมายถึงว่าการว่างเว้นในศาสนาเป็นอย่างไร จะไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น แล้วเมื่อไม่มีศีลที่คุ้มครองในโลกมนุษย์ได้จะเป็นอย่างไร คือเรียกว่าไม่ต่างอะไรกับไฟบรรลัยกัลป์ เพราะว่ามีแต่จิตยักษ์มารได้มาเกิด มีแต่ทุกข์เวทนา หาหนทางออกจากทุกข์ไม่ได้เลย

    ดังนั้นยุคนี้เมื่อเราได้เจอแล้วในบ่อน้ำทิพย์ อย่าได้หวังในบ่อน้ำข้างหน้า ว่ายุคของพระศรีอริยเมตไตรยนั้นว่ามีอายุยืนเป็นหมื่นปีก็ตาม มีความสุขเพียงระลึกถึง มีความเสมอภาคด้วยศีลก็ดี หากในยุคนี้โยมยังประพฤติปฏิบัติในทางเดินแห่งมรรคนี้ไม่ได้ ในข้อวัตรปฏิบัติแห่งความเป็นมนุษย์ นั่นก็คือศีล ๕ กุศลกรรมบถ ๑๐ ยังไม่ได้แล้วไซร้..อย่าได้ปรารถนาที่จะไปอยู่ยุคที่สุขสบายกว่านี้

    ถ้าเมื่อเรายังติดสุขอยู่ นั้นก็ขอฝากเตือนไว้ ว่ากรรมที่เราได้เพลี่ยงพล้ำไปแล้วก็ดี เมื่อถึงเวลามันจะให้ผล..ก็ไม่มีอะไรในเทพเทวดาฟ้าดิน ในสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลายที่จะสามารถต้านทานได้ แม้ว่าสิ่งศักดิสิทธิ์เค้าจะเมตตาอยากจะช่วยเพียงใด ก็ไม่สามารถต้านทานในแรงกรรมนั้นได้ ถ้าโยมไม่ช่วยตัวเองเสียก่อน

    นั้นการที่โยมได้มาเจริญในทาน ศีล ภาวนา นี่แหล่ะเรียกว่าเป็นการสะสมเสบียงบุญ เพื่อจะเดินทางต่อไปในภพชาติหน้า ถ้าชาตินี้ยังมีจริง..ชาติหน้ามันก็ต้องมี เมื่อวันที่ผ่านมาเรียกว่าเป็นอดีต ในปัจจุบันนี้แล..แสดงว่าวันต่อไปจึงเรียกว่าภพชาติหน้าคืออนาคต มันก็ต้องมีอยู่จริง ถ้าเรามีความเชื่อได้แล้วอย่างนี้ ก็ให้เชื่อได้เลยว่าภพชาตินี้เมื่อเราได้เกิดมาแล้ว ขอให้โยมทำความดีให้ถึงพร้อมในทาน ในศีล ในภาวนาการอบรมบ่มจิต ให้เข้าถึงภัยในวัฏฏะ

    ภัยในวัฏฏะเป็นอย่างไร ใครเห็นภัยในวัฏฏะแม้เสี้ยวขณะจิตเดียว..ก็มีอานิสงส์กว่าผู้ที่เจริญเป็นสมณะเจริญศีล ทรงศีลมาร้อยกว่าปีก็ยังไม่เท่าผู้ที่เจริญจิตภาวนา แล้วเข้าถึงความสงบแล้วเกิดปัญญาเห็นภัยในวัฏฏะแม้เพียงครั้งเดียวก็ยังไม่ได้

    นั่นก็หมายถึงว่าเมื่อเรานั้นอบรมบ่มจิตเข้าถึงความสงบ เช้าถึงศีล เข้าถึงตัวปัญญา เข้าถึงตัวสติ ตัวรู้ ตัวญาณทัศนะเห็นว่าในกายสังขารนี้ที่เห็นนั่นก็คือเวทนา ทุกข์ที่เกิดขึ้นอยู่ในกาย
    แสดงว่ากายนี้เป็นของเป็นทุกข์ แสดงว่าเหตุหลักใหญ่หรือเรียกว่าสมุทัย จิตที่เราส่งไปออกไปภายนอกนั่นแลเรียกว่า"สมุทัย" ผลของจิตที่ส่งออกไปจึงเรียกว่าเป็นตัว"ทุกข์" "นิโรธ"คือการเห็นจิตนั้นตั้งอยู่และดับไปนั่นแล จึงเรียกว่านิโรธคือตัวดับ ผลจากจิตที่เราเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับไปนั่นแลจึงเรียกว่า"มรรค" คือหนทางที่จะออกจากทุกข์แห่งภัยในวัฏฏะนี้

    เมื่อเราเจริญให้มาก ทำนิโรธให้แจ้งให้บ่อยๆ การทำนิโรธให้แจ้งบ่อยๆเป็นอย่างไร แจ้งประจักษ์กำหนดรู้ในเวทนาที่เกิดขึ้น แล้วเพ่งอยู่ในสติปัฏฐาน ๔ ในกาย เวทนา จิต ธรรม "กาย เวทนา จิต ธรรม"เป็นอย่างไร กายเมื่อมีกายจึงมีเวทนาจึงมีความรู้สึก จิตคือตัวรับรู้อารมณ์ ธรรมคือสภาวะที่เกิดขึ้นหรือเรียกว่าผัสสะมากระทบ เมื่อโยมรู้ได้อย่างนี้อยู่แล้ว..ถ้าดับที่กายได้เวทนาก็ดับ เมื่อเวทนาดับจิตที่เป็นผู้รู้ย่อมตื่นรู้ในเวทนานั้น ผัสสะมากระทบก็ย่อมเกิดเข้าถึงในตัวนิโรธคือการดับของจิตนั้น ย่อมเห็นว่าสภาวะจิตสภาวะธรรมนั้น..แม้จิตก็ไม่เที่ยง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเลย

    เมื่อเป็นอย่างนี้กายก็ดับ เมื่อกายดับเสียแล้วอย่างนี้ จึงได้เห็นได้ว่า..ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเหตุเพราะจิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในกายนี้ จึงทำให้เกิดภพเกิดชาติ วนเวียนอยู่เป็นวัฏฏะ เมื่อเราเห็นภัยในโทษในกายนี้อย่างเห็นถึงที่สุดว่าการเกิดเป็นทุกข์เพียงใด จิตนั้นจะตื่นรู้ ถ้าทำอย่างนี้บ่อยๆ พระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ใดเจริญเพ่งอยู่ในสติปัฏฐานอย่างนี้อยู่บ่อยๆ แล้วเข้าถึงความสงบเข้าถึงตัวปัญญา หากปรารถนาจะไม่เกิดอีกต่อไป ย่อมเป็นได้ในชาติปัจจุบันนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     

แชร์หน้านี้

Loading...