การสร้าง-การซ่อมแซม พระปฏิมากร รูปลักษณ์ ถาวรวัตถุในพระศาสนา และ อุปการะต่อการบำเพ็ญบารมี

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 25 พฤศจิกายน 2014.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    34861601_2360187817541583_5557513236632305664_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    34907739_2360187897541575_3681311830560473088_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    34919538_2360187937541571_1937776672862371840_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    34985008_2360188010874897_8613110012190916608_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    ใครๆไม่อาจจะนับบุญของบุคคลผู้บูชาพระพุทธเจ้าได้ ดั่งพระสุธาปิณฑิยเถระ พระอรหันต์เมื่อครั้งพุทธกาล ท่านได้ระลึกชาติถอยหลังไปดูว่า บุญใดหนอที่ส่งผลให้ท่านได้สามารถบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ ท่านจึงได้เห็นว่า เมื่อครั้งอดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นคนยากจนเข็ญใจ ท่านได้มีโอกาสนำปูนขาว 1 ก้อน กับอิฐ 4 แผ่น ไปร่วมสร้างซ่อมพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ ผลจากการทำบุญด้วยใจบริสุทธิ์เพียงแค่นั้น หลังจากที่ท่านดับขันธ์(ตาย)จากภพชาตินั้นไป บุญนั้นส่งผลให้ท่านไม่ไปเกิดในทุคคติภูมิเลย เวียนว่ายตายเกิดอยู่แต่ในสุคติภพ จนตราบท่านบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ที่เพรียบพร้อมไปด้วยคุณวิเศษมากมาย เข้าสู่พระนิพพาน
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    ที่เราแจกไปเนี่ย เราต้องการสื่อไปตามรูปลักษณ์ที่เราแจกไปนะฮะ เวลาเราสวดเนี่ย

    จะไปตามรูปลักษณ์และก็แผ่ให้โลกวิญญาณแถวนั้นนะฮะ เพราะนั้นมันเป็น #บุญมหาศาล นะฮะ ที่เราเนี่ย

    เราสร้างรูปลักษณ์แจกโดยตรงเลยนะฮะ เราสร้างรูปลักษณ์แจกโดยตรง ทั้งองค์เล็ก องค์น้อย

    องค์ใหญ่นะฮะ การสร้างพระเนี่ย ท่านสร้างไว้ให้ #เป็นประโยชน์ หลวงพ่อท่านบอกว่า

    ถ้าเอ็งสร้างแล้วไม่เป็นประโยชน์น่ะ
    #อย่าไปสร้าง ถ้าสร้างแล้วเป็นประโชน์น่ะ #รีบสร้าง ท่านบอก

    เพราะฉะนั้นเราจึงแจกไป เราแจกไปไม่อั้นนะฮะพูดถึง #ตามสถานะตามผู้ที่ขอ นะฮะ ถ้ามีประโยชน์มากเราก็

    ให้นะฮะ ให้มาก มีประโยชน์น้อย เราก็ให้น้อยนะฮะพูดถึง ทุกวันนี้เราก็สร้างทุกวันนะฮะใส่ไหทุกวัน

    เพราะฉะนั้นจะมีคนมาขอจากเราไปบรรจุตามฐานพระ ตามเจดีย์
    เพราะเราสร้างทุกวันนะฮะ

    สร้างทุกวันไม่ขาดนะ ถ้าหลวงตาว่าง #หลวงตาก็สร้าง นะฮะ เพราะมันเป็นศาสตร์หลวงพ่อจริงๆ รูปลักษณ์ที่เรา

    สร้างขึ้นเนี่ย มันเป็น #สื่อพลังงาน
    ของไตรสรณคมน์ ของจักรพรรดิ

    #บารมีรวมของหลวงพ่อ เวลาเราแจกไปที่ไหน ที่อยู่ในไห อยู่ในคอ อยู่ที่ไหนก็ตาม จะเป็นรูปลักษณ์รูป

    ใหญ่ก็ตาม จะเป็นที่เราไปอธิษฐานตามสถานที่ต่างๆก็ตามนะฮะ ทั่วโลกทั่วประเทศนั่นก็คือ เวลาเราสวดที่ถ้ำ

    หรือสวดที่ไหนก็ตาม หรือมีผู้ที่สวดทุกครั้งมันก็จะ #น้อมไปตามรูปลักษณ์ ที่เราอธิษฐานที่เราสวด

    นั่นน่ะ และก็แผ่มาให้โลกวิญญาณทั้งหลายนะฮะ เพราะฉะนั้นคนที่สวดบ่อยๆนะ หลวงตา

    #เน้นเรื่องการสวดมนต์ นะ พูดถึง เน้นสวดมนต์ อยากให้เข้าใจใน
    การสวด เพราะฉะนั้นผู้ที่สร้างพระ

    จะเป็นองค์เล็ก องค์น้อย องค์ใหญ่
    ก็ตามนะฮะ เวลาท่านสวดมนต์ ท่าน
    ต้อง #น้อมตามรูปลักษณ์ นะฮะ

    อธิษฐานไปตามรูปลักษณ์ที่ข้าพเจ้า
    เคยสร้างไว้ เคยอธิษฐานไว้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเนี้ย ทีนี้เวลาเราสวด

    มันก็ไปตามรูปลักษณ์นั้น แผ่ให้โลกวิญญาณโดยตรงเลยนะ และก็มนุษย์บางคนที่รู้ บางคนที่รู้ ถ้าเค้านั่งอยู่ใน

    ห้องพระ นั่งอยู่ตรงรูปลักษณ์ตรงนั้นน่ะ ถ้าเค้าทำใจสบายๆ #อารมณ์สบายๆ นะฮะ เค้าจะเห็น #แสงสว่าง

    ออกจากพระนะ จะเป็นองค์เล็ก องค์น้อย องค์ใหญ่ก็ตาม มันเป็นสื่อของพลังงานเหมือนกับสื่อวิทยุ

    สื่อโทรศัพท์ คลื่นอะไร
    พวกนี้แหละ มันมีเครื่องรับ เครื่องส่ง
    นะฮะ เครื่องรับนั่นน่ะที่เราสร้างกัน

    ทุกวันเนี่ย มันเป็น #เครื่องรับ เครื่องส่งก็คือ #เราสวดมนต์ เนี่ยฮะ สมัย
    หลวงตาอธิษฐาน #ครั้งแรก นะฮะ

    สร้างพระเนี่ย พอสร้างเสร็จหลวงตา
    ไปทั่วประเทศนะฮะ ไปตั้งกองบุญ
    ไว้ตาม #ศาลหลักเมือง ทุกที่

    ไปตาม #เจดีย์ ไปตามพระ ไปรอยพระบาท รอยพุทธบาท ไปอธิษฐานตั้งกองบุญไว้นะฮะ แล้วก็สวดมนต์

    ก็ตามนั้นนะฮะ ท่านบอกว่า โลกมนุษย์เนี่ย โลกทั้งสามเนี่ย มันเวียนว่ายตายเกิดตลอด

    ทุกลมหายใจเข้าออกนะฮะ คนข้าง
    ล่างก็ขึ้นข้างบน คนข้างบนก็ลงข้าง
    ล่าง มนุษย์ก็ไปทั้งข้างล่างและ

    ข้างบน มันก็เวียนไปเวียนมา เรียกว่า
    #วัฏจักรวัฏวน บางคนก็เวียนด้วยความทุกข์ บางคนก็เวียน

    ด้วยความสุข ความเพลิดเพลินนะฮะ เพราะฉะนั้น เวลาเราออกจากร่างเนี่ย มันคืออารมณ์ของความสุข

    และความทุกข์นะฮะ ที่ท่านให้สวดทุกวันนี้ บางคนไม่เข้าใจ
    ไม่เข้าใจในศาสตร์ท่านจริงๆนะฮะ

    หลวงตาม้า วิริยธโร : ถามตอบปัญหาธรรม
    ณ วัดพุทธพรหมปัญโญ(ดู่)อ.เชียงดาว
    จ.เชียงใหม่
    วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561
    zผู้ถอด : บัว อุบลวรรณ
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    การอธิษฐานวัตถุมงคล สายหลวงปู่ดู่

    ปกติการเสกวัตถุมงคลทั่วๆไปจะใช้ คาถาต่างๆเผื่อสวดให้วัตถุธรรมดา เหล็ก หิน ดิน ปูน ให้มีพลังพระจะเป็นการตกทอด หรือไปเรียนจากอาจารย์หรือตำราต่างๆ ถ้าให้ดีขึ้นมาก็ เชิญบารมีครูบาอาจารย์ มาร่วมอธิษฐานจิตด้วย และเชิญพระพุทธเจ้ามาร่วมเสก แต่ในที่นี้ขอพูดถึงการเสกของหลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า และ อาจารย์ศุภรัตน์ ท่านจะใช้วิธีนำวัตถุมงคลที่ต้องการอธิษฐานจิต ยกขึ้นไปว่างบนวิมานแก้วพระพุทธเจ้า และเชิญบารมีพระต่อหน้าพระพุทธเจ้าลงในวัตถุมงคล โดยจะทำแบบนี้ 3 ครั้ง จิตที่เป็นพลังสามารถผ่านพลังพระพุทธเจ้าลงวัตถุมงคลได้เต็มที่ เพราะทั้ง 3 กระบวนการนั้นสำคัญ ทำให้วัตถุมงคลนั้นศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา



    46351744_1025998627584100_8413719673052332032_n.jpg?_nc_cat=109&_nc_ht=scontent.fbkk5-1.jpg

    46426369_1025998650917431_7643830249620242432_n.jpg?_nc_cat=103&_nc_ht=scontent.fbkk5-4.jpg

    46430826_1025998677584095_1100585498449018880_n.jpg?_nc_cat=105&_nc_ht=scontent.fbkk5-3.jpg
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    46420072_1934312293323511_35381188965171200_n.jpg?_nc_cat=1&_nc_ht=scontent.fbkk5-5.jpg



    #อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป คำสอนของพระเดชพระคุณ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
    การสร้างพระพุทธรูปจัดว่าเป็น พุทธบูชา ถ้าในกรรมฐาน จัดว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน (การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์) ถ้าตายจากคน ไปเกิดเป็นเทวดา มีรัศมีกาย สว่างไสวมาก การสร้างพระถวาย ด้วยอำนาจพุทธบูชาทำให้มีรัศมีกายมากเป็นคนสวย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "พุทธบูชา มะหาเตชะวันโต" แปลว่า "การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชอำนาจมาก"
    การสร้างพระพุทธรูปนี่เป็นพุทธบูชาเป็นพุทธานุสสติในกรรมฐาน ๔๐ กอง ท่านบอกว่ากำลังของ พุทธานุสสติเป็นเหตุ ให้เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่ากองอื่นก็เห็นจะจริง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่นิพพานนี่ และท่านก็เป็นต้นตระกูล ของพระนิพพาน ทีนี้เมื่อเราต้องการ สร้างพระพุทธรูปให้สวยตามที่เราชอบเห็นแล้วก็ทำให้จิตใจสดชื่น จิตมันก็นึกถึงพระอยู่เสมอ ถ้าจิตนึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอยู่เสมอก็จัดเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าใจเราเกาะพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ตายแล้วลงนรกไม่เป็น ฉะนั้นถ้าเราชอบพระแบบไหนปางไหน ก็ให้สร้างอย่างที่เราชอบ จิตจะได้เกิดศรัทธา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคแนะนำว่าควรหันหน้าพระบูชาไปทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือ ไม่ควรหันหน้าพระบูชา ไปทางทิศตะวันตก หรือทิศใต้ เพราะจะทำให้สตางค์ไม่เหลือใช้
    ส่วนอานิสงส์การสร้างแท่นพระนั้น ก็มีอานิสงส์เหมือนกับการสร้างพระพุทธรูป คือแท่นพระพุทธรูป เขาบกพร่องอยู่ เราทำให้เต็ม อย่างที่นางวิสาขาหรือพระสิวลีได้เคยทำมาในอดีตชาติ อานิสงส์ไม่ใช่เล็กน้อยนะ อานิสงส์ใหญ่มาก จะเกื้อหนุนให้รวย วาสนาบารมีสูง การสร้างแท่นพระหนุนพระพุทธรูป ซึ่งเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าให้สูงน่ะ จะทำให้ฐานะของเราดีขึ้น
    ครั้งหนึ่งมีญาติโยมถามหลวงพ่อฤาษีลิงดำเรื่องการชำระหนี้สงฆ์ว่าถ้าหากนับรวมหลาย ๆ ชาติเราไม่รู้ว่าเคยล่วงเกินของสงฆ์มามากน้อยเท่าไหร่ จะทำอย่างไรจึงจะชำระหนี้สงฆ์ได้หมด หลวงพ่อท่านกำหนดสมาธิจิต
    ถามพระพุทธเจ้า ก็ปรากฏนิมิต เป็นพระพุทธเจ้าลอยมาตอบคำถามท่านว่า "ถ้าจะชำระให้ครบถ้วนเป็นเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ ให้สร้างพระพุทธรูป หน้าตัก ๔ ศอก" พระหน้าตัก ๔ ศอก ถือว่าเป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า "พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้ว ๆ มา ถือเป็นการหมดกันไป" เมื่อถามว่าการสร้างพระองค์หนึ่งชำระหนี้สงฆ์ได้คนเดียวหรือกี่คน ท่านก็บอกว่า "ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ"
    ......................

    คำว่า "คณะ" หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่าชำระหนี้สงฆ์เก่า ๆ ได้หมด แต่ถ้าสร้างหนี้ใหม่ต่อ ก็เป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ เวลาถวายสังฆทานเพื่ออุทิศให้แก่ผู้ตาย อย่างน้อยควรมีพระพุทธรูป หน้าตักกว้าง ๕ นิ้วขึ้นไป ผู้ที่อนุโมทนารับบุญรับกุศล จะมีรัศมีกายสว่างมาก เพราะเทวดาหรือพรหมเขาแบ่งฐานะกันตามความสว่างของร่างกาย ไม่ได้ดูที่เครื่องแต่งตัว ถ้ามีผ้าจีวรด้วย ผู้อนุโมทนาจะมีเครื่องประดับสวยงามกว่าเดิม ถ้ามีอาหารด้วย ความเป็นทิพย์ของร่างกายจะดีกว่าเก่า
    ........................
    อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป นำมาจากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑" โดยพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี จัดทำโดย เจ้าหน้าที่ธัมมวิโมกข์



    ***********************************************************



     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    ?temp_hash=b010017d0b881cd119439363ec8f7201.jpg




    บุญที่เนื่องด้วยสมเด็จองค์ปฐม หาที่สุดไม่ได้ หาที่จบไม่ได้ ต้องเป็นผู้สั่งสมบุญบารมีดีแล้ว
    หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469



    ทุกคนเป็นเกจิได้, ตัวอย่างการอธิษฐานรูปลักษณ์ต่างๆ, การพัฒนาการอธิษฐาน
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    (ปัญหาเครื่องรางของขลัง )

    #พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)
    “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” วัดท่าซุง (วัดจันทาราม)
    บ้านท่าซุง ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    ...ปัญหาเรื่องนี้ได้นำคำตอบของหลวงพ่อ มาเพื่อความกระจ่างของความหมายที่อยู่ในความรู้สึกของท่านพุทธศาสนิกชนบางท่าน ที่ยังเข้าใจไม่ครบถ้วนใน ความหมายของคำว่า

    "เครื่องรางของขลัง" ซึ่งในปัจจุบันนี้บางท่านมีความเข้าใจไปว่า พระที่ชอบแจกเครื่องรางของขลังจะทำให้คนติดอยู่ในวัตถุ หลงใหลงมงาย ปัญหานี้โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา นำมาถามกันอยู่เสมอ ซึ่งหลวงพ่อท่านได้กรุณาอธิบายว่า

    ความมุ่งหมายในการใช้พระคล้องคอ โดยมากพวกเรามักจะเข้าใจผิดกัน ที่พระท่านทำพระไว้ให้คล้องคอก็หมายถึงว่าบุคคลใดที่มีใจเคารพในพระพุทธเจ้า มีใจเคารพในพระธรรม มีใจเคารพในพระอริยสงฆ์แต่ทว่ามีกำลังใจที่เข้าถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ

    ยังอ่อนอยู่ ฉะนั้นจึงได้ทำรูปของพระพุทธเจ้าก็ดี รูปเปรียบเทียบของพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ดี ที่เป็นที่เคารพนับถือห้อยคอไว้ ถ้าหากว่าเรานึกถึงพระท่านไม่ออกจะได้นำพระขึ้นมาดู รูปนี้ เป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามระบอบแห่งความดีที่เรียกกันว่า

    "พระธรรมวินัย" นี่ความจริงเป็นความมุ่งหมายของผู้ทำ ต้องการอย่างนี้ หมายความว่าคนที่มีพระห้อยคอ ควรจะทำใจอย่างพระ หรือมิฉะนั้นคนที่มีพระห้อยคอก็ควรจะทำตามที่พระแนะนำให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ว่าพวกเราก็กลับมาพลิกแพลงเสีย เอาพระไปตีกับชาวบ้านเขา ไปยุให้พระตีกัน พระที่นำมาห้อยคอนี้ พระท่านทำขึ้นมาก็ด้วยอาศัยอำนาจของพระพุทธานุภาพนะ อำนาจของพระพุทธานุภาพนี้สามารถที่จะช่วยคนที่ไม่ถึงอายุขัยให้พ้นจากอันตรายได้

    ที่เรียกว่า "พระเครื่อง" อันนี้ใช้ได้ แต่ถ้าหากจะเรียก "เครื่องรางของขลัง" อันนี้ใช้ไม่ได้ พระทุกองค์ท่านทำมาไม่ใช่ของขลัง ท่านทำมาด้วยวิชาที่เรียกว่า "พุทธศาสตร์" ไม่ใช่ "ไสยศาสตร์" พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์มีค่าต่างกัน พวกของขลังนี่เป็นไสยศาสตร์ เขาทำมาเพื่อทำลาย สำหรับพุทธศาสตร์เขาทำเพื่อการสงเคราะห์เพื่อให้บุคคลที่มีพระประเภทนี้ไว้ ถ้ามีจิตใจเคารพในคุณพระรัตนตรัย หากไม่ถึงอายุขัย อันตรายของชีวิตถึงจะเกิดขึ้นก็สามารถปลอดภัยจากอันตรายนั้นได้ ......
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    "กำลังของการสร้างพระ"


    ถาม: หลวงตาบอกว่า ตอนหลวงตาเจอหลวงปู่ครั้งแรก หลวงปู่บอกว่า หลวงตากรรมหนัก ให้ไปสร้างพระ
    หลวงตา: ใช่
    หลวงตาเล่าว่า “หลวงพ่อท่านเคยบอกว่าเอ็งกรรมหนัก ปาณาติบาตเยอะ ท่านให้ไปสร้างพระ ท่านก็แผ่ไปให้เจ้ากรรมนายเวร หลวงปู่ท่านปรับให้หลวงตาตอนไปอยู่กับท่าน ส่งเจ้ากรรมนายเวรให้มั่ง โห ตั้งหลายปี หล่อพระ การหล่อพระ นี่ เป็นการแผ่ให้พวกนี้ได้ดีที่สุด พวกเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เป็นกำลังของเราด้วย โห ถ้าไม่เจอหลวงปู่นี่ เสร็จเลย คงตายไปแล้วล่ะ ถ้าไม่เจอหลวงพ่อ นี่ ตายแล้ว ยังไงก็ตาย”

    ถาม: การสร้างพระ นี่ เป็นการลดกรรมเก่าได้ยังไง
    หลวงตา: อืมม เวลาเราแผ่ไป กำลังของพระไปด้วย กำลังมันมาก ความสว่างมันมาก

    ถาม: ทำให้เราเบนกระแสกรรมได้
    หลวงตา: ไม่ใช่ ทำให้เค้า ภูมินี่ มันได้บุญมาก ภูมิบางภูมินะ ภูมิที่เค้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราส่วนใหญ่จะเป็นสัมภเวสีกับพวกเปรต อสุรกาย ส่วนใหญ่เลยนะ
    ถ้าเป็นมนุษย์ มันต้องโมทนาบุญกับเรา โน่นนี่ ถึงจะได้ แต่ถ้าเป็นเทวดา หรือ พรหม นี่ เค้าไม่เอาเรื่องกับเรา เพราะเค้ากำลังเสวยบุญอยู่ไง เค้าไม่เอา ที่มันมีปัญหาอยู่ทุกวันนี้คือพวกสัมภเวสีทั้งนั้น นี่ หรือไม่ก็มนุษย์ด้วยกัน เพราะมันไม่ยอมง่ายๆ เพราะฉะนั้น น่าศึกษา ศาสตร์หลวงปู่นี่ จับท่านองค์เดียว มีทุกวิชาอยู่ในนั้น นี่ เอ็กซเรย์ก็ได้ เป็นโรคอะไร รู้หมดนี่ บางคนสร้างพระไม่นานก็เลิก มันไม่เข้าใจ คนเข้าใจจริงๆ เค้าไม่หยุดสร้าง มีเวลาเค้าจะสร้าง เพราะการสร้างพระ เป็นการสร้างรูปลักษณ์ขึ้น องค์เล็ก องค์ใหญ่ มันก็เท่ากัน ถ้ามันมีเวลา แล้วไม่ทำ ก็เสียประโยชน์ กำลังการสร้างพระคือกำลังแสงสว่าง แสงสว่าง รัศมีไกลนะ (หัวเราะ) มันเป็นการรวมบารมีไง มันเป็นหนึ่งเดียวไง พระพุทธรูปนะ พระเป็นสื่อของพลังงาน

    ถาม: เพราะเหตุใดหลวงตาจึงขยันเทพระ สร้างพระ เกือบทุกวัน หลวงตาต้องการทำอะไรบ้าง
    หลวงตา: เราสร้างพระ เราอธิษฐาน พระเป็นสื่อพลังงาน พระไปที่ไหน พลังงานหลวงปู่ ไปที่นั่น แม้แต่คนไม่ใช้ก็มีประโยชน์ เพราะว่ามีพลังงาน ก็อย่างพระ รูปหลวงปู่ นี่ เป็นสื่อพลังงานนะ เวลามองปั๊บ นี่ พลังงานท่านมาหมดแหละ คือ บุญท่านมานะ
    เวลาทำพระองค์นึงไม่ใช่ทำง่ายๆ นึกว่าทำง่ายเหรอ นี่ ต่อไปข้างหน้าจะทำได้หรือเปล่าไม่รู้ เพราะโลกมันไม่แน่นอน สมัยนี้ ใครก็ทำได้นะ พระ โทรศัพท์กริ๊งนึงไปที่โรงงานจะเอาใหญ่ขนาดไหนก็ได้ ถ้าในสมัยโบราณ ที่พูดมา นี่ ต้องใช้เวลาหลายสิบปี กว่าจะไปหาโรง กว่าจะไปหาช่าง กว่าจะขึ้นหุ่น กว่าจะ โห เป็นเรื่องใหญ่นะนี่ คนธรรมดาอย่างเราๆ ทำไม่ได้ มันต้องเป็นเศรษฐี เป็นผู้มีกำลัง ท่านบอก โลกมันเจริญแล้วเสื่อม สิ่งนี้ จึงเป็นการสืบต่อพลังงาน สืบต่อพลังงานของบุญ ถ้าเข้าใจก็ทำ ถ้าไม่เข้าใจมันจะต่อต้าน ทำไปทำไม เค้าทำกันเยอะแยะ ไม่กี่ร้อยปีมันก็จะเสื่อม
    เดี๋ยวก็เกิดใหม่ แล้วก็สร้างใหม่ มันเป็นรูปกับนามไง ศาสนาอยู่ที่สื่อ อยู่ที่พระ

    ถาม: หลวงตาสร้างพระ และ หล่อพระ เกือบทุกเดือนนั้น ประโยชน์สูงสุดจริงๆ แล้วทำเพื่ออะไรครับ
    หลวงตา: พระเป็นสื่อพลังงาน คนทั่วๆ ไปยังไม่ค่อยเข้าใจนะ ไม่ให้ติดวัตถุมงคล เข้าใจยากนะ มันเป็นสูตรของโพธิญาณเค้า ทุกอย่างในโลกนี้ ถ้าไม่มีสื่อ คนจะจำไม่ได้ เพราะฉะนั้น มันถึงมีวัตถุเก่าๆ ใช่ไหม เจดีย์เก่าๆ อย่างทั่วโลกนะ เค้าทำไว้ เค้าเอามาศึกษาในอดีต พวกนั้นอยู่กันยังไง ใช่ไหม ทุกศาสนา ทุกประเทศเค้าทำ มันย้อนดูได้ แต่พุทธศาสตร์ นี่ ถ้าไม่เรียน ไม่รู้หรอก มันไม่มีรูปก็ไม่มีนาม ประมาณการไม่ได้นะ

    สมัยก่อน ก็ไม่ได้สร้างพระอะไรมากมายหรอก ตั้งแต่มาอยู่กับหลวงปู่ดู่นี่แหละ ท่านพาทำ ท่านบอก พระองค์เล็ก องค์ใหญ่ มันเป็นสื่อของพลังงานทั้งนั้น ท่านบอก ในอนาคต ในกาลข้างหน้า ศาสนา นี่ มันอยู่ที่สื่อ มันอยู่ที่พระ คนที่ทำกรรมฐานในอนาคต บางคน นี่ เขาก็เอาพระมาเป็นสื่อในการทำกรรมฐานของเขา มันก็เหมือนตอนที่หลวงตาไปลาหลวงปู่อ่ะ ท่านยังให้พระมาองค์นึง ท่านบอกอยากรู้อะไรสามโลกธาตุให้ถามพระองค์นี้ ท่านว่า เป็นรูปท่านเองรูปลอยองค์ เป็นปูนสีจะออกน้ำตาลๆ หน่อย พระของท่าน หรือ ที่เราสร้างนี่ ถ้าเก็บไว้นานๆ มันจะเปลี่ยนสีออกสีน้ำตาลนะ ถ้ามันหักข้างใน มันจะเป็นแก้ว หลวงตาถึงได้สร้างไง ถึงเข้าใจ ถึงสร้างไง ถ้างั้นไม่สร้างหรอกไม่มีประโยชน์อะไร

    หลวงปู่ท่านสอนว่า เอ็งทำอะไรนี่ เอาประโยชน์ว่า ฝึกกับท่านมาสิบปีนะก่อนที่จะบวช สิบปีนี่ ทิ้งทุกอย่างไว้นะ ไม่สนใจเลย ฝึกอย่างเดียว ทำงานไปด้วย ฝึกไปด้วย มันก็เหมือนเรียนศาสตร์ทั้งหลายที่เค้าเรียนๆ กันนั่นนะ ถ้าอยากจะรู้เรื่องอะไร ก็เรียนที่พุทธศาสตร์ เพราะพุทธศาสตร์ มันเป็นศาสตร์ที่คุมศาสตร์ทุกศาสตร์ในโลกนี้นะ พื้นฐานของพุทธศาสตร์ คือ การฝึกจิต อ่ะ ฝึกจิต ความสงบของจิต ความสบาย ความเพลิดเพลิน
    ***************************************************
    “... สวดทุกครั้งพลังงานมันหมุนเวียนไปตามรูปลักษณ์ที่เราสร้าง รูปลักษณ์ที่เราอธิษฐาน รูปลักษณ์ที่เราแจกไป จะเป็นองค์เล็กองค์น้อยองค์ใหญ่ไปหมดนะ ...”
    ***************************************************
    ข้อมูลจาก : หนังสือตามรอยโพธิญาณ หน้าที่ 274-277
    ***************************************************

    เครดิต Athinan Aumboon
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    พระสมเด็จจิตรลดา
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    %B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B212may2014.png
    พระสมเด็จจิตรลดา
    150px-Phra_Somdej_jitlada_%28Buddha%29.jpg
    พระสมเด็จจิตรลดา

    พระสมเด็จจิตรดา หรือ พระกำลังแผ่นดิน (ปัจจุบันประชาชนเรียกว่า สมเด็จจิตรดา, พระจิตรดา เดิมเรียกว่า พระพิมพ์ที่ฐานพระพุทธนวราชบพิตร) เป็นพระเครื่อง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง พระราชทานแก่ทหาร ตำรวจ[1] ข้าราชการ และพลเรือน ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2508 - 2513 มีทั้งสิ้นประมาณ 2,500 องค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง มีเอกสารส่วนพระองค์ (ใบกำกับพระ) ซึ่งแสดงชื่อ นามสกุล วันที่รับพระราชทาน หมายเลขกำกับทุกองค์ และภาพพระสมเด็จจิตรดา (องค์พระสมเด็จจิตรลดาในรัชสมัยได้มีการพระราชทานเพียงครั้งเดียว)[2] โดยมีพระราชดำรัสแก่ผู้รับพระราชทานว่า "ให้ปิดทองที่หลังองค์พระปฏิมา แล้วเอาไว้บูชาตลอดไป ให้ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ" ดังเช่นในเนื้อเพลงพระราชนิพนธ์ความฝันอันสูงสุด ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเมื่อ พ.ศ. 2514 และพระธรรมเจดีย์ (ประกอบ ธมฺมเสฏฺโฐ ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตร เจ้าคณะภาค 13 ถวายพระธรรมเทศนาว่าด้วยการเป็นผู้นำ ผู้นำและนักปกครองทั้งหลายพึงสดับ พ.ศ. 2555

    การแกะแม่พิมพ์พระพุทธรูปพิมพ์ โดยมีศาสตราจารย์ ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ข้าราชการบำนาญกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร แห่ง มหาวิทยาลัยศิลปากร รับราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทในงานด้านประติมากรรมเป็นผู้แกะแม่พิมพ์ถวาย การแกะพิมพ์ พระสมเด็จจิตรดา หรือ พระกำลังแผ่นดิน เป็นพุทธศิลป์แบบแม่พิมพ์ลึก แล้วใช้ดินน้ำมันกดลงบนแม่พิมพ์ลึกเพื่อถอดแบบองค์พระสมเด็จจิตรดา จากนั้นก็ทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทอดพระเนตร และทรงวินิจฉัยแบบพิมพ์ พระองค์ท่านมีพระกระแสรับสั่งให้แก้ไข ตกแต่ง แบบพิมพ์พระสมเด็จจิตรลดาหลายครั้ง จนเป็นที่พอพระราชหฤทัย เมื่อได้แม่พิมพ์ที่สมบูรณ์ด้วยพุทธศิลป์ตามพระราชประสงค์ของพระองค์ท่าน แล้ว จากนั้นพระองค์ทรงนำแม่พิมพ์ที่แกะไว้ทำการถอดต้นแบบพระสมเด็จจิตรดาจากแม่ พิมพ์หิน โดยพระองค์ท่านทรงใช้วัสดุเคมีที่นำเข้าจากต่างประเทศที่มีคุณภาพดี จนได้ตามจำนวนพระราชประสงค์แล้ว ก็ทรงนำต้นแบบพระสมเด็จจิตรดาจำนวนหนึ่ง เรียงบนภาชนะที่เตรียมไว้เพื่อทำการหล่อแม่พิมพ์อีกครั้ง โดยทรงหล่อเป็นแม่พิมพ์ยาง[3]



    ข้อมูลจำเพาะ
    %B8%98%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3.jpg
    พระพุทธนวราชบพิตร ซึ่งมีพระสมเด็จจิตรลดาประดิษฐานอยู่
    180px-Certifi.jpg
    ใบกำกับพระ พระสมเด็จจิตรลดา
    พระสมเด็จจิตรลดา เป็นพระเครื่องทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ขอบองค์พระด้านหน้าทั้ง 3 ด้าน เฉียงป้านออกสู่ด้านหลังเล็กน้อย มี 2 ขนาดพิมพ์ คือ

    • พิมพ์เล็ก กว้าง 1.2 เซนติเมตร สูง 1.9 เซนติเมตร
    • พิมพ์ใหญ่ กว้าง 2 เซนติเมตร สูง 3 เซนติเมตร
    พระสมเด็จจิตรลดา เป็นพระปางสมาธิ ศิลปะรัตนโกสินทร์ พระพักตร์ทรงผลมะตูม องค์พระประทับนั่งขัดสมาธิราบ ประทับนั่งเหนือบัลลังก์ดอกบัว ประกอบด้วย กลีบบัวบานทั้ง 9 กลีบ และเกสรดอกบัว 9 จุดอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว มีลักษณะละม้ายคล้ายกับพระพุทธนวราชบพิตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานประจำทุกจังหวัดและหน่วยทหาร แต่ต่างกันที่ พระพุทธนวราชบพิตร เป็นพระปางมารวิชัย

    พระสมเด็จจิตรลดา มีหลายสี ตามมวลสารที่ใช้ผลิตในแต่ละครั้งแตกต่างกัน ได้แก่ สีน้ำตาล สีน้ำตาล-อมเหลือง สีน้ำตาล-อมแดงคล้ายเทียน สีดำอมแดง หรือ สีดำอมเขียว มีทั้งสีเข้มและอ่อน

    มวลสารของพระสมเด็จจิตรดา[แก้]
    มวลสารของพระสมเด็จจิตรลดา ประกอบด้วยเรซิน และผงพระพิมพ์ โดยทรงนำมาบดเป็นผง รวมกับเส้นพระเจ้า คลุกกับกาวเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วกดเป็นองค์พระด้วยพระหัตถ์ โดยทรงใช้เวลาตอนดึกหลังทรงงาน มีเจ้าพนักงาน 1 คน คอยถวายพระสุธารส และหยิบสิ่งของถวาย ทั้งนี้ มี ศาสตราจารย์ ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ข้าราชการบำนาญกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร ผู้เป็นผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทในงานด้านประติมากรรม เป็นผู้แกะ แม่พิมพ์ ถวายเพื่อทรงพระราชวินิจฉัย แก้ไข จนเป็นที่พอพระราชหฤทัย

    ผงพระพิมพ์ ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ

    • ส่วนที่ 1 ส่วนในพระองค์ ประกอบด้วย
      • ดอกไม้แห้ง จากมาลัยที่ประชาชนได้ทูลเกล้าฯ ถวายในการเสด็จพระราชดำเนินเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและได้ทรงแขวนไว้ที่องค์พระตลอดเทศกาล
      • เส้นพระเจ้า ซึ่งเจ้าพนักงานได้รวบรวมไว้หลังจากทรงพระเครื่องใหญ่ทุกครั้ง
      • ดอกไม้แห้ง จากมาลัยที่แขวนพระมหาเศวตฉัตรและด้ามพระแสงขรรค์ชัยศรี ในพระราชพิธีฉัตรมงคล
      • สี ซึ่งขูดจากผ้าใบที่ทรงเขียนภาพฝีพระหัตถ์
      • ชัน (ผงชันผสมกับน้ำมันยางกวนให้เข้ากันจนเหนียวใช้สำหรับยารอยต่อของแผ่นไม้ใต้ท้องเรือ ป้องกันน้ำเข้าใต้ท้องเรือ)และสีน้ำมัน ซึ่งทรงขูดจากเรือใบไมโครมด เป็นเรือใบพระที่นั่ง ขณะที่ทรงตกแต่งเรือใบพระที่นั่งใช้แข่งขันกีฬาแหลมทอง 1967
    • ส่วนที่ 2 วัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์จากทุกจังหวัด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ประกอบด้วย
      • วัตถุที่ได้มาจากปูชนียสถานหรือพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนเคารพบูชาในแต่ละจังหวัด
      • ดอกไม้ ผงธูป เทียนบูชาพระแก้วมรกต ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระพุทธชินสีห์ วัดบวรนิเวศวิหาร พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก
      • ดอกไม้ ผงธูป เทียนบูชาจากพระอารามหลวงที่สำคัญ
      • ดิน ตะไคร่น้ำแห้งจากใบเสมา จากสังเวชนียสถานในประเทศอินเดีย และประเทศศรีลังกาซึ่งสมณทูตได้ถวายเก็บไว้ในเจดีย์ที่วัดเสด็จ จังหวัดปทุมธานี
      • ดิน ตะไคร่น้ำแห้งจากใบเสมา จากทุกจังหวัดในประเทศไทย เช่น จากพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม วัดพระบรมธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช วัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่
      • น้ำจากบ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งได้เคยนำมาใช้เป็นน้ำสรงมุรธาภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และน้ำอภิเษก
    แหล่งที่มาของผงพระพิมพ์ พระสมเด็จจิตรลดา
    • 80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B22508.jpg
      พระสมเด็จจิตรลดา รุ่น พ.ศ. 2508


    • 80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B22509.jpg
      พระสมเด็จจิตรลดา รุ่น พ.ศ. 2509


    • B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B22509-small.jpg
      พระสมเด็จจิตรลดา พิมพ์เล็ก รุ่น พ.ศ. 2509


    • 80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B22510.jpg
      พระสมเด็จจิตรลดา รุ่น พ.ศ. 2510


    • 80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B22511.jpg
      พระสมเด็จจิตรลดา รุ่น พ.ศ. 2511


    • 80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B22512.jpg
      พระสมเด็จจิตรลดา รุ่น พ.ศ. 2512

    • 80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B22513.jpg
      พระสมเด็จจิตรลดา รุ่น พ.ศ. 2513


    • 120px-PAJIT.jpg
      พระสมเด็จจิตรลดา บนแสตมป์ฉลองครบ 70 พรรษา
    มวลสาร ที่ใช้ในการสร้างพระสมเด็จจิตรลดาถูกนำมาจากทุกจังหวัด ซึ่งในขณะนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2508 ประเทศไทย มีจังหวัดทั้งสิ้น 71 จังหวัด ดังนี้

    ภาคกลาง[แก้]
    %B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3.png
    ผู้ว่าราชกรุงเทพมหานคร ได้อัญเชิญพระพุทธนวราชบพิตรและพระสมเด็จจิตรลดาซึ่งติดอยู่ที่ฐานของพระ เป็นพระพุทธรูปประจำศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร มาประดิษฐาน ณ ท้องสนามหลวง
    ภาคตะวันออก[แก้]
    400px-Massjitrada1.jpg
    มวลสารพระสมเด็จจิตรลดา
    ภาคเหนือ[แก้]
    B8%98%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A39.jpg
    พระสมเด็จจิตรลดา ประดิษฐานที่พระพุทธนวราชบพิตร เป็นพระประธานในการเทศน์พระธรรมเทศนาโดยพระธรรมเจดีย์ (ประกอบ ธมฺมเสฏฺโฐ ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตร เจ้าคณะภาค 13
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    ภาคใต้[แก้]
    พระสมเด็จจิตรลดา พิมพ์เล็ก[แก้]
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทำพระสมเด็จจิตรลดา พิมพ์เล็ก สำหรับพระราชทานให้เด็ก มีจำนวน 40 องค์ โดยสี่องค์แรก พระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ทั้งสี่พระองค์

    ดูเพิ่ม[แก้]
    อ้างอิง[แก้]
    1. • Thai PBSตอบโจทย์ พระราชา ผู้ปิดทองหลังพระ www.thaipbs.or.th
    2. Chitaralada Raja • ประวัติพระพิมพ์สมเด็จจิตรลดา
    3. ประมุข ไชยวรรณ, พระพิมพ์จิตรลดา พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ขององค์พระประมุขของชาติ พิมพ์ครั้งที่ 1, 2541, 319 หน้า, หน้า 309
    4. ประมุข ไชยวรรณ, พระพิมพ์จิตรลดา พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ขององค์พระประมุขของชาติ พิมพ์ครั้งที่ 1, 2541, 319 หน้า, หน้า 16
    5. ประมุข ไชยวรรณ, พระพิมพ์จิตรลดา พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ขององค์พระประมุขของชาติ พิมพ์ครั้งที่ 1, 2541, 319 หน้า, หน้า 18
    6. ประมุข ไชยวรรณ, พระพิมพ์จิตรลดา พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ขององค์พระประมุขของชาติ พิมพ์ครั้งที่ 1, 2541, 319 หน้า, หน้า 30
    7. ประมุข ไชยวรรณ, พระพิมพ์จิตรลดา พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ขององค์พระประมุขของชาติ พิมพ์ครั้งที่ 1, 2541, 319 หน้า, หน้า 202
    8. ประมุข ไชยวรรณ, พระพิมพ์จิตรลดา พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ขององค์พระประมุขของชาติ พิมพ์ครั้งที่ 1, 2541, 319 หน้า, หน้า 19
    9. ประมุข ไชยวรรณ, พระพิมพ์จิตรลดา พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ขององค์พระประมุขของชาติ พิมพ์ครั้งที่ 1, 2541, 319 หน้า, หน้า 20
    10. ประมุข ไชยวรรณ, พระพิมพ์จิตรลดา พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ขององค์พระประมุขของชาติ พิมพ์ครั้งที่ 1, 2541, 319 หน้า, หน้า 21
    11. ประมุข ไชยวรรณ, พระพิมพ์จิตรลดา พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ขององค์พระประมุขของชาติ พิมพ์ครั้งที่ 1, 2541, 319 หน้า, หน้า 22
    12. ประมุข ไชยวรรณ, พระพิมพ์จิตรลดา พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ขององค์พระประมุขของชาติ พิมพ์ครั้งที่ 1, 2541, 319 หน้า, หน้า 23
    13. รัตนาวุธ วัชโรทัย, บทสัมภาษณ์ใน เนชั่นสุดสัปดาห์, ปีที่ 16 ฉบับ 829 วันที่ 18 เมษายน 2551, หน้า 58-59
    • วารสารกรมบัญชีกลาง "ในหลวงของเรา" [4] (สืบค้นเมื่อ ๖ กันยายน ๒๕๕๓)
    • บทความเรื่อง สมเด็จจิตรลดา หรือ พระกำลังแผ่นดิน ตีพิมพ์ครั้งแรก. ในหนังสือรายปักษ์ชื่อ "ลดา" และตีพิมพ์ครั้งที่สอง ในวารสารห้องสมุด. สำนักราชเลขาธิการ
    • ประมุข ไชยวรรณ พระพิมพ์จิตรลดา, ๒๕๔๔
    • [5] (สืบค้นเมื่อ ๖ กันยายน ๒๕๕๓)
    • นันทเดช โชคถาวร ,ว่าที่ ร้อยตรี พระสมเด็จจิตรลดา พิมพ์ครั้งที่ ๑๖ กรุงเทพฯ ๒๕๕๓.
    • สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี พระพุทธธนวรราชบพิตรประจำจังหวัดกาญจนบุรี [6] (สืบค้นเมื่อ ๘ กันยายน ๒๕๕๓)
    • พระพุทธนวราชบพิตรและพระราชดำรัสในพิธีพระราชทานพระพุทธนวราชบพิตรประจำจังหวัดต่างๆ ปี ๒๕๑๐ - ๒๕๑๔ โฟโต้การพิมพ์, ๒๕๑๕,๕๒ หน้า
    • [7] จดหมายข่าวสำนักราชเลขาธิการ]
    • เอกสารการสร้างพระกริ่งพระพุทธนวราชบพิตร พระชัยวัฒน์พระพุทธนวราชบพิตร พระกริ่งไพรีพินาศ เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในพิธี กาญจนาภิเษก และการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ของมูลนิธิปริยัติศึกษา ญสส. ในสังฆราชูปถัมภ์ สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
    • พระพุทธนวราชบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้พิมพ์เป็นอนุสรณ์ ในการพระราชาทานเพลิงศพ นางดีน เมืองสมบูรณ์ ณ ฌาปนสถาน วัดพลับพลาชัย อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี วันที่ ๘ เมษายาน พ.ศ. ๒๕๑๖
    • พระพุทธนวราชบพิตรและพระราชดำรัสในพิธีพระราชทานพระพุทธนวราชบพิตร ประจำจังหวัดต่างๆ ปี ๒๕๑๐ - ๒๕๐๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้พิมพ์เป็นอนุสรณ์ ในการพระราชาทานเพลิงศพ พระครูวิทยานุโยค (พลบ เฟื่องฟุ้ง) ณ เมรุวัดนิมมานรดี (เดิมชื่อ วัดบางแค) กรุงเทพมหานคร วันอาทิตย์ที่ ๒๗ สิงหาคม พทุธศักราช ๒๕๑๕
    • พระสมเด็จจิตรลดา พระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ จากพระหัตถ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 สัมภาษณ์ผู้ได้รับพระราชทาน พระสมเด็จจิตรลดา[[8]]
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    +++ หลวงพ่อวัดท่าซุงหาเงินให้สร้างวัด +++

    ถาม : ผมจะสร้างวัดแต่ก็บอกบุญไม่ได้ ?
    ตอบ : ไม่ต้องหรอก #แค่พัฒนาวัดให้สะอาดก็พอแล้ว วัดแต่ละวัดจริง ๆ เสนาสนะพอใช้งาน เพียงแต่ว่าบางคนอยากได้ที่พร้อมสมบูรณ์กว่านั้น

    โดยเฉพาะผม บอกบุญใครไม่เป็นเลย #ถึงได้ต้องห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไร #เพราะว่าตกลงกับหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ว่า "ถ้าจะให้ผมทำ ต้องหาเงินให้ผมด้วย ถ้าผมต้องขอเขาแม้แต่บาทเดียว ผมจะไม่ทำอะไรเลย"

    พูดง่าย ๆ ว่าถ้าคุณกล้าพูดอย่างนี้ ก็ต้องมีดีพอ #คือผมไม่ได้รั้นกับครูบาอาจารย์ #แต่มีนิสัยไม่ชอบขอเงินใคร เพราะฉะนั้น...ถ้าหลวงพ่อเห็นว่าผมสามารถที่จะทำงานให้ได้ หลวงพ่อต้องหาเงินให้ผม

    ท่านเลยถาม "#แกแน่ใจนะว่าจะเอาอย่างนี้ ?" กราบเรียนว่า "แน่ใจครับ" "เออ...ได้" #แล้วท่านก็หาเงินของท่านเอง แต่ว่าอย่าใช้ผิดนะ ถ้าใช้ผิดโดนด่าหูตูบ..!

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง #ผมคิดจะติดกระจกรอบตึกแดงเพื่อให้โปร่ง เห็นข้างนอกได้ ปรากฏว่าพอจะเรียกช่างทำกระจกมา #หลวงพ่อท่านบอกว่า "แพงเกินไป ถ้าใครตัดหญ้า #เครื่องตัดหญ้าดีดหินไปโดนแค่ก้อนเดียวก็ฉิบหายแล้ว ทำอะไรอย่าให้ฟุ่มเฟือยมากเกินไปนัก #เงินข้าเป็นคนหา ไม่ใช่แกหา"

    #ท้ายสุดตึกแดงถึงได้เป็นมุ้งลวดรอบหลังแทนที่จะเป็นกระจก นั่นก็โปร่งเหมือนกัน พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่โดนด่า ความคิดก็ไม่เกิด มุ้งลวดไม่กี่บาท ส่วนกระจกราคาแพง เพราะฉะนั้น...#เงินของหลวงพ่อท่านไม่ต้องไปใช้ส่งเดชหรอก ผิดท่าผิดทางมีหวังโดนก่อน..!

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    วิบากกรรมการทำลายพระพุทธรูป เห็นผลทันตา ไม่ต้องรอชาติหน้า!!


    dcd6af9539981a0c3a64e9cca6f85d31.jpg

    ?temp_hash=107476d3dac24e0bf09062d532c86cd1.jpg





    การทำลายพระปฏิมานั้น ในคัมภีร์ชั้นฎีกา ท่านแสดงไว้ว่า มีบาปเท่ากับทำลายต่อองค์พระบรมศาสดา แม้ในกฎหมายโบราณ ท่านก็ตราเป็นพระราชกำหนดว่า ผู้ใดทำอันตรายต่อพระพุทธรูป มีตัดแขนพระเป็นต้น ก็ให้จับผู้นั้นมาลงโทษด้วยการตัดแขนบ้างhttp://winne.ws/n14438


    "กรรมที่เกิดจากการทำลายพระพุทธรูป"

    ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๑ พระเจ้าศศางกะ กษัตริย์อินเดียผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เกิดริษยาความเจริญของพระพุทธศาสนา จึงคิดจะทำลายล้าง โดยจัดการกับวิหารมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก่อน ในวิหารนั้นมีพระพุทธรูปอันงดงาม พระเจ้าศศางกะสั่งให้แม่ทัพจัดการทำลายพระพุทธรูปทันที แล้วเสด็จออกไปตัดต้นมหาโพธิ์ ส่วนภายในวิหารปล่อยให้แม่ทัพจัดการ

    ฝ่ายแม่ทัพเป็นผู้รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่กล้าทำตามคำสั่งนาย ได้ดำริว่า ถ้าทำลายพระพุทธรูปตามโองการของพระราชา เราก็ต้องตกนรก ถ้าไม่ทำตามโองการ ศีรษะก็จะไม่อยู่กับบ่า ในที่สุดคิดอุบายร่วมกับคนสนิท ก่อกำแพงบังพระพุทธรูปนั้นให้มิด แล้วทูลพระราชาว่าทำลายเสร็จสิ้นแล้ว

    พระเจ้าศศางกะชอบพระทัย พอล่วงไป ๗ วัน ก็บังเกิดโรคพุพองเปื่อยเน่าไปทั่วสรีระ กษัตริย์ใจบาปนี้ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัสจนสิ้นพระชนม์ ฝ่ายแม่ทัพก็รีบมารื้อกำแพงออกทันที

    เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ แม้พระพุทธรูปยังไม่ได้ถูกทำลาย แต่เป็นผลอันเกิดจากการทำอันตรายต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งพระพุทธองค์อาศัยร่มเงาในคืนตรัสรู้

    เรื่องที่ 2

    อ.เสถียร โพธินันทะ ได้ยินผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าว่า ท่านได้เห็นชายชราเป็นโรคผิวหนังพุพองเปื่อยเน่าทั้งตัว ทั้งยังเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ ต้องเที่ยวถัดไปตามถนนขอทานเขากิน ชายชราผู้นี้เล่าชีวประวัติให้ผู้ใหญ่ท่านนั้นฟังว่า

    เมื่อหนุ่มหากินทางขโมยลอกทองพระพุทธรูปบ้าง เที่ยวขุดทรัพย์ในองค์พระปฏิมาตามวัดร้างโบราณ ทำให้องค์พระเสียหายขาดอวัยวะไป บัดนี้กรรมตามทันมาสนองให้ต้องทรมานอย่างนี้หลายปีแล้ว และรู้ตัวว่าหากตายไปคงตกนรกแน่นอน

    ผู้ใหญ่ท่านนั้นเล่าว่า ได้เห็นสภาพของชายชราแล้ว ใจของท่านสลดสังเวชมาก เพราะมีสภาพเกือบไม่เป็นมนุษย์ ตามตัวเน่าไปหมดส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งทีเดียว เป็นการตกนรกทันตาเห็นอยู่แล้ว

    พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จัดเป็นปูชนียวัตถุสูงสุด ผู้สร้างพระพุทธรูปจะได้ประโยชน์ดังนี้

    ๑. ได้บุญตั้งแต่วินาทีแรกที่คิดสร้าง เพราะเป็นความคิดอันประกอบด้วยศรัทธาในพระพุทธองค์ จัดเป็นตถาคตโพธิสัทธา

    ๒. เมื่อบริจาคทรัพย์ในการสร้างจัดเป็นทานบารมี

    ๓. เมื่อขวนขวายติดตามตลอดงานจัดสร้างพระปฏิมาจัดเป็นกุศลส่วนเวยยาวัจจมัย (บุญเกิดจากการขวนขวายในกิจที่ชอบ)

    ๔. เมื่อองค์พระปฏิมาสำเร็จบริบูรณ์ ได้เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงพระพุทธคุณ ทั้งตนเองด้วย ทั้งผู้อื่นด้วย กุศลจะเกิดเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้อาศัยพระปฏิมาเป็นสื่อน้อมนำให้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าเป็นบ่อเกิดแห่งกุศลจริยาอื่นๆ อีกเป็นอันมาก

    ๕. อำนาจแห่งกุศลที่สร้างพระปฏิมาส่งผลให้เกิดเป็นคนรูปงาม มีบุคลิกสง่า เป็นที่เคารพรักใคร่ของประชุมชน มีอิสริยยศ บริวาร ทรัพย์สมบัติ ตลอดจนความสุขสถาพร ไม่เป็นโรควิกลจริต

    ๖. ในสมัยมรณกาล หากมีอารมณ์ในกุศลกิจนั้นมาปรากฏให้จิตยึดก่อนจะจุติ ย่อมปิดอบายภูมิและส่งให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิทันที

    ส่วนการทำลายพระปฏิมานั้น ในคัมภีร์ชั้นฎีกา ท่านแสดงไว้ว่า มีบาปเท่ากับทำลายต่อองค์พระบรมศาสดาเหมือนกัน ถึงห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน เที่ยงต่อการตกนรกหมกไหม้

    แม้ในกฎหมายโบราณ ท่านก็ตราเป็นพระราชกำหนดว่า ผู้ใดทำอันตรายต่อพระพุทธรูป มีตัดแขนพระเป็นต้น ก็ให้จับมันมาลงโทษด้วยการตัดแขนบ้าง ที่ต้องกำหนดโทษรุนแรงทั้งฝ่ายโลกฝ่ายธรรมอย่างนั้น ก็เพราะการทำลายพระพุทธรูปด้วยบาป เจตนาเท่ากับเป็นการทำลายจิตใจของชาวพุทธทั่วไป

    การทำอันตรายต่อปูชนียวัตถุอันเป็นมิ่งขวัญสูงสุดทางใจของคนจำนวนมากอย่างนั้น ก็ต้องมีผลตอบรุนแรงมากตามธรรมดา

    การที่ท่านว่าห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน ก็เพราะคนที่มีใจบาป กล้าทำอันตรายพระปฏิมาได้ คนนั้นไหนเลยจะมีแก่ใจปฏิบัติธรรม เมื่อไม่ได้ปฏิบัติธรรมแล้วที่ไหนจะได้สวรรค์นิพพานเล่า เมื่อห้ามสวรรค์นิพพานแล้ว คติที่ผู้นั้นจักไปก็มีแต่อบายภูมิ ๔ เท่านั้น

    (เสถียร โพธินันทะ)

    อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://plus.google.com/+วัดเจ็ดเสมียนยินดีต้อนรับ/posts/AjXUnbNeQqv
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    เปิดขุมนรกผู้ทำลายพระพุทธรูป
    7/20/2012



    หลังจากที่ได้บอกกล่าวเรื่องคุณแห่งพระพุทธรูปไปแล้วผมจึงคิดว่าน่าที่จะไปค้นหาโทษที่กระทำต่อพระพุทธรูปมาบอกมาเล่าให้ผู้อ่านทั้งหลายได้ประจักษ์กันว่าการกระทำในทางไม่ดีต่อพระพุทธรูปที่เปรียบเสมือนองค์แทนของพระพุทธเจ้านั้นจะมีโทษอย่างไร วันนี้ ( 3 ส.ค. 2551 ) เวลา 17.00 น.เลยตัดสินใจลงไปพบท่านพ่อยมบาลขอให้เปิดนรกขุมของผู้ที่กระทำการบาปหยาบช้าต่อพระพุทธรูป ให้ดู ท่านพ่อยมบาลถามว่า “จะดูไปทำไม”ผมตอบท่านไปว่า “ตอนนี้ที่ในโลกมนุษย์กำลังมีผู้ทำลายพระพุทธรูปและชักนำให้คนอื่นทำลายไปด้วย ผมเกรงว่าจะเกิดความสับสนต่อพุทธศาสนิกชนที่ประพฤติดีงามอยู่ ผมจำเป็นต้องลงมา” ท่านพ่อบอกว่าความจริงท่านไม่อยากจะเปิดแต่ด้วยเหตุผลที่ผมบอกท่านเกี่ยวกับพุทธศาสนิกชนที่ดียังมีอยู่และเพื่อศรัทธาที่จะไม่เสื่อมท่านจึงยอมเปิดและพาผมไปดูนรกขุมนั้น นรกขุมนั้นมีชื่อว่า“พุทธรูปัง หิงสิ” แปลว่า “ทำลายพระพุทธรูป” ก็เป็นขุมนรกของผู้ทำลายพระพุทธรูปนั่นเอง นรกขุมนี้นั้นอยู่ลึกและไกลออกไปจากห้องโถงที่ใช้ตัดสินโทษพวกสัตว์หรือหรือดวงจิตของผู้ที่ตายไปแล้วมาก ท่านพ่อยมบาลได้พาเดินเท้าไปที่นรกขุมนั้นตลอดสองข้างทางได้เห็นสัตว์นรกถูกทรมานในลักษณะต่างๆตามโทษของตน เสียงร้องโหยหวนของสัตว์นรกระงมไปทั่วพอเดินไปใกล้จะถึงท่านพ่อยมบาลก็พูดขึ้นว่า “นรกขุมนี้ไม่ค่อยได้เปิดเท่าไหร่ส่วนใหญ่แล้วนานๆจะมีสัตว์นรกมาเกิดที่นี่ทีเพราะไม่ค่อยมีผู่ทำลายเท่าไหร่ ที่มีอยู่ก็เป็นพวกสัตว์นรกเก่าๆที่ยังรับโทษอยู่ โดยเฉพาะสัตว์นรกรุ่นที่ทำลายเผาวัดและพระพุทธรูปในสมัยตอนปลายอยุธยายังอยู่อีกเยอะเลย ตั้งแต่นั้นก็นานๆมาทีล่าสุดก็พวกที่ทำลายพระพุทธรูปแกะสลักที่อัฟกานิสถานนั่นไงแต่ยังมาไม่หมดกำลังทยอยมา และคงจะได้รองรับพวกที่กำลังกระทำต่อพระพุทธรูปอยู่ในเวลานี้ไม่เว้นแม้ว่าจะเป็นพระภิกษุหรือฆราวาสที่กล่าวอ้างตนว่าพ้นโลกแล้วก็ตาม เอาหล่ะถึงแล้วเราเข้าไปดูกันเถอะ” เมื่อประตูนรกขุมนั้นถูกเปิดออกก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังระงมมาก่อน"

    ภาพแรกที่เห็นเป็นภาพของสัตว์นรกนั้นถูกจับแขนขาตรึงไว้กับพื้น จากนั้นก็มีท่อนซุงขนาดใหญ่ จากที่สูงตกลงมากระแทกทั้งตัวของสัตว์นรกนั้น ร่างกายของมันแตกกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง สักพักหนึ่งประมาณ 5-10 วินาที สัตว์นรกตัวนั้นก็ฟื้นขึ้นมาอยู่ในอาการหวาดกลัวและเจ็บปวดส่งเสียงหวีดร้องเพราะเห็นท่อนซุงใหญ่นั้นกำลังจะตกลงมากระแทกที่ร่างของตนอีก เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วท่านพ่อยมบาลก็พูดขึ้นว่า>>
    “ไอ้อีผู้ใดได้ทุบทำลายพระพุทธรูปหรือจ้างหรือชักชวนหรือสั่งให้ผู้อื่นทำ มันผู้นั้นก็จักถูกทุบทำลายให้แหลกละเอียดไปดุจเดียวกันนี้ตลอดระยะเวลาอย่างน้อย 40,000 ปี นรก “เดินผ่านเข้าไปอีก>>
    ภาพที่สองที่ได้เห็นเป็นภาพของสัตว์นรกนั้นถูกนายนิริยะบาลจับแขนทั้งสองข้างไว้และอีกคนจับศีรษะตรึงไว้ ตามลำตัวนั้นมีหอกทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา ทุกส่วนของร่ายกาย แล้วนายนิริยะบาลอีกคนหนึ่งถือกระบองที่เต็มไปด้วยหนามเดินเข้ามาจับสัตว์นรกนั้นอ้าปากแล้วเอากระบองหนามนั้นกระแทกลงไปที่ปากของสัตว์นรกนั้นขณะที่กระบองอยู่ในปากของสัตว์นรกนั้นนายนิริยะบาลนั้นก็หมุนกระบองไปด้วยบดขยี้ปากของสัตว์นรกนั้นจนเหวอะหวะแหลกเหลวสุดที่สัตว์นรกนั้นจะทนทานได้ขาดใจตายด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส หลังจากตายแล้วประมาณ 5-10 วินาที สัตว์นรกนั้นก็ฟื้นขึ้นมาแล้วก็ถูกกระทำอย่างเดิมซ้ำอยู่อย่างนั้น ท่านพ่อยมบาลก็พูดขึ้นว่า“ไอ้อีผู้ใดด่าทอกล่าววาจาลบหลู่ในพระพุทธรูป แล้วยังชวนให้คนอื่นกระทำเยี่ยงตัวหรือจ้างหรือชักชวนหรือสั่งให้ผู้อื่นทำ เมื่อมันผู้นั้นตายไปก็จักได้รับโทษเยี่ยงนี้ตลอดเวลาอย่างน้อย 40,000 ปีนรก”เดินต่อไปข้างหน้า>>
    ภาพที่สามได้เห็นภาพข้างหน้าเป็นกองไฟนรกขนาดใหญ่ซึ่งมีความร้อนมากกว่าไฟในโลกมนุษย์ถึง 10,000 เท่า ( แต่ไม่มีความร้อนเลยสำหรับคนดีที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์ ) นายนิริยะบาล 4 ตน ได้อุ้มสัตว์นรกตัวหนึ่งมาโยนลงไปในกองไฟนั้น สัตว์นรกนั้นเมื่อตกลงไปในกองไฟก็ร้องโหยหวลดิ้นทุรนทุรายเพราะอำนาจจากความร้อนของไฟนรกนั้น และพยายามจะวิ่งออกจากกองไฟ แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปทางใดที่ตรงนั้นก็จะเกิดกองไฟขึ้นเผาผลาญสัตว์นรกนั้นจนไหม้เกรียมในที่สุดกลายเป็นผงธุลีไปในพริบตา ภาพที่เห็นจากสัตว์นรกที่มีเลือดเนื้อและถูกเผาจนเห็นกระดูกจนแห้งจนเป็นผงธุลีน่าสยดสยอง ท่านพ่อยมบาลก็พูดขึ้นว่า “ไอ้อีผู้ใดได้เผาทำลายพระพุทธรูป หรือจ้างหรือชักชวนหรือสั่งให้ผู้อื่นทำเมื่อมันผู้นั้นตายไปก็จักได้รับโทษเยี่ยงนี้ เป็นเวลา อย่างน้อยถึง 40,000 ปี นรก” แล้วเราก็เดินเข้าปอีก>>
    ภาพที่เห็นเบื้องหน้า สัตว์นรกตัวหนึ่งกำลังถูกเอามีดกรีดที่ผิวหนังแล้วลอกออกทีละชิ้นทีละชิ้น จนกระทั่งหมดทั้งตัว เหลือแต่เนื้อกับกระดูก แต่ส่วนใหญ่ขาดใจตายก่อนที่ถูกลอกหนังจนหมดตัวด้วยความเจ็บปวด หลังจากสิ้นใจตายไปแล้ว อีกประมาณ 5-10 วินาที สัตว์นรกตัวนั้นก็จะฟื้นขึ้นมาถูกกระทำในลักษณะเดิมอีกย่างนี้ตลอดระยะเวลาที่ต้องโทษ ท่านพ่อยมบาลก็พูดขึ้นว่า “ไอ้อีผู้ใดได้ขูดลอกทองที่ผิวองค์พระพุทธรูปด้วยความละโมภในทองนั้นหรือจ้างหรือชักชวนหรือสั่งให้ผู้อื่นทำเมื่อมันผู้นั้นตายไปก็จักได้รับโทษเยี่ยงนี้ เป็นเวลา อย่างน้อยถึง 40,000 ปีนรก”แล้วเราก็เดินกันเข้าไปอีก>>
    ภาพที่เห็นต่อมาก็คือ สัตว์นรกตัวหนึ่งถูกถูกจับนั่งแล้วผูกมือเท้าไว้กับหลักประหารโดยไม่มีผ้าผูกตาเหมือนในโลกมนุษย์ สัตว์นรกนั้นอยู่ในอาการหวาดกลัวตลอดเวลานายนิริยะบาลนายหนึ่งตัวใหญ่มากถือดาบที่คมมากดาบนั้นใหญ่และหนักมาก คนธรรมดาอย่างเราต้องช่วยกันอย่างน้อย 10 คน ก็อาจจะยังยกไม่ขึ้นก็ได้ ยืนอยู่ข้างหลังสัตว์นรกตัวนั้น แล้วฟันดาบนั้นลงมาที่คอสัตว์นรกนั้นอย่างแรงเสียงดังมาก แต่แปลกที่คอของสัตว์นั้นไม่ได้ขาดกระเด็นกลับห้อยต่องแต่งเพราะเนื้อหนังยังไม่ขาดจากกันทั้งหมด สัตว์นั้นคงเจ็บปวดทรมานมากจะร้องก็ไม่ได้แล้วเจ็บปวดอยู่อย่างนั้นจนขาดใจตายไป ผมสงสัยจึงได้ถามท่านพ่อยมบาลไปว่า “ท่านพ่อครับทำไมจึงไมตัดให้ขาดไปทีเดียวกลับตับให้เหลือติดห้อยต่องแต่งอย่างนั้น” ท่านตอบมาว่า”ลูกเอยไอ้สัตว์นรกพวกนี้มันต้องได้รับความเจ็บปวดให้มากๆจึงจะหราบจำ ที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อให้มันเจ็บปวดที่สุดจะได้เกรงกกลัวและไม่ทำชั่วอีก” แล้วท่านก็พูดต่อว่า “ไอ้อีผู้ใดที่มันชอบตัดเศียรพระตัดแขนพระตัดมือพระพุทธรูปเพื่อการค้าหรือจ้างหรือชักชวนหรือสั่งให้ผู้อื่นทำเมื่อมันผู้นั้นตายไปก็จักได้รับโทษเยี่ยงนี้ เป็นเวลา อย่างน้อยถึง 40,000 ปีนรก” แล้วเราก็เดินต่อเข้าไปอีก>>
    ภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้นสยดสยองกว่าที่เห็นมาแต่ต้นเป็นภาพที่สัตว์นรกนั้นดิ้นทุรนทุรายเพราะถูกน้ำกรดมีมีฤทธิ์กัดรุนแรงกว่าในโลกมนุษย์นี้เป็น 10,000 เท่า นายนิริยะบาลหลายนายช่วยกันตักน้ำกรดนั้นที่ละกระบวยราดลงไปที่สัตว์นรกนั้น ผิวหนังของสัตว์นรกนั้นเมื่อโดนน้ำกรดกัดก็เกิดเป็นแผลเหวอะหวะเลือดไหลนองไปทั่วร่างกาย กระบวยแล้วกระบวยเล่า ถูกน้ำกรดกัดจดถึงกระดูกน้ำกรดนั้นกัดจนกระดูกละลายในทันที สัตว์นั้นไม่อาจทนความเจ็บปวดได้ก็ขาดใจตายไป อีกประมาณ 5-10 วินาทีต่อมา สัตว์นั้นก็ฟ้นขึ้นมาแล้วก็ถูกกระทำอย่างเดิมซ้ำอยู่อย่างนั้น ท่านพ่อยมบาลก็พูดขึ้นว่า “ไอ้อีผู้ใดได้ใช้น้ำกรดราดพระพุทธรูปโดยมีเจตนาที่จะทำลายพระพุทธรูปนั้นให้พินาศลงหรือกระทำเพื่อลบหลู่หรือจ้างหรือชักชวนหรือสั่งให้ผู้อื่นทำเมื่อมันผู้นั้นตายไปก็จักได้รับโทษเยี่ยงนี้ เป็นเวลา อย่างน้อยถึง 40,000 ปีนรก”แล้วเราก็เดินต่อเข้าไปอีก>>
    ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็คือสัตว์นรกนั้นถูกจับมัดมือมัดเท้าให้นอนราบกับพื้นแล้วนายนิริยะบาลก็พาฝูงสัตว์นรกอื่นเป็นสัตว์ประเภทต่างๆที่เลี้ยงไว้ใช้ลงโทษ มีสุนัขเป็นต้น มาเหยียบย่ำสัตว์นั้นฝูงหนึ่งๆมีจำนวนเป็นร้อยบ้าง เป็นพันบ้าง ฝูงแล้วฝูงเล่า สัตว์แต่ละตัวนั้นใหญ่มากเล็กสุดประมาณเท่าควายบนโลกมนุษย์ เดนเหยียบไปบนร่างของสัตว์นรกนั้นทีละตัวที่ละตัวจนกว่าสัตว์นรกที่ถูกเหยียบนั้นจะตาย ทั้งกระอักเลือด ทั้งไส้แตกกระจายออกมา ทั้งกระดูกหักไปทั้งตัว ร้องโหยหวนจนขาดใจตาย จากนั้นอีกประมาณ 5-10 วินาทีสัตว์นรกนั้นก็ฟื้นขึ้นมาแล้วถูกกระทำอย่างเดิมนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดกรรม ท่านพ่อยมบาลพูดขึ้นว่า “ไอ้อีผู้ใดเหยียบย่ำทำลายพระพุทธรูปด้วยความลบหลู่ด้วยประกาศตนว่ายิ่งใหญ่ด้วยประกาศตนว่าหลุดพ้นแล้วหรือจ้างหรือชักชวนหรือสั่งให้ผู้อื่นทำเมื่อมันผู้นั้นตายไปก็จักได้รับโทษเยี่ยงนี้ เป็นเวลา อย่างน้อยถึง 40,000 ปีนรก”ขณะที่จะเดินทางต่อไปอีก ท่านพ่อยมบาลก็พูดขึ้นว่า “พอเถิดลูกไม่ต้องไปต่อแล้ว เพียงเท่านี้ก็คงพอแล้วกับการที่จะปิดเผยเรื่องนี้แก่มนุษย์ให้รับรู้ถึงบาปกรรมที่กระทำต่อพระพุทธรูปที่เปรียบเสมือนองค์แทนแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงกลับไปบอกกับมนุษย์ทั้งหลายให้รับรู้ไว้” แล้วเราก็พากันเดินทางกลับมาที่โถงพิจารณาโทษซึ่งมีดวงจิตของผู้ที่ตายแล้วมารอรับการพิจารณาโทษมากมาย “พ่อยังมีงานต้องทำอีกมาก เอ็งกลับไปได้แล้ว ไปทำสิ่งที่เอ็งต้องทำ”“ครับท่านพ่อยมบาลวันนี้ผมขอลากลับก่อนวันข้างหน้าหากมีเรื่องที่จะมีผู้ทำลายพระพุทธศาสนาอีกผมจะลงมารบกวนท่านพ่ออีกนะครับ”“เออ ถ้ามันเป็นเรื่องของศาสนา เอ็งมาได้ทุกเวลาพ่ออนุญาต”“ขอบคุณครับท่านพ่อ งั้นวันนี้ผมลากลับไปก่อนนะครับ” ท่านพ่อยมบาลพยักหน้ารับไม่พูดอะไรอีก แล้วผมก็กลับมา จริงแล้วก็ไปด้วยฌานนั่นแหละ พอออกจากฌานก็ดูเวลาที่ไปมาทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 40 นาที ท่านผู้อ่านทั้งหลาย เมื่อท่านได้อ่านแล้วขอจงช่วยกันเผยแผ่เรื่องนี้ไปให้ทั่วด้วย ผมอนุญาตให้พิมพ์เผยแผ่ได้ยิ่งดี มาช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนาเอาไว้ให้ลูกหลานของเราสืบต่อไป แต่ก่อนที่จะจากท่านผู้อ่านไปในวันนี้ผมขอฝากข้อคิดไว้สักเรื่องหนึ่ง“การข้ามฟากจำเป็นต้องใช้เรือ พายข้ามไป บุคคลเมื่อข้ามฝั่งไปได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เรืออีก แต่แทนที่จะทำลายเรือนั้นทิ้งเสีย ทำไมไม่ปล่อยเรือลำนั้นให้ลอยกลับไปยังฝั่งเพื่อให้ผู้ที่ยังต้องการเรือข้ามฟากได้ใช้เรือนั้นข้ามฟากไปได้เช่นกันจะเป็นประโยชน์มากกว่าการทำลายเรือนั้นไม่ใช่หรือ เรือที่ผมพูดถึงก็คือพระพุทธรูปนั่นเอง ผู้ใดมีปัญญาคงจะเข้าใจความหมายนี้ ผมเป็นผู้หนึ่งที่พายเรือจนถึงฝั่งแล้ว แต่ไม่เคยคิดทำลายเรือลำนี้เลยเพราะคิดเสมอว่ายังมีผู้ต้องการอาศัยเรือลำนี้อยู่ทิ้งไว้ให้เขาได้ใช้ข้ามฟากต่อไปเถอะ”วันนี้คงต้องขอจบเรื่องราวต่างไว้เท่านี้ก่อน
    ที่มา http://board.palungjit.com/f12/เปิดขุมนรกผู้ทำลายพระพุทธรูป-อีกครั้งตามคำขอ-290052.html
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    ?temp_hash=26791a4de689ce880d19f78248f58e51.jpg

    ?temp_hash=26791a4de689ce880d19f78248f58e51.jpg



    ?temp_hash=26791a4de689ce880d19f78248f58e51.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    ?temp_hash=4227eb99e8da40a1a8524818da76bd43.jpg


    ?temp_hash=4227eb99e8da40a1a8524818da76bd43.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    ?temp_hash=4e908f8c1b0ffc393b946933a4a0e419.jpg


    ?temp_hash=4e908f8c1b0ffc393b946933a4a0e419.jpg ?temp_hash=4e908f8c1b0ffc393b946933a4a0e419.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    c_oc=AQl7NV_OvXRfadgseNf3vMsM56rFX7uSQE3gXmPcH7qwPST-eTAMQUjIW-1IJbasuYY&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg



    c_oc=AQmapWryKzFgGFi4dbzHBUOx1tnNs-1M9PNRsEmwrkZUC-Dn9NHmB8vlHXigd2b-O2A&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg





    (หลวงตาม้า...สอน...การอธิษฐานฝากกระแสไว้กับรูปลักษณ์)


    เวลาอธิษฐานพระ หรือ สร้างพระ ใครเป็นคนสร้างพระ หรือ อธิษฐานพระทั่วไป ในเวลาอนาคต ในกาลข้างหน้า เวลาเราไปเห็นเค้ามีพิธีกรรมต่างๆ พิธีอธิษฐานวัตถุมงคล ท่านบอก จะเป็นดูในทีวีถ้ามองเห็น ท่านบอก รีบฝากกระแสไว้เลย น้อมไปที่ท่าน น้อมไปที่หลวงพ่อ ขออาราธนาบารมีท่าน กำหนดไปที่พระพุทธเจ้าองค์ปฐมลงมาถึงองค์ปัจจุบัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งหลาย
    บารมีรวมไตรสรณคมน์ทั้งหมด ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต บารมีรวมกำลังจักรพรรดิ โพธิสัตว์ที่ท่านเกิดเป็นจักรพรรดิตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต
    บารมีรวมของข้าพเจ้าทั้งหลาย อัญเชิญเทพ พรหมด้วย มารวมบุญกุศลที่มีผ่านเราเข้าไปที่วัตถุมงคลที่เราสร้าง ที่เราอธิษฐาน

    ฉะนั้น ต่อไปวัตถุมงคลตรงนี้ไปอยู่ที่ไหน ใครก็ตามที่สวดมนต์บทพระมหาจักรพรรดิหรือไตรสรณคมน์ โดยจักรพรรดิ
    บทไหนก็ได้ที่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พลังงานก็มาที่รูปลักษณ์นี้ แผ่ไปตามบริเวณแถวนั้น ให้สัตว์โลกโอปปาติกะ มนุษย์ และ สัตว์ทั้งหลาย เป็นการเอื้อประโยชน์ คือ บุญในการเวียนว่ายตายเกิด เพราะฉะนั้น พระที่เราสร้าง อยู่ที่การอธิษฐาน มันกระจายไปทั่วโลก จนกว่ารูปลักษณ์จะสลายกลายเป็นน้ำ เป็นผง ให้อธิษฐานอย่างนั้น เพราะฉะนั้น พลังงานทั้งหมดมันเป็นสื่อ วัตถุตรงนั้นก็เป็นสื่อ มีรูปและนาม คนที่น้อมนึกไป
    เขาก็จะเรียนรู้กำลังไตรสรณคมน์ หรือ จักรพรรดิ และเป็นการบันทึกภาพด้วย ถ้าอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่เราอธิษฐาน หรือ เราสร้าง
    พระองค์นั้น บันทึกรูปร่างของเราเข้าไปอยู่ด้วย เข้าไปอยู่ในวัตถุมงคลนั้น ไม่ว่าเราเป็นพระสงฆ์ หรือ เป็นฆราวาส ใส่เสื้อสีอะไรมันจะบันทึกอยู่ในนั้นหมดเลย
    ----------------------------------------
    ถาม: จำเป็นไหมว่าเราสร้างพระเสร็จแล้วเราต้องอธิษฐานเลย
    หลวงตา: อธิษฐานก่อนสร้างหรือสร้างก่อนอธิษฐานก็ได้ทั้งนั้นนี่ เราสร้างไปแล้วตั้งแต่อดีตเรายังอธิษฐานทับไปอีกก็ได้ การอธิษฐานทับคือคิดออกไง คนที่นึกออกคือคนที่ทำบ่อยๆ ก็บอกแล้วคนที่นึกออกคือคนที่ทำบ่อยๆ คนที่ทำบ่อยๆ มันจะพัฒนาอะไรไปเรื่อยนี่ ครูบาอาจารย์ต่างๆที่สร้างพระก็เหมือนกัน พระที่ท่านสร้างรุ่นสุดท้ายนี่มันก็จะมีการพัฒนาในการอธิษฐานไปมากกว่ารุ่นแรกอีกนะ
    ***********************************
    เราสร้างเมื่อไรมันก็เกิดเมื่อนั้น ถ้าเราสร้าง มันก็เกิดรูปและนาม ถ้าเราสวดมันก็ไปตามรูปและนาม จากอดีต มาปัจจุบัน มันก็ไปเรื่อยๆๆ นะ มันก็แผ่ออกไปเรื่อยๆ
    ***********************************
    ข้อมูลจาก : หนังสือตามรอยโพธิญาณ หน้าที่ 220




    ขอบคุณภาพประกอบจากคุณชญานิษฐ์ เกตุแก้ว
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...