โยนกนาคนคร อดีตนครแห่งแผ่นดินไหว

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย โยนกนาคบุรี, 11 มกราคม 2008.

  1. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    โยนกนาคบุรีหรือโยนกนคร เป็นนามที่เรียกจากเมืองที่พญานาคสร้างขึ้นในเขตดินแดนภาคเหนือ ที่เด่นสุดก็คือ เมือง 7 สายน้ำ 35 ม่อนดอยเดิมคือห้าเชียงนะครับ ประเทศล้านนาสมัยโบราณเริ่มจาก
    เชียงราย (โยนกนาคบุรีศรีช้างแส่น)
    เชียงใหม่ (โยนกนาคบุรีศรีนครพิงค์)
    เชียงตุง (โยนกนาคบุรีศรีตุงคบุรี)
    เชียงทอง (โยนกนาคบุรีศรีเจียงตอง)
    อดีตกาลของนครเหล่านี้ ในพระราชอาณาจักรภาคเหนือตอนบนมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวอยู่นับครั้งได้ ผมจะโพสไปทีละตอน นะครับ

    พงศาวดารจากเชียงทอง ไม่ปรากฎศักราช (เรื่องจากตำนาน)
    วันเวลาไม่ปรากฎ
    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    ดูราชปุริสทั้งหลาย ดังเราจักรู้มามีในกาลเมื่อก่อนเฒ่าเก่าเล่ามาเป็นปรำปราสืบ ๆ มาว่าดังนี้ กาลเมื่อก่อนนั้น ก็เป็นดินเป็นหญ้าเป็นฟ้าเป็นแถน ผีและคนเที่ยว ไปมาหากัน บ่ ขาดเมื่อนั้นยังมีขุนใหญ่ 3 คน ผู้หนึ่งชื่อขุนดาน อยู่สร้างบ้านเมือง ลุ่มกินปลาเฮ็ดนาเมืองลุ่มกินข้าวเมื่อนั้นแถนจึงใช้ให้มากล่าวแก่คนทั้งหลายว่า ในเมืองลุ่มกินข้าวให้บอกให้หมายกินและกินง่ายนี้กินข้าวให้บอกให้ก็ให้บอก แก่แถนได้กินขึ้นก็ให้ส่งขา ได้กินปลาก็ให้ส่งรอยแก่แถน แม้นใช้มาบอกสองทีสามทีก็ บ่ฟังหั่นแล แต่นั่น แถนจึงให้น้ำท่วมเมืองลุ่ม ลีดเลียงท่วมเมืองเพียงละลายคนทั้งหลายก็ฉิบหายมากนักซะแล
    อ้างอิง
     
  2. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    ปี่ที่เกิดพ.ศ. 480 (มหาศักราช 67 ตัวปีเมิงได้เดือน 10ฤติยเพ็ญ วันพฤหัสบดี ยามรุ่งแจ้ง)

    วันเวลาที่เกิดวันพฤหัสบดี เดือน 8 ขึ้น 15 ค่ำ ครั้งที่ 2 ปีมะเส็ง เวลารุ่งอรุณ

    ตำแหน่งสถานที่เกิดโยนกนครหรือเมืองนาค พันธุสิงหนวัตินคร

    เหตุการณ์แผ่นดินไหวหวั่นฟ้าร้องดอยคางนักปูนอัศจรรย์ขนดิงลุกสู่คนแล

    เอกสารอ้างอิงที่มา
     
  3. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    ปี่ที่เกิดพ.ศ. 481(มหาศักราช 68 ตัวปีเบิกไข้ เดือน 8 เพ็ญวันศุกร์ ยามรุ่งแจ้ง)

    วันเวลาที่เกิดวันศุกร์ เดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะเส็ง เวลารุ่งอรุณ


    ตำแหน่งสถานที่เกิดโยนกนคร

    เหตุการณ์แผ่นดินไหวฟ้าร้องดอยคาง ฝนตกน้ำใหญ่ น้ำน้อยปูนอัศจรรย์มากนัก

    เอกสารอ้างอิงที่มา
     
  4. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    งานนี้มีปลาไหลเผือกเป่าจ๊ะ
     
  5. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    ชอบปลาไหลเผือกหรือจ๊ะคุณพี่สาว มะมีหรอกแต่มีเมืองบาดาลแต่ยังไม่เล่า
    คิคิ หลอกหยอกไปให้รู้เหตุการณ์ไปก่อน ทราบถึงอดีตและเหตุการณ์ไปก่อนนะ เมืองที่จมน้ำ ร่องรอยแม่ห้วยลากที่เป็นร่องลอยในการลากเยี่ยนเผือก
    หรือปลาไหล มันตอนจบของเรื่องละเจ้าคะ เอาบทนำเรียกน้ำย่อยไปก่องนะก๊าบ แต่ถ้ามะมีใครสนใจก็ปล่อยมานเน่าไปเลย

    ปี่ที่เกิดพ.ศ. 510 (มหาศักราช 97 ตัวปีเมิงไส้ เดือน 10 เพ็ญวันจันทร์ ยามค่อนรุ่ง)

    วันเวลาที่เกิดวันจันทร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็งเกือบสว่าง
    ตำแหน่งสถานที่เกิดโยนกนคร


    เหตุการณ์แผ่นดินซ้ำไหวหวั่นฟ้าร้องดอยคางสามทีนี้แล

    เอกสารอ้างอิงที่มา
     
  6. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    สงสัยไหม ผมโพสเหตุการณ์เหล่านี้ไปทำไหม เพราะแต่ละสมัยมีเหตุการณ์ภัยพิบัติ วิปโยค และการเปลี่ยนแปลงราชอาณาจักรนะครับ และอีกอย่างไม่ได้ดูถูกเรื่องเล่าขาน ตำนาน พื้นบ้าน แต่เพราะบางทีนะครับที่โน่นก็มีที่นี่ก็มี มันสับสน เราจะเตรียมรับมือและคำนวณเหตุการณืไม่ทันนะครับ
    เช่น ตำนานสิงหลวัตรนะครับ บริเวณอ.เชียงแชนเกิดจากเหตุการณ์ที่ชาวบ้านจับปลาไหลเผือกมารับประทาน ซึ่งปลาไหลเผือกตัวนี้เป็นลูกของพญานาคที่เคยสร้างเมืองให้ และ มีแค่หญิงหม้าย ที่ไม่ได้กิน จึงเกิดเกาะแม่หมาย บริเวณที่ลากปลาไหลเผือกขึ้นมาก็มีร่องรอยเรียห้วยแม่ลาก
    (เดี๋ยวมีเป็นชุดรอติดตามนะครับ)
    ตำนานหนองหลวง อ.เวียงชัย ก็มีว่า ชาวบ้านได้ลากปลาไหลเผือกที่โดยปลาไหลเผือกนี้ได้กินอาหารบริเวณนั้น ซึ่งตกเย็นมาเวียงชัยก็มีอาเพศด้วยวิบัติที่ชาวบ้านจับปลาไหลมากิน แต่มีแค่แม่หม้ายที่ไม่ได้กินเพราะถือว่าเป็นของเหลือ ประมาณน้อยใจ เวียงชัยนั้นก็ล่มเป็นหนองหลวงในปัจจุบัน เหลือเพียงเกาะแม่หม้าย
    ตำนานหนองสะเลียม ที่เชียงใหม่ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ แต่จะมีเพิ่มหนองนางคำ หรือห้วยต่าง ๆ ตามความเชื่อและการเล่าขาน

    ผมจึงอยากโพสเหตุการณ์ไปก่อน เผื่อมิให้เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ภัยพิบัติตามพงศาวดารที่แท้จริงนะครับ

    ปี่ที่เกิดพ.ศ. 515 (มหาศักราช 102 ตัวปีเตา เดือน 8ออก 14 ค่ำ วันอังคารยามตูดซ้าย)

    วันเวลาที่เกิดวันอังคาร ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ปีจอร่วมบ่าย

    ตำแหน่งสถานที่เกิดโยนกนคร

    เหตุการณ์แผ่นดินซ้ำไหวหวั่นท้องฟ้าร้องดอยคางเป็นมหาปางอันใหญ่ปูนอัศจรรย์ใจกว่า ทุกทีทั้งหลายแล ท่านตั้งเมืองมาได้ 57 ปีนี้ แผ่นดินไหวใหญ่ 4

    เอกสารอ้างอิงที่มา
     
  7. yoghurtvcd

    yoghurtvcd สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +4
    * พ.ศ. 480 (มหาศักราช 67 ตัวปีเมิงได้เดือน 10ฤติยเพ็ญ วันพฤหัสบดี ยามรุ่งแจ้ง)
    ตรงกับ วันพฤหัสบดี เดือน 8 ขึ้น 15 ค่ำ ครั้งที่ 2 ปีมะเส็ง เวลารุ่งอรุณ
    เหตุเกิดที่ โยนกนครหรือเมืองนาค พันธุสิงหนวัตินคร
    แผ่นดินไหวหวั่นฟ้าร้องดอยคางนักปูนอัศจรรย์ขนดิงลุกสู่คนแล
    สืบค้นได้จาก “พงศาวดารเมืองเงินยางเชียง” และประชุมพงศาวดารภาคที่ 61 ประชุมพงศาวดารเล่ม 33 องค์การค้าของคุรุสภา:พระนคร 2512 หน้า 284
    ** พ.ศ. 481(มหาศักราช 68 ตัวปีเบิกไข้ เดือน 8 เพ็ญวันศุกร์ ยามรุ่งแจ้ง)
    ตรงกับ วันศุกร์ เดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะเส็ง เวลารุ่งอรุณ
    เหตุเกิดที่ โยนกนคร
    แผ่นดินไหวฟ้าร้องดอยคาง ฝนตกน้ำใหญ่ น้ำน้อยปูนอัศจรรย์มากนัก
    สืบค้นได้จาก “พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสนประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 61 ประชุมพงศาวดาร เล่ม 33 องค์การค้าของคุรุสภา:พระนคร 2512 หน้า 284
     
  8. yoghurtvcd

    yoghurtvcd สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +4
    *** พ.ศ. 510 (มหาศักราช 97 ตัวปีเมิงไส้ เดือน 10 เพ็ญวันจันทร์ ยามค่อนรุ่ง)
    ตรงกับ วันจันทร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็งเกือบสว่าง
    เหตุเกิดที่ โยนกนคร
    แผ่นดินซ้ำไหวหวั่นฟ้าร้องดอยคางสามทีนี้แล
    สืบค้นได้จาก “พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสนประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 61 ประชุมพงศาวดารเล่ม 33 องค์การค้าของคุรุสภา:พระนคร 2512, หน้า 284

    **** พ.ศ. 515 (มหาศักราช 102 ตัวปีเตา เดือน 8ออก 14 ค่ำ วันอังคารยามตูดซ้าย)
    ตรงกับ วันอังคาร ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ปีจอร่วมบ่าย
    เหตุเกิดที่ โยนกนคร
    แผ่นดินซ้ำไหวหวั่นท้องฟ้าร้องดอยคางเป็นมหาปางอันใหญ่ปูนอัศจรรย์ใจกว่า ทุกทีทั้งหลายแล ท่านตั้งเมืองมาได้ 57 ปีนี้ แผ่นดินไหวใหญ่ 4
    สืบค้นได้จาก “พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน ประชุมพงศาวดารภาคที่ 61 ประชุมพงศาวดารเล่ม 33 องค์การค้าของคุรุสภา:พระนคร,2512 หน้า 284-284

    ***** พ.ศ. 1558 (ศักราชได 467 ตัวปีเมิงเม้า ศาสนาพระพุทธเขาล่วงไปได้ 1003 ปี ศักราช 467 คือ จ.ศ.467 นายมานิต วิลล์โภพม สอบกันได้ว่าที่ถูกคือ จ.ศ. 376 ตรงกับปีเถาะ พ.ศ. 1558 ศาสนาพระพุทธเจ้าหมายถึง ระยะเวลาที่พระยาพันธนติสิ้นพระ ชนมไปและจำนวน 1003 ปี ที่ถูกเป็น 998 ปี
    ตรงกับ วันเสาร์แรม 7 ค่ำ เดือน 5 (เดือน 7 แรม 7 ค่ำ วันเสาร์)
    เหตุเกิดที่ โยนกนคร
    …สุริยอาทิตย์ก็ตกไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงเหมือนดั่งแผ่นดินดังสนั่นหวั่นไหวประดุจดังว่าเวียงโยนกนครหลวง ที่นี้จักเกลื่อนจักพังไปนั้นแลแล้วก็หายไปครั้งหนึ่ง ครั้งถึงมัชฌิมยามก็ซ้ำดังมาเป็น คำรบสองแล้วก็หายนั้นแล ถึงปัจฉิมยามก็ซ้ำดังมาเป็นคำรบสาม หนที่สามนี้ดังยิ่งกว่าทุกครั้งคราวที่ได้ยินมาแล้ว กาลนั้นเวียงโยนกนครหลวง ที่นั้นก็ยุบจมลงเกิดเป็นหนองอันใหญ่ยามนั้นคนทั้งหลายอันมีในเวียงนั้น มีพระมหากษัตริย์เป็นประธานก็วินาสฉิบหายตกไปในน้ำที่นั้นสิ้นยังเหลือ อยู่แต่เรือนยามแม่หม้ายเฒ่าหลังเดียวนั้นแลศักราชได้ 376 ตัวปีเมิงเม้า เดือน 8 ออก 7 ค่ำ วันอังคาร (=วันอังคาร ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 1558) เขาทั้งหลายก็พร้อมกันสร้างเวียงลูกหนึ่งริมฝั่งน้ำของถ้ำตะวันตกมีหนตะวันออก เวียงโยนกนครเก่า คือว่าเวียงอันจมไปแลครั้นสร้างบริบูรณ์แล้วก็ให้ขุนลัง ตั้งอยู่เป็นใหญ่ แก่บ้านเมืองแห่งเขาแล้วก็เรียกว่าเวียงปรึกษา นั้นแล
    สืบค้นได้จาก “พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน” ประชุมพงศาวดารภาคที่ 61 ประชุมพงศาวดาร 2512 หน้า 44-48 และมานิต วัลลิโภดม ตำนานสิงหนวัติกุมาร ฉบับสอบค้นโรงพิมพ์ สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี กรุงเทพฯ, 2416 หน้า 94-98
     
  9. พิชญ์

    พิชญ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    760
    ค่าพลัง:
    +3,392
    คุณโยนกนาคบุรี จัดทัวร์เชียงรายซักครั้งซิจ๊ะ....อยากกินลาบปลาไหล แต่คงไม่ใช่ปลาไหลเผือก กลัวเป็นม่ายย.....(k) หุ หุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2008
  10. namprighom

    namprighom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +373
    ที่เวียงหนองล่ม ไช่ไม๊ครับ......

    (||)
     
  11. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    หลายปีแล้วเคยฝันว่ามีผู้ชายเอาพระพุทธรูปทองคำมาให้ แล้วบอกว่า ข้ามาจากโยนก

    เคยเล่าให้คุณโยนกนาคบุรีฟังแล้ว
     
  12. foggy3

    foggy3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +130
    มารออ่านต่อค่ะ Dussanee_k
     
  13. พิชญ์

    พิชญ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    760
    ค่าพลัง:
    +3,392
    เนื้อเพลงนี้ สื่อให้รู้ว่า..... ถ้าเราอยากเห็น เราจะไม่ได้เห็น แต่เมื่อใดที่เราไม่อยากเห็น เราก็จะได้เห็น....
     
  14. จิตต์ปภัสสร

    จิตต์ปภัสสร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2007
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +4,545
    โยนกนาคบุรี

    ตั๋วเองบอกปี๋ว่าจะหื้อ CD เพลงหักของจาวเจียงหาย ปี๋ยังอยากได้และรอหับอยู่ บ่ฮู้ว่าตั๋วเองจะส่งฮื้อปี๋ได้เก๊าะ;)
     
  15. mootojang

    mootojang Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +27
    เคยนั่งสมาธิในวัดหนึ่งในบริเวณนั้น เห็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งเป็นปูนปั้น
    แต่ในสมาธิเห็นองค์พระเป็นทองคำ
     
  16. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    จากน้องชาวพลังจิต

    สิบแปดมีนาคม

    วันนี้ทางบ้านญาติของน้องเขยได้พาพวกเราทั้งคณะไปเที่ยว ทราบเพียงคร่าวๆว่าจะไปน้ำตกใกล้ๆนี้หรือไม่ก็ ไปถึงดอยตุงและแม่สาย

    เช้าวันนี้อากาศกำลังดีไม่หนาวมากเท่าวันก่อน ออกเดินทางกันก็สายมากแล้ว แต่ไม่มีแดดแรงนัก พวกเราบรรดารุ่นเด็กนั่งกันที่กะบะหลัง ส่วนพวกผู้ใหญ่นั่งด้านในรถกะบะของลุงเสริฐ นั่งรถเที่ยวด้วยกะบะหลัง เฮฮากันไปตามประสาเด็กๆ ถ้าอายุมากกว่านี้อีกหน่อยคงนั่งหลังไม่ไหวแล้ว เหอๆๆ

    อากาศวันนี้ดีมากๆเลย ไม่มีแดดแรง นั่งรับลมกันสบาย หายใจเข้าปอดได้เต็มที่ แต่ก็มีกลิ่นควันจากการเผาหญ้าและเผาป่าหรือว่าบางทีก็ป่าไฟไหม้เอง ควันที่ลอยมาก็รบกวนการหายใจอยู่บ้าง ตรงนี้ไม่รุ้สึกเท่าไร มารู้สึกตอนน้องๆบ่นให้ฟังเท่านั้น

    รถพาพวกเราไปดอยตุงกันก่อน ระหว่างทางถ่ายรูปไว้มาก สลับกับทำจิตว่างๆไปเรื่อยๆ ก็ไม่เรียกว่าว่างนะ เพราะจับภาพพระไว้ตลอดเท่าที่ไม่ลืม ทางขึ้นดอยตุงคดเคี้ยวพอสมควร กำลังเพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองข้างทาง แว่บหนึ่ง ก็เห็นภาพของหญิงสาวแต่งกายงามตา ท่อนบนรัดอกสีขาว ท่อนล่างเป็นผ้านุ่งปล่อยชาย ประดับร่างกายด้วยเครื่องทองและที่ศีรษะสวมอะไรบางอย่าง เห็นครู่หนึ่งเพียงแต่ไม่ได้จดจำรายละเอียดมากนัก ในใจมีคำผุดมา แต่ไม่ชัด แต่คำลงท้ายด้วย “นาง” จึงได้หันไปถามน้องเขยซึ่งเป็นคนเชียงรายว่า “คำเรียกหญิงสูงศักดิ์ของเมืองเหนือ เค้าเรียกกันว่าอะไร เจ้านางใช่ไหม” น้องเขยก็ตอบว่าใช่

    เราไม่รู้ว่าทำไมจึงเห็นภาพนี้

    ถึงดอยตุงแล้ว ได้แต่เพียงแวะเที่ยวชมสวนแม่ฟ้าหลวง สวยงามมากและเก็บภาพได้มากมาย ถ้ามาในฤดูหนาวคงมีไม้เมืองหนาวสวยๆมากกว่านี้ และแวะที่ดอยตุงเนิสเซอรรี่ เพื่อเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์และกล้วยไม้ ได้ภาพไอเดียการเพาะพันธุ์และใบแนะนำการปลูกไปฝากเพื่อนๆกลุ่มพลังจิตฯด้วย

    พวกเราเด็กๆที่นั่งกันกะบะหลัง ไม่รู้ว่าพวกผู้ใหญ่ที่นั่งตอนในรถเค้าคุยอะไรกันบ้างว่าจะไปเที่ยวไหน แต่มีเรากับน้องเขย ที่ร่ำๆอยากจะไปไหว้พระธาตุดอยตุงกัน ซึ่งคุณลุงคนขับก็บอกว่าพาไปอยู่แล้ว

    ทางขึ้นไหว้พระธาตุ แคบกว่าทางไปแม่ฟ้าหลวงมาก รถวิ่งสวนกันแทบไม่ได้ ระหว่างที่รถกำลังเข้าสู่ประตูทางเข้าพระธาตุ อยู่ๆน้ำตาก็ไหลออก พร้อมกับความรู้สึกบางอย่าง เสียใจ ดีใจ ตื้นตันใจ ต้องแอบหันหน้าหนี เดี๋ยวคนอื่นเห็นจะตกใจ มองไปเห็นโบสถ์และองค์พระธาตุทั้งสอง ยิ่งรู้สึกเหมือนอาลัย ตอนนั้นงง ตัวเองมาก ๆ นี้ฉันเป็นอะไรไปนี่ มาก็ไม่เคยมา เห็นก็ไม่เคยเห็น ไม่ได้เคยอยากมาด้วยซ้ำ เป็นอะไรไปหนอเรา พอเดินมาได้อีกหน่อยเพื่อหาดอกไม้ไปไหว้พระกัน แหมนึกอยากตีคนขาย เอาป้ายมาเขียนว่า “ดอกไม้คำมั่นสัญญา” ซึ่งเค้าหมายถึงดอกแกนดิโอลัสหลากสีที่วางไว้ให้คนนำไปบูชา ..โอ้โห ทำไมคำนี้มันโดนใจ คำมั่นสัญญา คำมั่นสัญญาอะไรกัน ตอนนี้ใจคิด หวังว่าเราคงไม่ได้มีอะไรกับที่นี่หรือไปสัญญาอะไรใครไว้หรอกนะ เรื่องใจคิดนี่ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไร ปล่อยๆไปก่อน

    ตอนที่เดินไปไหว้พระธาตุจนกระทั่งจุดธูปเทียนและวางดอกไม้บูชาแล้ว ต้องทิ้งระยะห่างคนในกลุ่ม เพราะยังร้องไห้ไม่หยุดเลย ตอนนี้ไม่กล้าถามใครๆในจิต มันกลัวจะรู้อะไรเสียแล้วละมั่ง รอให้ใจสงบหน่อยดีกว่า

    หันหลังกลับมา ตกใจนิดนึง ด้านหลังตรงข้ามกับองค์พระธาตุ มีพระสีทองอร่าม (ในเมืองมักจะไม่ค่อยเห็นพระสีทองอยู่ใกล้ขนาดนี้) 3 องค์ คือพระปางนาคปรก น้องสาวตรงเข้าไปไหว้เลยเพราะเป็นพระประจำวันเกิด องค์กลางเราก็ตรงเข้าไปไว้เหมือนกัน เพราะองค์นี้เหมือนกับในนิมิตแรกที่เคยเห็นท่าน องค์ถัดไปเป็นเหมือนพระจีนอ้วนๆหน้าตาอารมณ์ดี น้องเขยตรงเข้าไปไหว้เลย กลายเป็นว่าเจ้าสามคนนี้กระจายเข้าไปไหว้พระทั้ง 3 องค์พร้อมๆกัน

    พอคลายอารมณ์โศกเศร้าไปบ้างแล้ว เดินตามคนในกลุ่มไปเค้าไปตีระฆังกัน เป็นทางลงบันไดยาว ลงไปตามเขา มองไม่เห็นปลายทาง ไม่รู้ว่าต้องมีพิธีรีตองอะไรในการตีหรือเปล่า ตอนนี้ปล่อยจิตสบายๆ ไม่คิดอะไร มือเอื้อมไปหยิบไม้ตีขนาดเหมาะมือ มาแล้วเริ่มจากแถวชิดขวามือก่อน ตีไปเรื่อยๆ

    ระหว่างตีระฆัง อยู่ๆก็คิดเรื่องของคนที่เมืองนี้ เมืองโบราณสักเมือง ความรู้สึกต่อผู้คนที่เมืองนี้ดี ขาว สว่างดี มิตรภาพ รู้สึกอยู่ห่าง แต่ไม่ไกล รู้สึกอยากพาพวกเค้าไป ..(ไปไหน) รู้สึกไม่อยากให้เค้ารอ อยากกลับไปหา แต่จะไปยังงัย รู้สึกนึกถึงพี่เล็ก นึกถึงพี่ตุ๊ก อยากให้มาพาพวกเค้าไปสู่ที่ที่ดีกว่านี้ แต่ก็รู้สึกต่อไปว่า พวกเค้าไม่ไปหรอก การจากถิ่นที่อยู่ไปโดยที่คนที่รออยู่ ยังไม่มา จะไปได้อย่างไร ไม่ไป …แล้วเราจะทำยังงัยดี อยากพาเค้าไป คนที่พวกเค้ารอคือใครกัน

    …ระฆังหมดแถวพอดี

    ก่อนกลับ วิ่งตามพ่อเข้าไปโบสถ์ คนอื่นๆขึ้นรถกันหมดแล้ว ข้างในมีพระพุทธเจ้าและพระสาวกลักษณะแปลกตา มีพระสงฆ์นั่งอยู่ด้านข้าง ไหว้พระตามพ่อแต่ไม่กล้าคุยกับพระ อยากคุยอยากถามท่านมากมาย แอบมองแววตาท่าน ไม่ธรรมดาเลย ทั้งเมตตาและนิ่งใสสะอาด ใจเรารู้สึกอย่างนั้น ระหว่างพ่อคุยกับพระ เลยถอยออกมาชมรอบๆ มีพระบรมสารีริกธาตุด้วย เค้าติดป้ายบอกไว้ แต่ทำไมเราไม่รู้สึกอะไร สงสัยบุญไม่ถึง ข้างๆมีรูปถ่ายพระองค์หนึ่ง เขียนว่าครูบาศรีวิชัย มองหน้าท่านแล้วก็สะดุดใจอะไรบางอย่าง แต่ต้องออกมาก่อน พอขึ้นรถแล้ว เพิ่งนึกออกว่า ใบหน้าของพระในรูป กับพระสงฆ์ที่นั่งอยู่ เหมือนกันมากกกกกกกกกกก เหอๆๆ

    ขากลับ คิดแต่เรื่องที่เกิดขึ้นบนพระธาตุดอยตุง ตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะโทรไปเล่าให้พี่เล็กฟังดีกว่า

    คุณลุงพาแวะที่สามเหลี่ยมทองคำ นอกจากวิวทิวทัศน์ของ 3 ประเทศแล้ว ที่นี่มีองค์พระสีทองอร่าม ใหญ่โตมากๆ ตั้งอยู่บนเรือชื่อกุศลธรรม ริมฝั่งแม่น้ำโขง ลักษณะของท่านเหมือนอย่างที่เคยเห็นในนิมิตเลยแต่ที่เราเห็นจะเห็นสีขาวเรืองๆ ใบหน้าอย่างนี้ ยิ้มอย่างนี้แหล่ะ ปลื้มใจมากๆที่ได้พบ โชคดีของคนที่นี้จริงๆ ..ที่ฐานพระมีพระบรมสารีริกธาตุ แปลกตรงที่เรารู้สึกได้ถึงแสงสว่างเรืองๆออกมา ผิดกับพระบรมสารีริกธาตุที่หน้าหน้าองค์พระประธานในโบสถ์บนดอยตุงจัง เลย…ได้หนังสือประวัติมาไว้อ่านด้วย ค่อยกลับไปอ่านอีกที

    ขากลับคุณลุงพาขับผ่านเชียงแสน รู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ มีชื่อผุดมาในหัวว่า “โยนกนาคบุรี” เก็บไปถามน้องเขย เค้าพูดแต่ชื่อโยนก บอกว่าเป็นชื่อเมืองเก่าที่นี่ ระหว่างผ่านเมือง ตัวรู้แอบทำงานเล็กน้อย “แค่นึก ก็รู้ ไม่ต้องคิด” เป็นอย่างนี้นี่เอง เพราะมองไปเห็นกองอิฐก่อเป็นเจดีย์ แต่ใจมันนึกแค่อยากรู้ว่าเรียกอะไร มีคำออกมาว่า “กู่” หันไปถามน้องเขยว่า ที่นี่มีคำว่า “กู่” มั้ย น้องบอกว่ามี ก็เจดีย์นั้นแหล่ะ

    มีอะไรบางอย่าง รู้สึกน่ากลัวมากอยู่ที่นี่ด้วย อยู่ฝั่งตรงข้ามกับกู่ที่เรามอง รู้สึกกลัวจังแฮะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราจะทำอย่างไร วิชาอะไรจะป้องกันตัวก็ไม่มี นี่เป็นเหตุนึงที่ไม่ค่อยกล้าจะไปอยากรู้อยากเห็นอะไรนัก

    บุญพามาให้คุณน้องท่านนี้ไปงานสมโภชพระพุทธเจ้าปางเปิดโลก ๕ เมตรที่เชียงแสนด้วยกัน ๒๐ เมย. ๕๑ นี้
    ความสงสัยคงจะคลี่คลายนะจ๊ะ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=111581

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...