กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เล่าให้ฟังลองพิจารณาดูนะ

    พระธาตุเสด็จบนพระเครื่องไม่ชัว
    เพราะคำว่าเสด็จ ที่ส่วนตัวเข้าใจ
    คือต้องมีมาเพิ่ม หรือมาจากที่อื่น
    และปกติลักษณะพระธาตุมักจะไม่เหมาะ
    กับการเคลื่อนที่ เพราะมีแรงดึงดูดในตัวเอง
    อาจทำให้เกิดแรงอื่นๆขึ้นมาได้

    เพราะมวลสารที่ประกอบเป็นพระเครื่อง
    นานๆไปสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ยังไง?
    ยิ่งถ้าไม่โดนอากาศก็เปลี่ยนแปลง
    เป็นคล้ายตาข่ายได้ เป็นขุยๆ

    เพราะว่าธาตุน้ำ อันนี้โม้หน่อย
    เป็นธาตุหรือเป็นอนุภาคของสะสาร
    ชนิดหนึ่งที่ไม่เข้าพวกกับใคร
    (เข้าพวกกันเป็นดิน ไม่เกาะใครเป็นลม
    เสียดสีกันเป็นไฟ พูดพอให้เห็นภาพ)
    พอมันไม่เข้าพวกกับใคร ปกติมันก็จะต้องกลายเป็นน้ำ แล้วเมื่อไหร่ที่ประกอบ
    เป็นชิ้นขึ้นมา น้ำก็จะแทรกอยู่ในช่องว่าง
    ของวัถตุนั้นๆ เมื่อเวลาผ่านไป
    น้ำเหล่านี้ก็จะออกมา เนื่องจากคุณสมบัติ
    ที่ไม่เข้าพวกกับใคร(ที่เค้าบอกว่า ตากวัตถุ
    อบวัตถุเพื่อให้แห้งคือให้น้ำออกจากวัตถุ
    สัวเกตุดูเรื่อวัตถุจะยังอยู่ ที่อยู่เพราะระดับ
    อนุภาคมันเข้าพวกกัน พอนึกออกนะ)
    เมื่อน้ำออกจากช่องว่างของวัตถุ แต่ไปเจอ
    กรอบพลาสติก ที่ประกอบด้วยวัตถุ
    ที่เข้าพวกกันขวางไว้ ไม่มีช่องให้น้ำซึม
    ผ่านออกมา.

    น้ำต่างๆเหล่านั้น ที่ปกติมันไม่เข้าพวกกัน
    มันเลยถูกบังคับ ไม่ให้ไปไหน
    น้ำเหล่านี้ ก็เลยวนเวียนอยู่ ระหว่างช่องว่าง
    ของวัตถุเดิม(องค์พระ) กับระยะห่าง
    ระหว่างองค์พระถึงกรอบพลาสติก
    หรือในตลับในลักษณะปิดไม่ให้มีอากาศ
    เข้า หรือเนื้อวัตถุน้ำซึมผ่านไม่ได้


    ดังนั้นในช่วงระยะห่างนี้
    จึงมักจะปรากฏเป็นสารอีกประเภทหนึ่ง
    ขึ้นมา ที่ลักษณะเป็นขุย เป็นตาข่าย
    ยุ่ยง่ายหากไปโดน ก็ด้วยจาก
    คุณลักษณะทางอนุภาคสะสาร
    ของนำ้ที่ไม่เข้าพวกกับใครที่ออกจาก
    ช่องว่างในวัตถุ แล้วเจอวัตถุที่เข้าพวก
    ขวางอยู่(กรอบพลาสติก หรือฝาปิดต่างๆ)
    พอจะมองสาเหตุออกบ้างเนาะ



    ส่วนที่โดนอากาศก็จะเปลี่ยนแปลง
    ในลักษณะการหดตัวของมวลสาร
    เรื่องจากปริมานน้ำที่แทรกอยู่ในช่องว่าง
    จองมวลสารมีการระเหยออกมา
    ทำให้เกิดการหดตัวได้

    ดังนั้นถ้าจะชัวสุด ในเรื่องเกี่ยวกับวัตถุคือ
    มีการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบ
    ในวัตถุนั้นๆเลยเช่น วัถตุนั้น
    มีเส้นผมสีดำแล้วเปลี่ยนเป็นสีใส
    อย่างนี้พอจะบอกได้ว่า มีต้นกำเนิดของแรง
    ที่ทำให้สะสารบางอย่างที่อยู่ในเส้นผมนั้น
    ทีเคยเป็นสีดำ เกิดการสูญสลายของอนุภาคบางอย่างและเกิดการเปลี่ยนอนุภาคไป
    (เนื่องจากแรงบางอย่างหลุดออกจากนิวเคลียส. ตัวนิเคลียสมันเป็นศูนย์กลางอะตอม ตัวอะตอมเป็นองค์ประกอบสะสารก่อนเป็นวัตถุ วัตถุมีองค์ประกอบสะสารและอนุภาคของสื่อนำแรงเป็นองค์ประกอบ
    ทบทวนกันงง)
    พอมีอนุภาคบางอย่างหายไป(หลุดจากนิวเคลียส) เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลง(คือมีการคลายประจุลบในอนุภาคของสื่อนำแรง
    ที่เป็นส่วนประกอบในนิวเคลียส )
    ที่หายไปคือสีที่เรามองเห็น และอนุภาคที่คลายประจุมันจะกลายเป็นอนุภาคอีกตัวแทน


    ที่มันใสเพราะ อนุภาคที่คลายนั้น
    มันเป็นอนุภาคที่เราเรียกว่า โฟรตรอน
    ซึ่งเป็นแรงเกี่ยวกับไฟฟ้า ยางก็เรียกว่า
    อนุภาคแห่งแสง เป็นที่มาว่า
    ทำไมวัตถุที่เปลี่ยนจึงเป็นสีใสนั่นเอง


    ดังนั้นกรณี วัถตุให้เราพิจารณาให้ดี
    ในเนื้อวัตถุเปลี่ยนแปลงได้
    ขึ้นอยู่กับต้นกำเนิดของแรง
    ก็คือจิตนั่นหละ


    ปล ที่เล่าเพราะ ไม่อยากให้ฟันธง
    ว่าต้องใช่หรือไม่ใช่
    แต่แนะให้พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล
    ย้อนให้ถึงในระดับ การกำเนิด
    ของวัตถุ ในส่วนของอนุภาคเลย


    ให้อ่านแล้ว งงกันเล่นๆ.
    แต่ถ้าเข้าใจได้
    เราจะข้ามศรัทธา
    ในลักษณะที่ ขาดเหตุขาดผลได้นั่นเอง

    เล่าสู่กันฟัง

    ปล ๑ พระวัดพลับทั้ง ๕ องค์ได้หมดเลย
    ห้อยองค์เดียวพอ เอาที่ชอบที่เหมาะสมเลย
    สามารถห้อยเดี่ยวได้
    สบายอุราไปได้ทั่วจักรวาล พูดไว้เผื่อไปเที่ยว
    ดาวอังคาร

    ปล๒ ตามมารยาทวงการพระ เค้าห้ามขอพระเครื่องกันนะ บอกไว้ก่อน
    แต่ถ้ามีขนาดนี้ จะให้ท่านมาจำวัด
    ที่บ้าน ข้าพเจ้า ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ
    (หน้ามึนสุดๆ ๕๕๕)

     
  2. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,815
    ค่าพลัง:
    +4,674

    555 ขนาดเฉยๆไม่ได้อิงกับพระเครื่องมากมาย
    ยังตาลุกเลย
    ไม่ทราบว่าวัดที่ว่านี่อยู่แถวไหนครับ
    ใกล้ๆ...เผื่อแวะไปส่องดูเป็นบุญตา
    (บอกวัด...เซียนเวปนี่อาจไปกวาดเรียบ)

    ดูไปงั้นๆ...ดูไม่เป็นหรอกครับ
     
  3. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,815
    ค่าพลัง:
    +4,674

    "...สบายอุราไปได้ทั่วจักรวาล พูดไว้เผื่อไปเที่ยว
    ดาวอังคาร..."




    5555 ท่านอจ.นพ
    อ่านแล้ว...ขำกลิ้งจิงๆ
     
  4. Bodhisattva

    Bodhisattva The Spirit of BUDDHA

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    506
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,662
    8D14D916-F8A8-43EA-9F3F-9E03E168B911.png


    หนูอยู่อิสรภาพ 31 อิอิ
    ใกล้วัดพลับ วัดอรุณพอดีเรยยย
    อนุโมธนา สาธุ เจ้าค่ะ
     
  5. Bodhisattva

    Bodhisattva The Spirit of BUDDHA

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    506
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,662
    ..
    ..

    อยากไปบ้าง อะไรบ้าง555
     
  6. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,815
    ค่าพลัง:
    +4,674
    การเสด็จมาของข้อพระหัตถ์เบื้องขวา

    ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ก่อนเข้าพรรษา ๗ วัน
    ได้เกิดเรื่องราวนี้ขึ้น จึงได้นามว่า “สุริยะธาตุ”
    เรื่องมีอยู่ว่าหลวงพ่อกลับจากงานเทศน์ที่อำเภอพิบูลย์ฯ
    กลับมาถึงวัดเหนื่อยมากก็เลยมานั่งพักอยู่ข้างนอกกุฏิ
    นั่งพักผ่อนภาวนาดูลมหายใจ

    พักผ่อนสบาย ๆ พอวางมือยังไม่เข้าที่ดี
    เกิดอุคนิมิตเป็นลูกกลม ๆ
    แต่กลมยาวเท่าขวดลิโพเป็นแสงสีเขียว
    พอหลับตาลงลูกกลม ๆ มันก็หมุนติ้ว ๆ
    พุ่งเข้าใส่ตัวที่หน้าท้องหลวงพ่อ

    หลวงพ่อรีบลืมตาขึ้นรู้สึกแปลกใจมาก
    เรานั่งภาวนาหลับตาลงยังไม่ทันไร

    ทำไมเป็นอย่างนี้ มันเป็นอะไรนะ
    เราไม่ได้ไปปรุงแต่งอะไร

    ทำไมจึงเกิดเป็นแสงพุ่งเข้าตัวเราอย่างนี้
    หลวงพ่อเลยเลิกนั่ง ลุกเข้ากุฏิไปอยู่
    ต่อมา ๔-๕ วันหลวงพ่อรู้สึกไม่สบายปวดขา
    เจ็บโน่นปวดนี่ทรมานที่สุด มันปวดตรงขาตรงหัวเข่ามาก
    เดินไม่ได้ ขางอไม่ได้ทรมานมาก
    ให้ลูกศิษย์มานวดมารักษาก็ไม่หาย

    หลวงพ่อนึกว่าทำไมเราไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร
    ทีคนอื่นเรายังทำนายทายทักเขาได้
    นึกคาดเดาไปต่าง ๆนานา
    ทำไมมันเจ็บปวดรุนแรงขนาดนี้
    ยาหลายขนานก็รักษาไม่หาย

    หลวงพ่อเลยมานั่งสมาธิดู
    ก็เกิดอุคนิมิตอีกเป็นเหมือนลมหมุนอย่างเร็ว
    และแรงคล้าย ๆ พายุทอร์นาโด
    หมุนแล้วก็พุ่งเข้าไปตรงหน้าท้องหลวงพ่อ
    เสร็จแล้วลมนั้นก็หมุนออกจากตัว
    ความรู้สึกหลวงพ่อขณะนั้น
    เหมือนวิญญาณออกจากร่างเหาะผ่านป่าผ่านดงข้ามภูเขา

    หลวงพ่อพยายามจับต้นไม้ไว้เพื่อให้มันหยุด
    ต้นไม้ขาดสะบั้นเพราะความเร็วของลม
    เสร็จแล้วก็ไปหยุดอยู่กลางดงรงปราสาทเก่า

    หลวงพ่อได้ยินเสียงเทวดาพูดขึ้นมาว่า

    “ท่านทำไมถึงดื้อจัง อดทน ท่านไม่รู้หรือว่าตอนนี้พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาอยู่กับท่าน”

    หลวงพ่อนึกในใจว่าพระพุทธเจ้าท่านปรินิพานไปนาน
    แล้วพระองค์จะเสด็จมาอยู่กับ เราได้อย่างไร นึกในใจนะ

    เทวดาก็ตอบทันทีว่า“พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์จะเสด็จมาอยู่กับท่าน”

    หลวงพ่อก็นึกอีกว่ามีด้วยหรือพระธาตุ

    เทวดาก็ตอบว่า มีสิ
    อยู่ที่ไหน อยู่ไม่ไกลจากที่นี่

    หลวงพ่อก็เลยบอกว่า
    ถ้าพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์มีจริง
    ขอให้เสด็จขึ้นมาให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นสิ
    แล้วข้าพระพุทธเจ้าจะเชื่อว่ามีจริง

    (ต่อ)
     
  7. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,815
    ค่าพลัง:
    +4,674
    (ต่อ)
    สุริยะธาตุปรากฏ

    สุริยะธาตุปรากฏ พออธิษฐานเสร็จข้อพระหัตถ์เบื้องขวาได้ปรากฏขึ้นมาและเสด็จพุ่งขึ้นไปบน อากาศ เกิดเป็นแสงสว่างทั่วท้องฟ้าเหล่าเทพเทวดาทั้งหลายต่างประกาศกึกก้องขึ้น ว่า “สุริยะธาตุปรากฏแล้ว สุริยะธาตุปรากฏแล้ว สุริยะธาตุปรากฏแล้ว” ๓ ครั้งดังก้องกังวานไปทั่วจักรวาล หลวงพ่อตกใจมาก เ กิดปิติขึ้นอย่างรุนแรง น้ำตาไหลพรากไหลออกมาอย่างมากคล้ายกับคนร้องไห้ จากนั้นเทวดาก็นำหลวงพ่อกลับมาส่งเข้าร่าง เมื่อได้สติหลวงพ่อเปิดประตูคลานออกมาจุดธูปเทียนหน้าโต๊ะหมู่บูชาตั้งจิต อธิษฐานว่า “ถ้าสิ่งที่ปรากฏแก่เกล้าฯนี้มีจริง ข้าฯ นั่งสมาธิยังไม่สงบดี สิ่งเหล่านี้มาปรากฏได้อย่างไร ถ้าสิ่งนี้มีจริงขอให้ข้าพเจ้าหายปวดขาเดินได้เป็นปกติ ข้าพเจ้าจะเตรียมสถานที่รองรับ” เมื่ออธิษฐานเสร็จก็เข้าห้องพักผ่อน พอตื่นเช้าขึ้นมาก็เดินได้แต่ยังไม่หายดี ตอนที่ปวดมาก ๆ หลวงพ่อได้เรียกญาติโยมมาช่วยกันรักษา มาต้มน้ำอุ่น มาประคบยา ทำลูกประคบบ้าง โยมทายกที่เป็นคนประคบบอกว่า เขานึ่งลูกประคบแล้วเอามารองทาบกับตัวเขาเองมันร้องจัด เวลาเขาเอาไปวางที่ขาหลวงพ่อๆ บอกว่าไม่ร้อนไม่รู้สึกอะไร
    เขาก็งง เขาก็กลับเอาไปนึ่งใหม่ให้มันร้อน พอเอามาประคบหลวงพ่อก็เหมือนเดิม สาเหตุอันนี้เนื่องมาจากสุริยะธาตุ การที่เทวดาทั้งหลายเขาประกาศก้องว่า สุริยะธาตุปรากฏแล้ว สุริยะธาตุก็คือแสงสว่างของพระพุทธเจ้า คือพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ปรากฏขึ้นแล้วสุริยะธาตุปรากฏแล้ว หลวงพ่อจึงได้ให้หลวงปู่นพสิทธิ์จัดทำสติกเกอร์ติด
    รถว่า “สุริยะธาตุปรากฏแล้ว”


    เมื่อหลวงพ่อได้ประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน หลวงพ่อจึงได้เริ่มศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องราวของพระบรมสารีริกธาตุ ก็เลยเข้าใจเรื่องราวในสมัยพุทธกาล ในอดีตเมื่อครั้งสมัยพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิ ญาณ ทรงประกาศพระศาสนา มีคนศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและประกาศว่า “พระพุทธเจ้าอุบัติแล้วพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว พระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว” ๓ครั้ง นี่คือที่มาแห่งพระพุทธเจ้ามาบังเกิดแต่ละยุค ในยุคนี้สุริยะธาตุปรากฏแล้ว แต่ในยุคก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว พระพุทธเจ้าปรากฏแล้ว คำว่าสุริยะธาตุปรากฏแล้วหมายความว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นเกิดขึ้นโดยพุทธสรีระด้วยพระบารมีของพุทธองค์ เมื่อสุริยะธาตุปรากฏขึ้นทำให้โลกธาตุแปรปรวน ธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟก็เกิดแปรปรวน เกิดแผ่นดินไหว ฝนตก เกิดภัยธรรมชาติขึ้นทุกอย่างเกิดขึ้น ดินน้ำลมไฟ ประกาศรองรับพระพุทธองค์ แต่มนุษย์ยังไม่รู้เรื่อง เมื่อพระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นแล้วจึงได้เกิดเป็น ม.ศ. เกิดเป็น ม.ศ. ม.ศ.นี้คือศิวิไลซ์

    บทความจาก...
    วัดภูพลานสูง จ.อุบลราชธานี
     
  8. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +1,203
    อยู่แถวไหนผมจะไปเที่ยวยังไม่เคยไป
     
  9. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,815
    ค่าพลัง:
    +4,674



    555 ผมก็ไม่เคยไปเหมือนกัน
    วัดภูพลานสูง บ้านหลักเมือง หมู่ที่ 8 ต.นาจะหลวย อ.นาจะหลวย อุบลราชธานี


    เช้านี้จะขอคุยเรื่องปัจจัยบุญ(สั้นๆ)
    ภาษาชาวบ้านคือ "บังเอิญ"


    บังเอิญ(ปัจจัยบุญ)
    ผมหลงทางเข้าไปอ่านบทความของวัดนี่
    เห็นว่าน่าสนใจหลายๆอย่าง
    โดยเฉพาะบทความที่เกี่ยวกับ...
    ความลี้ลับและอื่นๆ เช่น
    พญานาค-พระเสรีระธาตุ-พระสุริยะธาตุ
    ตามที่ผมนำมาลงไว้หลายๆตอน

    วันนี้น้อง Max สนใจอยากไป
    เลยเป็นเหตุให้ผมสนใจด้วย
    จึงค้นหาประวัติให้อ่าน
    นี่ก็คืออีกก้าวหนึ่งของ
    ปัจจัยบุญ
    **เผลอๆผมผ่านไปก็อาจจะแวะไป**


    เช่นเดียวกันที่ผมรู้จัก
    วัดป่าภูหายหลง
    คงเป็นเพราะปัจจัยบุญ
    4-5 ปีที่แล้วผมไปเขาใหญ่
    ขับรถผ่าน มองไกลๆเห็นวัดป่านี้
    ตั้งโดดเดี่ยวอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง
    เห็นแล้วไม่กล้าขับรถเข้าไป
    เพราะมีความคิดว่าสูงอย่างนี้จะขึ้นไปได้อย่างใด
    เพราะเป็นภูเขาฐานไม่กว้างใหญ่
    ถึงมีทางขึ้นได้ แต่ผมก็เดาเองว่า...
    ...ทางคงสูงชันน่าดู
    ถ้าเป็นสมัยก่อนผมไม่ต้องคิดเลย
    ...เพราะลุยมาจนชิน
    (อยากจะเล่าต่อ แต่เอาแค่นี้พอ)

    พอผ่านไปครั้งที่ 2
    ผมตัดสินใจอย่างมุ่งมั่น...ลุย
    เป็นไง เป็นกัน
    พอขับเข้าไปได้ 2 กม.ถึงฐานภูเขา
    มองขึ้นไปข้างบน...เอ้า !
    วัดป่าไม่ได้อยู่สูงสุด จนต้องเสียวใจ
    ต่างกับที่มองมาจากถนนหลัก
    เพราะระหว่าง 2 กม.ที่ขับผ่านมา
    เป็นทางสโลบค่อยๆขึ้นเนินแบบยาวๆไม่รู้ตัว
    คงมีระยะ 1 กม.สุดท้ายที่สูงชัน(แต่ไม่มากนัก)
    วันนั่นเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์
    เงียบสงบจริงๆ เพราะแทบจะไม่มีผู้คนเลย
    เพราะคนไม่รู้จัก คนขับรถผ่านคือผ่านไป
    เห็นวัดชัดเจนมากก็จริง
    แต่สูงแบบโดดเดี่ยว...น่ากลัว

    ข้างบนวิวรอบๆ 360 องศา สวยงามมากๆ
    เหมือนยืนอยู่บนสรวงสวรรค์
    ยิ่งในยามเช้าๆ ช่วงปลายฝน-ต้นหนาว
    เหมือนขึ้นมาทำบุญบนสวรรค์จริงๆ


    (ตามคลิปที่ใช้ประกอบกระทู้นี้)
    (หน้า 2 ลำดับที่ # 25)

    09.jpg



     
  10. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,815
    ค่าพลัง:
    +4,674
    **ประวัติวัดภูพลานสูง**

    วัดภูพลานสูงเป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ประกาศจัดตั้งวัดภูพลานสูงเป็นวัดในพระพุทธ ศาสนา เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ สถานที่ตั้งวัดตั้งอยู่บนยอดเขาพลานสูง (คำว่าพลานสูง หมายถึงลานหินกว้าง) เทือกเขาภูจอง ห่างจากอำเภอนาจะหลวยไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๔ กิโลเมตร วัดนี้อยู่ในความอุปถัมภ์ของชาวบ้านหลักเมือง ต.นาจะหลวย อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี และทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งพระครูธรรมธร (ภรังสี ฉนฺทโร) เป็นเจ้าอาวาสเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ ทางวัดและญาติโยมได้จัดพิธีเปิดป้ายวัดและทำบุญฉลองตราตั้งเจ้าอาวาสเพื่อ เป็นสิริมงคล โดยมีพระเทพกิตติมุนีที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีเป็นประธาน เมื่อ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐

    เนื่องจากสถานที่ตั้งของวัดเป็นที่สัปปายะ เป็นป่าเขาลำเนาไพรสงบวิเวก จึงมักจะมีครูบาอาจารย์สายกรรมฐานพาลูกศิษย์ลูกหามาปฏิบัติธรรมฝึกจิตภาวนา เป็นประจำ ในสมัยที่ยังไม่เป็นวัดนั้น คณะสงฆ์มักจะใช้เป็นสถานที่ในการจัดงานปฏิบัติธรรมหลังออกพรรษา อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา วัดภูพลานสูงเกิดขึ้นจากความพยายามของทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ ครูบาอาจารย์ที่ได้มาสร้างวัดองค์แรกก็คือพระครูวิบูลธรรมธาดา(กาว ธมฺมทินฺโน) อดีตเจ้าคณะอำเภอเดชอุดมได้มาบุกเบิกหักร้างถางพงและสร้างเสนาสนะต่างๆ เท่าที่จำเป็นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ช่วงเวลานั้นสถานที่แห่งนี้มีไข้มาลาเรียชุกชุมมาก จึงทำให้เป็นอุปสรรคในการสร้างวัดเป็นอย่างยิ่ง จะหาพระเณรมาอยู่จำพรรษาก็ลำบากเนื่องจากพระครูวิบูลธรรมธาดาท่านได้รู้ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปในภายภาคหน้าจะมีความสำคัญ เพราะในสมัยท่านเป็นสามเณรท่านเคยติดตามถวายการอุปัฏฐาก พระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด นนฺตโร) อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี วัดทุ่งศรีเมือง ซึ่งท่านเป็นผู้ไปทำการบูรณะองค์พระธาตุพนมในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ และได้พบพระคัมภีร์โบราณ จึงทำให้ทราบถึงคำพยากรณ์ในคัมภีร์ว่า จะมีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาที่วัดภูพลานสูงแห่งนี้ในอนาคตพระครูวิโรจน์ รัตโนบลจึงได้หมอบหมายให้พระครูวิบูลธรรมธาดาซึ่งเป็น สามเณรในสมัยนั้นมาสร้างวัดภูพลานสูง เพื่อรองรับพระบรมสารีริกธาตุ ตามคำทำนายในพระคัมภีร์ พระครูวิบูลฯ จึงได้ดำเนินการสร้างวัดมาด้วยความยากลำบาก ในอดีตที่ผ่านมาคณะสงฆ์ได้พยายามผลักดันที่จะก่อสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หันพระพักตร์ไปทางประเทศกัมพูชา ประเทศลาว และประเทศไทย เนื่องจากสถานที่ตั้งวัดอยู่ระหว่างชายแดนทั้ง ๓ ประเทศ แต่ก็ไม่สามารถที่จะดำเนินการสร้างได้ตามกฎแห่งไตรลักษณ์วัดภูพลานสูงก็อยู่ ในกฎของความไม่เที่ยงเช่นเดียวกัน คืออยู่ในยุคเสื่อมยุคเจริญมาตามลำดับ บางปีก็มีพระอยู่จำพรรษา บางปีก็ขาดแคลนพระมาอยู่จำพรรษา จนกระทั่งมาถึงปี ๒๕๔๒ ชาวบ้านหลักเมืองจึงได้พร้อมใจกันกราบอาราธนาให้หลวงพ่อภรังสี ซึ่งประจำอยู่ที่วัดป่าบ้านคำบอนในสมัยนั้นขึ้นมาดูแลวัดภูพลานสูง เพื่อนำพาสาธุชนบูรณปฏิสังขรณ์วัดสืบต่อไป หลวงพ่อภรังสีจึงได้จัดส่งพระลูกวัดขึ้นมาพักจำพรรษาดูแลเสนาสนะคือ พระอาจารย์วิทย์ ปคุโณ หลวงปู่พูน สนฺตจิตฺโต และสามเณรอีก ๒ รูป โดยมีพระครูสุนทรสารวัฒน์ (สุนทร สุนฺทโร) เจ้าคณะตำบลตูม เป็นประธานที่ปรึกษา เมื่อออกพรรษาพระภิกษุสามเณรก็ไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ เนื่องจากลำบากด้วยปัญหาต่าง ๆ เช่น ด้านอาหาร การขบฉัน ยารักษาโรค ถนนหนทาง การเดินทางสัญจรขึ้นลงลำบาก จึงพากันลงจากวัดภูพลานสูงไปจำพรรษาที่วัดอื่น จนมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๓-๒๕๔๕ หลวงพ่อภรังสีได้ขึ้นมาดูแลและทำการพัฒนาปรับปรุงวัด โดยมานำร่องอยู่ ๒ ปี ท่านได้บุกเบิกทำถนนขึ้นสู่วัด จัดระเบียบต่าง ๆ ของวัดให้เป็นรูปเป็นรอย ทำความสะอาดบริเวณรอบ ๆ วัด และมอบหมายให้พระลูกศิษย์ดูแลแทน ส่วนหลวงพ่อได้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านคำบอนผลปรากฏว่าพระลูกศิษย์ไม่ สามารถอยู่จำพรรษาได้ จึงทำให้หลวงพ่อขบคิดว่าทำไมวัดภูพลานสูงพระเณรอยู่ไม่ได้ ท่านจึงขึ้นมาดูแลด้วยตัวท่านเองในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ก่อนเข้าพรรษาท่านได้สร้างกุฏิขึ้นมาหลังหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่พำนักจำพรรษา จากนั้นหลวงพ่อภรังสีก็ได้เริ่มบูรณะซ่อมแซมสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้น และนำพาญาติโยมประพฤติปฏิบัติธรรมเรื่อยมา พร้อมกับได้ค้นคว้าหาสาเหตุที่พระเณรมาอยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นเพราะเหตุใด จนได้ทราบสาเหตุ ต่อมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเกี่ยวเนื่องด้วยองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ เสด็จมาสู่วัดภูพลานสูงตามคำทำนายของคัมภีร์โบราณ หลวงพ่อได้บอกศิษยานุศิษย์มาร่วมรับเสด็จพระบรมสารีริกธาตุอย่างสมพระ เกียรติ ปัจจุบันมีพุทธศาสนิกชนที่ทราบข่าวต่างพากันมากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ อย่างไม่ขาดสายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จอุบัติเกิดขึ้นที่วัดภูพลานสูง มีดังนี้.-

    ๑. พระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์เบื้องขวา ถูกค้นพบโดยหลวงพ่อภรังสี ฉนฺทโร เมื่อปี ๒๕๔๗ ได้อัญเชิญเสด็จสู่วัดภูพลานสูง ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๗ (ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีวอก)

    ๒. พระสรีรังคาร พระสรีรังคารได้เสด็จมาที่วัดภูพลานสูงบริเวณหน้ารูปปั้นพระสังกัจจายน์องค์ ใหญ่ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๘ เวลา ๑๗.๓๐ น. หลวงพ่อภรังสีได้อัญเชิญขึ้นไปประดิษฐานที่ศาลาวิบูลธรรมดานุสรณ์

    ๓. พระคัมภีร์โบราณ เป็นพระคัมภีร์บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุ เหตุการณ์บ้านเมืองในอนาคต ฯลฯ ซึ่งเทวดาได้นำมาถวายให้หลวงพ่อภรังสี ๒ วาระ คือ

    – วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๘ (ตรงกับวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีระกา) เวลา ๐๔.๐๐ น. เทวดาได้นำพระคัมภีร์โบราณส่วนแรก จำนวน ๔ แผ่นมาถวายหลวงพ่อภรังสี

    – วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๙ (ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีจอ) เทวดาได้นำพระคัมภีร์ส่วนที่ ๒ จำนวน ๑๑ แผ่นมาถวายให้แก่หลวงพ่อภรังสีอีก

    ๔. พระเขี้ยวฝาง พระพุทธโลหิตธาตุ วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๙ (ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีจอ) เวลา ๑๖.๐๐ น. พระเขี้ยวฝาง และพระพุทธโลหิต ได้เสด็จลงที่รูปแกะสลักของหลวงปู่โมคคัลลานะ ที่วัดป่าคำบอน ต.บ้านตูม อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี หลวงพ่อภรังสีได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดภูพลานสูง

    ๕. รอยพระพุทธบาทเบื้องขวา วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๙ เวลา ๒๓.๐๐ น. หลวงพ่อภรังสีได้ค้นพบรอยพระพุทธบาทบริเวณ บ่อน้ำผุด (น้ำบุ้น) รอยระพุทธบาทนี้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับไว้ เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ ๕๐ พรรษา เพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิประเทศ

    ๖. รอยพระพุทธหัตถ์ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ หลวงพ่อภรังสีได้ประกอบพิธีทำบุญตักบาตร และทำการเปิดรอยพระพุทธหัตถ์ที่ค้นพบบริเวณหน้าผาประวัติศาสตร์

    นอกจากนั้นก็มีสถานที่สำคัญที่เป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีดังนี้
    ๑. ศาลาวิบูลธรรมธาดานุสรณ์ เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์เบื้องขวา พระสรีรังคาร พระเขี้ยวฝาง พระพุทธโลหิตธาตุ พร้อมทั้งพระอรหันตธาตุของบูรพาอาจารย์อีกหลายรูปเช่น หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ฯลฯ

    ๒. มหามณฑปครอบรอยพระพุทธบาท มหามณฑปครอบรอยพระพุทธบาท ออกแบบโดยหลวงพ่อภรังสี ฉนฺทโร ได้ดำเนินการก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อครอบรอยพระพุทธบาทที่ถูกค้นพบและเพื่ออำนวยความสะดวกแก่พุทธศาสนิกชน ที่เดินทางมากราบสักการบูชารอยพระพุทธบาท รอยพระพุทธบาทนี้อยู่ห่างจากวัดภูพลานสูงไปทางทิศใต้ราว ๒.๕ กิโลเมตร

    ๓. หน้าผาประวัติศาสตร์ หน้าผาประวัติศาสตร์ได้จารึกเรื่องราวต่าง ๆ ในพระคัมภีร์โบราณ ลงในแผ่นหินหน้าผาภูพลานสูง มีความยาวประมาณ ๒ กิโลเมตร เพื่อให้เป็นข้อมูลหลักฐานและแหล่งศึกษาทางด้านอักษรศาสตร์ โบราณคดี การแกะสลักและคัดลอกพระคัมภีร์โบราณนี้ หลวงพ่อภรังสีได้มอบหมายให้พระมหาภูลังกา เขมทฺสสี ไปดำเนินการจัดทำคัดลอกคัมภีร์โบราณลงในแผ่นหินบริเวณหน้าผา แล้วเสร็จในปลายเดือนเมษายน ๒๕๕๑

    150193_1556624461262416_1484483474687982534_n-200x300.jpg
     
  11. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +1,203
    สี่เจ็ด
     
  12. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +1,203
    1511774_769047699775253_214496381_n.jpg
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ส่วนนี้เล่าให้ฟังเฉยๆ น่าจะหลายปีแระ
    เป็นปฐมบท มหากาฬ ของการพบเจอ
    กายคล้ายพระพุทธรูป คล้ายพระปัจจเจก พระสงฆ์มีชื่อในอดีตทั้งหลาย
    รูปปั้นมีชื่อทั้งหลายที่คนไทยกราบไหว้
    ทั้งไทย จีนพราหมณ์ และฝรั่งบางท่าน
    และการเข้าไปข้องกับภพภูมิเกือบทุกวัน
    เกือบสองถึงสามปี เรียกว่าช่วงนั้น
    ถ้าถามว่าปี้นี้ไม่เจอผีกี่วัน
    จะตอบได้ง่ายกว่า เคยเจออะไรบ้าง
    ที่เล่ามามีแต่พระปัจจเจกกับเทพฝรั่งเท่านั้น
    ที่เคยพบในนิมิต นอกนั้นเห็นแบบ
    ตาเปล่าๆธรรมดาเหมือนมองคนทั่วไปนี่หละ
    คือเล่าไปเหมือนโม้หน่อยๆ
    แต่ว่า สามารถเกิดขึ้นได้


    เรื่องการเสด็จมาของพระสรีระนั้น
    (ตอนนั้นยังไม่มีพระธาตุเสด็จมา)
    มักจะมีนิมิต มาให้ทราบก่อนหน้าเสมอ
    อย่างส่วนตัวก็พอเคยมีประสบการณ์บ้าง
    ตัวอย่างครั้งแรกเลยที่มีพระสรีระเสด็จมา
    เพิ่มจำนวน ๗ สีและมาหลายองค์นั้น

    เกิดนิมิต พบรูปกายแบบพระพุทธรูป
    เสด็จมา ๓ องค์ ถ้าเอ่ยพระนามคิดว่า
    คงทราบกันดี องค์แรกอยู่กลางสูงกว่า
    อีก ๒ องค์อยู่ต่ำลงมาซ้ายและขวา

    ซักพัก ก็ปรากฎรูปกายคล้ายพระสงฆ์ ๒ท่าน
    ในอดีตที่ล่วงลับไปแล้ว มาในต่ำแหน่ง
    ที่ต่ำกว่า พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์

    ความรู้สึกคือ เหมือนท่านมีเมตตามาก
    ทั้งที่ ๒ ท่านส่วนตัวไม่เคยพบ ไม่เคยเจอ
    ตอนท่านมีชีวิต และไม่เคย
    ไปวัดท่านมาก่อนเลย

    ที่เล่าจะสื่อว่า การมีสิ่งเหล่านี้
    เกิดขึ้น ไม่ได้ประกันว่า
    เราจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดา
    หรือเป็นคนดีอะไร
    เพราะตราบใดที่เรายังประมาท
    ก็มีโอกาสที่จะเดินออกนอกเส้นทาง
    ได้เสมอ เพียงแต่ว่า ควรจะรู้ตัวให้เร็ว
    และกลับมาให้ไว เพราะพึ่งระลึกเสมอว่า
    ถ้าเราดีจริง เราคงไม่ได้มาเวียนว่าย
    ตายเกิดแล้ว ดังนั้นเรื่องอะไร
    ที่ทำให้ใจเรามันเศร้าหมอง
    หรือทำแล้วให้ใจเรารู้สึกว่าไม่บริสุทธิ์
    เราก็พึงค่อยๆละ ค่อยๆวางมันซะ
    เพราะเราไม่ใช่พระอรหันต์
    ที่จะตัดโช๊ะได้ทันที
    และตำราตัวอักษรก็ไม่ได้
    ส่งผลต่อพฤติกรรมทางจิตเรา


    กิริยาภายนอก เป็นสื่อในการดำรงชีวิต
    อยู่ร่วมกับสังคมและธรรมชาติให้ได้อย่าง
    แยบยล ส่วนใจเรานั้น
    ตัวเราเอง จะรู้ดีที่สุด

    ดังนั้นเมื่อ ดาวโลกเป็นอย่างนี้
    เราอาศัยดาวนี้อยู่
    ก็ควรอยู่รวมกันอย่าง
    แยบยล และมีความสุข
    ในแบบของเรา.

    รู้ละ รู้วาง รู้ว่าง ทุกนาที
    ชีวิตนี้มีแต่สุข ทุกข์ไม่มี

    ชะเอิงเอยย. จบ
    นิทานปนโม้

     
  14. ธารทอง

    ธารทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2015
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +2,425
    สวัสดี อ.นบ คุณเก้า และทุกๆ คนค่ะ
    เรื่องพระวัดพลับ ได้ถามกับท่านผู้เชี่ยวชาญ
    ดูแล้ว ท่านว่าไม่ถึงกรุค่ะ
    ความเห็นส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีมวลสารจากกรุ
    มาบ้างแหละน่า

    มีเรื่องโม้ให้ฟังดังนี้
    เมื่อวันเสาร์ช่วงสายหลวงพ่อโทรตามให้ไปพิมพ์
    งานต่อ พอไปถึงวัด ท่านนำพระออกมาให้เลือก
    พิมพ์ละหนึ่งองค์ ข้าเจ้านี้คือดีด๊ามากกว่าใคร
    ด้วยความตื่นเต้น รีบถ่ายภาพแล้วถามจากคุณอาท่าน
    หนึ่งจากเนต พอรู้ว่าไม่ทันกรุ ก็เรียนหลวงพ่อไป
    และก็บอกลุงๆ ที่เป็นกรรมการวัดและคนวัด สี่ห้าคน
    หลังจากเมาท์เสร็จ ก็เปิดคอมฯ พิมพ์งานได้สักครู่
    จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมาเฉียดๆ ที่พวกเราอยู่กันนิดเดียว
    ทั้งที่ท้องฟ้าโปร่งโล่งแจ้ง ไม่มีแววเมฆฝนอะไรเลย
    สะดุ้งโหยงกันหมดทุกคน ไฟดับพรึบทันที
    ผ่านไปสักครู่ ก็ผ่าเปรี้ยงลงมาอีกดอกหนึ่ง ที่เดิม
    (ฐานปากเสียรึป่าวเนี่ย)

    หลังจากนั้นก็ปฏิบัติธรรมถือศีลแปด นอนที่วัด
    คืนหนึ่ง เมื่อวานกลับมาบ้านรู้สึกง่วงไวมาก
    ง่วงตั้งแต่ ทุ่มกว่า ฝืนอาบน้ำก่อนนอน นิมนต์
    องค์ล่างซ้ายใส่กระเป๋าห้อยคอเข้านอน
    หลับทันทีพร้อมกับฝันทันทีเหมือนกัน
    ฝันแรกตั้งแต่หัวค่ำ มีคนฆ่าเรา โดย
    เอาดาบเสียบกลางศรีษะ ทะลุรูดจนหัวเรา
    ไปอยู่ติดกับด้าม แต่ก็ไม่ตาย มีคนนำไปรักษา
    หมอก็รักษาแปลกๆ โดยนำสมองออกมาหั่น
    เป็นชิ้นๆ ซะงั้น ในฝันคือเราอีกตัวยืนดูอยู่
    ไม่โกรธหมอ ไม่โกรธคนฆ่าด้วย

    และอีกหลายฝันต่อมา ก็คล้ายกันคือมีคน
    ตามฆ่าทั้งคืน
    เอิ่ม คืออยากถามอ.นบว่า เกี่ยวกับห้อยพระ
    องค์นี้รึเปล่านะ. อย่าบอกนะว่าโฉลกข้าเจ้า
    คือสายบู๊ 55 ตัวจริงออกเรียบร้อยเด้อ แต่
    ก็อยากเที่ยวดาวอังคาร แฮร่ๆ

    ปล. 1 ยกเว้นองค์ล่างซ้าย ที่ข้าเจ้านิมนต์แล้ว
    องค์ที่เหลือ อ.นบเลือกนิมนต์เลยจ้า ^_^
    ที่อยู่มาทางกล่องด้วยเด้อ

    ปล. 2 สำหรับทุกท่านที่สนใจ จะรอให้ทางวัดตั้งราคา
    ร่วมบุญก่อน ซึ่งตามเจตนาหลวงพ่อท่านตั้งใจออกให้
    บูชาช่วงงานประจำปี (ประมาณ ก.พ.62) แล้วจะให้
    ร่วมบูชาเข้าบัญชีวัด และยินดีส่งให้ทางป.ณ.ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2018
  15. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    811
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,433
    FB_IMG_1537680192471.jpg พึ่งคิดค้นหาว่า ท่านมีพระนามว่าอะไร??
    จึงพึ่งถึงบางอ้อ" พระพุทธชินสีห์" ที่ถูกอัญเชิญมาจากพิษณุโลก งดงามมาก
     
  16. ธารทอง

    ธารทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2015
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +2,425
    image.jpg
    :eek:ไปกองอยู่ข้างหน้าโน่น
     
  17. Bodhisattva

    Bodhisattva The Spirit of BUDDHA

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    506
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,662
    ..
    ..
    ..
    แบ๊บบว่าตาร้อน!!! 5555
    อิจ..เฮียนพ ฝุด ฝุด คร่าา 5555
     
  18. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,815
    ค่าพลัง:
    +4,674
    Tips & Tricks (วรรคทอง)
    หน้า 18 ลำดับที่ #354(1)




    ไม่ว่าจะเคยได้ยินว่า เมือง บังบด
    เมืองลับแล เมืองพ่อหม้าย แม่หม้าย ฯลฯ
    แต่ประเด็นหลักๆก็คือ
    ระดับความสูงอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์โลกเรานี่หละ....

    ถามว่า แล้วใครบ้างหละที่อยุ่ในมิตินี้
    ก็กลุ่มดวงจิตที่ คิดหรือมีแนวทาง
    ความคิดอะไรที่คล้ายๆกันนั่นหละครับ

    เช่น ถ้าชอบทำบุญในลักษณะคล้ายๆกัน
    เวลาตาย กระแสของดวงจิตมันก็จะดึงกัน
    เข้ามาหากันนั่นเอง.....
    เช่น บางกลุ่มสมัยก่อนคล้ายๆทางจีน
    ชอบเดินแถวหน้ากระดานถือตำราสวดมนต์
    บางกลุ่มก็ชอบการละเล่นบางอย่าง
    บางกลุ่มก็อยู่เป็นหมู่บ้าน บางกลุ่มก็อยู่เพราะ
    ช่วงระหว่างทางของสงคราม อย่างในถ้ำที่เด็ก
    นั่นก็มีกลุ่มนี้อยู่ ความจริง ตามภูเขาที่ไม่สูงมาก
    ก็พอมีให้เห็นเยอะแยะ...บางกลุ่มก็ชอบอยู่เงียบๆสันโดน
    ไม่ค่อยชอบยุงเกี่ยวกับทางโลก ก็มี...
    อย่าลืมว่า สมัยก่อน ยึดถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย.......

    แล้วเราจะเห็นเค้าได้ไง มันก็หลายวิธี
    ทั้งที่แบบตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ.....
    ไม่ได้ตั้งใจก็อย่างเช่น ในระหว่างทางของสมาธิ
    หรือในฝัน หรือ ในระหว่างเดินทางผ่านเขตนั้นพอดี....

    แล้วพวกนี้เค้าออกมาได้อย่างไร
    แน่นอน มันต้องมีทางออก ที่เรารู้จักกัน
    ในนาม ว่า ประตูมิติที่เป็นวงกลมนะ
    สงสัยไหมว่าทำไมมันต้องเป็นวงกลมเท่านั้น

    โม้ต่ออีกหน่อย เพราะในระยะทางของการเดินทาง
    ระหว่างมิติหรือจักรวาลมาเวลนั้น(แต่งเพิ่ม)
    มันจะมีเส้นสายพลังงานแบ่งเป็นเส้นเวลาและมิติ
    เป็นตะแกรงคล้ายสี่เหลื่ยมอยู่
    แต่ไม่รู้ว่า ทางวิทยาศาสตร์เค้าเรียกเส้นพวกนี้ว่าอะไรนะ...

    นึกภาพตาม สมมุติว่า มีสี่เหลี่ยมที่มีตะแกรงย่อยๆขนาด
    เท่ากันแบ่งช่องว่างพอดีๆ
    สมมุติขนาด ตะแตรงนี้ มีความกว้างยาวขนาด40x40 ซม.
    ก็จะมีตะแกรงสี่เหลี่ยมย่อยด้านในมากมาย

    ที่ด้านซ้ายสุดเป็นเส้นสี่เหลี่ยม
    สมมุติว่า เป็นพิกัดของดาวโลก
    ที่ด้านขวาสุดเป็นพิกัดของเมืองบังบดเมืองหนึ่งอยู่....
    โดยที่ระทางระหว่างตะแกรงถ้าเดินทางปกติอาจจะใช้
    เวลานับล้านปีแสงพูดเทียบกับไปดาวอื่น แต่กรณีซ้อนทับ
    อาจจะต้องใช้การเดินทางผ่านเวลาในความเร็วมากกว่าแสง
    ระยะเวลาหลายร้อยปีกว่าจะไปถึงพิกัดนั้นได้ พูดง่ายๆ
    ว่าตายไปแล้วถึงจะไปได้
    ถ้าไปด้วยเทคโนโลยีบนโลก.......

    ไอ้ประตูมิติวงกลมนี้นี่หละ
    มันก็จะทำหน้าที่เชื่อมระหว่าง ต้นทางด้านซ้าย
    และปลายทางด้านขวา แล้วมิติและเวลามันสั้นลงมา
    ได้อย่างไร. นึกภาพตาม มันก็จะทำการบิดไอ้
    ตะแกรงสี่เหลี่ยมย่อย ที่อยู่ระหว่างด้านซ้ายด้านขวา
    บิดโค้งเข้ามาจนกระทั้งจุดซ้ายและขวามันมาเกือบจะชนกัน
    ลองนึกภาพการบิด ตะแกรงสี่เหลี่ยมอันหนึงดู
    จับไว้จุดหนึ่งแล้วค่อยๆบิดมันเข้ามา บิดคนละทิศทางนะ
    ก็จะพบว่า ไอ้ตะแกรงที่อยู่ระหว่างทาง ที่มันถูกบิดไป
    คนละทิศทางนั้น มันก็จะหดลงมาเป็นคล้ายๆวงกลม
    ในขณะที่ จุดซ้ายและขวาที่ริมมันก็จะเข้ามาใกล้กันนั่นเอง
    ตรงนี้ ส่วนตัวเรียกว่า การย่นย่อเวลา ไอ้คล้ายๆวงกลม
    ตรงนี้ ไม่แน่ใจว่า ทางวิทย์เค้าเรียกตัวหนอนหรือเปล่า.....
    ตรงนี้นี่เองเป็นที่มาของการเดินทางข้ามมิติและเวลา....
    เพียงแต่ว่า ในปัจจุบัน มนุษย์โลก ยังมีพัฒนาไปเพียงพอ
    ที่จะนำวัตถุที่แข็งตัว ให้ผ่านเข้าประตูมิติทางด้านหนึ่ง
    ไปปรากฏได้อีกทางด้านหนึ่งโดยที่มันยังเสถียร์อยู่นั่นเอง
    นี่หละ ที่เรายังไปไม่ถึง พวกมะนาวต่างตู๊ด......
    ที่เล่าคือหยาบๆ แต่จะบอกว่า. พวกประตูมิติแบบนี้

    ทางพุทธฯเรา รู้และทำได้แบบชิวๆ
    มาตั้งแต่ยุคพุทธกาลแล้ว....
    ด้วยการสั่งให้ประตูนี้เปิด เปิดตรงหน้าตนเอง
    และไปเปิดที่ปลายทาง และก็ดึงมันมาเชื่อมกัน.....

    แล้วก็ผ่านประตูมิติตรงนี้
    ก็จะไปยังจุดปลายทางที่ต้องการได้นั้นเอง...
    บ้านเราน่าจะคุ้น กับคำว่า ย่นย่อเวลา..
    ที่บางคนอาจงงๆ ว่า
    เห็นพระเกจิท่านนี้ ที่จังหวัดนี้
    แต่ทำไมในเวลาต่างกันไปนาน
    พบว่าท่านไปอยู่อีกที่หนึ่งได้
    แบบให้งงๆกันเล่นๆ..ว่าท่านมาได้อย่างไร...
     
  19. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,815
    ค่าพลัง:
    +4,674
    Tips & Tricks (วรรคทอง)
    หน้า 18 ลำดับที่ #354(1)



    และการผ่านประตูก็ไม่ยากเช่นกัน
    ในกรณีที่ไม่มีกายเนื้อผ่านเข้าไป
    คือ ผ่านในรูปแบบการส่งดวงจิตตนเองผ่านไป
    แล้วไปอุปโลกน์สร้างกาย
    อะไรก็ได้ในอีกสถานที่แห่งหนึ่ง....
    ซึ่งการไปแบบอุปโลกน์สร้างกายนั้น
    ข้อดีคือ สามารถทำได้
    พร้อมๆกันหลายๆกายในเวลาเดียวกัน...
    เราอาจจะเคยได้ยิน คนพูดกันว่า
    เห็นท่านเดียวกัน
    ในเวลาเดียวกัน แต่ต่างสถานที่นั่นเอง

    แต่การจะยกทั้งกายเหนือไปได้นั้น
    เป็นคุณสมบัติของดวงจิตที่ส่วนตัวเรียกว่า
    สำเร็จระดับจิตธาตุจะทำกันได้เป็นปกติเท่านั้น....

    ซึ่งมีเยอะแยะมากมายในสมัยยุคพุทธกาล
    ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่พราหม์หรือหลายๆท่านยุคนั้น
    ซึ่งการเดินทางข้ามมิติและเวลาผ่านประตูมิติ
    แบบนี้ ปัจจุบันก็ยังมีให้พบเจออยู่
    เป็นวิธีการที่ ครูบาร์อาจารย์ มีชื่อหลายท่าน
    ที่อยู่ตั้งแต่ยุคพุทธกาล ท่านใช้เพื่อมาสอน
    ใครหรือลูกศิษย์ท่านหรือไปหาใครนั่นหละครับ
    และเป็นวิธีที่ครุบาร์อาจารย์เก่งๆปัจจุบัน ท่านก็ใช้อยู่
    เวลาท่านไหนมาไหน หรือแม้ไปกรณีหาศิษย์
    เหมือนท่านที่อยู่ตั้งแต่พุทธกาล
    ถามว่า ทำไมเกิดขึ้นได้ เพราะมันเป็นเส้นสาย
    พลังงานที่เป็นเส้นมิติและเวลาและมิติ
    มันเลยเหนือคำว่า มิติและเวลานั่นเอง...
    นี่คือเรื่อง ประตูมิติ ที่เป็นวงกลมต่างๆ

    ....ประตูมิติง่ายๆมันก็คือ
    ประตูที่ทำหน้าที่เชื่อมระหว่าง ๒ มิติเวลาที่
    แตกต่างกัน ความจริง ในประเทศไทย
    ตามวัดดังๆที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ศักดิ์สิทธิ์
    เราจะพบเห็นประตูพวกนี้ได้ บริเวณแถว ๓ แยก
    สูงกว่าพื้นดินประมาณ ๒ ถึง ๓ เมตรเป็นปกติ
    เพราะเค้าชอบมาไหว้พระเช่นกัน...
    ส่วนถ้าตามเมืองซ้อนทับ
    ประตูนี้จะเปิดในระดับเดียวกับความสูงบนโลกเรานี่หละครับ....

    ไม่ใช่การบังตา ก็คือ การทำให้สายตาบนโลก
    มองเห็นโลกเหมือนปกติหรือเห็นในมุมที่แตกต่างออกไป
    เหมือนๆที่เป็นข่าวตอนนี้
    ซึ่งต้องแล้วแต่อารมย์ว่า
    เค้าจะเปิดให้เมื่อไรนั่นเองครับ

    จบนิทาน....
     
  20. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,815
    ค่าพลัง:
    +4,674
    Tips & Tricks (วรรคทอง)
    หน้า 18 ลำดับที่ #355




    แนะนำว่า ให้ท่องในใจให้ได้
    และลืมตาสวดอย่าขยับซ้าย(เพราะจะคิดเรื่องใหม่)
    และขวา(เพราะจะคิดเรื่องเก่า)
    และให้มองผ่านนิ้วกลาง
    ที่พนมมือตรงหน้าอก
    สูงประมานหนึ่งนิ้ว(มองผ่าน)
    ถ้าล้าสายตาก็พัก

    ให้สวดไปเรื่อยๆ
    ไม่ต้องสนใจเรื่องวรรคตอน
    และหายใจเข้าออกให้ลึกถึงท้อง
    แต่ทำความรู้สึกว่าลมหายใจหยุด
    ที่ปลายจมูกพอ.

    ทำไปเรื่อยอย่าตกใจ
    ถ้าเห็นอากาศรอบตัว
    มันเคลื่อนไหวได้ ไม่ว่าสีอะไร อย่าสน
    ให้ทำจนเห็นว่ามันใส ด้วยตาเปล่าๆนั่นหละ
    เเละเร็ว วิ่งขึ้นบนได้
    ถือว่าใช้ได้

    ปล ทำได้แล้ว ต่อไปไม่ต้องนาน
    ครั้งละนาที สองนาที
    ผลก็มากกว่าท่องบ่นเป็นชั่วโมง
    ที่พูดเป็นเทคนิคคอลเทอม
    ใช้ก่อนสวมวัถตุมงคลได้หมด
     

แชร์หน้านี้

Loading...