เรื่องเด่น ธรรมภาคดำ ที่ขัดขวางการทำความดี

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 14 ตุลาคม 2018.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ?temp_hash=fbf3555a0b2393afcc422e632d804253.jpg



    ถาม : อยากถามเรื่องเกี่ยวกับมาร มีตัวตนจริง ๆ หรือคะ ?

    ตอบ : มีจริง ๆ เพียงแต่ว่าเราจะรู้จักเขาไหม ? เราจะเห็นเขาได้ไหม ? คนรอบข้างของเรา เขาสามารถอาศัยเป็นเครื่องมือได้หมด ตอนแรก ๆ อาตมายังเข้าใจว่า มารเป็นกำลังใจที่ไม่ดีของเรา แต่ไม่ใช่ เขามีตัวตนจริง ๆ เขาพยายามจะชักนำให้เราคิดผิด ทำผิด พูดผิด อยู่เสมอ

    ขณะเดียวกัน คนรอบข้างของเรา เขาสามารถที่จะดลใจให้คน ๆ นั้น ไม่ว่าจะคิดจะพูดอะไรก็ตาม กลายเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราเกิดโทสะ ให้เราเกิดราคะ ให้เราเกิดโลภะอยู่ได้ตลอดเวลา

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปแล้วก็คือ เขาทำหน้าที่ของเขา เราก็ทำหน้าที่ของเรา เรามีหน้าที่หนี เราก็หนีของเราไป เขามีหน้าที่ขวาง เขาก็ขวางของเขาไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัว ไม่มีใครเป็นศัตรูของใคร

    ฟังให้ดี ๆ นะ ตรงจุดนี้ เมื่อถึงวาระถึงเวลาโอกาสเปิดให้ เขาขวางเราก็เป็นเรื่องของเขา จริง ๆ #แล้วเขาเป็นครูที่ดีที่สุด #ถ้าหากว่าเราสามารถก้าวข้ามที่เขาทดสอบเราได้ #ตรงจุดนั้นเราจะไม่แพ้เขาอีก แต่ถ้าหากว่าเราก้าวข้ามไม่ได้ เราก็ไปติดไปสะดุดหรือไปหยุดอยู่ ไม่สามารถเข้าถึงความดีได้ #เขาถึงได้เรียกว่ามาร #คือผู้ขวาง #หรือผู้ฆ่า #เพียงแต่ว่าเขาเป็นครูที่ขยันไปหน่อย #ข้อสอบมาทุกวินาทีเลย เผลอเมื่อไรเป็นโดน

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
    ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    การปฏิบัติทุกอย่างต้องมีตัวอุเบกขา เมตตาคือรัก กรุณาคือสงสาร ในเมื่อรักสงสารช่วยเขาเต็มที่แล้ว ผลจะเกิดอย่างไรก็ตามเราต้องยอมรับได้ ตัวยอมรับได้ ตัวปล่อยวางได้นี่เป็นตัวอุเบกขาในอารมณ์ ถ้าเราไม่เบรคเราจะทุกข์อยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่ทุกข์กับเราด้วยหรอก
    .....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ


    ?temp_hash=afc0b3d81c609820e977f64ddf3c7d69.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ?temp_hash=c6eff48995c833c96dda988a4d6448d7.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ?temp_hash=e634192593b5b85f1a30058f63c383e0.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    20190525_070812-jpg.jpg
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ลีลาของมาร
    ช่วงปีใหม่ ต้องบอกว่าเหมือนสงครามระหว่างพระกับมาร พระก็พยายามดึงคนมาทำบุญ มารก็ดึงคนไปเมา..ไปเที่ยว และก็มีพวกกลาง ๆ ประเภทเทพอสูร มาทำบุญแล้วค่อยไปเที่ยว กลัวกิเลสจะเศร้าหมอง ทำดีเสร็จแล้วต้องไปหาอาหารให้กิเลส..!

    อย่างเมื่อครู่ที่บอก การปฏิบัติเราเน้นหนักไปอย่างเดียว ไม่รู้จักวิถีธรรมที่แท้จริง จิตใจจึงเหมือนกับค่อนข้างจะแห้งแล้ง อย่างการปฏิบัติสมาธิ ถ้าไม่รู้จักเอาพรหมวิหาร ๔ เข้าไปช่วย บางทีจิตใจค่อนข้างจะแห้ง เหมือนกับเป็นอุเบกขาแข็ง ๆ แบบตายด้านไปเลย แต่ถ้าหากเอาพรหมวิหาร ๔ เข้าไปช่วย ก็จะมีความชุ่มชื่น รู้สึกว่า เออ..อยากทำ..น่าทำ

    ในเรื่องการปฏิบัติของพวกเรา ต้องอยู่ในลักษณะผ่อนสั้นผ่อนยาว เราจะไปบีบกิเลสให้ตายเลยทีเดียวก็ไม่ตาย แล้วยังอาละวาดกลับด้วย ฉะนั้น..ต้องผ่อนสั้นผ่อนยาว ถึงเวลาอยากกินอยากเที่ยวก็หาให้กิเลสนิดหนึ่ง แต่ให้มีสติ และอย่าไปยาว ไม่อย่างนั้นกิเลสกำลังเหลือเฟือกว่า ก็จะพาเราไปไกล ถึงเวลาแล้วต้องรีบเลี้ยวกลับให้ทัน

    แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป บางทีอีกนิดเดียวจะถึงจุดหมายแล้ว หรือไม่อีกนิดเดียวจะตัดได้แล้ว แต่เพราะว่าเราไปเปลี่ยนความสนใจ เปลี่ยนงานที่ทำ ก็เลยใช้กำลังที่จะใช้ในการตัดกิเลสไปในด้านอื่นแทน ทำให้ตัดกิเลสไม่ขาดสักที เหมือนกับว่าเราผ่อนสั้นผ่อนยาว พยายามจะหลอกมารเขาอยู่ ว่าตอนนี้ข้าผ่อนให้เอ็งนิดหนึ่ง แต่ปรากฏว่า จริง ๆ แล้ว ในขณะที่เราหลอกมาร มารก็วางหมากหลอกเราอีกชั้นหนึ่ง ให้เราไปจนหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีกำลังที่จะตัดกิเลส ต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ กลายเป็นว่าหาได้เท่าไรก็ใช้หมด แล้วก็มาเริ่มต้นนับหนึ่งอีก

    ตรงนี้ต้องตรองให้ดี ๆ ถ้าสู้ไหวก็บี้กิเลสให้ตายคามือไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วมัวแต่ไปผ่อนอยู่ กิเลสก็โตขึ้นเรื่อย ๆ มัวแต่ไปกลัวกิเลสจะเฉาตาย ไปรดน้ำพรวนดินให้ กิเลสก็รื่นเริงบันเทิงใจ งอกงามขึ้นมาใหม่อีก

    ถ้าหากว่าตั้งใจแก้ไขจริง ๆ รู้จักพินิจพิจารณาจริง ๆ นานไปจะเห็นเองว่า กิเลสมารหลอกเราแบบไหน แล้วเราก็จะไม่พลาดตรงนั้น...ช่องนั้นอีก แล้วกิเลสมารก็จะไปหลอกเราช่องอื่นต่อ เผลอเมื่อไหร่ก็โดนเจาะยาง พอลมหมด รถก็วิ่งต่อไม่ได้

    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1528
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    มารหลอกพระอรหันต์
    ถาม :
    ในระหว่างภาวนาแบบที่ทรงญาณ หรือภาวนาแบบที่ทรงฌานทั้ง ๒ อย่างนี้ มารมาดลใจได้ไหมคะ ?
    ตอบ : หลอกได้ทั้ง ๆ ที่ทรงสมาบัติ ๘ นั่นแหละ

    ถาม : ทรงสมาบัติ ๘ นั้นเกาะพระอยู่ไม่ใช่หรือคะ ?
    ตอบ : เกาะอยู่

    ถาม : แล้วยังหลอกได้อีกหรือ ?
    ตอบ : สบาย เขาเป็นพระมาให้เกาะด้วย ...(หัวเราะ)... ยังไม่รู้ฝีมือเขาอีกแล้ว

    ถาม : ปานนั้นเชียว ?
    ตอบ : ถ้าตราบใดที่ีคุณยังไม่เข้าพระนิพพาน ยังถูกหลอกสะบั้นหั่นแหลก เขาหลอกกระทั่งพระอรหันต์

    ถาม : พระอรหันต์ก็หลอกได้ ?
    ตอบ : ได้หลอก คือ ไม่เชื่อ เขาก็จะพยายามหลอก จึงได้หลอก


    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ปรามาสพระ

    ถาม :
    (ปรามาสพระ)
    ตอบ : การปรามาสพระมีเป็นปกติ บุคคลที่เริ่มปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา มารเขาจะรู้ว่าเราจะพ้นมือเขาแล้ว เขาใช้วิธีหลอกให้เราปรามาสพระ

    ถ้าหากว่าเราปรามาสพระ เราก็ไม่สามารถเข้าถึงมรรคผล ก็จะหลุดพ้นจากมือเขาไม่ได้ ฉะนั้นก็มีวิธีเดียวคือ อยากจะปรามาสก็ปรามาสไป เราก็กราบขอขมาพระไปเรื่อย ๆ

    สิ่งที่เขาหวังผลก็คือทำให้เราวุ่นวายใจ ไม่เป็นอันปฏิบัติอย่างหนึ่ง และทำให้เรารู้สึกว่าเป็นเพราะมาปฏิบัติก็เลยเกิดอารมณ์อย่างนี้ แล้วเลิกปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง

    ฉะนั้น...ไม่ต้องไปใส่ใจ ตั้งหน้าตั้งตาขอขมาไป มีปัญญาจะปรามาสอย่างไรก็ปรามาสไป พอเขาเห็นเราไม่หวั่นไหว ขอขมาเป็นปกติก็เลิกของเขาไปเอง

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙
    ที่มา : www.watthakhanun.com
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    อยู่ในกรอบของศีล...ถูกมารชักจูงได้ยาก
    ถาม
    : แล้วอยากถามว่า มารอยู่ภพภูมิไหน ?
    ตอบ : มารอยู่ภพภูมิที่สูงกว่าเทวดาอีก พระพุทธเจ้าท่านจะจัดเอาไว้ว่า เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมมุนา วา เทวดาก็ดี มารก็ดี พรหมก็ดี ท่านจะเอ่ยชื่อมารในลักษณะสูงกว่าเทวดาอยู่ตลอด เพราะว่ามารจะอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ ๖ เรียกว่า ปรนิมมิตวสวัสตี จะแบ่งเป็นสองเขต เขตหนึ่งเป็นเขตของเทวดา อีกเขตหนึ่งเป็นเขตของมารเขา

    ถาม : เขามีหน้าที่คอยขวาง ?
    ตอบ : นั่นเป็นงานเขา เหมือนกับงานของนักการเมือง แต่ไม่ใช่งานที่สร้างความเจริญ เป็นงานที่สร้างความล่มจม

    ถาม : แล้วเราจะทราบได้อย่างว่า อันไหนคือมาร ?
    ตอบ : สร้างสติ สมาธิ ให้มาก ๆ ถ้าสติ สมาธิ ทรงตัว ปฏิบัติอยู่ในกรอบของศีล ตราบใดที่ยังไม่หลุดจากกรอบของศีล ตราบนั้นเขาจะชักจูงเราได้ยาก แค่มีศีล ๕ ที่มั่นคงก็พอแล้ว

    ถ้าหากว่าเรามีศีล ๕ อยู่ ถึงเวลาเขาทำให้เราบันดาลโทสะ เรารู้ว่าเราเป็นผู้มีศีล เราก็ไม่ทำร้ายใคร ไม่ฆ่าใคร ถ้าหากว่าเขาทำให้เราเกิดความโลภ เราอยากได้ของสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราก็หามาถูกต้องตามทำนองคลองธรรมโดยไม่ผิดศีล ถึงเวลาเขาตั้งใจให้เราไปแย่งคนรักคนอื่นเขา เราก็มีสติสัมปชัญญะอยู่ รู้อยู่ว่าสิ่งนั้นผิด ไม่ถูกต้อง เราก็ไม่ทำ ถ้าเรามีศีลเป็นเกราะ มารจะชักนำเราได้น้อยมาก อย่างดีเขาก็แค่ทำให้เราคิดได้ บังคับให้เราพูดได้ แต่บังคับให้เราทำไม่ได้ แล้วถ้าหากว่าคำพูดที่เป็นตัวมุสาวาท คือ โกหก เรารู้ว่าเราเป็นผู้มีศีลอยู่ เราจะไม่พูดโกหก เขาก็จะบังคับเราไม่ได้ด้วย ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง

    พอไปถึงจุดหนึ่ง เราจะเห็นคุณค่าของเขาเองว่า เขามีคุณูปการอย่างมหาศาล คุณูปการนั้นคือ ถ้าไม่มีการทดสอบจากเขา กำลังใจของเราก็จะไม่มั่นคงเร็ว จะไม่แข็งแกร่งเร็ว ดังนั้น ถึงได้บอกว่า มารไม่ใช่ศัตรู แต่เขาเป็นครูที่ดีที่สุดของเรา

    เพียงแต่ว่าเราจะสามารถ ทำข้อสอบของครูคนนี้ไหวไหม ? พอก้าวข้ามตรงจุดนี้ไป ก็เหมือนกับว่าโลกตีลังกากลับ คือสิ่งที่เราไม่เคยเห็นความดี ก็จะเห็นความดีของเขา ทุกอย่างรอบข้างเป็นครูเราหมด คนทำให้เราโกรธก็เป็นครูที่ดีของเรา เพราะทำให้เรารู้ว่า จริง ๆ แล้วอารมณ์ใจของเรายังห่วยแตก ยังใช้ไม่ได้ คนที่ทำให้เราเกิดโลภ ก็ทำให้เรารู้ว่าเรายังใช้ไม่ได้ ยังต้องระมัดระวังมากกว่านี้

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    เล่ห์ลวงแห่งมาร

    บุคคลผู้ตั้งใจปฏิบัติความดี มักจะมีอุปสรรคมาขัดขวาง เรียกกันว่ามาร คำว่ามาร แปลว่าผู้ฆ่า คือฆ่าเราจากความดี หากไปหลงติดบ่วงของมัน มารมี ๕ อย่างคือ

    ๑. ขันธมาร หมายถึง ร่างกายของเราเป็นมาร พอจะทำความดี มันให้เจ็บโน่นปวดนี่เมื่อยนั่น จะเข้าวัดเข้าวามันพาลป่วยหนักซะเลย ถ้าจะเข้าเธคเข้าคลับเข้าบาร์ละก็ไม่เป็นไร ไปได้ปร๋อเชียว...

    ๒. กิเลสมาร คือ อารมณ์ชั่วของจิตเป็นมาร จะคิดดี พูดดี ทำดี มันเป็นขัดขวางสุดตัว ถ้าจะคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว เชิญตามสบาย มันคอยชักนำให้ยึดความรัก โลภ โกรธ หลง แทนที่จะปล่อยวาง...

    ๓. มัจจุมาร คือ ความตายเป็นมาร พอเราจะทำความดี มันกลัวเราหนีพ้น ไม่รู้จะขัดคอเราอย่างไร พาลชักแหง็ก ๆ ตายเอาดื้อ ๆ ฆ่าเราตายจากความดีทั้งร่างกายและจิตใจเลย

    ๔. อภิสังขารมาร คือ ผลแห่งบุญบาปเป็นมาร คอยขวางเราไม่ให้ทำดีจนถึงที่สุด ฝ่ายบุญที่ถูกมารแฝง เช่น ยึดติดในรูปฌาน อรูปฌาน มานะถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าคนอื่นเพราะเราทำดี ฝ่ายบาป คือ ความชั่วทุกอย่างที่ทำมา ที่ดึงให้เราชั่วไปกับมันตลอดเวลานั่นเอง...

    ๕. เทวปุตตมาร คือ เทวดาเป็นมาร เป็นเทวดาพวกมิจฉาทิฏฐิ นอกจากจะไม่ส่งเสริมเวลาคนทำความดีแล้ว ยังคอยขัดขวางไม่ให้เขาทำความดีอีก สารพัดวิธีที่พวกนี้จะนำมาหลอกล่อ หรือบางทีก็เทวดาสัมมาทิฏฐินั่นแหละ ทดสอบกำลังใจแล้วเราสอบตก ท่านเลยกลายเป็นมารไปซะฉิบ...

    พอเราเริ่มทำความดี มารทั้งหลายก็ยกพหลโยธามาคอยขัดขวางทันที ล่อหลอกให้เราติดบ่วงของมัน จะได้ดึงเราให้ห่างความดี คอยยั่วให้กำหนัด ล่อให้หงุดหงิด ลวงให้หลงผิดร่ำไป...

    อาตมาผจญกับมันมาจนนับไม่ถ้วน ทุกวันนี้ก็ยังรบกันอยู่ พอรู้ทันเท่ห์ลวงของมันปุ๊บ มันก็เปลี่ยนวิธีใหม่มาทันทีเลย กว่าจะจับได้ไล่ทันก็ปางตาย แล้วก็ต้องผจญกับวิธีการใหม่ ๆ ต่อไป...

    จะขอยกตัวอย่างให้ทราบเล่ห์ลวงแห่งมาร คือ ตอนอาตมาฝึกมโนมยิทธิใหม่ ๆ จัดอยู่ในจำพวกรุ่นใหม่มาแรง มันอยากอวดคนอื่นว่าเราทำได้ อยากพูด อยากสอน อยากไปหมด...

    ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน การปฏิบัตินั้นถ้าอารมณ์เราถึงระดับไหน ก็มักจะตู่เอาว่าทุกคนต้องเป็นแบบนั้น (ซึ่งผิดร้อยเปอร์เซ็นต์) พออารมณ์ละเอียดขึ้นไปอีก อ้าว...ที่ผ่านมาผิดนี่หว่า...

    ในเมื่ออารมณ์เข้าไม่ถึงที่สุด มันก็พูดผิดสอนผิดร่ำไป กลายเป็นเอาทิฏฐิของตน ลัทธิของตน ซึ่งถูกมารชักนำหลอกลวง ไปสอนปนกับธรรมะของพระพุทธเจ้าไปโน่นเลย...

    พอสอนคนใหม่ต่อใหม่เข้าด้วยกัน กิเลสมันใกล้เคียงกันนี่ พูดอะไรก็จี้ใจดำเขาเป๊ะเลย คราวนี้คำสรรเสริญก็จะตามมา พาเข้ารกเข้าพงกู่ไม่กลับมานักแล้ว...

    เมื่อกู่ไม่กลับ ยึดมั่นถือมั่นในความรู้ความสามารถของตนก็พังซิครับ ถูกมารจูงจมูกตามมันต้อย ๆ ห่างความดีไปทุกที พญามารตบมือหัวเราะร่า เสร็จข้าอีกหนึ่งรายล่ะ...

    พอใช้มโนมยิทธิทำนายทายทักเข้า แรก ๆ ก็แม่นดี คำชมเชยก็มาทันที “แหม...รู้ได้แจ่มใสชัดเจนดีจริง...” “แม่นอย่าบอกใครเลย...” “เก่งอะไรอย่างนี้...”

    ขาดสติหลงคำชมก็พัง การที่เรารู้ได้เพราะพระท่านสงเคราะห์ หรือ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ท่านช่วยเหลือ พอถูกยกยอเข้าหน่อย ชักเคลิ้มไปว่า “เอ๊ะ..เราก็เก่งไม่เบานี่หว่า...?” ถ้าอย่างนี้ละก็เตรียมพังได้...

    จะมีอยู่ระยะหนึ่ง ที่เราพูดจริงพูดเล่นมันก็ถูกไปหมด คนก็จะทึกทักว่าเราเก่ง ยกตัวอย่างอาตมาเอง ยกของชิ้นหนึ่งให้คณะคุณพรพรรณ พลางบอกเขาว่า “อย่าทะเลาะกันนะ...”

    คือของมีชิ้นเดียว กลัวเขาจะแย่งกัน กลายเป็นว่า “โอ้โฮ...รู้ไปหมด หลวงพี่นี่...เราเพิ่งทะเลาะกันมาจริง ๆ...” เป็นซะอย่างนี้ ยืดแทบจีวรขาดไปเลย...

    ทักสุทธิพัฒน์ หลานหลวงปู่มหาอำพัน เพราะเห็นเขาหน้าตาสดใสว่า “โหงวเฮ้ง เงินล้านขึ้นแล้ว จะรวยใหญ่แล้วนะ...” เขาตอบว่า “จริงครับ...ผมเพิ่งเซ็นสัญญาส่งสินค้าราคาเป็นล้านมาจริง ๆ...”

    เป็นอย่างไรบ้าง...ถ้าท่านเจอเข้าแบบนี้ ตามด้วยคำเยินยออีกกระบุงโกย ยัง...ยังมีที่แสบกว่านี้ ที่จะให้ท่านหลงติดกับของมารอีกมากมายนัก ตัวอย่างคือ...

    ลุงถนอม รวงผึ้ง รายนี้เป็นฆราวาสทรงอภิญญา อธิษฐานขอพบครูบาอาจารย์ที่จะสอนตนให้เก่งไปยิ่งกว่านี้ แล้วพบกับอาตมาในนิมิต เขาอุตส่าห์ตามตัวจนเจอ...

    “ท่านนี่แหละ...ใช่แน่นอน ผมจำได้ รูปร่างหน้าตา ลักษณะท่าทาง ไม่มีผิดเพี้ยนจากนิมิตเลย...” น่าเคลิ้มไหมล่ะ...มีลูกศิษย์ทรงอภิญญาเชียวนี่...

    สุวรรณา ลูกสาวลุงถนอม ตอกย้ำความเชื่อของครอบครัวให้ศรัทธาหนักเข้าไปอีกว่า “หนูเห็นกับตาจริง ๆ ท่านเดินทะลุประตูเข้ามา ทั้ง ๆ ที่ประตูล็อกอยู่...” เอาเข้าไป...เอาให้หนัก...

    น้องแสงชัย น้องชายอาตมา มักจะพบอาตมาไปสอนในนิมิตเสมอ แล้วไปประกาศปาว ๆ ว่า อาตมาเก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้ ไอ้ตัวเขาเก่งอยู่แล้ว มาว่าเราเก่งเข้าก็เละหนักเลยซิ...

    “หลวงพี่ไปหาผมที่ซาอุดิอาระเบียเวลาตีสองกว่า ตรงกับประมาณตีห้าของเมืองไทย ลืมตาก็เห็น หลับตาก็เห็น...” นั่น...เอาให้พอ ไอ้เรานอนกรนตูดโด่งอยู่แท้ ๆ ...!

    นี่เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ที่ละเอียดจนนึกไม่ถึงในเล่ห์กลของมาร ยังมีอีกมากนัก บอกได้เลยว่า มารนั้นแฝงอยู่ในทุกลมหายใจเข้าออก มันเดินบนทางแห่งความดีนี่แหละ พอถึงจุดสุดท้าย มันดึงท่านออกนอกทางก้าวเดียว ลงเหวไปกับมันทันที...!

    พอคำสรรเสริญเยินยอมา ชื่อเสียงลาภยศก็ไหลมาเทมา คราวนี้แหละ สารพัดบ่วงที่จะเค้นคอท่านให้ตาย เป็นทาสมันอย่างไม่รู้ผุดรู้เกิดเลย...

    อยากเด่นอยากดังรึ...? โอ๊ย...มีคนโฆษณาแทนท่านเป็นร้อยเป็นพัน สารพัดปาฏิหาริย์แปลกจนคิดไม่ถึง เดี๋ยวก็มีหนังสือมาสัมภาษณ์ เอาไปลงให้ดังหนักเข้าไปอีก...

    โลภในลาภรึ...? สารพัดเงินทองข้าวของเครื่องใช้ จะเอาทันสมัยใหม่ล่าสุดเพียงไรได้ทั้งนั้น ตัวเลขในบัญชีธนาคารขึ้นพรวดพราด ยิ่งกว่าน้ำป่าบ่าไหลซะอีก...

    อยากมีบริวารมากรึ...? เอาไปเลย คนมาหมอบราบกราบกรานเป็นร้อยเป็นพัน จะเอานายพันนายพลมีทั้งนั้น พูดคำไหนบริวารเป็นกระตั้กรีบสนองความต้องการทันที...

    ตายครับ...ตายสนิทไม่ต้องกระดิกเลย ไม่มีแม้แต่เวลาจะหลับจะนอน เวลาปฏิบัติจะเอามาจากไหน ยิ่งทิ้งการปฏิบัติ มารยิ่งชอบใจ ฮ่า...เสร็จข้าล่ะ...!

    เท่านั้นเอง ปณิธานปรารถนาจะปฏิบัติเพื่อเข้าถึงอรหัตตผลพระนิพพาน ก็สลายเป็นอากาศธาตุ กลายเป็นบรรลุซึ่งคฤหัสถผลมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ไอ้ที่จมจ่อมยอมเลวอยู่ทั้งผ้าเหลือง รอเวลาลงอเวจีหรือโลกันต์อีกนับไม่ถ้วน...

    นี่แหละ...ตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของมารที่มาลวงท่านให้หลงติดบ่วงของมัน ต้องใช้สติสัมปชัญญะมาก ๆ ประกอบด้วยปัญญารู้เท่าทันมันให้ได้ ถึงรู้ช้าหน่อยก็ขอให้รู้แล้วกัน พยายามมุ่งลัดตัดตรงไปตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่ตายเข้านิพพานเพียงไร อย่าไว้วางใจอะไรทั้งนั้น มารยังรอท่านอยู่...!

    ๑ เมษายน ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    c_oc=AQkkFwqlIWayPPupua5RmfgpDBUXy66X9Z_earI2MCeaCzIvoDQApn6logp-bSJtZ4g&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ชุมชนคุณธรรมฯวัดท่าขนุน

    "เรื่องของมาร อาตมายืนยันว่ามารมีตัวมีตนจริง ๆ สมัยเด็ก ๆ สวดมนต์ เขาว่า "รุมพลพหลพยุหะปาน พระสมุทรนองมา" ท่านว่า เขายกพหลพลโยธามาเหมือนกับน้ำในมหาสมุทรที่ไหลนองมา พร้อมที่จะท่วมทับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่ได้เจอด้วยตัวเองอาตมาก็คงจะไม่เชื่อ แต่พอเจอด้วยตัวเอง ต้องยอมรับว่าเขามีตัวตนจริง ๆ แรก ๆ ยังคิดว่าเขาเป็นแค่อารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เขามีตัวมีตน มีหน้ามีตา มีอะไรทุกอย่าง มีกระทั่งขันธ์ ๕ เหมือนกับเรานี่แหละ แต่ของเขาเป็นขันธ์ทิพย์เท่านั้น

    คราวนี้การขวางของมาร เขาสามารถใช้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างในการสร้างสถานการณ์ เพื่อให้เราออกห่างจากพระรัตนตรัย ยิ่งมากยิ่งดี จำไว้ให้แม่น ๆ เลยนะ ห่างพระรัตนตรัยเมื่อไรก็คือห่างความดี ห่างความดีโดยเฉพาะพระรัตนตรัย เราจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันไม่ได้ เขาก็จะพยายามแหย่อยู่ในลักษณะนี้

    แล้วสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมานี่แนบเนียนมาก ยิ่งกว่าไปเล่นหมากรุกกับพวกเซียนหมากรุกที่เป็นแชมป์โลกอีก กินเรา ๒๐ ต่อ ไม่มีโอกาสกระดิกเลย ทุกเรื่องจะดูสมเหตุสมผล พอเหมาะพอดีพอควรไปหมด จนกระทั่งเราปักใจมั่นเลยว่า อันนี้ต้องเป็นอย่างนี้แน่ อันนั้นต้องเป็นอย่างนั้นแน่ แล้วเราจะเผลอก้าวออกไป กลายเป็นห่างความดี ห่างพระศาสนาไปเลย"

    คัดลอกข้อความเพียงบางส่วนมากจาก
    เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ : บรรยายธรรม ณ บ้านตลิ่งชัน วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (๐๑)

    ถ่ายภาพจาก วัดท่าขนุน
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    c_oc=AQl2lZMfk0Kd3K4A502sfLrDKDZRubNMm-IE1jBi21Q4f1yitNTNc7yFczgIOOM7GKg&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    +++ มารเป็นคนแนะนำให้ทำ +++

    พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ที่ลงมาช้าเพราะเมื่อเช้าทำบัญชี เสร็จแล้วก็คัดลอกไฟล์ใหม่เพื่อที่จะเอาไปสำรองไว้ พอลบไฟล์เก่า #ปรากฏว่าไม่ได้ลบไฟล์เฉย ๆ เล่นลบโฟลเดอร์งานไป ๓ ปี หน้ามืดสนิท..!

    #บทจะโดนแกล้งนี่เขาแกล้งสาหัสจริง ๆ ก็เลยคิดหาวิธี จะทำอย่างไรดี ? ให้เขาหาเศษกระดาษที่ลงบัญชีเมื่อวาน เพิ่งจะทิ้งถังขยะ #ปรากฏว่าทิ้งของมาเป็นตะกร้าเลย เขาหาคืนได้แค่ ๓-๔ ชิ้น #เหมือนกับทันทีที่ทิ้งก็มีใครเอาไปกินอย่างนั้นแหละ เป็นไปได้อย่างไร ? มีคนกินเศษกระดาษด้วย ?

    ขึ้นไปนั่งเซ็งอยู่ข้างบน จะถามพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็คงโดนถีบมากกว่า #เลยใช้วิธีนึกย้อนหลังว่าเมื่อวานเราทำอะไรบ้าง แล้วก็ไล่พิมพ์ไปเรื่อย #อาจจะขี้โกงหน่อย#แต่ก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นบัญชีก็ไม่เสร็จ

    บางคนเขาว่าอาตมาความจำดี #แต่ถ้าความจำช่วยไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ นึกย้อนไปเมื่อวานเราทำอะไรบ้าง เมื่อคืนเราทำอะไรบ้าง เมื่อเช้าเราทำอะไรบ้าง #นึกได้ก็ลงไล่ไปเรื่อย ๆ ของเก่า ๒ ปีไม่ยากหรอก เพราะมีไฟล์สำรองอยู่ในฮาร์ดดิสก์ แค่ไปคัดลอกมาลงก็จบแล้ว #แต่ของที่ทำเมื่อคืนกับเมื่อเช้านี่ แหม...#ยังไม่ทันจะสำรองไว้ที่ไหนเลย #ดันลบไปซะก่อน

    ตอนแรกอาตมาก็สงสัยว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ นี่มารรู้ด้วยหรือ ? #ปรากฏว่าพ่อเจ้าประคุณหัวเราะก๊ากเลย #บอกว่าก็เขาเป็นคนสร้างเอง จะไม่รู้ได้อย่างไร ? สรุปแล้วเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทั้งหลายทั้งปวง #มารเป็นคนแนะนำให้ทำ เพื่อที่เราจะได้ยึดติดเยอะ ๆ จะได้อยู่กับเขาต่อไป"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๘
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    [๕๕๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ มิคทายวัน ในเภสกลาวันเขตเมืองสุงสุมาร
    คีระ ในภัคคชนบท.
    สมัยนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ถูกมารผู้ลามกเข้าไปในท้องในไส้
    ได้มีความดำริว่า ท้องเราเป็นดังว่ามีก้อนหินหนักๆ และเป็นเช่นกะทออันเต็มด้วยถั่วหมัก เพราะ
    เหตุอะไรหนอ จึงลงจากจงกรมแล้วเข้าไปสู่วิหาร นั่งอยู่บนอาสนะที่ปูไว้ ครั้นนั่งแล้ว ได้ใส่ใจ
    ถึงมารที่ลามกด้วยอุบายอันแยบคายเฉพาะตน.
    [๕๕๘] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารผู้ลามก เข้าไปในท้องในไส้แล้ว ครั้นแล้ว
    จึงเรียกว่า ดูกรมารผู้ลามก ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตและ
    สาวกของพระตถาคตเลย วิเหสนกรรมนั้น อย่าได้มีเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์แก่ท่าน
    ตลอดกาลนาน.
    ลำดับนั้น มารมีความดำริว่า สมณะนี้ไม่รู้และไม่เห็นเรา จึงกล่าวว่า ดูกรมารผู้ลามก
    ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตและสาวกของพระตถาคตเลย
    วิเหสนกรรมนั้น อย่าได้มีเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน ดังนี้ แล้ว
    จึงดำริว่า แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่พึงรู้จักเราได้เร็วไว ก็สมณะที่เป็นสาวกไฉน จักรู้จักเรา
    ได้.
    ในขณะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้บอกว่า ดูกรมารผู้ลามก เรารู้จักท่านแม้ด้วยเหตุนี้
    แล ท่านอย่าเข้าใจว่า สมณะนี้ไม่รู้จักเรา ท่านเป็นมาร ท่านมีความดำริว่า สมณะนี้ไม่รู้และไม่
    เห็นเรา จึงกล่าวว่า ดูกรมารผู้ลามก ท่านจงออกมา ฯลฯ ก็สมณะที่เป็นสาวกไฉน จักรู้จักเรา.
    ลำดับนั้น มารมีความดำริว่า สมณะนี้รู้จักและเห็นเรา จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรมารผู้ลามก
    ท่านจงออกมา ฯลฯ วิเหสนกรรมนั้น อย่าได้มีเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์แก่ท่านตลอด
    กาลนาน ดังนี้ แล้วจึงออกจากปากท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วยืนอยู่ที่ข้างบานประตู.
    [๕๕๙] ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้เห็นมารผู้ลามกยืนอยู่ที่ข้างบานประตู ครั้นแล้ว
    จึงกล่าวว่า ดูกรมารผู้ลามก เราเห็นท่านแม้ที่ข้างบานประตูนั้น ท่านอย่าเข้าใจว่า สมณะนี้ไม่
    เห็นเรา ท่านนั้นยืนอยู่แล้วที่ข้างบานประตู. ดูกรมารผู้ลามก เรื่องเคยมีแล้ว เราเป็นมารชื่อทูสี
    มีน้องหญิงชื่อกาลี ท่านเป็นบุตรน้องหญิงของเรานั้น ท่านนั้นได้เป็นหลานชายของเรา. ครั้งนั้น
    พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลก.
    พระองค์มีคู่พระมหาสาวกชื่อวิธุระและชื่อสัญชีวะเป็นคู่เจริญเลิศ. พระสาวกของพระผู้มีพระภาค
    พระนามว่ากกุสันธะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีประมาณเท่าใด ในพระสาวกมีประมาณเท่านั้น
    ไม่มีองค์ใดที่จะสม่ำเสมอด้วยท่านพระวิธุระในทางธรรมเทศนา. ด้วยเหตุนี้ ท่านพระวิธุระจึงมี
    นามเกิดขึ้นว่า วิธุระ วิธุระ. ส่วนท่านพระสัญชีวะ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่าง
    เปล่าก็ดี ย่อมเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธด้วยความลำบากเล็กน้อย. ดูกรมารผู้ลามก เรื่องเคยมีแล้ว
    ท่านพระสัญชีวะนั่งเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง. พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยง
    ปศุสัตว์ พวกคนไถนา และพวกคนเดินทาง ได้เห็นท่านพระสัญชีวะนั่งเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
    อยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง ครั้นแล้วได้ปรึกษากันว่า ท่านผู้เจริญ นี่น่าอัศจรรย์แปลกปลาด
    หนอ พระสมณะนี้นั่งทำกาละเสียแล้ว มิฉะนั้น พวกเราจงเผาท่านเถิด. ครั้งนั้น คน
    เหล่านั้นจึงหาหญ้าไม้ และโคมัยมากองสุมกายท่านพระสัญชีวะ เอาไฟจุดเผาแล้วหลีกไป.
    เมื่อล่วงราตรีนั้นแล้ว ท่านพระสัญชีวะออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ก็สลัดจีวร เวลาเช้า นุ่งห่ม
    แล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต. พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงปศุสัตว์
    พวกคนไถนา และพวกคนเดินทาง ได้เห็นท่านพระสัญชีวะเที่ยวบิณฑบาตแล้ว ก็ปรึกษากันว่า
    ท่านผู้เจริญ นี่น่าอัศจรรย์ แปลกปลาดหนอ พระสมณะนี้นั่งทำกาละแล้ว พระสมณะนี้นั้น
    กลับมีสัญญาอยู่แล้ว. ด้วยเหตุนี้ ท่านพระสัญชีวะจึงได้มีชื่อเกิดขึ้นว่า สัญชีวะ สัญชีวะ.
    [๕๖๐] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแหละ ทูสีมารมีความดำริว่า เราไม่รู้จักความมาและ
    ความไปของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้ ถ้ากระไร เราพึงดลใจพวกพราหมณ์และคฤหบดีว่า
    มาเถิด พวกท่านจงด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียน พวกภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ถ้าไฉน
    ภิกษุเหล่านั้นถูกพวกท่านด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียนอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยอาการที่
    ทูสีมารพึงได้ช่อง.
    ครั้งนั้น ทูสีมารก็ดลใจพวกพราหมณ์และคฤหบดีตามดำรินั้น พวกพราหมณ์และคฤหบดี
    ถูกทูสีมารดลใจแล้ว ก็ด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียน พวกภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมว่า
    ภิกษุเหล่านี้ เป็นสมณะหัวโล้น เป็นคฤหบดี เป็นค่าง เป็นผู้เกิดแต่หลังเท้าของพรหม พูดว่า
    พวกเราเจริญฌาน พวกเราเจริญฌาน เป็นผู้คอตก ก้มหน้า เกียจคร้าน ย่อมรำพึง ซบเซา
    หงอยเหงา. เหมือนนกเค้าจ้องหาหนูที่กิ่งต้นไม้ และเหมือนสุนัขจิ้งจอกจ้องหาปลาใกล้ฝั่งน้ำ
    และเหมือนแมวจ้องหาหนูที่ที่ต่อเรือนอันรุงรัง และกองหยากเหยื่อ และเหมือนลาที่ปลดต่างแล้ว
    ต่างก็รำพึง ซบเซา เหงาหงอยอยู่ฉะนั้น. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้น มนุษย์เหล่าใดทำกาละไป
    มนุษย์เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    โดยมาก.
    [๕๖๑] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ทรงพระนามว่ากกุสันธะ เป็นพระ
    อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วรับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวก
    พราหมณ์และคฤหบดีถูกทูสีมารดลใจชักชวนว่า มาเถิด พวกท่านจงด่า บริภาษ เสียดสี
    เบียดเบียน พวกภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ถ้าไฉน ภิกษุเหล่านั้นถูกพวกท่านด่า บริภาษ เสียดสี
    เบียดเบียนอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยอาการที่ทูสีมารพึงได้ช่อง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มาเถิด
    พวกเธอจงมีจิตสหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่เถิด แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่
    ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีจิตสหรคตด้วยเมตตา อันกว้างขวาง
    เป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลก มีสัตว์ทั้งมวล โดยความมี
    ตนทั่วไป ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง อยู่ดังนี้เถิด. มีจิตสหรคตด้วยกรุณา ...
    มีจิตสหรคตด้วยมุทิตา ... มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่เถิด แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒
    ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา
    อันกว้าง เป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลก มีสัตว์ทั้งมวล
    โดยความมีตนทั่วไป ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง อยู่ดังนี้เถิด. ครั้งนั้น
    ภิกษุทั้งหลายอันพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
    สั่งสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี ก็มี
    จิตสหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่ แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น
    แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีจิตสหรคตด้วยเมตตา อันกว้างขวาง เป็นใหญ่ หาประมาณ
    มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกมีสัตว์ทั้งมวล โดยความมีตนทั่วไป ในที่ทั้งปวง
    ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางอยู่ ดังนี้. มีจิตสหรคตด้วยกรุณา ... มีจิตสหคตด้วยมุทิตา ...
    มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่ แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น
    แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา อันกว้างขวาง เป็นใหญ่ หาประมาณ
    มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกมีสัตว์ทั้งมวล โดยความมีตนทั่วไป ในที่ทั้งปวง
    ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางอยู่ ดังนี้.
    [๕๖๒] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ทูสีมารมีความดำริดังนี้ว่า เราทำอยู่แม้ถึงอย่างนี้แล
    ก็มิได้รู้ความมาหรือความไปของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้เลย ถ้ากระไร เราพึงชักชวน
    พวกพราหมณ์และคฤหบดีว่า เชิญท่านทั้งหลายมา สักการะ เคารพ นับถือ บูชา
    ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมกันเถิด แม้ไฉน เมื่อภิกษุเหล่านั้นอันท่านทั้งหลาย
    สักการะ เคารพ นับถือ บูชาอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยประการที่ทูสีมารพึงได้ช่อง. ดูกร
    มารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ทูสีมารชักชวนพราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้นว่า เชิญท่านทั้งหลายมา
    สักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมกันเถิด แม้ไฉน เมื่อภิกษุ
    เหล่านั้นอันท่านทั้งหลายสักการะ เคารพ นับถือ บูชาอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยประการ
    ที่ทูสีมารพึงได้ช่อง ดังนี้. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น ถูกทูสีมาร
    ชักชวนแล้ว พากันสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม. ดูกรมารผู้
    ลามก สมัยนั้นแล มนุษย์เหล่าใดกระทำกาละไป มนุษย์เหล่านั้น เมื่อกายแตกตายไป ย่อม
    เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์โดยมาก.
    [๕๖๓] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคพระนามว่า กกุสันธะ ผู้เป็นพระ
    อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกพราหมณ์
    และคฤหบดีอันทูสีมารชักชวนว่า เชิญท่านทั้งหลายมาสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลาย
    ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมกันเถิด แม้ไฉน เมื่อภิกษุเหล่านั้นอันท่านทั้งหลายสักการะ เคารพ
    นับถือ บูชาอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยประการที่ทูสีมารพึงได้ช่อง ดังนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เชิญท่านทั้งหลายจงพิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล มีความ
    สำคัญในโลกทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวงว่าเป็นของไม่เที่ยงอยู่เถิด. ดูกร
    มารผู้ลามก ภิกษุเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมา-
    *สัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือน
    ว่างเปล่าก็ดี ก็พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล มีความ
    สำคัญในโลกทั้งปวง ว่าไม่น่ายินดี พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวง ว่าเป็นของไม่เที่ยงอยู่.
    [๕๖๔] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคพระนามว่า กกุสันธะ
    ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครองสงบ แล้วทรงบาตรและจีวร มีท่านพระวิธุระเป็น
    ปัจฉาสมณะ เสด็จเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ทูสีมารเข้าสิงเด็ก
    คนหนึ่ง แล้วเอาก้อนหินขว้างที่ศีรษะท่านพระวิธุระศีรษะแตก. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล
    ท่านพระวิธุระมีศีรษะแตกเลือดไหลอยู่ เดินตามเสด็จพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็น
    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไปข้างหลังๆ. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค
    พระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงชำเลือง ดูเหมือนช้างชายตาดู
    ด้วยตรัสว่า ทูสีมารนี้มิได้รู้ประมาณเลย. ดูกรมารผู้ลามก ก็แหละทูสีมารเคลื่อนแล้วจากที่นั้น
    และเข้าถึงมหานรก พร้อมด้วยพระกิริยาที่ทรงชำเลืองดู.
    [๕๖๕] ดูกรมารผู้ลามก ก็มหานรกนั้นแลมีชื่อ ๓ อย่าง ชื่อฉผัสสายตนิกะก็มี
    ชื่อสังกุสมาหตะก็มี ชื่อปัจจัตตเวทนียะก็มี. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พวกนายนิรยบาล
    เข้ามาหาเราแล้ว บอกว่าเมื่อใดแล หลาวเหล็กกับหลาวเหล็กมารวมกันที่กลางหทัยของท่าน
    เมื่อนั้น ท่านพึงรู้ว่า เราไหม้อยู่ในนรกพันปีแล้ว. ดูกรมารผู้ลามก เรานั้นแล หมกไหม้อยู่ใน
    มหานรกนั้นหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี และหมกไหม้อยู่ในอุสสทนรกแห่งมหานรก
    นั้นแล เสวยทุกขเวทนาหนักกว่าก่อนอีกหมื่นปี. เรานั้นมีกายเห็นปานนี้คือ มีศีรษะเหมือนศีรษะ
    มนุษย์ก็มี เหมือนศีรษะปลาก็มี.

    อวสานคาถา
    [๕๖๖] ทูสีมารประทุษร้ายพระสาวกชื่อวิธุระ และพระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐ
    พระนามว่ากกุสันธะ แล้วไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นไร ทูสีมาร
    ประทุษร้ายพระสาวกชื่อวิธุระ และพระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐพระนามว่า
    กกุสันธะ แล้วไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นนี้ คือ มีหลาวเหล็ก
    ร้อยหนึ่ง ล้วนให้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ภิกษุใดเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า
    ย่อมรู้จักนรกนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์
    อย่างหนัก วิมานทั้งหลายตั้งอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร มีความตั้งอยู่
    ตลอดกัป มีสีเหมือนแก้วไพฑูรย์ มีความรุ่งเรือง มีรัศมีโชติช่วง เป็น
    ประภัสสร พวกนางอัปสรมีวรรณะต่างๆ เป็นอันมาก ฟ้อนรำอยู่ที่วิมาน
    เหล่านั้น ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักวิมานนั้น มาร
    ประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก ภิกษุใดแล อัน
    พระพุทธเจ้าทรงเตือนแล้ว เมื่อภิกษุสงฆ์เห็นอยู่ ยังปราสาทของมิคาร-
    *มารดาให้ไหวด้วยปลายนิ้วเท้า ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อม
    รู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก
    ภิกษุใดเข้มแข็งด้วยกำลังฤทธิ์ ยังเวชยันตปราสาท ให้ไหวด้วยปลาย
    นิ้วเท้า และยังพวกเทวดาให้สังเวช ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
    ย่อมรู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้าย ภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์
    อย่างหนัก ภิกษุใดทูลสอบถามท้าวสักกะในเวชยันตปราสาทว่า ดูกรท่าน
    ผู้มีอายุ ท่านย่อมรู้ความน้อมจิตไปในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาบ้างหรือ ท้าว-
    สักกะถูกถามปัญหาแล้ว พยากรณ์แก่ภิกษุนั้นตามควรแก่กถา ภิกษุใด
    เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น
    ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก ภิกษุใด ย่อมสอบถามพรหม ณ ที่ใกล้
    สุธรรมาสภาว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ทิฏฐิของท่านในวันนี้ และทิฏฐิของท่าน
    มีในวันก่อน ท่านย่อมเห็นทิฏฐินั้นล่วงไปแล้ว และรัศมีเป็นประภัสสร
    ในพรหมโลกบ้างหรือ พรหมพยากรณ์แก่ภิกษุนั้นตามลำดับ โดยควรแก่
    กถาว่า ดูกรท่านผู้นฤทุกข์ ข้าพเจ้าไม่มีทิฏฐินั้น และทิฏฐิในวันก่อน
    ข้าพเจ้าเห็นทิฏฐินั้นล่วงไปแล้ว และเห็นรัศมีเป็นประภัสสรในพรหมโลก
    (ฉะนั้น) วันนี้ ข้าพเจ้าจะกล่าวว่า เราเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน ได้อย่างไร
    ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุ
    เช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก ภิกษุใดได้กระทบยอดภูเขามหาเนรุด้วย
    ชมพูทวีปด้วย ทวีปของชาวปุพพวิเทหะด้วย พวกนรชนผู้อยู่ในแผ่นดิน
    [ชาวอมรโคยานทวีป และชาวอุตตรกุรุทวีป] ด้วยวิโมกข์ ภิกษุใดเป็น
    สาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้เหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อม
    ประสบทุกข์อย่างหนัก ก็คนพาลมาเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชน ย่อม
    เดือดร้อนอยู่ว่า ไฟย่อมไม่คิดจะเผาเรา แต่เราย่อมเผาตนผู้เป็นคนพาลเอง
    ดูกรมาร ท่านเบียดเบียนพระตถาคตแล้วจักเผาตัวเอง ดังคนพาลที่ถูก
    ไฟเผา ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรมาร ท่านเบียดเบียนพระตถาคตแล้ว ต้อง
    ประสบบาปมิใช่บุญ ท่านอย่าสำคัญว่า บาปไม่ให้ผลแก่เราหรือหนอ
    การกชนที่สั่งสมบาป ย่อมโอดครวญตลอดกาลนาน ดูกรมาร ท่าน
    เบื่อหน่ายพระพุทธเจ้า อย่าได้ทำความหวัง [ซึ่งความพินาศ] ในภิกษุ
    ทั้งหลายเลย ภิกษุได้คุกคามมารในเภสกลาวัน ด้วยประการฉะนี้ ลำดับ
    นั้น มารนั้นมีความเสียใจได้หายไปในที่นั้น ฉะนี้แล.

    จบมารตัชชนียสูตร ที่ ๑๐
    จบจูฬยมกวรรคที่ ๕

    รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
    ๑. สาเลยยกสูตร ๒. เวรัญชกสูตร ๓. มหาเวทัลลสูตร ๔. จูฬเวทัลลสูตร

    ๕. จูฬธรรมสมาทานสูตร ๖. มหาธรรมสมาทานสูตร ๗. วีมังสกสูตร ๘. โกสัมพิยสูตร
    ๙. พรหมนิมันตนิกสูตร ๑๐. มารตัชชนียสูตร ฯ

    จบมูลปัณณาสก์


    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ บรรทัดที่ ๑๐๒๘๗ - ๑๐๔๕๘. หน้าที่ ๔๒๔ - ๔๓๐.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=10287&Z=10458&pagebreak=0
    ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=557
    สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒
    http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๑๒</U>
    http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_12
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    #ผู้ขวางการทำความดี

    ถาม: เวลานั่งสมาธิแล้วรู้สึกปวด ?
    ตอบ: เรื่องของร่างกาย ภาษาทางพระเรียกว่า "ขันธมาร"
    มาร คือสิ่งที่จะมาขวางไว้ไม่ให้เราทำความดี ปกติเราก็เป็นสาวกของมารอยู่แล้ว แต่ถ้าใครดิ้นรนทำความดี จะหลุดจากอำนาจของเขา เขาก็จะพยายามขัดขวางเรา
    มารมีอยู่ด้วยกัน ๕ อย่างคือ

    #กิเลสมาร ความชั่วที่นอนนิ่งอยู่ในใจมานาน ถึงเวลาก็อาละวาดออกมา

    #อภิสังขารมาร เป็นบุญ-บาปที่เราทำมาสามารถขวางเราได้ ในเรื่องของบุญถ้าเราสามารถทรงอรูปฌานได้ ตายไปเป็นอรูปพรหม ตัวอย่างเช่น สามารถทรงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานได้ ต้องอยู่เป็นอรูปพรหมแปดหมื่นสี่พันมหากัป ไม่ต้องทำมาหากินอะไรเลย จะเห็นว่าความดีก็ขวางได้ ส่วนความชั่วนั้นขวางเราเป็นปกติอยู่แล้ว

    #ขันธมาร คือร่างกายเรา เดี๋ยวเจ็บตรงโน้น เดี๋ยวปวดตรงนี้ เดี๋ยวเมื่อยตรงนั้น เขาไม่ต้องการให้เราทำความดี ก็เลยดึงความสนไปจากจุดเฉพาะหน้า การที่เราปฏิบัติภาวนา เขาไม่ให้สนใจยึดติดร่างกายอยู่แล้ว คราวนี้เราถูกดึงไปยึดก็จะไม่ก้าวหน้า

    #เทวปุตตมาร เทวดาเขามาลองใจ ทำโน่นทำนี่ให้เห็น เราไปยึดติดตามนั้นหรือเปล่า ? ถ้าเราไปยึดติดก็เสร็จเขา ถ้าไม่ยึดติดก็ผ่านไปได้สบาย

    #มัจจุมาร ความตายมาขวาง เห็นว่ากำลังใจของเรา เด็ดเดี่ยวแน่นอนแล้ว ไม่สามารถที่จะดึงเราไว้ได้แล้ว แต่ว่าบังเอิญเรามีกรรมเก่าที่เป็นปาณาติบาตใหญ่เอาไว้ เขาเลยฉวยโอกาสตอนกรรมนั้นเข้า ทำให้เกิดอุบัติเหตุให้เราตายไปเลย จะได้ไม่ต้องหนีพ้นเขา เสียไปชาติหนึ่งฟรี ๆ

    ฉะนั้น..เจ้าพวก ๕ ตัวนี้จะคอยขวางการทำความดีของเราอยู่ตลอดเวลา

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
    ที่มา : www.watthakhanun.com
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    +++ ฤทธิ์เทวปุตตมาร +++

    หมอกมืดมัวจนแทบมองไม่เห็นทาง อาตมาต้องช่วยน้องเล็กเพ่งดู คนหนึ่งสายตายาว คนหนึ่งสายตาสั้น เวลามีอะไรผิดปกติจะได้เตือนกันทัน หือม์..ผิดปกติ..??

    "ใช่..ท่านจะไปรับบิณฑบาต #ผมก็ต้องทำหน้าที่ขวางตามระเบียบ" โธ่..ไอ้เขี้ยวนี่เอง ไม่มีอะไรจะทำแล้วหรือวะ ? "มีครับ ก็ขวางท่านอยู่นี่ไง..!"

    "ถามจริง..มีความสุขมากใช่ไหม ที่ได้ขวางคนอื่นเขา ?"

    "ไม่ใช่ครับ #นี่เป็นหน้าที่ซึ่งต้องทำต่างหาก ผมอุตส่าห์ไล่คนออกจากวัด เห็นไหมครับ..? งานพิธีทางศาสนาห้ามมีคนเกิน ๒๐ คน แต่งานรื่นเริงมีได้ ๒๐๐ คน #ทำจนขนาดนี้แล้ว #ท่านยังทำโครงการดึงคนเข้าวัดอีก ผมก็ต้องขวางเป็นธรรมดา"

    เอาวะ..เอ็งขวางได้ก็ขวางไป อาตมากลับไปถึงวัดท่าขนุนตีห้าเศษ กลัวว่าถ้านอนพักจะโดนพ่อเจ้าประคุณแกล้งให้เผลอหลับยาว #จึงนั่งอ่านหนังสือจนหกโมงสิบห้านาที #ก็นำพระเณรออกบิณฑบาตเลย แต่..พอเดินถึงหน้าตลาด รู้สึกง่วงจนแทบจะเดินไม่ออก..!

    "อะไรอีกวะนี่ ?"
    "ยาครับ..ยาที่ท่านฉันเมื่อตอนออกเดินทาง เพิ่งจะออกฤทธิ์ครับ..!”"
    "เฮ้ย..ตั้งสามสี่ชั่วโมงมาแล้วนะ..?"
    "จำได้ไหมครับ ? เมื่อ ๒๙ ปีที่แล้ว #หลวงพ่อของท่านแทบจะยืนไม่ติด #ตอนที่ออกรับแขก #ขนาดต้องหามใส่เก้าอี้ไป" นั่นก็ฝีมือเอ็งหรอกหรือ ?

    "รับด้วยความภูมิใจว่าใช่ครับ #ผมทำหน้าที่อย่างเต็มที่เลยนะนั่น"
    "ถามจริงอีกที..เอ็งทำได้อย่างไรวะ ? ยากินลงไปตั้งนานเนกาเล แล้วไม่ออกฤทธิ์ ?"
    "ง่ายจะตายไป..#ก็แค่ใช้พลังงานห่อหุ้มเอาไว้ก่อน #พอจะให้ออกฤทธิ์ตอนไหนก็ค่อยปล่อยให้ละลาย อาศัยขันธมาร ๕ ส่วน อภิสังขารมาร ๔ ส่วน เทวปุตตมารอย่างผมออกแรงแค่ ๑ ส่วนเท่านั้น"

    "อภิสังขารมารเกี่ยวอะไรด้วยวะ ?"
    "ท่านอย่าทำเป็นความจำสั้น ออกรบมากี่ครั้ง ? วางยาข้าศึกไปเท่าไร ? #ผมก็แค่เอาการกระทำของท่านมาส่งคืนให้ท่านเท่านั้นเอง..!"

    เออ..เอ็งเก่ง..! พยายามตั้งสติเดินให้ตรงทาง #ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราจริง#แทบจะบังคับให้เดินไม่ได้เอาเลย ต้องใช้กำลังกายกำลังใจแบบสุดความสามารถ ที่จะต้านฤทธิ์ยาเอาไว้ ไม่ให้หลับหรือล้มจนคนเขาแตกตื่นกันทั้งตลาด พยายามหายใจยาว ๆ เพื่อเรียกความสดชื่นให้กับร่างกาย #แต่หน้ากากอนามัยก็ทำให้หายใจไม่ถนัดอีก นายแน่มากเลยว่ะ..!

    มาถึงสวนสาธารณะหัวสะพานแขวนหลวงปู่สาย ท่านนายกฯ ประเทศ บุญยงค์ นำชาวบ้านและนักท่องเที่ยวมารออยู่แล้ว ทีข้าบ้างละนะ..!

    "สะหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพพะจักขุง วิโสธายิ อิกะวิติ พุทธะสังมิ โลกะวิทู"


    #แสงสว่างลำมหึมาแหวกม่านหมอกมืดมัวของ "พลังมาร" #พุ่งตรงลงมาครอบคลุมทั่วบริเวณจนสว่างไสวไปทั่ว อาตมาให้ศีล ให้พร แล้วเดินรับบาตรแบบสบายใจเฉิบ..!

    "#เก่งเหมือนกันนี่หว่า #ถึงแม้ว่าจะขี้โกงด้วยการใช้กำลังของพระของเทวดามาช่วยก็เถอะ"

    "แน่น้อนนน..#ขืนแสดงตั้งแต่ต้นทาง #เอ็งก็เปลี่ยนวิธีแกล้งอีก จึงต้องรอจนวินาทีสุดท้ายค่อยปล่อยไม้ตาย ขงเบ้งบอกว่า "#แกล้งโง่ไม่เป็น #เป็นใหญ่ไม่ได้โว้ย..!"

    เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๔
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ถาม : มารใช้วิธีกระตุ้นกิเลสที่มีอยู่แล้วในใจคนให้กำเริบขึ้น ทำให้คนเราทำความชั่วได้ง่าย ในทางกลับกัน เราพอจะมีวิธีกระตุ้นให้ความดีในใจคนให้รุนแรงขึ้น เพื่อที่คนเราจะได้มีกำลังใจในการทำความดีเพิ่มขึ้น แบบมีประสิทธิผลไม่แพ้มารบ้างไหมครับ ?

    ตอบ : นั่งสมาธิให้ได้ตั้งแต่ปีติขึ้นไป กระตุ้นดียิ่งกว่าเสพยาบ้าอีก แต่ต้องระวัง..ถ้าขยันจนลืมการพักผ่อน มารจะแทรกเข้ามาได้ง่าย..!

    __________________
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๔
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    l7-oJJlVkae6usd326wOKlm84Le6Mp3TJBqXXeMkP6uM&_nc_ohc=nS1RzFNcZEwAX_Bih9t&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    1f64f.png ถาม : .................................
    1f496.png ตอบ : ไม่ได้ขาด จริง ๆ แล้วเขามั่นคง เพียงแต่เวลาเจอข้อสอบก็รวนเหมือนกัน ข้อสอบพวกนี้เวลามาทดสอบเรา จะเป็นจุดอ่อนของเราทั้งนั้น เพราะฉะนั้น..แน่แค่ไหนก็รวนทั้งนั้นแหละ ยกเว้นว่าเจอมาเยอะจนอ่านเชิงกันออก ก็จะรู้ว่าควรแก้ไขวิธีไหนถึงจะได้ง่ายที่สุด

    ลักษณะของกำลังใจตก ที่เขาเรียก จิตตก สมาธิตก จะเหมือนกับคนหกล้ม
    สมมุติว่า คน ๒ คนหกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกแล้วเดินไปเลย ขณะที่อีกคนหนึ่งนั่งคร่ำครวญ "โอ๊ย...เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน ไม่น่าเลย เดินมาตั้งนานแล้ว ล้มได้อย่างไร ?" ถามว่าใครจะได้ระยะทางมากกว่ากว่ากัน ? คำตอบก็ต้องเป็นคนที่ล้มแล้วลุกเลย..ใช่ไหม ?

    เรื่องของการทำความดีเหมือนกัน ถ้าเวลาผิดพลาดอะไรไป เช่น ละเมิดศีล ทำให้กำลังใจตก สมาธิคลายตัว ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาทำใหม่ ครู่เดียวก็จะได้เหมือนเดิม ถ้ายิ่งไปนั่งคร่ำครวญเสียเวลานานเท่าไร นั่นก็คือสิ่งที่มารเขาต้องการ เพราะเขาอยากจะให้เราเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว จะได้ไปถึงจุดหมายช้า ยิ่งไปถึงช้าเท่าไร เขาก็มีโอกาสที่จะดึงเราให้ติดอยู่ในวัฏสงสารมากเท่านั้น
    ...........................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี

    ..........................................
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...