มีปัญหากับ อารมณ์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ชมทรัพย์, 8 พฤศจิกายน 2019.

  1. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    สรุปแผลงไม่แผลงยังไงแน่ เห็นคุณปรี้ดอยู่คนเดียวเนี่ย
     
  2. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    อ่อแล้วรอดูนะครับ "เวรกรรมตามทันมันเป็นยังไง" ไม่ต้องรอนานครับ รอคุณมาตอบก็จะรู้เอง

    "ธรรมที่ได้จะเสื่อม สติจะเลื่อนลอย ธรรมที่ไม่ได้จะไม่ได้ และ จะหลงลืมพูดวนไปวนมา และจะสาละวนกับความเมาที่โพสท์ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามจริงในพุทธศาสนา จะเริ่มคุยกันคนละเรื่อง และจะเริ่มพูดมั่วซั่ว" นะครับ

    และหวังว่าจะเริ่มเข้าใจเรื่องกระจกเงามากขึ้นนะครับ

    3 โพสท์กับ 1 กระทู้เท่ากันแล้วนะครับ
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    กะมู้ว์นี้มีรายการ มีปัญหากับอารมย์ จริงๆ ฮับ
     
  4. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ใช่ฮับลุงแมวแต่ก็เป็นการทดสอบที่ดี ว่าขณะตอบผมรู้ตัวว่ายังมีไหวบ้าง นับเป็นการฝึกตนแบบที่มีประสิทธิภาพ และสามารถเห็นวิบากกรรมตรงๆเลย และยังเป็นการฝึกใช้ปัญญาที่ดีด้วยเพราะผมเห็นว่า การพูดให้เข้าใจทำไม่ได้จึงต้องพูดภาษาเดียวกัน ถ้าเขามาลอยๆผมก็จะลองมาลอยๆดูบ้างฮับ แล้วทดสอบผลกรรมและวิบากดูนะฮับ
     
  5. กลิ่นลำดวน

    กลิ่นลำดวน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ใช่ฮะ
    ผมก็คิดอย่างนั้นฮะ
     
  6. กลิ่นลำดวน

    กลิ่นลำดวน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ไม่น่าเชื่อเลยนะฮะ
    ว่าจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ฮะ
    อาการหนักเอาการเลยฮะ
     
  7. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    522669A1-13E2-47E8-A284-DB5B7E9C0E46.png

    เรื่องห้ามบัณเฑาะก์มิให้อุปสมบท
    [๑๒๕] ก็โดยสมัยนั้นแล บัณเฑาะก์คนหนึ่งบวชในสำนักภิกษุ. เธอเข้าไปหาภิกษุ
    หนุ่มๆ แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. ภิกษุทั้งหลายพูด
    รุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบหาย เจ้าบัณเฑาะก์จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า. เธอถูก
    พวกภิกษุพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวกสามเณรโค่งผู้มีร่างล่ำสัน แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่าน
    ทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. พวกสามเณรพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบหาย เจ้าบัณเฑาะก์
    จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า. เธอถูกพวกสามเณรพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวกคนเลี้ยงช้าง
    คนเลี้ยงม้า แล้วพูดอย่างนี้ว่า มาเถิด ท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. พวกคนเลี้ยงช้าง
    พวกคนเลี้ยงม้า ประทุษร้ายแล้วจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระ
    ศากยบุตรเหล่านี้เป็นบัณเฑาะก์ บรรดาพวกสมณะเหล่านี้ แม้พวกใดที่มิใช่บัณเฑาะก์ แม้พวก
    นั้นก็ประทุษร้ายบัณเฑาะก์ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระสมณะเหล่านี้ก็ล้วนแต่ไม่ใช่เป็นผู้ประพฤติ
    พรหมจรรย์. ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า พากันเพ่งโทษ ติเตียน
    โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
    พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์
    ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
    เรื่องห้ามคนลักเพศและคนเข้ารีตมิให้อุปสมบท
    [๑๒๖] ก็โดยสมัยนั้นแล บุตรของตระกูลเก่าแก่คนหนึ่ง เป็นสุขุมาลชาติ มีหมู่ญาติ
    ที่รู้จักกันในตระกูลหมดสิ้นไป. ครั้งนั้น เขาได้มีความดำริว่า เราเป็นผู้ดี ไม่สามารถจะหา
    โภคทรัพย์ที่ยังหาไม่ได้ หรือไม่สามารถจะทำโภคทรัพย์ที่หาได้แล้วให้เจริญงอกงาม ด้วยวิธี
    อะไรหนอ เราจึงจะอยู่เป็นสุข และไม่ต้องลำบาก แล้วคิดได้ในทันทีนั้นว่า พวกสมณะเชื้อสาย
    พระศากยบุตรเหล่านี้แล มีปกติเป็นสุข มีความประพฤติเรียบร้อย ฉันอาหารที่ดี นอนใน
    ห้องนอนอันมิดชิด ถ้ากระไร เราพึงจัดแจงบาตรจีวร โกนผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดเสียเอง
    แล้วไปอารามอยู่ร่วมกับภิกษุทั้งหลาย. ต่อมา เขาได้จัดแจงบาตรจีวร โกนผมและหนวด ครองผ้า
    ย้อมฝาดเอง แล้วไปอารามกราบไหว้ภิกษุทั้งหลาย.
    ภิกษุทั้งหลายถามว่า คุณมีพรรษาได้เท่าไร?
    เขาย้อนถามว่า ที่ชื่อว่ามีพรรษาได้เท่าไร นั่นอะไรกัน ขอรับ?
    ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโส ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ของคุณ?
    เขาย้อนถามว่า ที่ชื่อว่าพระอุปัชฌาย์ นั่นอะไรกัน ขอรับ?
    ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งเรื่องนั้นต่อท่านพระอุบาลีว่า อาวุโสอุบาลี ขอนิมนต์ท่านสอบสวน
    บรรพชิตรูปนี้.
    ครั้นเขาถูกท่านพระอุบาลีสอบสวน จึงแจ้งเรื่องนั้นให้ทราบ. ท่านพระอุบาลีได้แจ้งให้
    ภิกษุทั้งหลายทราบแล้ว. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
    พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ คนลักเพศ
    ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่
    อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.

    http://84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=04&A=3481&Z=3608

    ญ-ช เอาให้แน่นะครับ ใจกล้าๆหน่อยครับ
     
  8. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ตามนั้นครับ ไปอัดอั้นมาจากไหนจนมาโพสท์ละครับ
     
  9. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ผมก็เลื่อนลอย
    พอดูเหมือนกันฮะ

    เจอ ธรรมมะ แบบ รุ่นพี่
    ผมว่า
    ผมเมาอยู่ฮะ
    ไม่รู้
    จะไปทางใหนดี
    555555+
     
  10. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ครับผมเชิญเมาต่อไปครับ
     
  11. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ธรรมะ บัณเฑาะงี้
    ธรรมมะ ตอแหลงี้
    แต่ใหงไม่มี
    คำว่าให้ อภัยทาน
    พูดกันมามาหลายปี
    ก็ยังไม่ไปถึงใหน กันเลย คับ
    รุ่นพี่คับ
    เอาใงดี
    แปลงเพศกันเลยไหมคับ
    รุ่นพี่คับ
     
  12. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ผมกำลังทำอยู่โดยการไม่ตอบโต้คุณครับ(ของจริงคือทำไม่ได้คิด)
     
  13. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ผู้หญิงผมก็สวย
    ผู้ชาย ผมก็หล่อฮะ
    ผมทำบุญมาดีฮะ
     
  14. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ครับผม ถ้าสวยจริงก็ดีครับถือว่าตรงตามจริง
     
  15. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    การพูดในสิ่งที่ไม่ตรงตามจริงนั้นไม่ดีนะครับ มันจะทำให้หลงในมโนผมเตือนแล้วนะครับ
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    กะมู้นี้มู้ว์เดียวมีเจ้าของมร่วมกัน 3 ไอดีทั้ง3
    ไอดีมีปัญหากับอารมย์เหมือน
    กันหมด555
     
  17. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    เป็นธรรมดาของคนไม่มีสติฮับ แต่ผมว่าข้อดีก็มีอยู่ในการฝึกตนเองนี่แหละฮับ ทำให้รู้และเห็นอะไรมากขึ้นนะฮับ
     
  18. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +470
    อเสวนา จ พาลานัง
    ปัณฑิตา นัญจะ สวนัง
    เอตัมมัง คลมุตตมังติ

    เอวัง
     
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    เรียกรวดเดียวทรีอินวันได้เลยว่า ชมวดีกลิ่นลำดวน
    นะฮะ(ฮา)
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ลองอ่านดูนะครับ ลำดับให้ดีๆ

    คำว่า อารมย์จะเกิดขึ้นได้ ทางกิริยา คือ ต้องมีการส่งตัววิญญานการรับรู้จากตัวจิตผ่าน
    อายตนะ ตัวใดตัวหนึ่ง ออกไปกระทบภายนอกแล้วดึงเข้ามาร่วม และปรุงไปตาม
    สัญญาความจำได้ที่มีอยู่ในตัวจิต(หมายถึงกรณีทั่วๆไป)
    กรณีนี้เรียกว่า เหตุเกิดจากภายในส่งออกไป

    หรือ มีการส่งจากภายนอกเข้ามา
    ผ่านอายตนะต่างๆทางใดทางหนึ่ง ผ่านต่อ
    เข้ามากระทบกับตัววิญญานการรับรู้ที่จิต
    และปรุงตามสัญญาความจำได้ที่มีอยู่ในจิต(หมายถึงกรณีทั่วไป)
    กรณีนี้ เรียกว่า เหตุเกิดจากภายนอกส่งเข้ามา

    หรือ อีกกรณีหนึ่ง คือ มีความคิดที่ผุดขึ้นมาเฉยๆ ทั่วๆไปจะเข้าใจว่า
    มาจากตัวจิต แต่ถ้าหากเจริญสติมากพอ จนจิตแยกรูปแยกนามได้จริงๆ
    จะพบว่า แท้จริงแล้ว มันไม่ได้อยู่หรือขึ้นมาตัวจิต แต่เวลามันเข้ามา
    มันอยู่ใกล้กันมากกับตัวจิต
    จำเป็น ต้องอาศัยกำลังสติทางธรรมตรงนี้เข้าไป ถึงจะเห็นได้
    (ย้ำว่าฝึกจนแยกได้จริงๆ ส่วนจะเห็นได้แบบหยาบ หรือ ละเอียดแล้วแต่บุคคล)
    คำว่า แยกรูปแยกนาม ในที่นี้ ไม่ใช่การถอดจิต ถอดกายทิพย์ ออกจากร่างกาย

    แต่ แยกรูปแยกนามในที่นี้ ทางกิริยา ก็คือ การที่กำลังสติทางธรรม
    ที่ได้จากการเจริญสตินั้น สามารถมองเห็น ได้ว่า ๑.ตัวจิต
    ๒.ความคิดที่เกิดจากจิต(คือ นึกให้ดำ นึกให้ขาวก็ได้)
    และ ๓.ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม(บ้างเรียกวิบากกรรมแบบสายพระป่า,บ้างเรียกกระแสที่จรเข้ามา แบบกลุ่มญานวิถีเรียก, หรือ เรียกกระแสพลังงานภายนอก หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตังใจก็ได้)
    กำลังสติทางธรรมนี้ เห็นได้ว่า
    ทั้ง ๓ ส่วนนี้ซึ่งเป็นฝ่ายอารมย์
    เป็นนามธรรมเป็นคนละส่วนกัน

    ส่วนสติแบบอัตโนมัตินั้น เป็นในส่วนของบุคคลที่มีกำลังสติทางธรรมแล้ว
    แยกรูปแยกนามได้แล้วในระดับที่ละเอียด คือ เห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ที่มัดกองรวมกันอยู่นั้น จนกระทั่งย้อนไปถึงได้ในระดับ
    ที่ย้อนเห็นเหตุจากการเกิดของขันธ์ นั้นๆได้เลย ซึ่งจะถือว่า เก่งมากๆแล้ว
    และเดินปัญญาได้แล้ว(แบบไม่เป็นวิปัสสนึก)ในระดับที่ละเอียดได้แล้ว


    ดังนั้น ถ้าไม่ใช่ในระดับที่พ้นแล้ว ยังไงก็ยังมีการส่งตัววิญญานรับรู้ออกไปภายนอกอยู่ครับ
    เพียงแต่ การส่งตัววิญญานการรับรู้นี้ ไม่ว่า เหตุจะเกิดจากภายในหรือภายนอก
    หรือเกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมนั้น จะมีมากหรือน้อย และ จะดึง จะรับ จะปรุงต่อ
    หรือไม่ ในระดับท่านที่พ้นแล้ว เชื่อกันว่า แม้ว่าท่านจะยังมี ตัววิญญานการส่งออก
    ในแบบธรรมชาติของตัวจิตท่านเอง(ย้ำว่าธรรมชาติของตัวจิต ในลักษณะเครื่องรู้ หรือ ญานวิถี) ก็จะไม่มีการดึง รับ และปรุงต่อ
    พูดง่ายๆ ทุกอย่างไม่ว่า ภายใน ภายนอกมีปกติ แต่ไม่มีเหตุให้ท่านปรุงต่อนั่นเอง

    ดังนั้น ในระดับที่ต่ำกว่า ท่านที่พ้นแล้ว ยังไงก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ว่า
    จะมีมาก มีน้อย ในระดับใดเท่านั้นเอง......


    กลุ่มดวงจิต ที่จะไม่มีสัญญาต่างๆในจิต พวก โทสะ โมหะ โลภะ (ในท่านที่พ้นทั่วไป จะมี
    แต่ไม่มีเหตุอะไรให้มันเกิดได้อีก) หลงเหลือได้เลย
    จะเป็น กลุ่มที่ความสามารถทางจิตค่อนข้างสูง ที่มีกำลังเข้า ในสภาวะนิโรธฯเพื่อ
    ค่อยๆไป คลาย ตัว โทสะ โมหะ โลภะ เหล่านั้น ให้ค่อยๆลดน้อยลงไป
    โดยทั่วไป มักจะเป็น กลุ่มที่เรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาน ครับ



    ย้อนทบทวนแบบคร่าวๆ
    ถ้าจิตแยกรูปแยกนาม ได้จริงๆ จากกำลังสติทางธรรม
    ที่ได้จากการเจริญสตินั้น กำลังสติจะมองเห็นได้ว่า
    ๑.จิต ๒.ความคิด ๓.ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม ซึ่งเป็นฝ่ายอารมย์
    เป็นคนละส่วนกัน ซึ่งจะส่งผลให้เข้าใจกิริยาต่างๆของมัน
    เช่น จิตกระเพื่อมเป็นอย่างไร จิตที่เกิดร่วมกับความคิดเป็นอย่างไร
    จิตที่เกิดร่วมกับขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมเป็นอย่างไร

    แน่นอนว่า หากยังเกิดอยู่ ไม่ว่า เหตุจากอะไรก็ตาม
    ก็ยังต้องวนเวียนตามวัฏจักรต่อไป ประเด็นนี้ทั่วไป ใครๆก็ทราบได้


    แต่การที่จะเรียกได้ว่า เป็นการเจริญปัญญา และสัมมาทิฐิเปิดทางให้
    สำหรับการเดินปัญญาได้นั้น..........

    มีข้อให้สังเกตุตนเองไว้ดังนี้

    ในอันดับแรก ให้ดูว่า มีกำลังสติทางธรรม ที่ได้จากการเจริญสติ
    เกิดขึ้นแล้วหรือยัง พูดง่ายๆว่า ได้เจริญสติมาแล้วหรือยัง

    ถ้ามี ก็มีหลักสังเกตุทั่วไปก็คือ
    ตัวกำลังสติทางธรรมนี้เอง คือ ตัวที่คอยควบคุม
    ความคิด และพฤติกรรมของจิตตนเอง

    หรือ เป็นตัวเดียวกัน ที่ทำให้ความเข้าใจทางนามธรรมเราดีขึ้น
    ไม่ว่า ความเข้าใจในฝันต่างๆ ความเข้าใจในนามธรรมที่เห็น
    ไม่ว่าตั้งใจ ไม่ตั้งใจ หรือ ที่เห็นเพราะผลของสมาธิตนเอง

    และเมื่อมีแล้ว มันมีมากพอ ที่จะทำให้ ตัวจิตคลายออกจากคิด
    คือ มีกำลังมากพอ ที่จะเห็นตัวความคิดมันกำลังขึ้นมาจากตัวจิตได้ไหม......
    หรือ มีกำลังมากพอ ที่จะเห็น ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ก่อนที่มันจะมารวมกับตัวจิตได้ไหม

    ถ้าเห็นตัวความคิดกำลังขึ้นจากตัวจิตได้ ตัวจิตจะคลายความคิด หรือทิ้งมัน
    ออกจากตัวจิตทันที ซึ่งจะเกิดกิริยาบางอย่างทางกายกับตัวผู้เห็นตรงจุดนี้
    หรือ ถ้าเห็นตัวขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม ในขณะที่มันกำลังเข้ามารวมกับตัวจิต
    ได้ทัน ซึ่งก็แล้วแต่จะเห็นได้แบบหยาบๆ คือ มัดเดียว หรือเห็นได้ละเอียด
    คือแยกเป็นส่วนๆ ในกรณีผู้ที่เห็นแบบละเอียด จะพัฒนาไปเป็นสติอัตโนมัติได้เอง

    ถึงตรงนี้ จิตถึงจะ เข้าสู่กิริยาที่ เรียกว่า แยกรูปแยกนามได้
    แล้วถ้าได้ย้อนไปอ่านข้างบนก็จะเข้าใจได้เอง


    พอแยกรูปแยกนามได้ในเบื้องต้น
    ที่ทำให้เข้าใจกิริยาต่างๆแล้ว
    ต่อไป ก็จะเข้าใจกิริยาคำว่า จิตเป็นกลาง ได้เอง
    ก็คือ สภาวะของจิตที่ไม่มี ทั้งความคิด และ ขันธ์ ส่วนนาม
    เข้ามาปรุงร่วมเลย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ เพราะจิตจะยังเกิดอยู่

    พอเข้าใจสภาวะเป็นกลางนี้ ต่อไปถึงจะ สามารถเดินปัญญาได้
    หรือเรียกเจริญปัญญาก็ได้แล้วแต่จะเรียก

    ด้วยตัวกำลังสติทางธรรม ที่มีนั้น ซึ่งตอนแรกเราใช้มันแยกตัวจิต ความคิด ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมมาก่อนหน้านั้น มันเปลี่ยนมาทำหน้าที่ ในการควบคุมตัวจิต ที่เป็น กลางอยู่นั้น
    ให้อยู่นิ่งๆ รับรู้ สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น ตามความเป็นจริง

    ผ่านสภาวะดังที่กล่าวมาได้ ต่อไปถึงจะพัฒนาไปเป็น คำว่า ปัญญาทางธรรม
    หรือเกิดปัญญาขึ้นมาครับ


    สรุป การจะเรียกว่า เดิน หรือ จะเรียกว่าเจริญ จนเป็นปัญญาได้นั้น
    ก็มาจากการ การที่มีกำลังสติทางธรรมก่อนในเบื้องต้น
    ที่ได้จากการเจริญสติ
    จนสามารถ แยกรูปแยกนามได้ เป็นจุดเรื่มต้น
    จนสามารถพัฒนาไปเป็น สติอัตโนมัติ มีปัญญาทางธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    และพัฒนาไปจน ถึงระดับปัญญาญานได้
    เปรียบเสมือนได้ว่า การแยกรูปแยกนาม ก็เหมือนการที่เรากำลังหัดคลาน
    ก่อนที่จะพัฒนา มาเดิน มาวิ่งได้ มาวิ่งในเวลาดีขึ้นได้นั้น ก็อาศัย
    การพัฒนาที่ต่อเนื่องตามลำดับนั้นเองครับ

    แล้วจะเข้าใจ กิริยา ของ การเกิด
    อารมย์ สังขาร สัญญา ที่เป็นส่วนในกระบวนการ
    เกิดของจิต ซึ่งเป็นเรื่องปลายๆแล้วได้เอง ตามลำดับครับ

    ทั้งกำลังสติทางธรรม
    ทั้งปัญญา มันได้ใช้ทั้งนั้นหละครับ
    แต่ควรเข้าใจว่า มันสร้างให้มีขึ้นมาอย่างไร
    มันมีลำดับขั้นตอนในการนำไปใช้อย่างไร
    อีกอย่างยังใช้ตรวจสอบตนเองได้


    ไม่งั้น จะกลายเป็น สิ่งที่เรียกว่า วิปัสสนึก
    คือ กิริยาที่จิตยังรวมกับความคิด แล้วยกตัวเองขึ้นมา
    หรือ กิริยาที่จิตยังรวมกับขันธ์ ๕ นามธรรม แล้วปรุงแต่ต่อ
    ถ้าเรา ไม่เข้าใจกระบวณการตรงนี้ จริงๆ
    ตลอดไม่เห็นความสำคัญของการ เจริญสติ เพื่อสร้างสติทางธรรม

    เราจะเผลอไปนึกว่า ความคิดเหล่านี้ มันเป็นตัว สติ เป็นตัวปัญญา
    แล้วเผลอนำไปพิจารณาได้อย่างไม่รู้ตัว
    จะกลายเป็น การคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ตีความ ไปตามสัญญาความจำได้
    ต่างๆที่เราเคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ได้รับรู้มา
    แม้ว่าจะเป็นปัญญาก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้ยังเป็นเพียงปัญญาทางสมมุติอยู่
    เป็นสติทางโลกๆอยู่
    แม้ว่าจะมีสติทางโลก มีความความรู้มากมายเพียงใด
    ก็ยังถือว่าเป็นสมมุติครับ

    เริ่มต้นไม่ต้องรีบร้อน เริ่มต้นได้ดี
    อนาคตจะไปได้เร็ว ไม่ว่าเรื่องสติ เรื่องปัญญา
    หรือกรรมฐานต่างๆทุกกองครับ

    ฝากไว้ให้พิจารณา
     

แชร์หน้านี้

Loading...